Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 699 ก่อคลื่นลมรุนแรง

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 699 ก่อคลื่นลมรุนแรง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลินสวินย้อนนึกถึงสถานการณ์ในตอนนั้นโดยละเอียด

ตอนนั้นยามเขาดึงสายธนูของคันธนูวิญญาณไร้แก่นสารจนสุด รู้สึกได้อย่างฉับไวถึงพลังที่ต่างจากเมื่อก่อน

คันธนูใหญ่ทั้งคันส่งเสียงประหลาดดั่งเทพมารคำรามเดือดดาล สายฟ้าวายุสะเทือนเลือนลั่น สั่นสะท้านไปทั้งเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน

นอกจากนี้ รอบตัวคันธนูที่หลอมขึ้นจากกระดูกขาวก็ปรากฏภาพยิ่งใหญ่น่าหวาดหวั่น ที่ดวงอาทิตย์ลับฟ้าคราม กาทองเลือดสาดกระเซ็นบนทะเลสีหยก

ไม่ใช่!

คิดถึงตรงนี้ หลินสวินสังเกตได้ในทันใดว่าตนละเลยรายละเอียดไปอย่างหนึ่ง

นั่นก็คือขณะที่ตนง้างคันธนูวิญญาณไร้แก่นสารจนตึง มีเงามายาสูงใหญ่และโอหังเงาหนึ่งง้างคันธนูยิงศรออกไปเหมือนกับตน ราวกับเทพธนูบรรพกาลปรากฏตัว!

‘ตอนนั้น… เหมือนมีเสียงก้องประหลาดเสียงหนึ่งมาๆ หายๆ ดูเหมือนไม่มีอยู่ แต่หากรับรู้โดยละเอียดแล้ว กลับคล้ายดังออกมาจากภายในถ้ำเหมืองที่อยู่ในส่วนลึกของหุบเขาพยัคฆ์นั้น…’

ดวงตาสีดำของหลินสวินบังเกิดแววเฉียบคม

‘ดูท่าจะเป็นดังคาด สมบัติที่ไม่อาจล่วงรู้ได้ที่โผล่ขึ้นมาในหุบเขาพยัคฆ์นั้น ต่อให้ไม่เกี่ยวข้องกับธนูวิญญาณไร้แก่นสาร ก็ต้องมีพลังอัศจรรย์บางอย่าง ถึงได้ทำให้ธนูวิญญาณไร้แก่นสารเปลี่ยนแปลงไป…’

ก่อนหน้านี้สาเหตุที่เขาตัดสินใจจะระวังหลังอยู่คนเดียว ไปถ่วงรั้งกำลังพลที่อาจตามมาสังหารของเผ่าพ่อมดเถื่อนพวกนั้น จริงอยู่ว่ามีความคิดจะช่วยพวกหูทงคลี่คลายเคราะห์ภัย

แต่สาเหตุที่สำคัญกว่าก็คือ เขาต้องการจะกลับไปดูที่หุบเขาพยัคฆ์อีกครั้ง!

และทั้งหมดนี้ ก็เกี่ยวข้องกับความเปลี่ยนแปลงอันลึกลับของธนูวิญญาณไร้แก่นสารอย่างแยกไม่ออก

‘ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องพวกนี้ เพียงแค่สามารถดึงดูดให้ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทมากมายขนาดนั้นมารวมตัวกันได้ สมบัติที่ปรากฏขึ้นในส่วนลึกของหุบเขาพยัคฆ์นั่นต้องไม่ธรรมดาแน่!’

เวลานี้หลินสวินถึงรับรู้ได้ว่า ในสมรภูมิกระหายเลือดที่โหดเหี้ยมและเหือดแห้งนี้ ยังเก็บซ่อนความลับที่ไม่อาจคาดเดาได้อยู่มากมาย

ก็เหมือนหุบเขาพยัคฆ์นั้น ใครจะจินตนาการได้ว่า ที่นั่นนอกจากอุดมไปด้วยสินแร่หายากอย่างเหล็กดาราจรัสสลายแล้ว ยังมีสมบัติที่ไม่อาจล่วงรู้และลึกลับบางอย่างถือกำเนิดอีกด้วย

‘ดินแดนแห่งนี้พลังวิญญาณแห้งแล้ง ไม่มีสิ่งมีชีวิต ภายใต้เปลือกนอกที่เลวร้ายราวดินแดนที่ถูกปล่อยร้างเช่นนี้ จะยังแอบซ่อนความลับที่ไม่อาจรับรู้ไว้มากมายหรือไม่’

…….

ราวหนึ่งถ้วยชาต่อมา

สวบ!

บนพื้นดินไกลออกไปมีเงาดำเงาหนึ่งเคลื่อนที่มาอย่างรวดเร็วถึงที่สุด ประหนึ่งแสงทองแสบตาสายหนึ่งวูบไหวกลางห้วงอากาศ

“หืม”

ไกลออกไปราวพันจั้ง เงาร่างนี้ก็หยุดเท้าลงทันใด ด้วยสังเกตเห็นหลินสวินซึ่งนั่งขัดสมาธิบนยอดเขาสูงร้างแห่งหนึ่งไกลออกไป

ที่จริงก็พบได้โดยง่าย เพราะเขาไม่ได้ซ่อนตัวเลย

“นี่เจ้า… ไม่ได้หนีหรือ”

เงาร่างนั้นประหลาดใจ ทั้งร่างเขามีสีทองเจิดจ้า ขนาดเส้นผมยังมีลักษณะดั่งทอง ผิวพรรณดุจหล่อด้วยทองคำ มีท่าทางน่ากลัวดุดันฉกาจฉกรรจ์

คนผู้นี้ก็คือผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทผู้หนึ่งที่เคยล้อมหลินสวินในหุบเขาพยัคฆ์ มาจากสายคนเถื่อนทองคำ มีนามว่าจินอู้

“รู้อยู่ก่อนแล้วว่าพวกเจ้าไม่ยอม เลยมารอที่นี่”

หลินสวินลุกขึ้น สีหน้าเหนื่อยอ่อนเลือนหายไปนานแล้ว ถูกเติมเต็มด้วยท่าทางโอหังและเยียบเย็น

เขาเอามือไพล่หลังยืนตระหง่านบนยอดเขาสูง อาภรณ์ปลิวไสว ดวงตามองหยันลงมาดุจสายฟ้าแปลบปลาบ ท่วงท่าเลิศล้ำเหนือโลกา

“งั้นหรือ แต่ทำไมข้ารู้สึกว่า เจ้ายืนหยัดต่อไปไม่ไหวแล้ว ถึงได้จำเป็นต้องหยุด” จินอู้หนังตากระตุก ใบหน้าเผยให้เห็นความสงสัย สายตาเขากวาดไปโดยรอบเหมือนต้องการมองบางอย่าง

หลินสวินแสยะยิ้ม “วางใจเถอะ พื้นที่รัศมีร้อยลี้นี้มีแต่ข้าเพียงคนเดียว ยิ่งกว่านั้น จะต่อกรกับเดรัจฉานเฒ่าแบบเจ้า ยังต้องหาผู้ช่วยอีกหรือ”

เดรัจฉานเฒ่า!

เมื่อได้ยินคำเหยียดหยามอย่างไม่ปิดบังนี้ จินอู้สีหน้าถมึงทึงโดยพลัน โกรธจนตาถลน เจ้าสวะตัวจ้อยนี่คิดว่าตัวมีที่พึ่งเลยไม่หวั่นเกรงเสียจริงนะ!

ทว่าเมื่อนึกถึงอานุภาพยิ่งใหญ่ที่หลินสวินสำแดงในหุบเขาพยัคฆ์ จิตใจเขาก็สั่นระรัวอีกระลอก หวาดหวั่นพรั่นพรึงถึงที่สุด

“เจ้าสวะตัวจ้อย เจ้าบ้าระห่ำเกินไปแล้ว อย่านึกว่าครอบครองธนูที่ทรงพลังคันหนึ่งก็จะไม่เห็นผู้ใดในสายตาได้ ข้ากล้าบอกเจ้าเลยว่า ในตอนนี้ยอดฝีมือมากมายจากเผ่าพ่อมดเถื่อนของข้าได้ยินข่าวกันหมดแล้ว อย่าว่าแต่เจ้าเลย แม้แต่พรรคพวกเหล่านั้นของเจ้า วันนี้ก็ไม่มีโอกาสรอดชีวิตอีก!”

จินอู้สีหน้าอึมครึม น้ำเสียงน่าสะพรึงกลัวหาใดเทียบ “แน่นอนว่าหากเจ้าฉลาดอยู่บ้าง ข้าอาจจะชี้ทางรอดให้เจ้าได้ ก็ดูว่าเจ้าจะร่วมมือหรือไม่แล้ว”

“อ้อ” หลินสวินเลิกคิ้ว “ร่วมมืออย่างไร”

“ง่ายมาก ส่งธนูในมือเจ้าคันนั้นมาให้ข้า ข้าก็จะหันกายจากไปทันที ไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้า” จินอู้เอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้าน ไม่ปกปิดความละโมบของตนที่อยากได้ธนูวิญญาณไร้แก่นสารเลยสักนิด

“เหอะๆ” หลินสวินหัวเราะ

“เจ้าหัวเราะอะไร ความตายมาเยือนแล้ว ให้โอกาสเจ้าครั้งเดียวเท่านั้น เจ้ายังรู้สึกว่าน่าขันมากหรือ”

จินอู้สีหน้ายิ่งอึมครึมอย่างยิ่งยวด ตะคอกเสียงดุดันว่า “ถ้าเจ้าไม่รับปากก็ย่อมได้ แต่ว่า วันนี้เจ้าจะไม่มีโอกาสรอดชีวิตอีกแล้ว!”

กึด!

หลินสวินง้างคันธนูวิญญาณไร้แก่นสารทันควัน ดึงสายธนูจนตึง เล็งเป้าไปทางจินอู้จากจุดที่อยู่สูงกว่า “เดรัจฉานเฒ่าตัวหนึ่งอย่างเจ้ายังกล้ามาข่มขู่ข้าหรือ”

ในชั่วเสี้ยวพริบตา จินอู้สีหน้าเปลี่ยนไปทันที ไม่สนใจจะมาถือสาหาความคำด่าทอเหยียดหยามของหลินสวิน ตกใจจนเงาร่างหายวับแล้วถอยหลังหนีออกไปไกล

คันธนูนี้น่ากลัวเกินไป เคยทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทสามคนอย่างเสอเจิ้น เหยียนชื่อสิงบาดเจ็บสาหัส ขนาดผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทสายคนเถื่อนวารียังถูกฆ่าในทันใด

ในสถานการณ์เช่นนี้ จินอู้หวาดหวั่นพรั่นพรึงอยู่ก่อนแล้ว ไม่กล้ารับประกันได้ว่าตนจะตั้งรับลูกธนูของหลินสวินได้ ดังนั้นเขาจึงถอยอย่างไม่ลังเลสักนิด

“เหอะๆ”

หลินสวินหัวเราะเหยียดหยามอีกครั้ง ฟังดูระคายหูนัก ทำให้จินอู้โกรธจนหน้าเขียว แทบอยากจะเอาหลินสวินมาเถือหนังทั้งเป็น

น่าโมโหเกินไปแล้ว!

เด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่งเท่านั้น กลับอาศัยธนูคันหนึ่งแสดงแสนยานุภาพต่อหน้าผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทอย่างเขา ลบหลู่เกียรติของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ช่างน่าป่นกระดูกให้เป็นผุยผงเสียจริง!

“ไอ้สวะตัวจ้อย เจ้ารอข้าก่อนเถอะ!”

จินอู้ส่งเสียงคำรามเดือดดาลอย่างอัดอั้นและไม่พอใจ ถึงกับเบนหน้าหนีกลับไปทางเดิม จนพาให้หลินสวินงงงวย ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี

‘ดูท่า ตาแก่พวกนี้คงตกใจจนขวัญหายกันหมด นี่ถือเป็นเรื่องดี…’

หลินสวินหยิบคันธนูวิญญาณไร้แก่นสารขึ้นมาชม มุมปากระบายรอยยิ้มสนอกสนใจ

ที่จริงแล้วแม้ว่าเมื่อครู่เขาจะใช้คันธนูวิญญาณไร้แก่นสาร ก็ไม่อาจสำแดงอานุภาพอย่างตอนที่อยู่ในหุบเขาพยัคฆ์ได้

สาเหตุก็ง่ายดาย เพราะขาดพลังการตื่นขึ้นและเสียงกึกก้องนั้น!

และความจริงข้อนี้ ก็ทำให้หลินสวินยิ่งมั่นใจในความคิดที่จะกลับไปยังหุบเขาพยัคฆ์อีกครั้ง

สวบ!

เงาร่างหลินสวินหายวับ ตามจินอู้ซึ่งถอยหนีไป เขาไม่รีบไม่ร้อน ราวกับพรานมากประสบการณ์ผู้หนึ่ง

ความจริงแล้วเขาไม่ได้คิดจะฆ่าจินอู้ในทันที แต่ต้องการถ่วงเวลาเพื่อฟื้นฟูพลังกายของตน

ในมือของเขายังคงถือผลึกวิญญาณชั้นสูงไว้แน่น เร่งตามไปพลางดูดกลืนพลังออกมา แม้หลอมไม่ได้โดยสมบูรณ์ แต่ใช้เติมพลังกายก็เพียงพอแล้ว

‘ยังเหลือผลึกวิญญาณชั้นสูงอีกสามพันเก้าร้อยก้อน พอให้ยืนหยัดในการต่อสู้ประจันหน้าครั้งหนึ่ง…’

หลินสวินคำนวณอย่างเงียบๆ

ยามเขามายังสมรภูมิกระหายเลือดครั้งนี้ ได้นำผลึกวิญญาณชั้นสูงมาจำนวนมาก อีกทั้งตอนที่ออกมาจากค่ายเมื่อเช้านี้ ก็ใช้แต้มกล้าหาญในมือแลกเอาผลึกวิญญาณชั้นสูงกับหลูเหวินถิง

ดังนั้นตอนนี้จึงยังไม่ต้องกังวลเรื่องผลึกวิญญาณไม่พอใช้

“เจ้ายังกล้าตามมาหรือนี่!”

ไกลออกไปสุดสายตา จินอู้หันหน้ามาก็พบว่าหลินสวินตามมาอยู่ด้านหลังไกลๆ พลันตกใจจนขนหัวลุก แทบทำใจเชื่อไม่ได้

“แล้วทำไมข้าจะไม่กล้าตามมาเล่า”

หลินสวินยิ้มแฉ่ง ทั้งกำเริบและหยอกเย้า

“เจ้านี่รนหาที่ตาย…!”

จินอู้โมโหจนปอดแทบระเบิดแล้ว เขาเป็นถึงผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวท ในสายคนเถื่อนทองคำก็เป็นคนใหญ่คนโตที่มีชื่อเสียงผู้หนึ่ง กรำศึกในสมรภูมิกระหายเลือดมานานปี สังหารผู้ฝึกปราณจักรวรรดิมาไม่รู้เท่าไร มีชื่อเป็นผู้โหดเหี้ยมเกรียงไกรมานานแล้ว

แต่ตอนนี้กลับถูกเด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่งตามมาประหนึ่งหมาไล่กวด หากถูกคนอื่นเห็นเข้า เช่นนั้นก็น่าขายหน้าจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!

หากไม่กลัวธนูวิญญาณไร้แก่นสารที่อยู่ในมือหลินสวิน เขาก็คงกลับไปสังหารครั้งใหญ่อย่างไม่สนใจสิ่งใดแล้ว

“เจ้าพูดถูกแล้ว ข้าก็มาหาที่ตายจริงๆ นั่นล่ะ แต่เหตุใดเจ้าถึงเอาแต่หนีเล่า แน่จริงเจ้ายืนรอรับลูกธนูของข้าดูสิ”

หลินสวินตะคอก ความจริงเขาเกือบหลุดหัวเราะ จินอู้ผู้นี้ขี้ขลาดไปแล้ว ขนาดความกล้าจะต่อกรกับตนยังไม่มี

ต่อให้เขาหยั่งเชิงดู ก็จะพบว่าคันธนูวิญญาณไร้แก่นสารไม่ได้มีความน่าพรั่นพรึงถึงแก่ชีวิตนานแล้ว

แต่ว่า นี่ก็ตรงกับที่หลินสวินคาดไว้พอดี

“เจ้าสวะตัวจ้อย แน่จริงเจ้าอย่าใช้คันธนูนั่นสิ!”

เห็นได้ชัดว่าจินอู้โมโหจนแทบคลั่งแล้ว คนใหญ่คนโตอย่างเขากลับเอ่ยวาจาเด็กน้อยเช่นนี้ออกมา ดูออกจะน่าขันอย่างไม่ต้องสงสัย

“เจ้าเดรัจฉานเฒ่า แน่จริงเจ้าก็ยืนนิ่งๆ สิ!”

หลินสวินตะโกน

“แน่จริงเจ้าอย่าใช้คันธนูนั่นสิ!”

“แน่จริงเจ้าก็ยืนนิ่งๆ สิ!”

ดังนั้นการวิ่งไล่จับในเวลาต่อมา ชายชราคนหนึ่งกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งจึงตะคอกและข่มขู่กันเอง ทั้งที่เป็นการตามสังหารที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายครั้งหนึ่ง สภาพการณ์กลับเต็มไปด้วยความสนุกสนาน

หากถูกคนอื่นเห็นเข้าคงต้องมองด้วยความงวยงง ทอดถอนใจครั้งหนึ่งว่าบุคคลร้ายกาจในตอนนี้ แต่ละคนกลับเล่นสนุกยิ่งกว่าอีกคน…

ไม่นานนักขนาดตัวจินอู้เองยังสังเกตได้ว่าไม่ชอบมาพากล ใบหน้าชราของเขาอัดอั้นจนคล้ำเขียว อับอายจนอยากตาย ตัวมีฐานะชั้นไหน กลับมาด่าทอกับเจ้าสวะตัวจ้อยเผ่ามนุษย์ผู้หนึ่ง นี่หากแพร่งพรายออกไปตนจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

จินอู้แทบอยากจะหยิกปากตัวเอง ตนเป็นอะไรไป วันนี้ถึงเก็บกลั้นอารมณ์โมโหไม่อยู่ ถึงได้ถูกเจ้าสวะตัวจ้อยผู้หนึ่งยั่วโมโหจนจิตใจยุ่งเหยิง

และในตอนนี้เอง ที่ไกลออกไปจู่ๆ ก็มีเสียงเข้มหนักเสียงหนึ่งดังขึ้น “จินอู้ เหตุใดเจ้าถึงกลับมาอีกเล่า หน้าตาก็น่าเกลียดเช่นนี้ด้วย”

เมื่อจินอู้เงยหน้าขึ้น ก็เห็นชายวัยกลางคนร่างล่ำสูงใหญ่กำยำ ผิวหนังทั้งกายราวสร้างขึ้นจากหินผาผู้หนึ่ง กำลังยืนมองตนอย่างประหลาดใจอยู่ไกลออกไป

เฟิงคุน ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทสายคนเถื่อนพสุธา!

จินอู้ยินดีปรีดาขึ้นทันตา เฟิงคุน บุคคลร้ายกาจที่มีฉายาว่า ‘นักเชือดย้ายขุนเขา’ คนนี้ น่ากลัวกว่าเสอเจิ้นเคียวโลหิตฟ้าคำรามถึงสามส่วน!

“เจ้าสวะตัวจ้อย เจ้าม่องเท่งแน่แล้ว! ในใต้หล้านี้ไม่มีใครช่วยเจ้าได้แล้ว! ฮ่าๆๆๆ….”

ฉับพลันนั้นจินอู้ห้ามไม่ให้หัวเราะร่าไม่ได้ ความอัดอั้นและโกรธแค้นที่สะสมไว้ในใจตลอดทางได้รับการปลดปล่อยออกมาจนหมดสิ้นในขณะนี้

เพียงแต่ยามเขาหันหน้ากลับมา รอยยิ้มกลับพลันแข็งทื่อ เสียงหัวเราะก็หยุดลงทันใด “เดี๋ยวนะ… เจ้าสวะตัวจ้อยนั่นล่ะ หายไปตั้งแต่เมื่อไร”

ขณะเดียวกันเฟิงคุนซึ่งเงาร่างสูงใหญ่น่ากลัวราวบรรพตเผยสีหน้าประหลาด อดถามไม่ได้ว่า “จินอู้ เหตุใดเจ้าไม่หัวเราะแล้ว”

มุมปากจินอู้กระตุกอย่างแรง ใบหน้าคล้ำเขียว เส้นเลือดบนหน้าผากปูดโปนเหมือนไส้เดือน หัวเราะหรือ ข้าหัวเราะกับผีน่ะสิ!

__

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด