Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 573 เคล็ดวิชาตัดวิถี

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 573 เคล็ดวิชาตัดวิถี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลินสวินหนีตายอยู่หลายวันติดต่อกัน ระหว่างทางไม่รู้พบเจอการโจมตีและล้อมจู่โจมมากมายเท่าไร ต่อสู้ดุเดือดทั้งเล็กใหญ่หลายสิบครั้ง

สองสามครั้งที่รุนแรงที่สุด เขาถูกอวี่เซียวเซิงกับหลินหลางร่วมมือกันสู้ประกบ แม้ในที่สุดจะหนีออกมาได้ แต่กลับทำให้อาการบาดเจ็บของเขารุนแรงยิ่งขึ้น

ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ เมื่อเวลาผ่านไปผู้แข็งแกร่งที่ออกมาตามฆ่าเขาก็มีแต่จะมากขึ้น ทำให้หลินสวินไม่มีเวลาหยุดพักฟื้นตัวเลย

สถานการณ์เช่นนี้ดำเนินต่อไปสิบกว่าวัน ร่างกายหลินสวินทรุดโทรม คราบเลือดเปรอะเปื้อน ราวกับจะล้มลงไปเมื่อใดก็ได้ ขนาดโสมราชันโคมสมบัติก็ถูกเขากินจนหมด!

นี่เป็นถึงโอสถสมบัติไร้เทียมทาน สมบัติล้ำค่าที่ขนาดราชันสังสารวัฏยังหมายปอง แต่ตอนนี้กลับถูกกินจนหมดระหว่างที่หนีตายอย่างไม่หยุดหย่อน เพียงคิดก็รู้ว่าการต่อสู้ดุเดือดระหว่างทางนี้จะอันตรายปานไหน

โสมราชันโคมสมบัติหมดแล้ว ยังมีหญ้ากิเลนอีกต้นหนึ่ง ที่ทำให้หลินสวินงุนงงก็คือ แผลภายนอกสามารถรักษาได้ แต่อาการบาดเจ็บของแท่นมรรคหยั่งสัจจะกลับยิ่งตกอยู่ในอันตราย

โซ่เคราะห์สวรรค์เส้นนั้นแปลกประหลาดน่ากลัวเกินไป เต็มไปด้วนพลังกฎระเบียบสูงสุด ไม่ว่าหลินสวินจะสลายอย่างไรก็จนปัญญา กลับถูกโซ่กัดกร่อนและทำลายแท่นมรรคหยั่งสัจจะ สั่นคลอนรากฐานมหามรรค!

วันนี้หลังจากหนีการตามฆ่าครั้งแล้วครั้งเล่า หลินสวินก็เข้าไปในถ้ำแห่งหนึ่งที่อยู่ในเทือกเขา รักษาบาดแผลเงียบๆ เวลามีจำกัด เขาไม่อาจหย่อนยานได้

หลายวันมานี้เขาครุ่นคิดอยู่ตลอดว่า ยามตนข้ามด่านเคราะห์ระดับหยั่งสัจจะ เหตุใดถึงดึงดูดเภทภัยที่ลี้ลับเช่นนี้ ทว่าอย่างไรก็คิดไม่ออก นี่ทำให้เกิดเงาอึมครึมปกคลุมจิตใจของเขา

‘นี่คือแผลมรรค!’

เมื่อหลินสวินลองไปถามจินตู๋อี กลับได้คำตอนที่หนักอึ้งหาใดเทียบอย่างคาดไม่ถึง

‘นี่เจ้าถูกสรรค์ขัดตาทัพนะเนี่ย ข้าจำได้ว่าในยุคบรรพกาล มีแต่บุคคลฝืนฟ้าละเมิดข้อห้าม ถึงจะดึงดูดเคราะห์น่ากลัวเช่นนี้ได้!’

เห็นได้ชัดว่าจินตู๋อีก็ไหวหวั่นยิ่งนัก เอ่ยว่า ‘คิดไม่ถึงว่าเจ้าหนูอย่างเจ้าก็เป็นสัตว์ประหลาดเช่นนี้ เจ้าฝึกวิชาอะไรกันแน่’

แผลมรรคหรือ

หลินสวินสีหน้าแข็งทื่อ เขานึกออกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเคล็ดวิชาหลุมดำกลืนกิน หรือเคล็ดเวทบริกรรม เพลงดาบวัฏจักรฟ้า เคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ที่ตนช่ำชอง ล้วนได้มาจากห้องโถงมรรคาสวรรค์ทั้งสิ้น

กระทั่ง ‘ชีพจรวิญญาณต้นกำเนิด’ ที่ก่อตัวขึ้นใหม่ในร่างก็เกี่ยวข้องกับห้องโถงมรรคาสวรรค์อย่างใกล้ชิด

เมื่อประเมินเช่นนี้แล้ว ที่การข้ามด่านเคราะห์ครั้งนี้แปลกประหลาด ทำให้ตนได้รับบาดแผลแห่งมหามรรคเช่นนี้ จะเกี่ยวกับห้องโถงมรรคาสวรรค์หรือไม่

หลินสวินไม่มีทางแน่ใจได้

‘สำหรับผู้ฝึกปราณแล้ว แผลมรรคเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ทำร้ายรากฐานมหามรรค แต่แผลมรรคที่เจ้าได้รับพิเศษยิ่งกว่า เป็นพลังแห่งเคราะห์สวรรค์ แทบไม่มีหวังจะขจัดได้’

จินตู๋อีไม่ได้พูดเล่น สถานการณ์ของหลินสวินในเวลานี้ร้ายแรงถึงที่สุด ทำให้เขาไม่มีกะจิตกะใจมาล้อเล่น

‘ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน ไม่รู้ว่ามีผู้ไร้เทียมทานสะท้านฟ้ามากมายเท่าไรที่เพราะได้รับแผลมรรค จึงล้มจนลุกไม่ได้อีก ไม่ได้รับความสนใจจากฝูงชนอีก สุดท้ายก็หยุดก้าวต่อ ตายไปอย่างคับแค้นใจ’

‘ไม่มีทางขจัดได้หรือ…’

หลินสวินสีหน้ายิ่งเหม่อลอย ครู่ใหญ่เขาถึงถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วไม่คิดมากอีก ยังไม่ถึงนาทีสุดท้าย เขาย่อมไม่ยอมแพ้

ผ่านมาอีกหลายวัน หลินสวินยังคงหนีตายดังเดิม ถูกตามสังหารไม่ว่างเว้น อาการบาดเจ็บตามร่างกายรุนแรงถึงขั้นไม่อาจบาดเจ็บไปกว่านี้ได้อีก ตลอดทางกระอักเลือดบ่อยครั้ง

นั่นเป็นเพราะแท่นมรรคหยั่งสัจจะของเขาถูกสั่นคลอนอย่างรุนแรงยิ่งขึ้น เริ่มหม่นแสงลง นี่เป็นถึงรากฐานมหามรรคของเขา ได้รับความเสียหายรุนแรงเช่นนี้ เพียงคิดก็รู้ว่าผลลัพธ์จะย่ำแย่ปานใด

“ไอ้สวรรค์เฮงซวย…” หลินสวินถอนใจ

กระทั่งตอนนี้เขาก็ยังไม่ยอมแพ้ ไม่เชื่อว่าตนจะตายระหว่างถูกตามฆ่า ยังคงใคร่ครวญไตร่ตรองว่าจะขจัดแผลมรรคภายในกายได้อย่างไร

“เจ้าไปเถอะ”

วันนี้หลังจากผ่านการต่อสู้ที่เลวร้ายมา อาการบาดเจ็บของหลินสวินก็ยิ่งทรุดลง ร่างกายทรุดโทรม ราวกับว่าหากมีลมระลอกหนึ่งพัดมาก็สามารถทำให้เขาตายได้

เขาตัดสินใจปล่อยจินตู๋อีไป

“ข้าน่าจะทนไปได้สักระยะ แต่หากพบเรื่องไม่คาดฝันต้องทำให้เจ้าเดือดร้อนไปด้วยแน่ ดังนั้นตอนนี้เจ้าไปได้แล้ว”

หลินสวินเตือนอย่างจริงจัง

จินตู๋อียืนอยู่ด้านหนึ่ง มองเด็กหนุ่มที่เลือดไหลไปทั้งร่างตรงหน้านั้น เหมือนจะคาดไม่ถึงอยู่บ้าง ใบหน้าที่งดงามมีเสน่ห์อย่างร้ายกาจปรากฏอารมณ์ซับซ้อนสายหนึ่ง

สุดท้ายเขาก็ทำเพียงร้องอ้อ โบกมือแล้วพูดว่า “ถือว่าเจ้ายังพอมีมโนธรรมอยู่บ้าง รอเจ้าตายแล้วข้าจะตั้งสุสานจัดงานศพให้เจ้า”

เขาพูดพลางหันหน้าจากไป ไม่นานก็หายตัวไป

หลินสวินมองเขาจากไป มุมปากซีดขาวไร้สีเลือดระบายยิ้มหยันเย้ยตนเอง จากนั้นส่ายหัวในทันใด ลุกขึ้นหนีตายต่อ

หลายวันผ่านไป

ตูม!

การต่อสู้ครั้งใหญ่ปะทุขึ้นอีกครั้ง เป็นกลุ่มผู้แข็งแกร่งอย่างบุตรเทพเผ่าวานรนทีกับธิดาเทพเผ่ากาฬพฤกษ์ตามมา

หลินสวินทุ่มเททุกอย่างที่มี สู้อาบเลือด ถึงหนีพ้นได้อีกครั้ง

เพียงแต่หลังจากการหนีครั้งนี้ ในที่สุดก็ยืนหยัดไม่ไหวแล้ว ล้มลงในส่วนลึกของหนองแห่งหนึ่ง

ทั่วกายเขามีแต่แผลฉีกขาดน่าตกใจ ใบหน้าซีดเซียวเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำดำเขียว ดวงตาดำหม่นหมองไร้แสง

“ไม่มีวิธีขจัดจริงๆ หรือ”

ในใจหลินสวินบังเกิดความไม่ยินยอมอย่างแรงกล้า เขาละซึ่งทุกสิ่งแล้ว จิตวิญญาณไม่หวาดหวั่น ไม่สนใจว่าศัตรูจะเข้ามาใกล้หรือไม่ ราวกับทั้งตัวไร้ซึ่งวิญญาณ

ร่างของเขายับเยิน พลังชีวิตแทบจะใช้จนหมดสิ้น ถ้ำสวรรค์ในกายอับแสง บนแท่นมรรคที่เดิมใสกระจ่างราวกระจกย้อมไปด้วยแสงเคราะห์หมองมัวน่ากลัว แทบจะแหลกสลาย

“ได้แต่ลองดูสักตั้งแล้ว! มีเหตุย่อมมีผล หมายจะขจัดเคราะห์นี้ ต้องไปเสาะหาที่แหล่งกำเนิด!”

ในที่สุดหลินสวินก็กัดฟัน ใช้พลังเฮือกสุดท้ายพาจิตรับรู้เข้าสู่ประตูสวรรค์อันลึกลับที่อยู่ในห้วงนิมิตนั้น

เวลานี้เขาเหมือนเปลือกหอยกลวงเปล่า ใกล้จะตายอยู่รอมร่อ

ตูม!

ฉับพลันทันใด ในตอนนี้เองพลังมหาศาลก็ปรากฏ แผ่ออกมาจากชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดที่อยู่ตรงหัวใจของเขา ขยายออกราวกระแสน้ำเชี่ยว

ร่างกายที่ทรุดโทรมหาใดเทียบของเขาแช่อยู่ในหนองน้ำ เงียบเชียบไร้ชีวิตชีวา แต่ภายในร่างกลับมีพลังมหาศาลชั้นแล้วชั้นเล่ากระจายออก ทำให้อาการบาดเจ็บทั่วร่างของเขาฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว…

ทั้งหมดนี้หลินสวินไม่รับรู้เลยสักนิด

ต่างจากแต่ก่อน ครั้งนี้เป็นสำนึกของเขาเข้าสู่ห้องโถงมรรคาสวรรค์ ยังคงเป็นภาพที่คุ้นเคยดังเดิม

ทางเดินเมฆาหยกตรงแน่วปูลาดตรงไปในห้วงอากาศ สุดทางเดินเป็นประตูลึกลับบานหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ ราวกับไม่เคยเปิดออกมานานแล้ว

เมื่อบรรลุสู่ระดับหยั่งสัจจะก็มีโอกาสเข้าห้องโถงมรรคาสวรรค์อีกครั้ง ฝ่าด่านที่ห้าของทางเดินเมฆาหยก

แต่ตอนนี้หลินสวินมายืนอยู่ที่นี่อีกครา ทอดสายตามองไปรอบทิศ ในใจมีอารมณ์ความรู้สึกที่ต่างออกไป

คลื่นคลุมเครือที่คุ้นเคยอบอวลเงียบเชียบ กวาดผ่านทั่วร่างหลินสวิน

ทันใดนั้นเสียงที่เยียบเย็นราวน้ำแข็งเสียงหนึ่งดังขึ้นทั่วฟ้าดิน…

“ผู้แสวงมรรค ด่านที่ห้าของทางเดินเมฆาหยกคือ ‘หลอมมรรค’ ต้องการเริ่มทดสอบหรือไม่”

หลินสวินส่ายหน้า เวลานี้เขาจะมีแก่ใจทดสอบได้อย่างไร

เขาเอ่ยปากถามโดยไม่ลังเลแต่อย่างใดว่า “ที่ข้ามาครั้งนี้ก็เพียงต้องการถามว่า พิบัติเคราะห์และแผลมรรคที่ข้าได้รับเกี่ยวข้องกับที่แห่งนี้หรือไม่”

เขาจำได้อย่างชัดเจนว่า ตอนทดสอบครั้งก่อนฝ่ายตรงข้ามตอบคำถามตนหนึ่งข้อ นี่ทำให้เขาแน่ใจว่าอีกฝ่ายต้องมีตัวตน ทั้งมีสติปัญญาราวมีจิตวิญญาณ!

ทว่าเวลานี้เขารออยู่ครู่ใหญ่กลับไม่มีใครตอบรับ ทั้งโลกเงียบสงัด

ยามหลินสวินท้อแท้ไปบ้างนั้น เสียงเย็นชาไร้อารมณ์นั่นก็ดังขึ้นในที่สุด “ด่านนี้ ก็คือด่านที่เตรียมไว้เพื่อหลอมแผลมรรค”

ประโยคเดียวราวฟ้าถล่มดินทลาย!

หลินสวินพลันตื่นเต้นในทันใด “อย่างที่คิด ที่มาของพิบัติเคราะห์ลี้ลับครั้งนี้ก็คือที่นี่!”

“ผู้แสวงมรรค ต้องการทดสอบหรือไม่”

เสียงเยียบเย็นราวน้ำแข็งนั้นเอ่ยถาม

หลินสวินสูดหายใจลึก มัวคิดมากนักไม่ได้แล้วตอบว่า “ทดสอบ!”

“เชี่ยวชาญปริศนาเคล็ดวิชาตัดวิถีก็ผ่านการทดสอบ!”

เมื่อเสียงเย็นเยียบนี้เงียบลง ละอองแสงก็แปรสภาพเป็นลวดลายมรรคสัญลักษณ์โบราณ ปกคลุมทั้งร่างหลินสวิน

หลินสวินนั่งขัดสมาธิหลับตาอย่างแทบจะเป็นไปตามจิตใต้สำนึก

ในขณะเดียวกันเสียงธรรมไพศาลเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในส่วนลึกของจิตวิญญาณ ปริศนามรดกที่คลุมเครือลี้ลับมากมายปรากฏออกมา

เคล็ดวิชาตัดวิถี!

พูดง่ายๆ ก็คือ วิชานี้ไม่ได้เตรียมไว้เพื่อฝึกปราณ แต่เป็นวิชาลึกลับที่ไว้หลอมพลังเคราะห์โดยเฉพาะ!

ฝืนฟ้าตัดวิถี สลายเคราะห์ย้อนกลับ หลอมมรรคคืนสัจจะ คำเพียงไม่กี่คำนี้ก็สามารถสรุปวิธีใช้ที่แท้จริงของวิชาลับนี้ได้

‘ที่แท้ตอนข้าเริ่มทดสอบครั้งแรก ผู้สร้างห้องโถงมรรคาสวรรค์นี้ก็คาดการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ไว้นานแล้ว ด้วยเหตุนี้ถึงได้จัดแจง ใช้ทางเดินเมฆาหยกเก้าด่านเป็นตัวทดสอบ ชี้แนะและถ่ายทอดให้ทีละขั้น…’

‘ไม่ใช่สิ! นี่เป็นสิ่งที่เตรียมไว้ให้ผู้ที่มาทดสอบ ไม่ได้พุ่งเป้ามาที่ข้าคนเดียว ไม่ว่าใครได้ครอบครองห้องโถงมรรคาสวรรค์ เมื่อผ่านการทดสอบแต่ละด่านจนถึงด่านนี้ ล้วนประสบพิบัติเคราะห์ทำนองเดียวกัน ด้วยเหตุนี้ถึงได้มีเคล็ดวิชาตัดวิถี!’

‘ฝืนฟ้าตัดวิถี ห้องโถงมรรคาสวรรค์นี้ แรกเริ่มเดิมทีเป็นผู้เปิดออกกันแน่’

ไม่นานหลินสวินก็ไม่อาจใคร่ครวญได้อีก ดำดิ่งสู่ห้วงระลึกรู้ เริ่มทำความเข้าใจปริศนาแต่ละอย่างของเคล็ดวิชาตัดวิถี

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร โสตประสาทของหลินสวินพลันมีเสียงเยียบเย็นราวน้ำแข็งดังขึ้นอีกครั้ง…

“การทดสอบสิ้นสุด ด่านที่หกของห้องโถงมรรคาสวรรค์คือ ‘ทรงจิต’ ยามทดสอบครั้งหน้า ต้องเชี่ยวชาญพลังแห่งเจตจำนงมรรค”

เมื่อเสียงหายไป สำนึกของหลินสวินก็ออกจากห้องโถงมรรคาสวรรค์ กลับเข้าไปในร่าง

“กฎแห่งกรรม…”

เมื่อนึกถึงด่านเคราะห์อสนี รวมถึงการไล่ล่าสังหารนองเลือดตลอดทาง และเข้าไปยังห้องโถงมรรคาสวรรค์อีกครั้งเพื่อเสาะหาวิธีขจัดเคราะห์ หลินสวินก็เกิดความเข้าใจถ่องแท้อย่างหนึ่งขึ้นในใจ

เขาได้รับรู้เป็นครั้งแรกว่า โลกนี้มีพลังของกฎแห่งกรรมที่ลึกลับอยู่

หากไม่มีห้องโถงมรรคาสวรรค์ก็ไม่มีหลินสวินในวันนี้ แต่ก็เพราะห้องโถงมรรคสวรรค์เช่นกันที่ทำให้หนทางแห่งการฝึกปราณของเขาต่างจากผู้ฝึกปราณคนอื่นโดยสิ้นเชิง เกิดพิบัติเคราะห์และอันตรายที่คิดไม่ถึงมากมาย นี่ก็คือกฎแห่งกรรม!

หลินสวินไม่คิดต่ออีก เขาโคจรเคล็ดวิชาตัดวิถี เริ่มลองสลายพลังแห่งเคราะห์สวรรค์ที่อยู่บนแท่นมรรคหยั่งสัจจะ

ในใจเขาปลอดโปร่งใสสะอาด ไม่มีความคิดความปรารถนา ภายในถ้ำสวรรค์มีพลังคลุมเครือไร้รูปสายหนึ่ง ปกคลุมโซ่เคราะห์สวรรค์เส้นนั้นตามเคล็ดวิชาตัดวิถีที่โคจรออกมา…

เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น ถ้ำสวรรค์เริ่มร้องครั่นครืน เมฆมงคลแผ่ขยาย!

ก็ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร เสียงการต่อสู้ดุเดือดระลอกหนึ่งดังขึ้น สั่นสะท้านครึกโครมรอบทิศ ฟังดูน่าตกใจผิดธรรมดา ทำให้หลินสวินที่กำลังหลอมพลังเคราะห์เต็มกำลังก็ถูกรบกวนไปด้วย!

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด