Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 565 ว่าด้วยมหามรรคฟ้าดิน ต้อนรับด่านเคราะห์หยั่งสัจจะ

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 565 ว่าด้วยมหามรรคฟ้าดิน ต้อนรับด่านเคราะห์หยั่งสัจจะ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เจ็ดวันหลังจากนั้น

หลินสวินตื่นจากการนั่งสมาธิ ทันทีที่ลืมตาขึ้น หยดน้ำแท้เอกอุที่ลอยอยู่กลางหว่างคิ้วในตอนแรกพลันสั่นเบาๆ คราหนึ่ง ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นแสงหลากสี หลอมรวมเข้าไปในห้วงนิมิตของหลินสวิน

วิ้ง!

ในขณะเดียวกัน หลินสวินยื่นมือขวาออกมา นิ้วมือเรียวยาวขาวกระจ่างจิ้มกลางอากาศเบาๆ คราหนึ่ง แสงน้ำกลุ่มหนึ่งพลันปรากฏ พวยพุ่งปกคลุม กลิ่นอายท่วงทำนองมรรคไหลหลั่งไอ

เมื่อความคิดในใจของหลินสวินเปลี่ยนไป แสงน้ำกลุ่มนั้นก็เริ่มเปลี่ยนแปลง บ้างเปลี่ยนเป็นหยดน้ำอิ่มเอิบเปี่ยมพลัง หยดลงกลางอากาศ

บ้างกลายเป็นละอองฝนพรำ ปลิวว่อนล่องลอย

บ้างก็กลายเป็นน้ำตกผืนหนึ่ง ไหลหลั่งเชี่ยวกราก

จนถึงท้ายที่สุดก็เปลี่ยนเป็นสภาพการณ์ต่างๆ เช่นแม่น้ำ ทะเลสาบ หมอกเมฆเป็นต้น ทั้งหมดล้วนกำจายท่วงทำนองแห่งมรรค มีชีวิตชีวาสมจริง เต็มไปด้วยความลึกลับสุดจะพรรณนา

ฮูม~

สุดท้ายหยดน้ำพลันถูกยืดออก แปรเป็นกระบี่เล่มหนึ่ง แสงน้ำพวยพุ่งงดงามราวกับภาพฝัน!

หลินสวินจ้องมองเงียบๆ สีหน้าไม่ไหวติง นิ่งสงบราบเรียบ

ครู่ใหญ่กระบี่น้ำเล่มนั้นก็เปลี่ยนไปอีก ค่อยๆ ก่อตัวเป็นรูปร่างของนกจาบฝนตัวหนึ่ง เพียงแต่ตอนที่กำลังจะเป็นรูปเป็นร่างกลับระเบิดตัวฉับพลัน กลายเป็นละอองน้ำล่องลอย

เห็นเช่นนี้หลินสวินอดพึมพำไม่ได้ “ตามคาด ในขั้นท่วงทำนองมรรคยากจะรวมตัวเป็นจิตวิญญาณที่แท้จริงได้ ไม่สามารถวิวัฒน์เป็นสิ่งมีชีวิตที่แท้จริงได้…”

ท่ามกลางฟ้าดิน มหามรรคหมื่นพัน!

ในทุกๆ วิถีมรรคล้วนประทับแก่นอัศจรรย์ต้นกำเนิดเอาไว้ มีความหมายลึกซึ้งไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อผู้ฝึกปราณหยั่งถึงมรรคนี้ สามารถแสวงหาหนทางสู่อมตะได้!

ระดับหยั่งสัจจะ คือการหยั่งรู้ความลับแห่งธรรมชาติ คำว่า ‘ธรรมชาติ’ ในที่นี้เป็นชื่อเรียกอย่างหนึ่งของมหามรรค

นั่นก็หมายความว่า มีเพียงการไปถึงระดับหยั่งสัจจะเท่านั้น จึงสามารถสอดแนมและหยั่งรู้ความลับแห่งมหามรรคที่แท้จริงได้ ระดับนี้จึงเรียกอีกอย่างว่าจุดเริ่มต้นของการ ‘ฝึกตน’ ที่แท้จริง!

ทว่าเห็นได้ชัดว่าหลินสวินเป็นตัวอย่างในกรณีพิเศษ ตอนนี้เขายังไม่เคยก้าวเข้าสู่ระดับหยั่งสัจจะ แต่สามารถหยั่งถึงและควบคุมความลี้ลับของสัจวิถีธาตุน้ำได้แล้ว!

ต้องยอมรับว่านี่เป็นปาฏิหาริย์ที่ไม่เหมือนใครทั้งในอดีตและปัจจุบัน อย่างน้อยในอดีตที่ผ่านมาก็ยากจะเห็นตัวอย่างเช่นนี้

……

ก่อนหน้านี้หลินสวินก็เข้าใจแล้วว่า มหามรรคแห่งฟ้าดินนั้นเรียกได้ว่าไม่มีที่สิ้นสุด และแตกต่างกันออกไป อย่างเช่นปัญจธาตุ หยินหยาง สายฟ้าสายลม แสงและความมืดเป็นต้น

แต่ไม่ว่าจะเป็นมหามรรคแบบใดล้วนมีความมหัศจรรย์ จึงไม่มีการแบ่งแยกสูงต่ำ

มีเพียงตอนที่ผู้ฝึกปราณใช้เท่านั้น จึงจะแตกต่างไปตามความตื้นลึกในการการควบคุมพลังมหามรรคของแต่ละคน ทำให้สำแดงอานุภาพที่ไม่เหมือนกันออกมา

ความเข้าใจของโลกต่อมหามรรคนั้นมีมาตรฐานที่สมบูรณ์และเข้มงวดมาก โดยแบ่งออกเป็นสามขั้นตอนใหญ่คือ ท่วงทำนองมรรค เจตจำนงมรรคและเมล็ดพันธุ์แห่งมรรค

ท่วงทำนองมรรค เป็นขั้นตอนแรกแห่งการควบคุมพลังมหามรรคประเภทใดประเภทหนึ่งของผู้ฝึกปราณ เมื่อมาถึงระดับนี้ ก็สามารถควบคุมและใช้ท่วงทำนองรวมถึงกลิ่นอายของมหามรรคได้

เจตจำนงมรรค เป็นขั้นตอนที่รู้ลึกยิ่งกว่า สูงกว่าท่วงทำนองมรรค ทำให้ผู้ฝึกปราณเริ่มหยั่งถึงความหมายที่แท้จริงซึ่งซ่อนอยู่ในมหามรรค

เมล็ดพันธุ์แห่งมรรค คือการเข้าถึงจุดปลายยอดอย่างหนึ่ง เป็นขั้นตอนที่ยกระดับถึงที่สุด เมื่อมาถึงระดับนี้ ผู้ฝึกปราณจะเริ่มค้นหาและควบคุมแก่นแท้แห่งมหามรรคที่แท้จริง!

ผู้มีความสามารถสมัยบรรพกาลเคยเห็นพ้องต้องกันว่า ฮุ่นตุ้นดุจเมล็ดพันธุ์ หล่อเลี้ยงพลังเบิกฟ้าแยกดิน มหามรรคประหนึ่งเมล็ดพันธุ์ หล่อเลี้ยงความอัศจรรย์แห่งต้นกำเนิดมหามรรค

คำกล่าวที่ว่าขอบเขตเมล็ดพันธุ์แห่งมรรค ก็หมายถึงผู้ฝึกปราณเริ่มย้อนทวนความลี้ลับแห่งต้นกำเนิดมหามรรคแล้ว

การควบรวมเมล็ดพันธุ์แห่งมรรค ก็เท่ากับการควบคุมมหามรรคอย่างสมบูรณ์แบบหนึ่ง ปลูกเมล็ดพันธุ์มหามรรคที่เป็นของตัวเอง ภายในหล่อเลี้ยงความเข้าใจและการหยั่งถึงของตนต่อแก่นแท้มหามรรค จวบจนกระทั่งมันเจริญงอกงาม ก็จะสามารถเกิดการเปลี่ยนแปลงและยกระดับอีกครั้งได้!

ตอนนี้การควบคุมมรรคธาตุน้ำของหลินสวินอยู่ในขั้นเริ่มต้นนั่นคือขั้น ‘ท่วงทำนองมรรค’ สามารถสำแดงท่วงทำนองและกลิ่นอายของมรรคธาตุน้ำได้แล้ว หากนำมาประยุกต์ใช้ในการต่อสู้ ก็เพียงพอทำให้อานุภาพเกิดการเปลี่ยนแปลงราวพลิกฟ้าคว่ำดิน

……

ตูม!

หลินสวินลุกขึ้นกระแทกหมัดออกไปลวกๆ โดยไม่ได้ใช้พลังวิญญาณ แต่บนกำปั้นกลับมีคลื่นแห่งท่วงทำนองมรรคธาตุน้ำวนเวียน

ทันใดนั้นห้วงอากาศประหนึ่งฉาบด้วยกระดาษ ส่งเสียงกึกก้องระเบิดแตก ลมหมัดทรงพลังนั้นกระแทกลงบนผนังหินที่ห่างออกไป ทิ้งรอยหมัดลึกเกินคาดเดาเอาไว้!

‘นี่ก็คือพลังของของท่วงทำนองมรรค มหัศจรรย์ไร้ที่เปรียบดังคาด…’ หลินสวินทั้งอึ้งและชื่นชมในใจ

ผ่านการหยั่งรู้มาเจ็ดวัน ทำให้ในที่สุดเขาก็สามารถควบคุมท่วงทำนองมรรคแห่งธาตุน้ำได้ ตอนนี้แค่ออกหมัดลวกๆ หมัดเดียวก็เกิดการเปลี่ยนแปลงของคุณสมบัติอย่างเห็นได้ชัด แตกต่างจากที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง

‘ถ้าโคจรพลังสุดกำลัง หลอมรวมท่วงทำนองมรรคธาตุน้ำเข้าไปด้วย จะเกิดอานุภาพที่แข็งแกร่งเพียงใดนะ’

สุดท้ายหลินสวินก็ไม่ได้ลอง นี่คือถ้ำที่ขุดขึ้นในภูเขา ต้านทานการทำลายล้างเช่นนี้ไม่ได้

หืม?

จู่ๆ หลินสวินก็รู้สึกสังหรณ์ใจขึ้นมา ราวกับฉุกคิดขึ้นมาได้ ในพริบตานั้นเหมือนรับรู้ถึงความลับสวรรค์สายหนึ่งในห้วงลึก

‘ด่านเคราะห์ของการบรรลุสู่ระดับหยั่งสัจจะกำลังจะมาแล้ว!’

นัยน์ตาดำของหลินสวินพลันสาดประกาย พลังทั่วร่างเดือดพล่าน

ที่ผ่านมาเขาระงับตัวเองมาโดยตลอด ตอนนี้เมื่อเริ่มควบคุมพลังของท่วงทำนองมรรคธาตุน้ำได้แล้ว ทำให้พลังปราณทั้งร่างเขาไปถึงระดับ ‘สมบูรณ์ไร้ที่ติ’

พลังปราณสมบูรณ์ ร่างกายสมบูรณ์ จิตวิญญาณสมบูรณ์ ท่วงทำนองมรรคก็สมบูรณ์เช่นกัน!

นี่เป็นมรรคาสมบูรณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน ต่างจากผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ ในโลกอย่างสิ้นเชิง หากแพร่ออกไปคงสะเทือนโลกา!

เพราะนี่เป็นเรื่องที่พบได้น้อยมากจริงๆ ถ้าเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ ตอนที่พลังปราณสมบูรณ์ก็คงจะคิดจะทะลวงสู่ระดับหยั่งสัจจะแล้ว

ใครเล่าจะเป็นเหมือนหลินสวิน แม้แต่ร่างกายและจิตวิญญาณก็ก้าวไปอยู่ในขั้นสมบูรณ์ ถึงขั้นที่ควบคุมพลังของท่วงทำนองมรรคตั้งแต่ยังอยู่ในระดับมหาสมุทรวิญญาณ!?

นี่คือหนทางที่ไม่เหมือนใคร!

สวบ!

เงาร่างของหลินสวินแวบหายออกไปจากถ้ำ หลังจากนั้นเขาก็มายืนอยู่บนยอดเขา

เวลานี้เป็นช่วงพลบค่ำ ฟ้าดินมืดสลัว เทือกเขาไกลๆ ทอดตัวคดเคี้ยวดุจมังกร มีเสียงคำรามน่าสะพรึงของสัตว์ดังขึ้นเป็นระยะ

ลมภูเขาพัดมา เงาร่างของหลินสวินหยัดตรงสูงโปร่ง ผมดำพลิ้วไปตามสายลม ชุดสีขาวพระจันทร์โต้ลมเกิดเสื้อดัง

เขาเอามือไขว้หลัง เงยหน้ามองฟ้า นัยน์ตาดำลึกล้ำราวกับหุบเหวที่วูบไหว

ไม่รู้ตั้งแต่ตอนไหน จู่ๆ ท้องฟ้าก็มืดลง เมฆดำทะมึนมารวมตัวกันที่นี่และสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ สรรพสิ่งเงียบสงัดพาให้ผู้คนกดดันแทบหายใจไม่ออก

เสียงคำรามของสัตว์ร้ายที่ห่างออกไปฟังดูไม่สงบและร้อนรนอย่างยิ่ง ในผืนป่าบริเวณใกล้ๆ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดราวกับสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง พลันพุ่งออกมาเหมือนกระแสน้ำและหลบลี้หนีหายไปในที่อันห่างไกล

เมฆดำรวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนน้ำหมึกหนา ทำให้บรรยากาศยิ่งกดดันขึ้น เงียบเชียบน่ากลัวราวกับว่าภัยพิบัติอันสะเทือนโลกากำลังจะมาเยือน

ลักษณ์ฟ้าอันแปลกประหลาดนั้นทำให้หลินสวินอดหรี่ตาลงไม่ได้ ในใจสั่นสะท้านอย่างยากอธิบาย

นี่คือด่านเคราะห์ของเขา!

เพียงแต่หลินสวินกลับสังเกตได้อย่างฉับไวว่า ด่านเคราะห์ในครั้งนี้ดูเหมือนจะน่ากลัวกว่าที่คาดการณ์ไว้ ยังไม่ทันมาเยือนอย่างแท้จริงก็กดดันจนทำให้ผู้คนขนลุกแล้ว แค่คิดก็จะรู้ว่าเมื่อด่านเคราะห์ครั้งนี้เกิดขึ้นจริงๆ มันจะน่ากลัวเพียงใด

หลินสวินเคยเห็นกู้อวิ๋นถิงก้าวผ่านด่านเคราะห์บนภูผาแห่งบันไดสวรรค์ ตอนนั้นอสนีเคราะห์ร้องคำราม สั่นสะเทือนลมเมฆ เรียกได้ว่าอานุภาพเกรียงไกร

แต่เมื่อเทียบกับภาพตรงหน้า ก็กลายเป็นธรรมดาไปเสียอย่างนั้น

‘เล่าลือกันว่าขนาดของอานุภาพแห่งด่านเคราะห์อสนีเกี่ยวข้องกับพลังปราณของผู้ฝึกปราณ ผู้ฝึกปราณยิ่งแข็งแกร่ง ด่านเคราะห์ที่ต้องเจอก็จะยิ่งน่ากลัว อันตรายที่ต้องแบกรับก็ยิ่งหนักหน่วง ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องลวง…’

หลินสวินพึมพำในใจแต่กลับไม่หวั่นกลัว เขารอคอยมานานแล้ว และสิ่งที่รอก็คืออสนีเคราะห์ในวันนี้!

……

ในที่ที่ห่างไกลจากภูเขาลูกนี้ เงาร่างสองร่างโฉบผ่านอยู่ในเทือกเขาอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า

“จำข้อตกลงของเราไว้ เสี้ยวคัมภีร์มรรคในมือเด็กหนุ่มคนนั้นยกให้เจ้าได้ แต่ต้องให้ข้าดูก่อน นอกจากนี้โอสถสมบัติไร้เทียมทานในตัวเขา ก็ต้องมีส่วนแบ่งของข้าด้วย”

สีหน้าของธิดาเทพหลินหลางเย็นเยียบ เส้นผมสีเพลิงพลิ้วสยาย

“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว”

ด้านข้าง ชายหนุ่มอาจหาญน่าเกรงขามหัวเราะเบาๆ เขาเคลื่อนไหวอย่างเกรียงไกร บุคลิกโดดเด่น หน่วยก้านดูไม่ธรรมดา ที่แท้ก็เป็นอวี่เซียวเซิงบุตรเทพแห่งเผ่าวาฬมังกร!

“เจ้ามั่นใจหรือว่าเขาซ่อนตัวอยู่ในหมู่เขาแถบนี้” ธิดาเทพหลินหลางขมวดคิ้ว

“เขาฆ่าคนในเผ่าวาฬมังกรของข้าไปมากมายขนาดนั้น หากข้ายังจำกลิ่นอายที่หลงเหลือบนร่างเขาไม่ได้ ก็ดูไร้ความสามารถเกินไปแล้ว”

น้ำเสียงของอวี่เซียวเซิงราบเรียบ เพียงแต่นัยน์ตากลับวาบประกายไอสังหารอันน่าสะพรึง

ธิดาเทพหลินหลางที่อยู่ข้างๆ ไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านั้น ความจริงทุกครั้งที่นางนึกถึงคนในเผ่าที่ตายด้วยน้ำมือหลินสวิน นางก็ปวดใจสุดกำลัง ความชิงชังยากจะสงบลงได้

ที่ครั้งนี้นางอดทน ตกลงร่วมมือกับศัตรูอย่างอวี่เซียวเซิงชั่วคราว เหตุผลกว่าครึ่งก็เพื่อตามหาหลินสวินให้เจอ แล้วฆ่าเขาซะ!

ศัตรูของศัตรูก็คือสหายของตน ใช้คำพูดนี้ตอนนี้ไม่ผิดแน่นอน

ไม่ว่าจะเป็นอวี่เซียวเซิงหรือหลินหลาง ล้วนเห็นหลินสวินเป็นหนามยอกอก ตอนที่อวี่เซียวเซิงเสนอให้ร่วมมือกัน หลินหลางจึงตอบตกลงอย่างไม่ลังเล

แน่นอนว่าต้องอยู่บนเงื่อนไขที่ว่า อวี่เซียวเซิงต้องคืนต้นกล้ารุกขทรัพย์วิญญาณทองต้นนั้น ส่วนธิดาเทพหลินหลางก็รับปากว่า จะยกเสี้ยวคัมภีร์มรรคในมือหลินสวินให้อวี่เซียวเซิง

สำหรับสมบัติอื่นๆ ในตัวหลินสวิน ทั้งสองจะแบ่งเท่าๆ กัน

นี่คือข้อตกลงระหว่างทั้งสอง สำหรับเรื่องที่ว่าหลังจากฆ่าหลินสวินแล้วพวกเขาจะทำตามสัญญาหรือไม่ ก็ไม่สามารถรู้ได้แล้ว

เพราะอย่างไรพวกเขาก็ไม่ใช่สหายกัน แต่เป็นศัตรู ต่างก็กลัวและระแวงซึ่งกันและกัน

“เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนนั้นอยู่บริเวณนี้หรือ”

จู่ๆ เสียงพูดคุยดังแว่วขึ้นในระยะไกล ทำให้อวี่เซียวเซิงและหลินหลางระแวดระวัง ทั้งสองสบตากันคราหนึ่งก่อนซ่อนตัวเงียบๆ

“ไม่ผิดแน่ นี่เป็นข่าวจากผู้แข็งแกร่งเผ่าเหยี่ยววายุ บอกว่าหลังจากเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนนั้นออกจากเกาะอริยะปัญจธาตุ ก็ลอบเข้ามาหลบอยู่ในผืนป่าแห่งนี้”

ห่างออกไปมีผู้ฝึกปราณหลายสิบคน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ใช่เผ่าเดียวกัน ตอนนี้กลับรวมตัวกัน พูดคุยและวิพากษ์วิจารณ์เสียงเบา

“เฮอะๆ เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนนี้ร้ายกาจจริงๆ ฆ่าผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงห์โลหิตและเผ่าวาฬมังกรจนแทบหมดสิ้น ช่างกล้าหาญนัก”

“ฮ่าๆๆ ครั้งนี้เผ่าสิงห์โลหิตและเผ่าวาฬมังกรต้องขายหน้ายกใหญ่แล้ว ไม่เพียงช่วงชิงวาสนามาไม่ได้ ยังถูกเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนหนึ่งฆ่าจนเยี่ยวรดตดหาย ฮ่าๆๆ ตลกจริงๆ”

ผู้แข็งแกร่งกลุ่มนั้นคุยกันอย่างย่ามใจ

สีหน้าของอวี่เซียวเซิงและหลินหลางที่หลบอยู่ในที่มืดอึมครึมขึ้นทันที โกรธจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ในขณะเดียวกันในใจพวกเขาก็อดสงสัยไม่ได้

เรื่องที่เกิดขึ้นบนเกาะอริยะปัญจธาตุเผยแพร่ออกไปได้อย่างไร ถึงขั้นที่ดึงดูดผู้แข็งแกร่งมากมายเพียงนี้มาตามหาเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนนั้น

สถานการณ์ผิดปกติ!

ในใจของอวี่เซียวเซิงและหลินหลางรู้สึกไม่ค่อยดีขึ้นมา

…………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด