Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 569 เปลี่ยนแปลงถึงขีดสุด

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 569 เปลี่ยนแปลงถึงขีดสุด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ฆ่า!

นี่คือสมรภูมิความเป็นตายฉากหนึ่ง หลินสวินตัวคนเดียวประจันหน้ากับอาณาจักรอสนีเคราะห์ รอบด้านแสงสายฟ้าเริงระบำ ทั่วนภาล้วนเป็นภาพตื่นตระหนกน่าตกใจ

เลือดเนื้อทั่วร่างเขาทุกส่วนกำลังสมานเต็มอัตรา พลังทั่วสรรพางค์ฟื้นคืนถึงขีดสุดใหม่อีกครั้ง ทั้งยังขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง!

ชิ้ง!

ดาบหักปรากฏส่งเสียงกระจ่างใส อบอวลท่วงทำนองมรรคธาตุน้ำ สำแดง ‘กระบวนท่าคว้าดารา’ และ ‘กระบวนท่าสอยจันทรา’ แห่งเพลงดาบวัฏจักรฟ้าออกมาถึงขีดสุด

ก็เห็นทุกหนแห่งที่ดาบหักพาดผ่าน ประดุจมีดวงดาราร่วงหล่นทีละดวงๆ อุดมไปด้วยกลิ่นอายมลายล้างอันน่าหวาดกลัว โหมกระหน่ำบดทำลายแสงสายฟ้าให้แหลกละเอียด

ทันใดนั้นจันทร์ศักดิ์สิทธิ์ดวงหนึ่งลอยเคลื่อนคล้อย แสงสว่างไสวอบอวล บริสุทธิ์ผุดผ่องเหลือประมาณ สายฟ้าที่อยู่ใกล้ๆ ไม่ทันประชิดก็ถูกบดขยี้จนราบคาบ

กล่าวถึงอานุภาพ กระบวนท่าคว้าดาราและสอยจันทราต่างจากก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัด ประทับท่วงทำนองมรรคธาตุน้ำ และถูกหลินสวินดึงความสามารถออกมาเต็มกำลัง อานุภาพเองก็ก่อเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน

การโจมตีเช่นนี้ถึงขั้นสามารถสังหารผู้อยู่ในระดับหยั่งสัจจะทั่วไปอย่างง่ายดาย!

อีกทั้งขณะต่อสู้ยังผ่านการหล่อหลอมและชำระล้างของอสนีเคราะห์ ทำให้หลินสวินเข้าใจสองกระบวนท่านี้อย่างลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม

พลังที่สำแดงออกมาระหว่างขยับเคลื่อนกระบวนท่าเรียกได้ว่าสะท้านฟ้าสะเทือนดิน!

“กระบวนท่าเผาตะวัน!”

ขณะต่อสู้ หลินสวินพลันแผดเสียงตะโกนออกมา ดาบหักเอ่อล้นด้วยแสงจ้าบาดตา ผ่าแหวกสังหารออกไปโดยพลัน

ภายใต้หนึ่งดาบกลับเหมือนสุริยันร้อนแรงปรากฏ เผาผลาญโหมกระหน่ำ ปลดปล่อยอานุภาพอัศจรรย์ทลายฟ้ามลายดิน ลานตาถึงขีดสุด ชัชวาลแผ่ไพศาลไร้สิ้นสุด!

นี่ก็คือกระบวนท่าที่สามแห่งเพลงดาบวัฏจักรฟ้า… เผาตะวัน!

ในอดีต หลินสวินทำความเข้าใจศาสตร์ลับซึ่งแฝงอยู่ในกระบวนท่านี้มาตลอด แต่เนื่องจากมันล้ำลึกยากหยั่งถึงและซับซ้อนเกินไป ทำให้หลินสวินแม้หยั่งถึงได้แต่กลับยากจะสำแดงมันออกมา

ทว่าเวลานี้ ภายใต้ภัยคุกคามถึงชีวิตของอสนีเคราะห์ กลับทำให้หลินสวินปะทุพลังแฝงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน สำแดงกระบวนท่านี้ออกมาเป็นครั้งแรก!

แค่เพียงพริบตาก็เสมือนดวงตะวันร้อนแรงปะทุระเบิด อสนีเคราะห์ที่ม้วนซัดอยู่ใกล้เคียงถึงกับถูกแผดเผาจนเกลี้ยง!

อานุภาพสะเทือนใต้หล้าปานนี้ ทำให้หลินสวินรู้สึกเกินคาดหมาย

แข็งแกร่งเกินไปแล้ว! น่ากลัวกว่ากระบวนท่าคว้าดาราและสอยจันทราเสียอีก เป็นพลังทำลายล้างอันเด็ดขาดไร้เทียมทานอย่างหนึ่ง ประหนึ่งไม่มีสิ่งใดไม่พังทลาย ไม่มีสิ่งใดไม่มอดไหม้เป็นจุณ!

ครืน ครืน!

เพียงแต่อสนีเคราะห์ปรากฏขึ้นใหม่อีกครั้งอย่างรวดเร็วราวถูกยั่วโทสะ พลานุภาพเปลี่ยนเป็นน่าหวาดกลัวกว่าแต่ก่อน ศิลาโบราณนับหมื่นนับพันปรากฏขึ้นถี่ยิบแน่นขนัด ประดุจดั่งวิวัฒน์จากสายฟ้า แสงอสนีเจิดจ้าไหลบ่า แค่เพียงกลิ่นอายก็แทบทำให้ผู้คนพังทลาย

ฆ่า!

หลินสวินคำราม เลือดลมทั่วร่างพลุ่งพล่าน อุตส่าห์ยืนหยัดมาถึงขั้นสุดท้ายจะถูกขวางเช่นนี้ได้อย่างไร

เขาต่อสู้อย่างห้าวหาญ เมื่อได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่ละคราก็จะกลืนโสมราชันโคมสมบัติผลหนึ่ง ไม่ท้อถอยยอมแพ้แม้แต่น้อย

นี่คือสมรภูมิความเป็นตายฉากหนึ่ง ทั้งอันตรายและยากลำบากอย่างเห็นได้ชัด หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่น ต่อให้เป็นเหล่าผู้กล้าแห่งรุ่นที่น่าตกตะลึง เกรงว่าคงยืนหยัดต่อไปไม่ไหว

อันที่จริงหากไม่มีโสมราชันโคมสมบัติช่วยเสริม ต่อให้เป็นหลินสวินก็ยากจะยืนหยัดถึงตอนนี้แน่นอน อสนีเคราะห์นั่นแปลกประหลาดและวิปริตเกินไป หมายกำจัดสังหารเขา ไม่ให้เขาก้าวผ่านไปโดยง่าย

ตูม!

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ในอาณาจักรอสนีเคราะห์ ศิลาโบราณถี่ยิบแน่นขนัดไม่ปรากฏอีกต่อไป ต่างเริ่มเปลี่ยนเป็นเลือนราง กลายเป็นรูปลักษณ์สายฟ้าใหม่อีกครั้ง

เปรี๊ยะ!

ขณะเดียวกันนี้ ภายในร่างหลินสวินราวกับมีเครื่องพันธนาการหนึ่งถูกทำลาย ทำให้พลังปราณเขาก้าวสู่เขตแดนใหม่ในพริบตา

ทะลวงระดับแล้ว!

กลางทะเลปราณมีถ้ำผสานหนึ่งกำลังวิวัฒน์ ภายในขุ่นมัวเลือนราง ประดุจถ้ำสถิตแห่งความว่างเปล่า ทั้งราวกับต้นแบบแห่งโลกหล้า ภายในมีพลังวิญญาณอันบริสุทธิ์รุ่งโรจน์ไหลบ่า กว้างใหญ่ไพศาลปานไร้สิ้นสุด

เวลานี้ท่วงทำนองมรรคธาตุน้ำ พลังยุทธ์ ต้นกำเนิดปราณที่หลินสวินครอบครองไว้ ล้วนต่างรวมกันอยู่ในถ้ำผสาน

ก็เห็นถ้ำผสานนั่นส่งเสียงกัมปนาทไม่หยุด แสงแวววาวเปล่งประกายไหลหลั่ง มีกลิ่นอายท่วงทำนองแห่งมรรคและต้นกำเนิดวิถียุทธ์ประทับอยู่บนนั้น ทำให้ทั้งถ้ำผสานขยายออกอย่างต่อเนื่อง ส่องสว่างไม่หยุดหย่อน ศักดิ์สิทธิ์สง่างามถึงที่สุด!

ท่ามกลางความเลือนรางพร่ามัว ถึงกับมีเสียงธรรมดังต่อเนื่องก้องสะท้อนจากถ้ำผสาน ประหนึ่งมีอริยบุคคลบรรพกาลกำลังนั่งสมาธิท่องพระคัมภีร์อยู่ภายใน

ครืน!

ท้ายที่สุด ภายในถ้ำผสานก็ปรากฏแท่นมรรคลึกลับหนึ่ง สะอาดบริสุทธิ์ดุจกระจก อบอวลไปด้วยหมอกแห่งศุกลไตรมรรค เผยความเร้นลับออกมาโดยสมบูรณ์

‘แท่นมรรคหยั่งสัจจะ’!

นี่คือแท่นมรรค มีเพียงผู้มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมเป็นเลิศเท่านั้นจึงจะก่อร่างสร้างจากรากฐานมหามรรคของตนขึ้นมาได้ เป็นสิ่งที่สะท้อนออกมาหลังมรรควิถีทั้งร่างยกระดับถึงขีดสุด!

ต้องรู้ว่าผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะทั่วไป มีเพียงก้าวไปถึงระดับหยั่งสัจจะขั้นสมบูรณ์เท่านั้นจึงจะสามารถหลอมรวมมรรควิถีทั่วร่างเป็นแท่นมรรคได้ อาศัยสิ่งนี้ค้ำจุนและหลอมชำระรากฐานแห่งตน

แต่เห็นชัดว่าหลินสวินต่างออกไปอย่างมาก ถึงอยู่ในระดับหยั่งสัจจะขั้นต้นก็หลอมแท่นมรรคออกมาได้สำเร็จ นี่คือหนทางอันเลิศล้ำเส้นหนึ่งอย่างแน่นอน!

เหมือนอย่างอวี่เซียวเซิงและหลินหลาง เหตุผลที่ถูกเลือกเป็นบุตรเทพและธิดาเทพ ก็เพราะยามพวกเขาบรรลุสู่ระดับหยั่งสัจจะก็เหนือกว่าคนรุ่นเดียวกันอยู่โข ก่อร่างสร้างแท่นมรรคแห่งตนได้ก่อน เป็นผู้นำในระดับหยั่งสัจจะ สื่อถึงรากฐานพลังและพลังแฝงอันพิเศษโดดเด่นอย่างหนึ่ง

เพียงแต่หลินสวินไม่เหมือนอวี่เซียวเซิงและหลินหลาง

บนแท่นมรรคหยั่งสัจจะของเขายังแฝงไว้ด้วยแสงวิญญาณดุจดั่งหยกขาวของศุกลไตรมรรค แวววาวเปล่งประกาย ศักดิ์สิทธิ์อัศจรรย์

นี่คือ ‘แสงสมบัติหยั่งสัจจะ’!

แม้แต่ในสมัยบรรพกาลก็มีน้อยคนนักที่สามารถทำได้ถึงขั้นนี้ เพราะนี่หมายความว่ารากฐานแห่งตนได้เจียระไนถึงระดับสุดยอดเหนือสุด แสดงถึงความสำเร็จสูงสุดที่อยู่ในระดับขั้นนี้!

คำกล่าวที่ว่า มรรคก่อเกิดหนึ่ง หนึ่งก่อเกิดสอง สองก่อเกิดสาม สามก่อเกิดสรรพสิ่ง!

‘แท่นมรรคหยั่งสัจจะ’ นั้นเป็นตัวแทนของมรรควิถีแห่งตน คือต้นกำเนิดแรกเริ่ม หรือก็คือ ‘หนึ่ง’ แสงสมบัติหยั่งสัจจะไตรมรรคตอบสนองต่อสิ่งนี้ เป็นการอธิบายถึงความล้ำเลิศแห่งสามก่อเกิดสรรพสิ่ง ขานรับกับมหามรรค สอดคล้องกับความลี้ลับบางอย่างที่ยากจะควบคุมกำหนด

ทั้งหมดนี้เป็นการสะท้อนถึงมรรคาอันแข็งแกร่งที่สุดซึ่งถูกกำหนดไว้!

ในใจหลินสวินเกิดการรู้แจ้งมากมาย

ถ้ำผสานดุจมายามีชื่อเรียกว่าถ้ำสวรรค์หยั่งสัจจะ ภายในสลักวิถีปราณอยู่ถ้วนทั่ว คือสถานที่แห่งรากฐานมหามรรคของตน รวบรวมและสลักประทับพลังต้นกำเนิดทั้งหลาย ทั้งสัจจะมหามรรค วิชาเยี่ยมยอดที่หยั่งถึง วิถียุทธ์เป็นต้น

พลังทั้งหมดนี้ก่อร่างสร้าง ‘แท่นมรรคหยั่งสัจจะ’ มันคือสิ่งสะท้อนมรรควิถีแห่งตน แท่นมรรคยิ่งมั่นคง ถ้ำสวรรค์ก็ยิ่งแข็งแกร่ง พลังที่สามารถนำมาใช้ก็ยิ่งทรงพลังตามไปด้วย

แต่ ‘แสงสมบัติหยั่งสัจจะ’ กลับเป็นสิ่งสะท้อนของความเป็นเลิศประเภทหนึ่ง มันเป็นการชี้บ่งถึงเส้นทางที่ตนก้าวเดินมาว่าไปถึงขั้นสุดยอดสูงสุด เป็นหนึ่งในหนทางอันแข็งแกร่งที่สุดแห่งยุค!

‘นี่ก็คือการยกระดับหลังขั้นสมบูรณ์ถึงขีดสุด ทำให้ทันทีที่ข้าก้าวเข้าสู่ระดับหยั่งสัจจะ ก็มีฐานมรรคที่คนอื่นไม่อาจทัดเทียม… หากไม่มีการสั่งสมและกดอัดอย่างต่อเนื่องก่อนหน้านี้ เกรงว่าคงไม่มีทางได้ผลสำเร็จเช่นนี้เป็นแน่…’

หลินสวินขบคิด

เวลานี้เขากลายเป็นมหายุทธ์ระดับหยั่งสัจจะเรียบร้อยแล้ว เลือดลมทั่วร่างดุจหินหนืดพลุ่งพล่านเป็นจังหวะ โครงกระดูกลั่นดังกรอบแกรบ ก่อร่างและเปลี่ี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง

นี่ก็คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ทั้งหมดหลังเลื่อนระดับ เสมือนทลายปราการชีวิตอย่างหนึ่ง ปรากฏการแปรสภาพอีกครั้ง รากฐานพลังอันแข็งแกร่งและพลังแฝงที่มีแต่เดิม เวลานี้ทั้งหมดล้วนกลายเป็นแรงขับแห่งการเปลี่ยนแปลง

แค่ชั่วพริบตาอาการบาดเจ็บที่หลินสวินได้รับก่อนหน้านี้ล้วนดีขึ้น แสงศักดิ์สิทธิ์อบอวลทั่วร่าง ท่วงทำนองมรรคเกาะกุมห้อมล้อม เลือดลมปานหมอกควันสงครามสายหนึ่งพุ่งออกจากกลางศีรษะ ทลายชั้นเมฆพุ่งทะยานออกนอกทะเลอัสนีเคราะห์!

เหตุการณ์นี้ผิดแปลกชวนตระหนก ร่างซึ่งถูกโจมตีบาดเจ็บสาหัส มาตอนนี้ล้วนเปลี่ยนแปลงไป ประหนึ่งหงส์ไฟฟื้นคืน ถอดรยางค์เปลี่ยนกระดูก ทำให้กระดูกแต่ละท่อนทั่วร่างเขาต่างบริสุทธิ์ผุดผ่อง แสงสมบัติพวยพุ่ง

ส่วนเลือดเนื้อเยื่อผิวของเขายิ่งกระจ่างแวววาวราวหยกขาวเจียระไน พลังชีวิตอันยิ่งใหญ่และพลังที่เรียกได้ว่าน่าหวาดกลัวไหลเวียนมิอาจขวางกั้น

สำหรับจิตวิญญาณก็เปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม วัฏจักรหมู่ดาวในห้วงนิมิต จันทร์ศักดิ์สิทธิ์กลางนภา ทุกหนแห่งล้วนเป็นประกายดาราและแสงจันทร์ งามตระการหาใดเปรียบ

นี่ก็คือระดับหยั่งสัจจะ!

หลินสวิน ณ ปัจจุบันยืนอยู่บนเขตแดนนี้ สามารถสังเกตปริศนาและความเร้นลับแห่งมหามรรค ดูดกลืนความยอดเยี่ยมแห่งต้นกำเนิดของฟ้าดิน

แม้เป็นเพียงแค่ระดับหยั่งสัจจะขั้นต้น แต่หลินสวินเวลานี้กลับมีความเชื่อมั่นหนึ่งว่าไร้ซึ่งคู่ต่อกร เขาในตอนนี้ผิวหนังเป็นประกายดั่งหินหยก แม้อาภรณ์ย้อมด้วยโลหิต แต่กลับมีท่วงท่าหยิ่งผยองไร้มลทิน!

ในช่วงที่ผ่านเขาถูกกดข่มอยู่หลายครา มาตอนนี้เมื่อก้าวข้ามด่านเคราะห์และไม่ดับสูญ ก้าวเข้าสู่ระดับหยั่งสัจจะ ทำให้ปราณของหลินสวินเหมือนดั่งภูเขาไฟที่สะกดกลั้นมานานปล่องหนึ่ง ปะทุระเบิดออกอย่างสมบูรณ์

พลังชั้นยอดหลังยกระดับถึงขีดสุดเช่นนี้ ต้องสะท้านโลกาเป็นแน่!

ตูม!

แต่ทว่าสิ่งที่ทำให้หลินสวินคาดไม่ถึงคือ ด่านเคราะห์อสนีที่เดิมทีเงียบไปแล้ว เวลานี้ถึงกับระเบิดออกอีกครั้งในชั่วขณะเดียว

ฟ้าถล่มดินทลาย พลานุภาพน่าหวาดกลัวกว่าก่อนหน้า!

ก็เห็นโซ่ที่แปลงมาจากอสนีเคราะห์เส้นหนึ่งโฉบออกมา ร้อยรัดกลิ่นอายกฎเกณฑ์สูงสุด จู่โจมทะลวงผ่านห้วงอากาศทั้งมวล

หลินสวินแข็งทื่อไปทั้งร่าง ไม่ทันได้ตอบสนองก็ถูกโซ่อสนีเคราะห์นั่นผ่าลงบนร่าง เนื้อผิวแตกปริไปทั้งตัว!

ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บแสนสาหัสทันที ถ้ำสวรรค์ภายในร่างที่เพิ่งก่อร่างรวมตัวเมื่อครู่เกือบถูกทำลาย!

ฮวบ!

เงาร่างของเขาร่วงหล่นจากฟากฟ้าอย่างน่าอนาถยิ่ง เขาไหนเลยจะคาดคิด เดิมคิดว่าข้ามผ่านด่านเคราะห์อสนีแล้ว แต่ท้ายที่สุดกลับปรากฏการโจมตีอย่างน่าหวาดกลัวในคราเดียวเช่นนี้

หากมิใช่หลังเขาทะลวงสู่ระดับหยั่งสัจจะ พลังที่ครอบครองไม่อาจเทียบกับก่อนหน้า แค่การโจมตีเดียวนี้ก็สามารถลบเขาไปจากโลกอย่างง่ายดายเป็นแน่!

เจ็บ!

เลือดเนื้อแหลกเหลวปะปนทั้งร่าง ถูกพลังมลายล้างอันน่าประหวั่นทำลาย ทำให้หลินสวินทั้งโกรธแค้นทั้งจนปัญญา ได้แต่เบิกตามองตนเองร่วงหล่น

โชคดี หลังการจู่โจมนี้อสนีเคราะห์นั่นดูเหมือนใช้อานุภาพไปหมดแล้ว เปลี่ยนเป็นมืดสลัวเลือนราง ก่อนเริ่มถอยกระจายออกไป

บริเวณใกล้เคียง นับจากหลินสวินถูกม้วนกลืนสู่ส่วนลึกเมฆาเคราะห์ก็ผ่านไปครึ่งชั่วยามเต็มๆ แล้ว

ในเวลานี้ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดจิตใจสั่นไหว ตระหนกใจสงสัยไม่หยุด ส่วนลึกเมฆาเคราะห์แสงสายฟ้าวาบแปลบปลาบ อึกทึกครึกโครม สำแดงอานุภาพตลอดเวลาไม่เคยหายไป

นี่ทำให้พวกเขาตระหนักว่า เป็นไปได้สูงที่หลินสวินยังต่อสู้ดิ้นรนอยู่

และเพราะเหตุนี้พวกเขาต่างรู้สึกได้ถึงความน่าตระหนกยากจะเอ่ยอย่างหนึ่ง หากเปลี่ยนเป็นคนใดคนหนึ่งในพวกเขาเข้าไปคงตายอย่างไม่ต้องสงสัยเป็นแน่!

แต่ถึงตอนนี้เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์นั่นยังไม่ถูกพิฆาต นี่มันน่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว ฝืนชะตาฟ้าอย่างแท้จริง!

และในเวลานี้เอง พวกเขาก็มองเห็นว่าในส่วนลึกของเมฆาเคราะห์ เงาร่างของหลินสวินเหมือนกระสอบทรายที่แตกออก ซวนเซร่วงหล่นลงมา

ทั่วร่างเขาเลือดเนื้อไหลอาบฉกาจฉกรรจ์ ผิวหนังดำไหม้เกรียม เลือดกระอักกบปาก เห็นชัดว่าบาดเจ็บหนักใกล้ตาย!

แต่เมื่อสังเกตเห็นว่าเขายังมีชีวิตอยู่ ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ตรงนั้นทั้งหมดก็ส่งเสียงอื้ออึงทันที อึกทึกครึกโครมไปถ้วนทั่ว

ยังไม่ตาย!

เจ้าหมอนี่จนถึงท้ายที่สุดก็ยังไม่ตาย มีชีวิตรอดออกมาจากส่วนลึกของเมฆาเคราะห์!

นี่ราวกับปาฏิหาริย์อย่างหนึ่งโดยแท้จริง ทำให้ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดต่างตกตะลึงพูดไม่ออก ไม่อาจจินตนาการได้ หลินสวินต้านทานด่านเคราะห์อสนีที่น่ากลัวและลี้ลับเช่นนั้นได้อย่างไร ทั้งเหตุใดถึงยังรอดชีวิต ช่างเป็นปาฏิหาริย์เกินไปแล้ว!

……………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด