Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 605 หนึ่งคำพูดดั่งหมื่นวิชา หยั่งถึงขึ้นอยู่กับโชค

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 605 หนึ่งคำพูดดั่งหมื่นวิชา หยั่งถึงขึ้นอยู่กับโชค at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

กระถางหินที่ดูเก่าแก่และเรียบง่ายใบนั้นคำรามขึ้นมาอย่างเหนือความคาดหมาย ทำให้พวกหลินสวินตกใจยกใหญ่

หรือว่าทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากเจดีย์สมบัติไร้อักษร?

ไม่รอให้พวกเขาได้เข้าใจ คลื่นเสียงคำรามของกระถางหินทวีความกังวานราวกับเสียงเทพมหามรรค ดังก้องอยู่ในตำหนักอันกว้างขวางเก่าแก่ ทำให้ทุกคนตัวสั่นสะท้าน จิตวิญญาณสั่นคลอน

โครม!

ยามนี้ไม่เพียงแค่ที่นี่ บนยอดเขาอื่นๆ อีกแปดลูก ในตำหนักโบราณที่ยิ่งใหญ่โอ่อ่าทุกหลังล้วนมีกระถางหินเก่าแก่เรียบง่ายตั้งอยู่ ต่างเกิดเสียงคำรามและสั่นไหวไปด้วย

การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ทำให้ผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าต่างทำอะไรไม่ถูก อกสั่นขวัญแขวน

ท่ามกลางความงุนงง ผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าที่เข้ามาในแต่ละตำหนักราวกับย้อนกลับไปอยู่ในสมัยบรรพกาล มาอยู่ในอาศรมแห่งหนึ่ง

เงาร่างหนึ่งนั่งอยู่บนสามสิบสามชั้นฟ้า ราวกับเจ้าเหนือหัวที่เหลือบมองลงมายังเหล่าสรรพชีวิต กำลังเทศนาความลึกซึ้งละเอียดอ่อนของมหามรรค เสียงนั่นเลือนรางและศักดิ์สิทธิ์ ราวกับเสียงสวรรค์ ลึกลับและมหัศจรรย์สุดจะพรรณนา

“นี่คือภาพประทับมรดกของอัครบุคคลบรรพกาลและปรากฏขึ้นในเวลานี้ รีบนั่งลง รวบรวมสมาธิหยั่งรู้!”

มีคนฮึกเหิม รับรู้ได้ถึงเส้นสนกลในที่ซ่อนอยู่

คนที่สามารถเข้ามาในตำหนักนี้ได้ล้วนเป็นบุคคลชั้นยอดของแต่ละเผ่า เข้าใจแทบจะในทันที พลันนั่งขัดสมาธิและเริ่มสงบจิหยั่งรู้อย่างไม่ลังเล

นี่คือภาพประทับมรดก มีค่าและหายากอย่างยิ่ง โอกาสมีเพียงครั้งเดียว หากพลาดไปแล้วจะต้องเสียใจไปทั้งชีวิต

สำหรับเรื่องที่สุดท้ายจะหยั่งถึงได้เท่าไหร่ ก็ต้องดูโชคของแต่ละคน!

“ฮ่าๆๆ ไอ้สารเลวเซียวหรันคิดว่าตัวเองวางแผนรอบคอบ ช่วงชิงวาสนาทุกอย่างไว้ได้ แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าในตำหนักโบราณนี้ยังมีวาสนามรดกที่ยากจะคาดคะเนระดับนี้ซ่อนอยู่ ข้าสามารถจินตนาการได้เลยว่า ตอนเขารู้เรื่องทั้งหมดนี้ หน้าเหม็นๆ ใบนั้นจะน่าเกลียดเพียงใด ฮ่าๆๆ”

เจ้าคางคกหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เบิกบานและตื่นเต้น

หลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนเองก็อดยิ้มไม่ได้

ยามนี้พวกเขาเองก็นั่งขัดสมาธิ รับรู้อย่างละเอียด ฟังเสียงอันเลือนรางศักดิ์สิทธิ์นั่นแล้ว กายใจหวั่นไหวอย่างหนัก

ท่ามกลางความคลุมเครือ ราวกับฝันท่องไปในยุคบรรพกาล อัครบุคคลที่มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ไร้เทียมทานท่านหนึ่งนั่งอยู่บนสามสิบสามชั้นฟ้า กำลังเผยแพร่คัมภีร์ให้เหล่าลูกศิษย์ในสำนัก ถ่ายทอดความลึกลับและละเอียดอ่อนของมหามรรค

ร่างนั้นอยู่ไกลและดูยิ่งใหญ่เกินไปจนมองไม่ชัด ราวกับเจ้าเหนือหัวที่นั่งอยู่เหนือมหามรรค เคียงบ่าเคียงไหล่กับฟ้าดิน ไม่อาจมองเห็นรูปร่างที่แท้จริงและไม่อาจแตะต้องได้!

เสียงที่ถ่ายทอดมหามรรคก้องกังวานราวกับกลองโบราณ ลึกลับเกินคาดเดา ดูเหมือนดังมาทางทุกคน แต่พอเข้าหูแต่ละคนแล้ว กลับปรากฏความหมายที่แตกต่างกันออกไป

บางคนได้ยินความนัยแห่งมหายานทางพุทธ บางคนได้ยินความลึกลับละเอียดอ่อนแห่งมรรค และมีบางคนได้ยินแก่นอัศจรรย์ที่ไม่ใช่ทั้งพุทธและมรรค

ความนัยอันลึกซึ้งนั้นรวมสรรพสิ่ง ครอบคลุมร้อยสำนัก หลอมรวมหมื่นสาขา ล้วนเป็นท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์แห่งมรรคอย่างหนึ่ง เต็มไปด้วยความลึกลับเกินจะคาดเดา

ผู้แข็งแกร่งจากเผ่าต่างๆ มีความเข้าใจและวิถีทางที่แตกต่างกัน ดังนั้นแก่นแท้ที่พวกเขาได้ยินและหยั่งรู้ถึงจึงแตกต่างกันไป!

ความวิเศษของมรดกระดับนี้ เรียกได้ว่า ‘หนึ่งคำพูดดั่งหมื่นวิชา หยั่งถึงขึ้นอยู่กับโชค’!

……

ภูเขาเก้าลูก บนยอดเขาต่างมีตำหนักเก่าแก่เก้าตำหนัก

ยามที่พลังแห่งมรดกลึกลับไม่อาจคาดเดาปรากฏ ภูเขาทั้งเก้าลูกก็เกิดการสั่นไหว พรั่งพรูพลังอันยิ่งใหญ่ยากจะเปรียบออกมา

เหล่าผู้แข็งแกร่งจากเผ่าต่างๆ ที่ยังคงอยู่กลางเขาและไม่มีวาสนาจะขึ้นไปถึงยอดเขาต่างรู้สึกร่างกายสั่นสะท้านขึ้นมาคราหนึ่ง แล้วถูกพลังที่มองไม่เห็นม้วนตัวไป เคลื่อนย้ายพวกเขาไปที่เชิงเขา

และเหล่าผู้แข็งแกร่งจากเผ่าต่างๆ ที่เดิมหมายจะพุ่งขึ้นภูเขา ตอนนี้กลับพบว่าภูเขาทั้งเก้าลูกถูกปกคลุมด้วยผนึกต้องห้ามอันน่าสะพรึงกลัว ไม่สามารถเข้าใกล้ได้อีก!

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”

ผู้แข็งแกร่งหลายคนตกใจ หยุดการช่วงชิงและต่อสู้ แม้แต่ภูเขายังไม่สามารถเข้าใกล้ได้ ฆ่าฟันกันไปก็ไม่มีความหมาย

“ดูเหมือนว่ามรดกที่แท้จริงของที่นี่จะปรากฏแล้ว!”

มีคนหัวใจสะท้าน เดาเบาะแสบางอย่างออก

“ถ้าอย่างนั้นผู้ฝึกปราณที่ไม่ได้เข้าไปในตำหนักเก่าแก่บนยอดเขาอย่างพวกเรา ก็เท่ากับพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงแล้วงั้นหรือ”

ผู้แข็งแกร่งหลายคนเจ็บใจ สีหน้าเสียใจอย่างที่สุด

และมีพวกคนบางพวกที่ไม่จำยอม จะขึ้นเขาให้ได้ แต่กลับถูกผนึกต้องห้ามอันน่าสะพรึงซัดสะเทือนจนหัวแตกเลือดสาด ยากจะก้าวเดิน ทำได้เพียงยอมแพ้

จนถึงตอนนี้ ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดจากแต่ละเผ่าต่างเข้าใจแล้วว่าพวกเขาได้พ่ายแพ้ไปแล้ว!

“น่าชังนนัก!”

บริเวณหนึ่งของเชิงเขา ซู่ซิงเฟิงกัดฟันจนแทบจะแหลกละเอียด เปลวไฟในดวงตาไหววูบ เต็มไปด้วยความเดือดดาล

“พวกเราพลาดวาสนาครั้งนี้ไปแล้ว…”

เหวินเสียงหมดอาลัยตายอยาก

อวิ๋นเช่อที่อยู่ข้างๆ เองก็กล่าวถอนหายใจ “ศิษย์พี่กงหยางอวี่ก็ตายไปแล้ว ครั้งนี้เจ้าหมอนั่นก็สบายแล้วจริงๆ”

เซียวหรันเงียบไม่พูดจา เขาเงยหน้าเพ่งสายตามองไปที่ยอดเขา ไม่มีใครสังเกตว่าตอนนี้กลางนัยน์ตาเขาเผยความสับสนและไม่จำยอมอย่างที่สุด

และไม่มีใครสังเกตว่า นิ้วมือของเขาในแขนเสื้อได้กำแน่น

เดิมทีเขานึกว่าช่วงชิงคัมภีร์มรรคที่ซ่อนอยู่ในกระถางหินมาได้ ก็เท่ากับช่วงชิงเอาวาสนามาได้แล้ว สามารถกลับไปได้อย่างไม่มีอะไรต้องเสียใจ

ใครจะคิดว่าในตำหนักนั่นยังมีวาสนาที่ยิ่งใหญ่กว่าซ่อนอยู่อีก!

ถ้ารู้แต่แรก ย่อมไม่มีทางที่เขาจะรีบจากมาก่อน

ความเสียใจและไม่จำยอมพลุ่งพล่านราวกับกระแสน้ำที่ตบข้างในใจของเซียวหรัน ทำให้เขาไม่สามารถสงบนิ่งเหมือนที่ผ่านมาได้

“คิดไม่ถึงเลย!”

เซียวหรันถอนหายใจเบาๆ เขาคิดคำนวณทุกอย่าง แต่กลับคิดไม่ถึงว่าบนภูเขาเก้าลูกนี้จะมีวาสนาลึกลับอื่น!

ถ้ารู้เช่นนี้แต่แรก…

เซียวหรันพลันสูดหายใจเข้าลึกๆ เขาไม่สามารถคิดต่อได้ ความเสียใจและไม่จำยอมไม่มีประโยชน์แล้ว ได้แต่อดทนและยอมรับ ‘ความผิดพลาด’ ในครั้งนี้

“หึ! ได้วาสนาแล้วอย่างไร รอให้ออกจากแดนลับแห่งนี้ค่อยฆ่าเจ้านั่น ช่วงชิงศุภโชคทั้งหมดที่เขาได้มาซะ!”

ซูซิงเฟิงกัดฟัน

ได้ยินเช่นนี้ทำให้เหวินเสียงและอวิ๋นเช่อต่างหวั่นไหว สายตาเป็นประกายอย่างควบคุมไม่อยู่

ก็จริง วาสนาในครั้งนี้จะต้องมีเวลาสิ้นสุดลง พอออกจากที่นี่ เพียงยืมมือผู้เฒ่าเกาหยาง ก็เพียงพอจะสังหารเจ้าหมอนั่นได้!

มีเพียงเซียวหรันเท่านั้นที่เงียบไม่พูดจา ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่

……

นอกแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์

เบื้องหน้าขุมอำนาจเผ่าต่างๆ แท่นบูชาวิญญาณแต่ละแท่นคำรามอย่างไม่ขาดสาย คลื่นผันผวน ทยอยเคลื่อนจิตวิญญาณแต่ละดวงกลับมา

เหล่านี้คือผู้แข็งแกร่งที่พ่ายแพ้ในการฆ่าฟันเพื่อช่วงชิงวาสนา

พวกเขามียันต์กระดูกวิญญาณจึงสามารถฟื้นคืนชีพได้ สำหรับเหล่าผู้แข็งแกร่งที่ไม่มียันต์กระดูกวิญญาณ ก็ไม่สามารถกลับมาได้อีก

แท่นบูชาวิญญาณเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา และนี่ก็หมายความว่าการปะทะอันนองเลือดระหว่างการช่วงชิงวาสนาในครั้งนี้ดุเดือดอย่างยิ่ง

สีหน้าผู้ยิ่งใหญ่มากมายต่างอึมครึมลง เขียวคล้ำน่าเกลียด ในอกมีเลือดไหลออกมา เผ่าของพวกเขาสูญเสียอย่างรุนแรง ส่งผลกระทบต่อพวกเขามากเกินไป

แต่ก็มีผู้ยิ่งใหญ่บางคนที่ยิ้มหน้าบานลำพองใจ อย่างเช่นเผ่าวัวมารทรงพลัง เผ่าหงส์หิรัณย์ เผ่าโห่วเมฆา เผ่าเต่าทมิฬเป็นต้น ผู้แข็งแกร่งในเผ่าของพวกเขาล้วนขึ้นไปบนยอดเขาแล้ว และกำลังช่วงชิงวาสนา จะไม่ให้พวกเขาดีใจได้อย่างไร

ดั่งคำกล่าวที่ว่าจันทร์เสี้ยวสาดส่องเก้าทวีป กี่ผู้เริงรื่น กี่ผู้ขื่นขม สถานการณ์ในตอนนี้ก็เป็นการยืนยันประโยคนี้

ผู้เฒ่าเกาหยางเองก็ในใจก็ยินดีอย่างยิ่ง ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณของพวกเขาก็ขึ้นไปบนภูเขาลูกหนึ่งในเก้าลูกนั้นแล้ว

“หึ!”

ท่านย่าเทพสังหารเผ่าวาฬมังกรที่อยู่ไกลออกไปแค่นเสียงอย่างเย็นเยียบ หน้าเขียวกล่าว “ดูเหมือนว่าสหายยุทธ์จะมีความสุขมากนะ”

ผู้เฒ่าเกาหยางปวดหัวขึ้นมาทันที เพราะเรื่องที่หลินสวินสังหารกลุ่มผู้แข็งแกร่งเผ่าวาฬมังกร ทำให้ท่านย่าเทพสังหารเดือดดาลอย่างมาก แม้แต่คำพูดยังเสียดหูไม่น่าฟัง

เพียงแต่ไม่รอให้ผู้เฒ่าเกาหยางอ้าปากพูด ข้างๆ ก็มีคนพูดอย่างเย็นเยียบ “สหายยุทธ์ ไม่ว่าเจ้าจะดีใจหรือไม่ ข่าวทั้งหมดก็ได้ยืนยันว่าเด็กหนุ่มที่สังหารอย่างบ้าคลั่งคนนั้น ขึ้นไปบนภูเขาเทพพร้อมกับผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณของพวกเจ้า เท่านี้ก็เพียงพอที่จะยืนยันว่า เด็กหนุ่มคนนั้นมาจากแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณของพวกเจ้า!”

ผู้พูดคือคนใหญ่คนโตเผ่าสิงห์โลหิต ผู้แข็งแกร่งเผ่าพวกเขาก็พินาศโดยสิ้นเชิงเช่นกัน และแทบจะสิ้นชีพภายใต้เงื้อมมือหลินสวินทั้งหมด

เพราะฉะนั้นยามนี้คำพูดคำจาของเขาจึงไม่เกรงใจเลยสักนิด

“ชีวิตต้องแลกด้วยชีวิต เรื่องทุกอย่างต้องมีคำอธิบาย”

“ใช่ เด็กหนุ่มคนนั้นกําเริบเสิบสาน โหดเหี้ยมอย่างที่สุด ก่อกวนจนฟ้าพิโรธคนชิงชัง หากไม่ฆ่าเขาให้ตาย พวกข้าจะไม่หยุดเด็ดขาด”

ทันใดนั้นเหล่าคนใหญ่คนโตเผ่าคชามาร เผ่ากาฬพฤกษ์ เผ่ากวางหยกเป็นต้นต่างส่งเสียง ท่าทางคาดคั้นเอาความ เสียดสีผู้เฒ่าเกาหยาง

พวกเขาโกรธจนหัวเสียแล้วจริงๆ แค่เด็กหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น กลับฆ่าผู้แข็งแกร่งของเผ่าต่างๆ จนพ่ายแพ้อย่างราบคาบ จะให้พวกเขารับได้อย่างไร

ผู้เฒ่าเกาหยางรู้สึกกดดันยิ่งขึ้นไปอีก ไม่รู้จะจัดการอย่างไร

และในขณะนั้นเอง ข่าวหนึ่งได้ถูกถ่ายทอดมา…

“เด็กหนุ่มเทพมารคนนั้นฆ่าฟันกับผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณแล้ว!”

โครม!

หินก้อนเดียวปลุกคลื่นเป็นพันระลอก พื้นที่บริเวณนี้สั่นไหวขึ้นมาทันที ต่างส่งเสียงฮือฮา แทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง เด็กหนุ่มเทพมารคนนั้นมาจากแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณไม่ใช่หรือ พวกเขาฆ่าฟันกันเองได้อย่างไร

เหล่าคนใหญ่คนโตอย่างท่านย่าเทพสังหารที่คาดคั้นในตอนแรก ยามนี้ต่างตะลึงและสับสน นี่มันเรื่องอะไรกัน

ส่วนผู้เฒ่าเกาหยางหน้ากลับหน้าเคร่งทันที ฆ่าฟันกันเองหรือ ไม่น่าจะใช่กระมัง!

ไม่นาน รายละเอียดของข่าวในแดนลับอสูรมารอริยะก็ทยอยส่งมา

“ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณโจมตีปิดล้อมเด็กหนุ่มเทพมารคนนั้นเอาไว้ ต้องการจะขวางไม่ให้เขาช่วงชิงวาสนา ใครจะคิดว่าพวกเขากลับพ่ายแพ้ให้แก่เด็กหนุ่มเทพมารคนนั้น!”

“น่ากลัวเกินไปแล้ว เด็กหนุ่มเทพมารคนนั้นสู้โดยลำพังกับศัตรูสามคน บาดเจ็บสาหัสสองคน ยิ่งไปกว่านั้นคือตายคาที่ไปหนึ่งคน!”

เมื่อรู้ข่าวเหล่านี้ทั่วบริเวณต่างฮือฮากันอย่างต่อเนื่อง ทุกคนต่างเดือดพล่าน บนใบหน้าคนใหญ่คนโตแต่ละเผ่าเจือความย่ามใจไม่มากก็น้อยอย่างควบคุมไม่อยู่

เด็กหนุ่มคนนั้นดุดันจนถึงขั้นไม่กลัวอะไรแล้วจริงๆ แม้แต่ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณของพวกเขายังกล้าฆ่า ช่างกล้าจริงๆ!

โดยเฉพาะคนใหญ่คนโตอย่างพวกท่านย่าเทพสังหาร สีหน้าต่างดูแปลกประหลาดอย่างที่สุด ก่อนหน้านี้พวกเขายังคาดคั้นเอาความจากผู้เฒ่าเกาหยางอยู่เลย ใครจะคิดว่าเพียงพริบตา เด็กหนุ่มดุดันคนนั้นกลับฆ่าผู้สืบทอดของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณซะเอง!

“เหอะๆ สหายยุทธ์ ดูเหมือนว่าแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณของพวกเจ้าจะให้กำเนิดบุคคลที่สุดยอดคนหนึ่งนะ วิธีระดับนี้ช่างเหี้ยมโหดจริงๆ”

“สหายยุทธ์ ตอนนี้เจ้ามีอะไรจะพูดหรือไม่ ข้าว่าลูกศิษย์เนรคุณแบบนี้กำจัดไปเสียเถอะ มิเช่นนั้นสักวันจะต้องเป็นภัยต่อแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณของพวกเจ้าแน่”

“เฮ้อ คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าเด็กหนุ่มคนนั้นจะเลือดเย็นเพียงนี้ แม้แต่เพื่อนร่วมสำนักของตนยังกล้าฆ่า…หืม สหายยุทธ์ เหตุใดสีหน้าของเจ้าจึงดูแย่ถึงเพียงนี้”

คนใหญ่คนโตเหล่านั้นส่งเสียงกันอย่างคลุมเครือและแปลกประหลาด คำพูดเต็มไปด้วยความเสียดสีและเย้ยหยัน

ส่วนผู้เฒ่าเกาหยางตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ไปตั้งนานแล้ว เดือดดาลสุดกำลัง สีหน้าเขียวคล้ำ เส้นเลือดแต่ละเส้นบนหน้าผากโป่งพอง ในใจโกรธเกรี้ยวอย่างบอกไม่ถูก

เด็กหนุ่มคนนั้น… กล้าเนรคุณถึงเพียงนี้!

สมควรตายนัก!

เดิมทีหลังจากได้ยิน ‘การกระทำอันรุ่งโรจน์’ ทั้งหมดที่หลินสวินทำในแดนลับอสูรมารอริยะแล้ว ในใจผู้เฒ่าเกาหยางเกิดความรู้สึกเสียดายผู้มีพรสวรรค์ คิดว่าหลังจากปฏิบัติการครั้งนี้จบลง จะยอมจ่ายค่าตอบแทนบางส่วนเพื่อรักษาชีวิตของ ‘เด็กหนุ่ม’ คนนั้นเอาไว้ หากสามารถรับตัวเขาไว้ในแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณได้ก็ยิ่งดี

เพียงแต่ยามนี้เขาคร้านจะสนใจแล้วว่าเด็กหนุ่มดุดันคนนั้นเป็นใคร และไม่สนว่าเพราะสาเหตุอะไรกันแน่ ถึงทำให้เกิดเหตุการณ์ ‘ฆ่ากันเอง’ นี้ขึ้น

เขารู้เพียงว่า ในเมื่ออีกฝ่ายฆ่าผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณของพวกเขา ก็จะให้อภัยไม่ได้เด็ดขาด!

อย่างไรก็ตามสำหรับผู้เฒ่าเกาหยาง หลินสวินในตอนนี้ถูกตัดสินโทษตายไปแล้ว!

…………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด