Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 663 คลื่นใต้น้ำซัดสาด วิกฤติปรากฏ

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 663 คลื่นใต้น้ำซัดสาด วิกฤติปรากฏ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ทันใดนั้นจ้าวไท่ไหลพลันอยากตะบันหน้ายิ้มแย้มนั่นของหลินสวินสักหมัด

รอยยิ้มนี้ช่างน่ารังเกียจเกินไปแล้ว ท่าทางเหมือนจับตนเองไว้อยู่หมัด ทำให้จ้าวไท่ไหลแม้คิดปฏิเสธก็ยังหาข้ออ้างใดไม่พบ

ช่วยไม่ได้ เจ้าเด็กนี่นำคำพูดของจักรพรรดิออกมา เขากล้าไม่แยแสได้ไหมเล่า

“เรื่องนี้…”

จ้าวไท่ไหลไม่สมัครใจนัก เจตนาจะยืดเวลาออกไปอีกหน่อย

กลับเห็นหลินสวินแย้มยิ้มทั่วใบหน้ากล่าว “ทำไม คำของจักรพรรดิองค์ปัจจุบันมีตรงไหนที่ยากไปสำหรับผู้อาวุโสหรือ”

“เจ้าหนูอย่างเจ้านี่ช่างรู้จักทำให้คนรังเกียจจริงๆ!”

จ้าวไท่ไหลแค้นจนขบฟันกรอด ท้ายที่สุดเขาสูดหายใจลึก ลุกขึ้นอย่างทอดถอนใจ หว่างคิ้วเจือความอหังการหยิ่งผยองวูบหนึ่งแล้วกล่าว “ไป ไปดูพร้อมข้า ข้าอยากรู้ว่าเป็นบุตรของท่านอ๋องแห่งราชวงศ์คนไหนกันแน่ ถึงกล้าแส่หาเรื่องข้าเวลานี้!”

เห็นชัดว่าเขาทำอะไรหลินสวินไม่ได้ จึงคิดนำความคับแค้นและเพลิงโทสะทั่วท้องระบายลงหัวคนอื่น

“ผู้อาวุโสท่านอาจหาญยิ่งนัก! สมกับเป็นต้นแบบของพวกเรา อาศัยพลานุภาพดุดันเสียดฟ้าเช่นนี้ ผู้น้อยสู้ไม่ได้จริงๆ!”

หลินสวินเลียแข้งเลียขาหน้าระรื่น

“ไสหัวไป! ไอ้เด็กนี่ทุเรศให้มันน้อยๆ หน่อย”

จ้าวไท่ไหลด่าว่าพลางหัวเราะ ท่าทีเช่นนี้ของหลินสวินอันที่จริงทำให้ในใจเขาชื่นชอบพอควร

เขารู้ดีว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าคนนี้ต่อหน้าคนนอกป่าเถื่อนและแข็งกร้าวเพียงใด สามารถทำให้อีกฝ่ายปฏิบัติต่อตนเช่นนี้ได้ ไม่ง่ายเลยทีเดียว

จากนั้นหลินสวินและจ้าวไท่ไหล รวมทั้งหลินไหวหย่วนก็จากภูเขาชำระจิตไปพร้อมกัน

หลินไหวหย่วนเป็นขิงแก่มากประสบการณ์ มองออกนานแล้วว่าฐานะของจ้าวไท่ไหลไม่ธรรมดายิ่ง ระหว่างทางจึงคว้าโอกาสกล่าวถาม “ผู้นำตระกูล ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสท่านนี้คือ?”

“จิ้งจอกเฒ่าที่ทำงานให้คนใหญ่คนโตของราชวังตัวหนึ่ง เป็นพวกเหี้ยมโหดกินคนไม่คายกระดูก ท่านน่ะระวังไว้หน่อย” หลินสวินกล่าวง่ายๆ

“หา?” หลินไหวหย่วนมึนงง

“เจ้าเด็กนี่พูดจาส่งเดช ข้าน่ะคือคนอาภัพที่ต้องคอยทำงานเบ็ดเตล็ด กินคนไม่คายกระดูกเสียที่ไหน” จ้าวไท่ไหลกลอกตาใส่

หลินไหวหย่วนพลันก้าวไปข้างหน้ากล่าวว่า “ผู้อาวุโส ครั้งนี้ขอบคุณท่านมากที่ยื่นมือช่วยเหลือ แต่ก่อนหน้านั้นข้าคงต้องบอกท่านเกี่ยวกับเรื่องของภรรยาฉินจื่่อหมิงนั่น…”

“ไยต้องสนว่านางเป็นใคร สำคัญด้วยรึ ไม่ต้องพูดแล้ว” จ้าวไท่ไหลอหังการยิ่งนัก มือใหญ่โบกปัด ปฏิเสธความหวังดีของหลินไหวหย่วน

“ผู้อาวุโสท่านนี้อาจหาญยิ่งดังคาด!” หลินไหวหย่วนชื่นชม

เขาอายุปูนนี้แล้ว เวลานี้กลับใช้ท่าทางของผู้น้อยประจบสอพลอ ดูจริงใจและจริงจังยิ่งนัก เสมือนกลั่นมาจากใจ ดูไม่ออกว่าเป็นการเสแสร้งทำพอเป็นพิธีสักนิด

หลินสวินที่อยู่ข้างๆ เห็นแล้วมุมปากกระตุก

จริงดังว่า พวกคนแก่ไม่มีสักคนที่ธรรมดา รู้ว่าเวลาไหนควรปั้นหน้า เวลาไหนควรอ่อนน้อมถ่อมตน

เขารู้ว่าหลินไหวหย่วนกำลังช่วยเขา แต่เขาไม่หวังให้หลินไหวหย่วนถูกจ้าวไท่ไหลดูแคลนด้วยเหตุนี้

ไม่ว่าอย่างไร ท้ายที่สุดหลินไหวหย่วนก็คือคนตระกูลหลินของเขา!

“ท่านลุง ท่านพูดมาก็ไม่เห็นเป็นไร” หลินสวินพูดลอยๆ

คำเรียกขานว่า ‘ท่านลุง’ คำเดียว ทำให้จ้าวไท่ไหลใคร่ครวญไปชั่วขณะ เข้าใจทันทีว่าหลินสวินไม่พอใจกับท่าทีของตนที่ปฏิบัติต่อหลินไหวหย่วนอยู่บ้าง

เขายิ้มน้อยๆ กล่าว “ก็ดี รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง เช่นนั้นต้องลำบากสหายยุทธ์ท่านนี้แล้ว”

หลินไหวหย่วนเองเข้าใจความตั้งใจของหลินสวิน ‘การปกป้อง’ อย่างไม่ทิ้งร่องรอยเช่นนี้ เวลานี้กลับดุจกระแสความอบอุ่น สะกิดใจหลินไหวหย่วนอย่างหนักหน่วง เบ้าตาต่างแดงระเรื่อเล็กน้อย ก่อนเริ่มคัดจมูก

หลังจากเมื่อวานที่หลินสวินกลับมา ก็ประหนึ่งเทพมารกวาดล้างสรรพสิ่ง ทำให้หลินไหวหย่วนยังหวาดกลัวหาใดเปรียบ ว้าวุ่นใจอย่างยิ่ง เคารพยำเกรงหลินสวินยิ่งกว่าเดิม

ทว่าท้ายที่สุดนั่นก็คือความยำเกรง ถูกวิธีและพลังของหลินสวินทำเอาหวั่นตระหนก

บัดนี้การกระทำโดยไม่ตั้งใจหนึ่งของหลินสวิน กลับทำให้เขาพลันตระหนักได้ว่า หลานชายคนนี้ของตนหาใช่พวกเลือดเย็นอำมหิตเยี่ยงนั้นไม่ อย่างน้อยที่สุดต่อหน้าคนนอก เขายังคงรู้จักปกป้องศักดิ์ศรีผู้อาวุโสอย่างตนคนนี้ นี่…

ช่างหาได้ยากเกินไปแล้ว!

หลินสวินไม่คาดคิดสักนิดว่าการกระทำเล็กๆ นี้ของเขากลับทำให้ใจหลินไหวหย่วนเลื่อมใสโดยสมบูรณ์ถึงเพียงนี้

ยอมสวามิภักดิ์กับเลื่อมใส นี่เป็นสองสิ่งที่แตกต่างกัน

หอสมบัติตะวันมงคล

ร้านที่มีชื่อเสียงประวัติศาสตร์ยาวนานยิ่งแห่งหนึ่งในนครต้องห้าม มาตรฐานหรูหราคุณภาพดี ได้รับความชื่นชอบจากผู้ฝึกปราณตระกูลสูงและเชื้อพระวงศ์ที่มีฐานะส่วนหนึ่งเป็นอันมาก

เดิมทีร้านค้าแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของกิจการตระกูลหลิน แต่หลังเกิดเหตุการณ์นองเลือดของตระกูลหลินเมื่อสิบกว่าปีก่อน ก็ถูกตระกูลฉินยึดครองและควบคุมดูแล

ปัจจุบันผู้ที่รับช่วงต่อหอสมบัติตะวันมงคลคือคนตระกูลฉินสายตรงผู้หนึ่งนามว่าฉินจื่่อหมิง เขายังมีอีกฐานะหนึ่ง นั่นก็คือบุตรเขยของจวนอวิ๋นยงอ๋อง

กล่าวได้ว่าอาศัยเพียงยศศักดิ์ ‘ตระกูลฉินสายตรง’ ก็เพียงพอให้ฉินจื่อหมิงอยู่ในนครต้องห้ามอย่างสบายแล้ว

เมื่อยิ่งเสริมฐานะ ‘บุตรเขย’ จวนอวิ๋นยงอ๋องเข้าไป ยิ่งทำให้เขาประดุจปลาได้น้ำในหมู่เชื้อพระวงศ์ชั้นสูงแห่งนครต้องห้ามยิ่งกว่าเดิม

หอสมบัติตะวันมงคลวันนี้ต่างจากอดีตที่ผ่าน เห็นได้ว่าเงียบเหงาหาใดเปรียบ

กระทั่งท้องถนนซึ่งหอสมบัติตะวันมงคลตั้งอยู่ล้วนโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงา แทบไม่เห็นเงาร่างคนสัญจร

ฉินจื่อหมิงนั่งในโถงใหญ่หอสมบัติตะวันมงคล สีหน้าอึมครึม หัวคิ้วขมวดเป็นปม

ภรรยาของเขาจ้าวอวิ๋นจือกลับนิ่งสงบและมีอิริยาบถงามสง่ายิ่ง นางสวมชุดฝ่ายในลายเมฆาของราชวงศ์ ผมยาวเกล้าสูง หว่างคิ้วเจือความหยิ่งทะนงที่ติดตัวมาแต่กำเนิด

ข้ารับใช้ของตระกูลฉินจำนวนหนึ่งเฝ้าคุ้มกันจากทั่วทิศ แต่ละคนประจำการพร้อมรับมือ คมศาสตราแม้ไม่เผยออกจากฝัก ไอสังหารบนร่างกลับแผ่อบอวลออกมา ทำให้บรรยากาศเคร่งเครียดกดดัน

“ตระกูลหลินนี่คิดจะพลิกฟ้าจริงๆ รึ”

ฉินจื่อหมิงไม่เข้าใจยิ่งนัก ต่อให้เขาผ่าสมองออกมาก็คิดไม่ออก อาศัยเพียงหลินสวินคนเดียว ตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตนั่นกล้าท้าทายพวกเขาตระกูลฉินและตระกูลจั่ว นี่มันไม่รู้จักกลัวตายเกินไปแล้ว

ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงเปรียบดั่งภูผาสูงตระหง่านแห่งจักรวรรดิ ใช่สิ่งที่ใครสามารถสั่นคลอนได้เสียที่ไหน

จากมุมมองฉินจื่อหมิง การกระทำนี้ของตระกูลหลินไม่ต่างอะไรกับมดเขย่าไม้ใหญ่

แต่เหตุการณ์บ้าระห่ำและน่าขันเยี่ยงนี้ วันนี้ดันเกิดขึ้นจริงอย่างคาดไม่ถึงซะอย่างนั้น

กระทั่งถึงตอนนี้ ตามข่าวสารที่ฉินจื่อหมิงได้รับ กิจการสิบสามแห่งในนครต้องห้ามซึ่งถูกพวกเขาตระกูลฉินและจั่วยึดครอง ต่างล้วนพบเจอการแย่งชิงนองเลือดของตระกูลหลิน อีกทั้งพวกเขายังทำสำเร็จอีกด้วย!

นี่หาใช่ตระกูลจั่วและฉินไร้น้ำยาเกินไป แต่เป็นเพราะพวกเขายังไม่ได้เคลื่อนกำลังที่แท้จริง ถึงได้ทำให้ตระกูลหลินดำเนินการสำเร็จ

“ไม่รู้ว่าในตระกูลกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ ทำไมถึงป่านนี้ยังไม่เห็นตอบสนองสักนิด หรือพวกเขาจะเบิกตามองเจ้าเห็บหมัดตระกูลหลินนี่กระโดดโลดเต้นเหยียบจมูกขึ้นหน้าจริงๆ”

ความไม่พอใจในใจฉินจื่อหมิงก่อตัวรุนแรง เรื่องวันนี้ถูกขุมอำนาจนับไม่ถ้วนในเมืองให้ความสนใจ หากพวกเขาตระกูลฉินยังไม่ทำอะไรเสียบ้าง นั่นก็คงอับอายขายขี้หน้าทั้งตระกูล

“จื่อหมิง ไม่ต้องกังวลมากนัก มีข้าอยู่ ต่อให้พวกเขาตระกูลหลินโหดร้ายป่าเถื่อนยิ่งกว่านี้ มอบความกล้าแก่พวกเขาอีกเป็นร้อย ก็ไม่กล้าเหยียบย่างเข้าหอสมบัติตะวันมงคลของเราแม้เพียงก้าวเป็นอันขาด!”

จ้าวอวิ๋นจือซึ่งอยู่ด้านข้างสีหน้าสง่างาม น้ำเสียงเคลือบความหยิ่งทะนง ชั่วดีอย่างไรนางก็เป็นเชื้อพระวงศ์แห่งจักรวรรดิ อาศัยแค่ฐานะนี้ ในนครต้องห้ามก็แทบไม่มีใครกล้าแตะต้องนางแม้แต่ปลายเล็บ

ขณะพูดสายตานางเหลือบมองนอกโถงใหญ่อย่างปรามาสวูบหนึ่ง

ด้านนอกโถงใหญ่คือถนนหลักกว้างขวางอันโดดเดี่ยวเงียบเหงา เวลานี้มีเพียงหลินจง จูเหล่าซานและเสี่ยวเคอยืนอยู่ตรงนั้น

เหลือแค่ชิงหอสมบัติตะวันมงคล กิจการทั้งหมดซึ่งเดิมถูกรุกล้ำยึดครองของพวกเขาตระกูลหลิน ก็เท่ากับได้รับการกู้คืนโดยสมบูรณ์แล้ว

แต่ที่จนปัญญาคือหอสมบัติตะวันมงคลเป็นกระดูกซึ่งยากจะกัด พวกหลินจงหาได้หวาดกลัวฉินจื่อหมิง แต่กลับไม่อาจไม่หวั่นเกรงจ้าวอวิ๋นจือผู้มีชาติกำเนิดจากราชวงศ์คนนั้น

ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ลงมือโดยตรงอย่างก่อนหน้า แต่กำลังเฝ้ารอ รอคอยหลินสวินตัดสินใจเรื่องนี้อย่างชัดเจน

“ตอนนี้พวกเขาไม่กล้าผลีผลามลงมือ แต่ไม่ได้หมายความว่าอีกเดี๋ยวจะไม่กล้า”

ฉินจื่อหมิงขมวดคิ้ว เขาไม่อาจผ่อนคลายแม้แต่น้อย กล่าวว่า “อย่าลืมสิ หลินสวินนั่นในงานเลี้ยงครบรอบสามร้อยปีองค์จักรพรรดินี ก็กล้าบีบบังคับหลิงเทียนโหวให้คุกเข่าต่อหน้าธารกำนัล ยามอยู่ในสำนักศึกษามฤคมรกต ยิ่งกล้าตบหน้าองค์หญิงหลิงหวงอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย เจ้าคิดว่า… คนอย่างเขาจะหวาดกลัวฐานะ ‘ราชวงศ์แห่งจักรวรรดิ’ คนหนึ่งเชียวรึ”

จ้าวอวิ๋นจือไม่พอใจอยู่บ้าง สีหน้าเปลี่ยนเป็นไม่น่าดู “แม้กล่าวเช่นนั้น แต่อย่าลืมว่าตอนนี้เขาฉีกหน้าตระกูลฉิน ตระกูลจั่วถึงที่สุด ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เขายังจะกล้าล่วงเกินราชวงศ์ต่อไปอีกหรือ”

ฉินจื่อหมิงคิดไปคิดมาก็กล่าวอย่างปวดหัว “บางทีเจ้าเด็กนี่อาจมีปัญหามากมายจนไม่ใส่ใจแล้วก็เป็นได้ มีแค่ผีเท่านั้นจึงจะรู้ว่าเขาคิดอย่างไรกันแน่ จนถึงตอนนี้ข้าไม่เข้าใจยิ่งนัก เขาเอาความกล้าโหญ่โตเช่นนี้มาจากไหน ถึงได้กล้าเป็นศัตรูกับพวกเราตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง”

จ้าวอวิ๋นจือแสยะยิ้ม “บางทีไม่แน่ว่าเขาอาจหาเรื่องใส่หัวตนเองอยู่ จื่อหมิง เจ้าอย่าได้กังวลไปเลย เมื่อครู่ข้าได้สั่งคนไปเชิญท่านพ่อข้ามาแล้ว เชื่อว่าใช้เวลาไม่นาน ผู้อาวุโสเช่นเขาก็จะมาบัญชาการด้วยตนเอง!”

“อะไรนะ ท่านพ่อตาก็จะมา?”

ฉินจื่อหมิงลิงโลดดีใจทันใด สีหน้าผ่อนคลายลง นั่นเป็นถึง ‘อวิ๋นยงอ๋อง’ แห่งจักรวรรดิ! ชนชั้นสูงผู้หนึ่ง มีเขานั่งบัญชาการ หอสมบัติตะวันมงคลก็ไร้กังวลแล้ว!

จ้าวอวิ๋นจือกล่าวกระหยิ่มยิ้มย่อง “ไม่ผิด ถึงเวลานั้นต่อให้หลินสวินนั่นมาเอง เขาก็ต้องม้วนหางเผ่นแน่บจากไป!”

เวลานี้คนคุ้มกันผู้หนึ่งรีบเร่งมารายงาน “ใต้เท้า ผู้อาวุโสตระกูลเราออกคำสั่งลงมาให้ท่านยืนหยัดต่อไป ใช้เวลาอีกไม่นาน กำลังพลชั้นยอดของพวกเราตระกูลฉินและจั่วก็จะมาช่วยเสริมแล้ว!”

ฉินจื่อหมิงพลันรีบผุดลุกขึ้น ตื่นเต้นจนวงหน้าแดงระเรื่อ “ดีเหลือเกิน! พวกเราสองตระกูลฉินจั่วในที่สุดก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว คราวนี้พวกมันตระกูลหลินต้องจ่ายค่าตอบแทนสาหัสสากรรจ์!”

อวิ๋นยงอ๋องกำลังจะมาบัญชาการ อีกทั้งสองตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงฉินและจั่วก็ส่งยอดฝีมือมาช่วยเสริม นี่สำหรับฉินจื่อหมิงเป็นเรื่องน่ายินดีที่ฟ้าประทานมาชัดๆ

ความกังวลและความว้าวุ่นทั้งมวลในใจเขาพลันหายไป คิ้วตาท่าทางมีราศีจับไปทั้งตัว ถึงขั้นกระเหี้ยนกระหือรืออยู่บ้าง แทบอยากฆ่าพวกหลินจงที่ปิดทางอยู่นอกประตูสักรอบ!

“คิกๆ ในที่สุดก็กรรมตามสนองแล้ว เจ้าเด็กนั่นตั้งแต่เมื่อคืนก็ก่อเรื่องจนนครต้องห้ามอึกทึกครึกโครมไม่อาจสงบ ช่างเป็นดาวมารอุบัติบนโลกชัดๆ ต้องฉวยโอกาสนี้โจมตีเขาอย่างยากลืมเลือนชั่วชีวิต!”

จ้าวอวิ๋นจือน้ำเสียงเย็นเยียบ หว่างคิ้วเต็มไปด้วยความยโสโอหังอวดดี

แม้แต่ข้ารับใช้ทั้งหมดในโถงใหญ่ แต่ละคนต่างราวยกภูเขาออกจากอก ท่าทางฮึกเหิมยินดี

สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว!

ในที่สุดตระกูลจั่วและฉินก็แยกเขี้ยวเคลื่อนพล ต้องเป็นอานุภาพดุจอสนีบาตหมื่นสาย มอบการโจมตีอันคาดไม่ถึงแก่ตระกูลหลินเป็นแน่

มีเพียงเช่นนี้จึงจะสามารถชะล้างความอัปยศ พิทักษ์ความน่าเกรงขามอันเป็นของตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงได้!

………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด