Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 572 เคราะห์สังหารมาจากรอบทิศ

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 572 เคราะห์สังหารมาจากรอบทิศ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

มีเพียงตัวหลินสวินเองที่รู้ดีว่าไม่ใช่เพราะอาการบาดเจ็บของเขารุนแรงเกินไป แต่เป็นเพราะสายโซ่เคราะห์สวรรค์เส้นหนึ่งที่พันผูกแท่นมรรคหยั่งสัจจะในกายเริ่มแผลงฤทธิ์กะทันหันระหว่างต่อสู้

พลังพิบัติเคราะห์ที่น่ากลัวนั้นกัดกร่อนไม่ว่างเว้น ต้องการทำลายแท่นมรรคหยั่งสัจจะของเขา!

เหตุไม่คาดฝันนี้ฉุกละหุกยิ่งนัก ในสถานการณ์ที่หลินสวินไม่ทันได้ตั้งตัวทำให้ได้รับผลกระทบ ต้องหลบหนีออกมา ไม่กล้าต่อสู้ติดพัน

“ตามไป!”

ผู้แข็งแกร่งจากแต่ละเผ่าจะละทิ้งโอกาสเช่นนี้ไปได้อย่างไร หลินสวินใกล้จะยืนหยัดไม่อยู่แล้ว เป็นโอกาสสังหารเขาอย่างดี!

เวลาเดียวกันบุคคลชั้นยอดอย่างพวกบุตรเทพอวี่เซียวเซิง ธิดาเทพหลินหลางก็ตามร่องรอยของหลินสวินไป

ตลอดทางที่หนีหลินสวินเงียบเชียบอย่างหาได้ยาก สีหน้างงงวย

ข้ามด่านเคราะห์ครั้งนี้ไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่คาดไว้ มีความลี้ลับน่ากลัวมากมายเกินไป

อย่างน้อยเขาก็ไม่เคยได้ยินว่าในโลกนี้จะมีผู้ฝึกปราณคนไหนที่เป็นเช่นเขา ด่านเคราะห์อสนีที่ชักนำมากลับแบ่งออกเป็นอสนีเคราะห์หกรอบ และแต่ละรอบน่ากลัวขึ้นไปเรื่อยๆ

จนกระทั่งสุดท้ายถึงกับถูกดึงเข้าไปในส่วนลึกของเมฆาเคราะห์ ต่อกรกับอสนีเคราะห์เต็มฟ้านั่น

ที่พิลึกที่สุดก็คือ ทั้งที่ด่านเคราะห์อสนีสลายไปในท้ายที่สุดแล้วชัดๆ แต่ยังมีโซ่เคราะห์สวรรค์เส้นหนึ่งหลงเหลืออยู่ รัดพันแท่นมรรคหยั่งสัจจะของเขา กัดกร่อนไม่หยุดหย่อน หมายจะทำลายรากฐานมหามรรคของเขา!

‘เพราะอะไรกันแน่’

หลินสวินรู้สึกหนักอึ้งในใจ

ในการต่อสู้ดุเดือดเมื่อครู่ หากไม่ใช่ว่าพลังเคราะห์สวรรค์นั้นปะทุกะทันหัน จะทำลายแท่นมรรคของเขาแล้วล่ะก็ มีหรือจะทำให้เขาสะบักสะบอม ทำได้เพียงหนีเอาชีวิตรอดเช่นนี้

ต่อให้เป็นเวลานี้สภาพภายในร่างเขาก็ไม่สู้ดีนัก บนแท่นมรรคหยั่งสัจจะ โซ่สีเทาเส้นหนึ่งรัดพันบีบแน่นอย่างต่อเนื่อง รัดรึงแท่นมรรค ปลดปล่อยพลังแห่งกฎระเบียบสูงสุดกัดกร่อนไม่หยุดหย่อน ทำให้แท่นมรรคสั่นสะเทือนรุนแรง เปลี่ยนเป็นไม่มั่นคงแล้ว

นี่คือสัญญาณว่ารากฐานมหามรรคสั่นคลอน!

ทันทีที่แท่นมรรคเสียหาย มรรควิถีทั้งร่างของหลินสวินจะได้รับผลกระทบรุนแรง

‘ต้องหาที่สะสางเภทภัยภายในร่างนี้ก่อน!’

หลินสวินกัดฟัน แท่นมรรคโคลงเคลงด้วยถูกกัดกร่อนไม่ว่างเว้น ทำให้เขาได้รับผลกระทบ กระอักเลือดออกมาไม่หยุด

สวบ!

ก้าวย่างชือน้ำแข็งโคจรถึงขีดสุด ทำให้เด็กหนุ่มพุ่งฝ่าภูเขาป่าทึบโบราณดุจเงามายา

ระหว่างทาง เขาอาศัยพลังจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งหลบหนีคลื่นเคลื่อนไหวน่ากลัวระลอกแล้วระลอกเล่า ไม่เพียงกลิ่นอายที่มาจากผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่า ยังมีสิ่งมีชีวิตน่าหวาดหวั่นที่จำศีลอยู่ในแดนลับอสูรมารอริยะด้วย!

ส่วนเบื้องหลังเขามีผู้แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งไล่ตาม ไล่ล่าสังหารครั้งใหญ่อย่างไม่เคยมีมาก่อน ทุกที่ที่ผ่านเรียกเสียงฮือฮาและสายตาที่มองด้วยความสนใจไม่รู้เท่าไร

ข่าวแพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็ว ผู้ฝึกปราณที่กระจายอยู่ในแต่ละพื้นที่ของแดนลับอสูรมารอริยะล้วนเริ่มรู้ที่มาที่ไปของการตามสังหารนี้แล้ว

ขนาดนอกแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ก็เกิดคลื่นลูกใหญ่ ผู้มีอำนาจทุกคนล้วนถูกทำให้ตกใจ

พูดแล้วก็น่าขัน ก่อนหน้านี้หลินสวินสู้กับศัตรูรอบทิศเพียงลำพัง แม้ระหว่างทางจะเกิดเหตุไม่คาดคิดต้องหลบหนี แต่ก่อนหน้านี้ก็มีผู้แข็งแกร่งหลายต่อหลายคนตายด้วยน้ำมือเขา

บุคคลสำคัญหลายคนที่มียันต์กระดูกวิญญาณย่อมไม่ได้ตายจนสิ้น วิญญาณเคลื่อนออกไปยังนอกแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ปรากฏอยู่บนแท่นบูชาวิญญาณที่แต่ละเผ่าสร้างขึ้น

และก็เพราะเหตุนี้ถึงทำให้คนใหญ่คนโตนอกแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ได้รับรู้ว่า ที่แท้คนในเผ่าเหล่านี้ล้วนถูก ‘เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์’ นั่นสังหาร!

ชั่วขณะหนึ่งทั้งที่นั้นล้วนฮือฮา สั่นสะเทือนไม่หยุดหย่อน

เดิมทีช่วงที่ผ่านมานี้คนใหญ่คนโตเหล่านั้นแทบจะลืมเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนนั้นไปแล้ว คิดว่าคงประสบเคราะห์ไปนานแล้ว หรือไม่ก็เก็บตัวเงียบไป

แต่ใครจะคิดว่าในวันนี้เขากลับปรากฏตัวอย่างทรงพลังอีกครั้ง ก่อให้เกิดพายุสูงใหญ่คับฟ้าที่มาพร้อมการสังหารนองเลือด

อย่างแรก คนในขุมอำนาจหลายเผ่าถูกสังหารบาดเจ็บล้มตายมากมาย ทั้งมีผู้แข็งแกร่งรุ่นอาวุโสบางคนที่ตายไปอย่างแค้นเคือง

ข่าวนี้น่าตกใจเกินไปแล้ว เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์เพียงคนเดียวกลับสังหารจนกลุ่มผู้กล้าหลั่งเลือดราวสายน้ำ ไม่อาจต้านทาน!

ใครจะกล้าคิดได้

ยังมี เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนนั้นยามบรรลุสู่ระดับหยั่งสัจจะ กลับดึงดูดด่านเคราะห์อสนีที่โดดเด่นหายากในโลกาออกมา นี่ยิ่งน่าสะท้านขวัญ ทำให้คนใหญ่คนโตหลายคนล้วนสงบใจได้ยาก

สัตว์ประหลาดเฒ่าอย่างพวกเขาย่อมรู้ดีว่าด่านเคราะห์อสนีระดับนี้หมายความว่าอย่างไร แต่เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนนั้นกลับสามารถข้ามผ่านด่านเคราะห์อสนีหกรอบแต่ไม่ตาย ช่างเป็นตัวประหลาดพลิกฟ้าคนหนึ่ง!

ตัวอย่างทำนองเดียวกันนี้แม้แต่ในยุคบรรพกาลก็หายากถึงที่สุด จากจุดนี้ก็พออนุมานได้ว่าพลังของเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนนั้นจะน่ากลัวและวิปริตปานไหน

ผู้กล้าหนุ่มน้อยเช่นนี้ เมื่อเติบใหญ่ขึ้นต้องเป็นที่ตื่นตาแข่งกับผู้โดดเด่นทั้งในอดีตและปัจจุบันแน่นอน!

แน่นอนว่ายิ่งหลินสวินโดดเด่นสะดุดตา ก็ยิ่งทำให้คนใหญ่คนโตเหล่านี้ไม่ชอบใจและหวาดหวั่น เพราะคนในเผ่าของพวกเขาไม่น้อยถูกหลินสวินฆ่าตาย พวกเขาจะทนเห็นหลินสวินรุ่งเรืองขึ้นได้อย่างไร

“สหายยุทธ์เกาหยาง ดูท่าแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณจะมีปีศาจโดดเด่นในใต้หล้าผู้หนึ่งถือกำเนิดขึ้น บอกได้หรือไม่ว่าเขาเป็นใครกันแน่”

ผู้ยิ่งใหญ่หลายคนในเผ่าใหญ่ของทะเลกลืนวิญญาณสายตาเยียบเย็น มองไปยังผู้เฒ่าเกาหยาง สีหน้าไม่เป็นมิตร

ขนาดหนิวเซี่ยวรื่อ ราชันวัวมารแห่งเผ่าวัวมารทรงพลังเวลานี้ก็ส่งสายตามา เห็นได้ชัดว่าเขาก็ตื่นตระหนก สงสัยฐานะของหลินสวินอยู่บ้าง

ผู้เฒ่าเกาหยางรู้สึกได้ถึงจิตสังหารรวมถึงแรงกดดันที่ยากบรรยาย นี่ทำให้เขารับรู้ได้ว่าคนใหญ่คนโตหลายคนเกิดจิตหมายสังหาร จะไม่ยอมให้เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนนั้นรอดชีวิตไปจากน่านน้ำแห่งนี้ได้

เพียงแต่ผู้เฒ่าเกาหยางก็นิ่วหน้า เขาคิดหัวแทบแตกก็คิดไม่ออกว่าเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนนี้เป็นใครกันแน่

เพราะในหมู่ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณเหล่านั้น นอกจากอวิ๋นเช่อแล้วก็ไม่มีใครเป็นผู้มีปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณเลย

‘หรือว่าเป็นคนหนุ่มสักคนในหมู่ผู้ติดตามเหล่านั้น’

ทันใดนั้นผู้เฒ่าเกาหยางไตร่ตรองครู่หนึ่ง ในสมองมีใบหน้าแต่ละหน้าปรากฏขึ้น ไม่นานเขาก็นึกถึงคนผู้หนึ่ง…หลินเสวียน!

หนุ่มน้อยที่ติดตามข้างกายจ้าวจิ่งเซวียน

สาเหตุที่นึกถึงหลินเสวียนก็เพราะตอนอยู่บนยานสำเภา ผู้เฒ่าเกาหยางเคยได้ยินว่าเด็กหนุ่มผู้นี้เอาชนะผู้ติดตามข้างกายซูซิงเฟิงได้อย่างง่ายดาย ทำให้ซูซิงเฟิงแค้นฝังใจ

อีกทั้งตอนต่อสู้ดุเดือดกับกองทัพวิญญาณอาฆาต ความสามารถของหลินเสวียนผู้นี้ก็พิเศษถึงที่สุด สุดท้ายถึงกับรอดชีวิตกลับออกมาจากส่วนลึกของกองทัพวิญญาณอาฆาตได้ด้วยตัวคนเดียว นี่ก็ดูไม่ธรรมดาอย่างเห็นได้ชัด

จะเป็นเขาหรือไม่นะ

ผู้เฒ่าเกาหยางไม่แน่ใจอยู่บ้าง อย่างไรเสียเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์คนนั้นก็พลิกฟ้าและดุดันยิ่งนัก ทำให้เขาเชื่อมโยง ‘หลินเสวียน’ กับ ‘เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์’ ได้ยาก

“ข้าก็ไม่มั่นใจ แต่ทุกท่านต้องคิดให้ดี หากคนผู้นี้เป็นผู้สืบทอดของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ ก็จะไม่ให้ผู้อื่นมารังแกตามใจได้เด็ดขาด!”

ในที่สุดผู้เฒ่าเกาหยางก็ให้คำตอบเช่นนี้ ไม่ถ่อมตัวหรือหยิ่งผยอง ในท่าทีมั่นคงเผยให้เห็นความแข็งกร้าว

เห็นได้ชัดว่านี่ทำให้คนใหญ่คนโตอื่นๆ ไม่อาจพึงพอใจได้ แต่พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกเช่นกัน

เพราะความเคลื่อนไหวในแดนลับอสูรมารอริยะก็ยังคงดำเนินต่อไป พวกเขาไม่อาจยื่นมือเข้าไปได้ ทำได้เพียงรออยู่นอกแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น

วันนี้นอกแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์และในแดนลับอสูรมารอริยะล้วนกำลังพูดคุยแลกเปลี่ยนกันอย่างเดือดพล่าน ต่างจดจำเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์ที่มีที่มาลึกลับผู้นี้ไว้โดยมิได้นัดหมาย

“ไป ไปตามฆ่าเด็กนี่!”

ในแดนลับอสูรมารอริยะ ผู้แข็งแกร่งชั้นยอดหลายคนตัดสินใจว่า ในฐานะที่พวกเขาเป็นตัวแทนแต่ละเผ่า เมื่อได้รู้ว่าคนในเผ่าตนบางคนถูกหลินสวินสังหารก็เดือดดาลขึ้นทันใด ขนาดวาสนาก็ไม่สืบเสาะแล้ว รีบไปตามฆ่าหลินสวิน

ในกลุ่มนี้ก็มีบุคคลชั้นยอดรุ่นเยาว์ที่สะดุดตาหาใดเทียบอย่างบุตรเทพเผ่ากวางหยก ธิดาเทพเผ่ากาฬพฤกษ์ บุตรเทพเผ่าวานรนทีเป็นต้น

ทั้งมีขุมอำนาจมากมายได้รู้ว่าหลินสวินมีศุภโชคจากเกาะอริยะปัญจธาตุอยู่กับตัว เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเป็นคัมภีร์อริยมรรคเล่มหนึ่ง ทำให้พวกเขาก็ไม่ยินยอมล้าหลังกว่าผู้อื่น รีบตามมาจากทุกสารทิศ หมายจะถือโอกาสนี้ช่วงชิงศุภโชค

นี่ต้องเกิดการนองเลือดฉากหนึ่ง ทั้งยังเป็นการแก่งแย่งของผู้แข็งแกร่งที่โดดเด่น แดนลับอสูรมารอริยะวุ่นวายโกลาหลแล้ว

…….

“ข้าจะไปดูเสียหน่อย”

ที่ปากภูเขาไฟซึ่งเปลวไฟสีม่วงไหลหลั่งลูกหนึ่ง จ้าวจิ่งเซวียนหยัดกายขึ้น แขนเสื้อปลิวไสว ดวงตากระจ่างฉายแววกลัดกลุ้มที่ยากสังเกตเห็น

อีกด้านหนึ่งเซียวหรันกำลังนั่งขัดสมาธิดีดพิณ โดดเด่นตัดขาดจากโลก ทั้งตัวเขาราวหมอกควันที่ลอยล่อง สุภาพสง่างาม สีหน้าไม่ธรรมดา

เพียงแต่เมื่อได้รู้ถึงการตัดสินใจของจ้าวจิ่งเซวียน เขาก็อดตกใจไม่ได้อยู่บ้าง พูดอย่างครุ่นคิดว่า “ศิษย์น้องจิ่งเซวียน หรือคิดว่าเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์ที่ก่อเรื่องจนวุ่นวายไปทั่วก็คือหลินเสวียนที่อยู่ข้างกายเจ้าผู้นั้น”

“ไม่รู้สิ แต่ข้าต้องไปดูสักหน่อย”

จ้าวจิ่งเซวียนสีหน้าแน่วแน่

“ศิษย์พี่จิ่งเซวียน อีกไม่นานวาสนาอสูรมารอริยะในภูเขาเทพหมอกม่วงก็จะปรากฏแล้ว หากท่านจากไปตอนนี้ เป็นไปได้สูงว่าจะพลาดไป”

อีกด้านหนึ่งอวิ๋นเช่อลืมตาขึ้นจากการนั่งฌาน เตือนอย่างแข็งขัน ใบหน้าของเขางดงาม ท่าทางอบอุ่นราวแสงอรุณ

“ข้าตัดสินใจแล้ว”

นางพูดจบก็พลิ้วกายจากไป

อวิ๋นเช่อมองตามนางไป พลางลูบคางตัวเองแล้วเอ่ยเสียงขรึมว่า “ดูท่าฐานะของหลินเสวียนคนนั้นต้องไม่ใช่เพียงผู้ติดตามเรียบง่ายคนหนึ่งแน่”

เซียวหรันยิ้มบางๆ “ทุกคนมีความลับเป็นของตัวเอง ก็เป็นสิ่งที่คาดเดาได้”

“ศิษย์พี่เซียวหรัน ท่านว่าศิษย์พี่ทั้งสามอย่างซูซิงเฟิง เหวินเสียง กงหยางอวี่ตอนนี้อยู่ไหนกัน ตั้งแต่เข้ามาในแดนลับอสูรมารอริยะ นอกจากได้ยินข่าวคราวบางส่วนของศิษย์พี่ซูซิงเฟิง ศิษย์พี่อีกสองคนก็เหมือนหายตัวไป ไม่มีข่าวเลยสักนิด”

อวิ๋นเช่อพลันเอ่ยถาม

“พวกเขาอาจกำลังเสาะหาวาสนาของตนอยู่กระมัง แต่ว่า เชื่อว่ายามวาสนาในภูเขาเทพหมอกม่วงปรากฏ พวกเขาต้องรีบมาแน่”

เซียวหรันพูดพลางดีดพิณต่อ ดูเนิบนาบเรียบเฉย ราวกับไม่ว่าเรื่องใดในโลกก็ส่งผลต่อจิตใจได้ยาก

อวิ๋นเช่อร้องอ้อ ไม่ถามเพิ่มอีก

ที่อยู่ไม่ห่างจากพวกเขา ใกล้ๆ บริเวณปากภูเขาไฟที่มีเปลวเพลิงสีม่วงแผดเผาลูกนี้ ก็มีขุมอำนาจมากมายรวมตัวอยู่เช่นกัน มีทั้งกลุ่มผู้แข็งแกร่งเผ่าวัวมารทรงพลัง เผ่าหงส์หิรัณย์ เผ่าโห่วเมฆา เผ่าเต่าทมิฬเป็นต้น

เหล่านี้ล้วนเป็นขุมอำนาจชนเผ่าชั้นยอดของทะเลกลืนวิญญาณ เป็นบุคคลชั้นแนวหน้า!

และตอนนี้ ผู้แข็งแกร่งของชนเผ่าเหล่านี้ล้วนรวมตัวอยู่ที่นี่ แค่คิดก็รู้ว่าวาสนาที่จะช่วงชิงนั้นสะท้านโลกขนาดไหน!

พวกเซียวหรันเป็นตัวแทนของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ ก็ย่อมเข้าร่วมการแก่งแย่งนี้ด้วย เพียงแต่พวกเขายังต้องรอต่อไป เพราะตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่วาสนาครั้งนี้จะปรากฏ

แต่ก็สามารถคาดเดาได้ว่า เมื่อวาสนานี้บังเกิดขึ้นจริง บริเวณภูเขาไฟสีม่วงลูกนี้ต้องเกิดการต่อสู้ดุเดือดไม่เป็นสองรองใครแน่!

————

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด