Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 672 โอบดารานิทราบุหลัน

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 672 โอบดารานิทราบุหลัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

อำนาจทั่วนครหลวงหรือ

อวดอ้างยิ่งนัก!

เมื่อได้ยินความเห็นเช่นนี้ นครต้องห้ามก็เกิดเสียงอึกทึกครึกโครมขึ้นอีก ผู้ฝึกปราณบางคนดูแคลนการแสดงออกเช่นนี้ คิดว่าพูดจาเกินจริง หลินสวินเด็กหนุ่มน้อยๆ คนหนึ่ง จะคู่ควรกับคำสรรเสริญใหญ่โตเช่นนี้ได้อย่างไรกัน

แต่การดูแคลนเช่นนี้กลับถูกผู้อื่นเย้ยหยัน คิดว่าพวกเขาอิจฉาริษยา เป็นพวกองุ่นเปรี้ยว

ผู้ฝึกปราณส่วนมากก็ยังยอมรับความเห็นเช่นนี้

ตั้งแต่หลินสวินเข้ามายังนครต้องห้าม กระทั่งตอนนี้ก็แค่สามปีเท่านั้น แต่กลับสร้างปาฏิหาริย์ไม่รู้ตั้งเท่าไร ประสบความสำเร็จดึงดูดสายตาไม่รู้กี่ครั้ง

เด็กหนุ่มปฐมาจารย์สลักวิญญาณ

อาจารย์สำนักศึกษามฤคมรกต

เจ้าแห่งภูเขาชำระจิต

…เหนือหัวของเขาปกคลุมไปด้วยรัศมีมากมาย กระทั่งตอนนี้ เขาใช้ทวนเล่มเดียวมอบความตายให้กับมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติหกคน ทำให้ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงจั่วและฉินสองตระกูลปราชัยกลับไป ผู้กล้ารุ่นเยาว์เช่นนี้ จะไม่คู่ควรกับคำสรรเสริญเช่นนี้หรือ

คุณชายไร้เทียมทาน อำนาจทั่วนครหลวง!

หลินสวิน… คู่ควร!

เมื่อมีคนยินดีก็ต้องมีคนเศร้าใจ ณ ตระกูลจั่วและฉินกลับเงียบเหงาอึมครึม ตามข่าวซุบซิบ เมื่อฉินชางเจี่ยกลับถึงตระกูล ก็ทำลายถ้วยชาล้ำค่าไปไม่รู้เท่าไร ทำให้ทั้งตระกูลฉินล้วนเงียบเชียบราวจิ้งหรีดเหมันต์

และก็มีข่าวซุบซิบว่า ยามผู้อาวุโสท่านหนึ่งของตระกูลจั่วปิดด่านเก็บตัว เกือบโมโหจนธาตุไฟเข้าแทรก ทำให้เบื้องบนตระกูลจั่วตกใจกระเจิดกระเจิงไปหมด

แต่ไม่ว่าอย่างไร ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากความวุ่นวายครั้งนี้ ก็เริ่มพัฒนาและปรากฏอานุภาพ กำลังกระจายจากนครต้องห้ามไปยังทั้งจักรวรรดิและทั่วใต้หล้าแล้ว!

……

และขณะเดียวกันกับที่คลื่นมหึมาเดือดพล่านครึกโครมนี้กำลังดำเนินไป พวกหลินสวิน หลินจงกลับถูกจ้าวไท่ไหลพามายังสถานที่เงียบเชียบห่างไกลถึงที่สุดแห่งหนึ่ง

ที่แห่งนี้มีนามว่า เรือนโอบดารานิทราบุหลัน

ชื่ออันเต็มไปด้วยกลิ่นอายเหนือธรรมดาไม่ยึดติดกับโลกนี้เป็นชื่อของ…ร้านอาหาร

โอบดารา นิทราบุหลัน เกรงว่านี่จะมีเพียงเซียนถึงสามารถเป็นอิสระและไม่ยึดติดเช่นนี้ได้ แต่ที่นี่กลับเป็นร้านอาหารร้านหนึ่ง

เถ้าแก่ร้านอาหารเป็นผู้อาวุโสตัวเล็กที่เส้นผมบางตา ร่างผอมกะหร่อง ทั้งยังขี้โมโห ไม่เกี่ยวข้องกับเซียนเลยแม้แต่น้อย

เขาถูกจ้าวไท่ไหลเรียกว่า ‘เฒ่าโดดเดี่ยว’

พูดง่ายๆ ก็คือ เป็นตาเฒ่าที่โดดเดี่ยวไม่สุงสิงกับใครผู้หนึ่ง

เมื่อเห็นพวกจ้าวไท่ไหล เฒ่าโดดเดี่ยวก็กลอกตา แสดงสีหน้าชิงชัง ตะคอกด่าา “คนติดหนี้มากินข้าวโดยไม่เสียเงินอีกแล้วหรือ”

จ้าวไท่ไหลหัวเราะคิกคัก ตบหน้าอกอย่างลำพองแล้วเอ่ยว่า “ครั้งนี้มีคนจ่าย ยกอาหารที่เจ้าถนัดที่สุดมาให้พวกเราโต๊ะหนึ่ง”

เฒ่าโดดเดี่ยวร้องหึหยันแล้วมุดเข้าไปในครัว ทำกับข้าวเสียงดังเคร้งๆ

‘เจ้าหนูเจ้าจำเขาไว้นะ’

จ้าวไท่ไหลยิ้มอย่างมีเลศนัย สื่อจิตบอกหลินสวิน ‘นี่เป็นถึงสัตว์ประหลาดเฒ่าเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ละทิ้งมหามรรค มาฝึกตนเองตามลำพังที่ข้าแนะนำเชียวนะ อย่ามองว่าเขาไม่มีพลังปราณเลยสักนิด ในโลกชั้นล่างนี้ไม่มีใครฆ่าเขาได้’

หลินสวินตระหนก เดิมทีเขาไม่สนใจเฒ่าโดดเดี่ยวนัก แต่คำพูดนี้ของจ้าวไท่ไหล กลับทำให้เขารับรู้ได้ว่านี่เป็นคนยอดเยี่ยมผู้หนึ่ง

ละทิ้งมหามรรค ฝึกตนเองตามลำพัง!

เพียงจุดนี้ก็ทำให้หลินสวินตื่นตะลึงได้แล้ว

เขาอดใจถามไม่ได้ว่า ‘อริยะก็ไม่ได้หรือ’

จ้าวไท่ไหลส่ายหัว ‘ไม่แน่ใจ แต่ที่ข้าบอกเจ้าได้ก็คือ ตาแก่นี่เคยเผลอพูดว่า อริยมรรคที่พูดถึงในโลกปัจจุบัน ยังไม่เท่าวิชา ‘ฝึกตนเอง’ ของเขา แน่ล่ะ เขาอาจจะโม้ก็ได้’

หลินสวินอึ้งไป

ไม่นานนักสำรับอาหารก็ถูกยกขึ้นมาเต็มโต๊ะ หน้าตาพูดไม่ได้ว่าดี แต่ก็ไม่ถึงกับแย่ ทว่ากลับล้วนเป็นอาหารที่หลินสวินไม่เคยเห็นมาก่อน

ก็เห็นว่าจ้าวไท่ไหลสองตาเปล่งประกาย พอได้จับตะเกียบก็กินอย่างตะกละตะกลาม กินไปเอ่ยไปอย่างตื่นเต้นว่า “เร็วเข้าๆๆ รีบกินสิ ทั้งชีวิตข้าเพิ่งได้กินสำรับที่ตาแก่นี่เป็นคนปรุงเป็นครั้งที่สาม”

เมื่อเห็นว่าเขาพูดอย่างอวดอ้างและจริงจังเช่นนี้ ทันใดนั้นพวกหลินสวิน หลินจง เสี่ยวเคอ จูเหล่าซาน หลิวไหวหย่วนก็ลงมืออย่างไม่ลังเล

เพียงคำเดียวก็ทำให้หลินสวินดวงตาแข็งทื่อ จิตใจสั่นระรัว ปลายลิ้นเหมือนปลดปล่อยต่อมรับรสทั้งหมด รสชาติเลอเลิศบอกไม่ถูกปะทุไปทั่วร่าง

อร่อยยิ่งนัก!

เดิมทีหลินสวินคิดจะถามว่าสำรับบนโต๊ะนี้มีชื่อว่าอะไร อีกทั้งใช้เครื่องปรุงและวัตถุดิบอะไรกันแน่

แต่ตอนนี้เขากลับไม่อาจสนใจสิ่งเหล่านี้ได้ ก้มหน้าก้มตากินอย่างบ้าคลั่งเหมือนจ้าวไท่ไหล

หลินจง เสี่ยวเคอ จูเหล่าซาน และหลินไหวหย่วนที่อยู่ข้างกันก็เป็นเช่นนี้ แต่ละคนก้มหน้าก้มตากินเหมือนคนหิวโซ

ในชั่วขณะหนึ่ง ห้องนั้นก็เหลือเพียงเสียงเคี้ยวอาหาร ดูแปลกประหลาดนัก

ที่ต้องรู้ก็คือ ผู้ที่อยู่ในห้องนั้นไม่มีใครไม่เคยเปิดหูเปิดตารู้เรื่องราวในโลก ทั้งในด้านการฝึกปราณยังทะลวงถึงระดับสูงยิ่งนานแล้ว ไม่กินอาหารก็อยู่ได้

แต่ตอนนี้ แต่ละคนกลับกินอย่างตะกละตะกลาม พาให้คนตกตะลึง

ครู่หนึ่งผ่านไป

สำรับอาหารทั้งโต๊ะถูกกินจนหมดเกลี้ยง จ้าวไท่ไหลเม้มปาก รู้สึกว่ายังไม่หนำใจ ถอนใจแล้วเอ่ยว่า “ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรถึงจะได้กินอาหารรสเลิศเช่นนี้อีก”

“ง่ายมาก ขอเพียงเจ้าคืนหนี้ทั้งหมดมา ก็กินตามใจเจ้าเลย”

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่เฒ่าโดดเดี่ยวมายืนอยู่หน้าประตู ดวงตาขุ่นมัวทั้งสองจดจ้องมายังจ้าวไท่ไหลอย่างเยียบเย็นเหมือนวิญญาณเงียบเชียบ

หลินไหวหย่วนอดไม่ได้กล่าวว่า “เถ้าแก่ สำรับโต๊ะนี้เท่าไรหรือ ข้าจะจ่ายให้”

กลับเห็นว่าเฒ่าโดดเดี่ยวยิ้มเหี้ยมเกรียมออกมาแล้วพูดว่า “อวดเบ่งจังนะ เจ้ารู้ไหมว่าราคาของสำรับโต๊ะนี้เท่าไร ถึงได้กล้าเอ่ยปากอย่างจองหอง”

หลินไหวหย่วนอึดอัดใจในทันใด ในหัวสับสน หรือว่ายังมีรายละเอียดอื่นอีก

จ้าวไท่ไหลหัวเราะคิกคักแล้วพูดว่า “บัญชีแต่ก่อน มีเพียงข้าที่คืนได้ แต่ค่าอาหารวันนี้ จะต้องให้เจ้าหนูนี่จ่าย” เขาชี้ไปที่หลินสวิน

หลินสวินอึ้งไป เขารู้สึกได้รางๆ ว่าที่จ้าวไท่ไหลพาตนมาพบกับเฒ่าโดดเดี่ยวลึกลับคนนี้ ทั้งกินอาหารเลิศรสยากบรรยายไปสำรับหนึ่ง ต้องมีสาเหตุแน่

แต่เขาคิดไม่ถึงว่า ที่จ้าวไท่ไหลพาเขามาก็เพียงเพราะจะให้ตนจ่ายค่าอาหาร…

สายตาเฒ่าโดดเดี่ยวมองมายังหลินสวิน ชั่วพริบตานั้นหลินสวินพลันมีความรู้สึกเหมือนถูกมองทะลุไปถึงความลับภายในจิตใจทุกสิ่ง กระวนกระวายขึ้นมาทั้งตัวระลอกหนึ่ง

นี่ทำให้ใจเขาสั่นสะท้าน เขามั่นใจว่าเฒ่าโดดเดี่ยวคนนี้ไม่มีพลังปราณแม้แต่นิดเดียว ไม่ต่างอะไรกับคนทั่วไปเลย แต่สายตาของเขากลับประหนึ่งสามารถมองทะลุปริศนาของเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน มองตรงไปถึงจิตใจคน ดูน่าพิศวงถึงที่สุด

เฒ่าโดดเดี่ยวชักสายตากลับมา เอ่ยอย่างดูแคลนว่า “ขนยังไม่ทันขึ้นครบเลย แม้จะไปสมรภูมิกระหายเลือด ก็จ่ายค่าอาหารมื้อนี้ของข้าไม่ได้!”

สมรภูมิกระหายเลือด!

ในที่สุดทุกคนในที่นี้รวมถึงหลินสวินก็รับรู้ได้ว่า ที่แท้ค่าอาหารหนึ่งมื้อนี้มีรายละเอียดใหญ่โตดังคาด

เพียงแต่สมรภูมิกระหายเลือดคือที่ใดกัน

“ข้าวก็กินไปแล้ว ติดหนี้ก็ติดไปแล้ว จะคืนได้หรือไม่ก็ต้องลองสักตั้ง” จ้าวไท่ไหลสีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมอย่างหาได้ยาก “ข้าเชื่อมั่นในตัวเขา”

“หึ!” เฒ่าโดดเดี่ยวเงียบไปครู่หนึ่งก็ร้องหึหยัน หันกายจากไป

กระทั่งออกจาก ‘เรือนโอบดารานิทราบุหลัน’ นี้ หลินสวินก็ยังงุนงงดังเดิม ถามจ้าวไท่ไหล เขาก็ไม่พูดอะไร

นี่ทำให้หลินสวินไม่พอใจนัก กล่าวว่า “ผู้อาวุโส ถูกท่านหลอกเอาครั้งหนึ่งโดยไม่มีสาเหตุ ขนาดเหตุผลท่านก็ยังไม่บอกเลยหรือ”

จ้าวไท่ไหลพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เจ้าหนู ข้าช่วยเจ้าไล่ฉินชางเจี่ยเลยนะ นี่ก็เป็นบุญคุณที่ช่วยชีวิตไว้ เจ้ายังกล้าพูดแบบนี้หรือ”

จ้าวไท่ไหลในเวลานี้มีท่าทางเป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์หาใดเทียบที่หลินสวินรู้จักดังเดิม แตกต่างจากยามเผชิญหน้ากับฉินชางเจี่ยที่มีท่าทีดูแคลนผู้คนทั้งใต้หล้า จิตสังหารทะลุเมฆา

หลินสวินคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “ช่วยชีวิตข้าครั้งหนึ่งหรือ นี่เป็นถึงสิ่งที่จักรพรรดิจัดแจงต่างหาก ท่านเพียงทำตามคำสั่งเท่านั้น ยังกล้าอ้างความดีความชอบหรือ อีกอย่างท่านคิดว่าข้าไม่สามารถรับมือฉินชางเจี่ยได้หรือ”

เมื่อพูดเช่นนี้ออกไป ทำให้พวกหลินจงล้วนตื่นตระหนก หรือว่าตอนนั้นนายน้อยจะยังมีวิธีการบางอย่างที่สามารถต้านทานราชันระดับสังสารวัฏได้?

หากนี่เป็นเรื่องจริง ก็น่าตื่นตะลึงเกินไปแล้ว

จ้าวไท่ไหลกลับเหมือนรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง แววตาแปรเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาด นิ้วมือของเขาวาดไปในอากาศ พลันปรากฏจอภาพจอหนึ่ง

สิ่งที่จอภาพฉายออกมานั้นคือภาพยามที่ฉินชางเจี่ยปรากฏตัว หมายจะสังหารหลินสวิน!

“สิ่งที่เจ้าพึงพา ก็คือสมบัติที่อยู่กลางฝ่ามือชิ้นนี้กระมัง” เขาถาม

เมื่อดูโดยละเอียด ก็เห็นว่าในฝ่ามือข้างซ้ายของหลินสวินมีแสงสีเงินราวภาพนิมิต เรียวเล็กยิ่งนัก

“ไม่ผิด”

หลินสวินไม่ได้อธิบาย นั่นคือยานขนส่งอวกาศ แม้ไม่อาจต้านทานราชันระดับสังสารวัฏ แต่สามารถหลบหนีการโจมตีของราชันระดับสังสารวัฏได้

ต่อให้เป็นเช่นนี้ ความจริงข้อนี้ก็ยังทำให้ในใจพวกหลินจงไหวหวั่น

ดังคาด แม้นายน้อยเผชิญหน้ากับราชันระดับสังสารวัฏ ก็ยังมีวิธีป้องกันตัวเอง!

นี่อาจจะเป็นที่พึ่งพาที่ใหญ่ที่สุดของเขากระมัง

“แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ภายหลังเจ้าก็ยังต้องขอบคุณคนเหล่านี้ เพราะตอนนั้นต่อให้ข้าไม่ลงมือ พวกเขาก็จะไปช่วยเจ้าสลายเคราะห์นี้อยู่ดี”

ยามจ้าวไท่ไหลเอ่ยปาก นิ้วมือก็วาดขึ้นอีกครั้ง จอภาพหมุนวน ปรากฏภาพต่างๆ ได้แก่ภาพชายอ้วนที่รูปร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่ง ชายชราสายตาแหลมคมประหนึ่งอัสนีบาต ไอเลือดเหล็กทะลุเมฆาผู้หนึ่ง รวมถึงชายวัยกลางคนผอมแห้งที่สวมหมวกสีดำผู้หนึ่ง

พวกเขาสามคนยืนอยู่ต่างที่กัน แต่เมื่อฉินชางเจี่ยปรากฏตัว แต่ละคนล้วนเผยจิตต่อสู้ นั่นเป็นเค้าลางว่ากำลังจะลงมือ!

ตอนนี้หลินสวินนิ่งงันโดยสิ้นเชิง เขาจำสามคนนี้ได้ เป็นเทพเศรษฐีสือไฉเสินแห่งอัครการค้า หนิงปู้กุยราชันเลือดเหล็ก และกงปู้พั่วผู้อาวุโสตระกูลกง!

“ที่แท้ ตอนนั้นพวกเขาก็กำลัง…” ในใจหลินสวินบังเกิดกระแสอบอุ่นบอกไม่ถูกขึ้น ตอนนี้เขาถึงได้รู้ว่า ตัวเขาในตอนนั้นไม่ได้ต่อสู้เพียงลำพัง!

ส่วนพวกหลินจง กลับจิตใจสั่นสะท้านถึงที่สุด ใครจะคาดคิดได้ว่า ตอนนั้นยังมีราชันระดับสังสารวัฏสามคนระวังหลังให้หลินสวินอย่างลับๆ

หากข่าวนี้แพร่ออกไป นครต้องห้ามจะเกิดคลื่นลมลูกใหญ่ขนาดไหน

“เจ้าดูสิ แม้ว่าศัตรูเจ้าจะมีมาก ทว่าคนที่ให้ความสำคัญกับเจ้าก็มีไม่น้อย แต่ผ่านศึกนี้ไป นครต้องห้ามในภายหลังเกรงว่าจะไม่มีใครเป็นฝ่ายหาเรื่องเจ้าแล้ว” จ้าวไท่ไหลกล่าว ความนัยลึกล้ำ

หลินสวินนิ่งอึ้งไป ชำเลืองมองจ้าวไท่ไหลอย่างไม่สบอารมณ์แล้วพูดว่า “ทำไมข้ารู้สึกว่ายิ่งท่านพูดแบบนี้ก็ยิ่งไม่มีเจตนาดีเล่า”

จ้าวไท่ไหลหัวเราะร่า จากนั้นก็ตำหนิอย่างดุดันว่า “เพ้อเจ้อ!”

ระหว่างทางจ้าวไท่ไหลก็นวยนาดจากไป ก่อนจากไปยังพูดว่า อีกสักพักจะไปเยือนภูเขาชำระจิตอีก

หลินสวินรู้ว่าเมื่อ ‘อีกสักพัก’ ที่ว่านั้นมาถึง จ้าวไท่ไหลอาจจะบอกจุดประสงค์ที่ให้ตนติดหนี้ค่าอาหารมื้อนั้นกับเฒ่าโดดเดี่ยว

เมื่อพวกหลินสวินกลับมาถึงภูเขาชำระจิต ก็เห็นว่าคนในตระกูลรองทั้งสี่ แสงอุดร ธารประจิม คานเมฆา และยอดวายุ รวมถึงเหล่าชาวบ้านหมู่บ้านเฟยอวิ๋น ล้วนมารออยู่ตรงนั้น…

เพื่อต้อนรับการกลับมาของพวกเขา!

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด