Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 710 ท่วงท่าแห่งปฐมาจารย์

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 710 ท่วงท่าแห่งปฐมาจารย์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หืม?

เมื่อหลินสวินเริ่มลงมือ บรรดานักสลักวิญญาณที่เดิมทีเดือดดาลและเหยียดหยามพลันตกตะลึงเล็กน้อย

พวกเขาพลันค้นพบในทันใดว่าตอนที่เด็กหนุ่มหลอมกระบี่เหล็กนิลเล่มนั้น ทักษะฝีมือกลับชำนาญคล่องแคล่วอย่างมาก เป็นอิสระราวกับเมฆเคลื่อนน้ำไหล

ถึงขั้นที่ว่า…

มีความงามที่ไม่อาจพรรณนา ทำให้ถูกดึงดูดอย่างอดไม่ได้

“นี่…”

กลุ่มนักสลักวิญญาณมองหน้ากันไปมา ต่างรู้สึกถึงความแปลกประหลาด อดเพ่งสมาธิดูต่อไม่ได้

หลินสวินไม่ได้เผยทักษะที่ลึกล้ำซับซ้อนใดๆ เพียงหลอมกระบี่ระดับสวรรค์ขั้นต่ำเล่มหนึ่งขึ้นมาใหม่อีกครั้งเท่านั้น ย่อมไม่ใช่เรื่องยากอะไรสำหรับเขา

เขาเคลื่อนไหวอย่างชำนาญ นิ้วทั้งสิบแผ่วเบาราวกับผีเสื้อบินผ่านดอกไม้ สีหน้าท่าทางเผยบรรยากาศสงบนิ่ง

ในมือของเขากระบี่เหล็กนิลถูกโยนเข้าไปหลอมในเตาหลอม จากนั้นถูกสลักกระบวนรอยสลักวิญญาณขึ้นใหม่ ขั้นตอนทั้งหมดผ่อนคลายและเป็นไปตามระบบระเบียบ

ไม่เพียงแค่นักสลักวิญญาณเหล่านั้น แม้แต่บรรดาผู้ฝึกปราณที่สังเกตการณ์อยู่ก็เบิกตาโพลง จิตใจถูกดึงดูดอย่างสิ้นเชิง

แม้พวกเขาไม่เข้าใจศาสตร์การสลักวิญญาณ แต่ก็สามารถดูออกว่าทักษะฝีมือที่เด็กหนุ่มเผยออกมาให้เห็นตอนนี้ มีจังหวะอันเป็นเอกลักษณ์ ไม่ใช่สิ่งที่นักสลักวิญญาณทั่วไปจะเทียบได้!

“หรือว่า… เขาเป็นนักสลักวิญญาณ?”

หลายคนหัวใจสะเทือนไหว ตอนแรกในจิตใต้สำนึกของพวกเขาคิดว่าเด็กหนุ่มอายุน้อยเพียงนี้ อาจจะมีพรสวรรค์ด้านการฝึกปราณที่คนทั่วไปยากจะไล่ทัน แต่กลับไม่เคยคิดว่าเขาอาจจะเป็นนักสลักวิญญาณคนหนึ่ง

ดังนั้นตอนที่รู้ว่าจู่ๆ เด็กหนุ่มคนนี้จะมาเป็นผู้ช่วยของปรมาจารย์อิงที่กองยุทโธปกรณ์ จึงได้เกิดเสียงฮือฮาและแปลกใจมากมายขนาดนั้น

แต่ตอนนี้การกระทำของอีกฝ่ายกลับประหนึ่งกำลังยืนยันว่า เขาไม่ใช่แค่เด็กหนุ่มผู้กล้าระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่ง!

“เอ๊ะ!”

หลูเหวินถิงที่กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวด ใคร่ครวญว่าจะจัดการเรื่องวุ่นวายนี้อย่างไร แต่พอเหลือบไปเห็นทุกคนที่อยู่รอบๆ ต่างมองคุณชายหลินด้วยท่าทางตื่นตะลึง เขาก็อดอึ้งไม่ได้

นี่มันเกิดอะไรขึ้น

หลูเหวินถิงอดเงยหน้าขึ้นมองไม่ได้ พลันเห็นเด็หนุ่มกำลังถือด้ามสลักจุ่มหมึกวิญญาณ สลักกระบวนรอยสลักวิญญาณบนกระบี่เหล็กนิลที่หลอมขึ้นใหม่อีกครั้ง

เขายืดตัวตรง ปลายด้ามสลักราวกับน้ำพุที่ไหลริน ย้อมเป็นกระบวนรอยสลักวิญญาณที่หนาแน่นและลึกลับมากมาย

เพียงแค่มองก็ทำให้รู้สึกเจริญหูเจริญตา เกิดความประหลาดใจและสั่นสะเทือนอย่างบอกไม่ถูก ท่วงท่าอันเป็นเอกลักษณ์เช่นนี้ สง่างามราวกับปฐมาจารย์!

“นี่…”

หลูเหวินถิงเองก็ตกตะลึงอ้าปากค้างทำอะไรไม่ถูก หัวสมองคิดไม่ทันแล้ว

ก่อนหน้านี้เขาคัดค้านที่คุณชายหลินจะมารับตำแหน่งในกองยุทโธปกรณ์อย่างที่สุด เป็นห่วงว่าอีกฝ่ายจะก่อเรื่องที่นี่จนรบกวนระบบดำเนินงานตามปกติของกองยุทโธปกรณ์

แต่ใครจะคิดว่าคุณชายหลินที่ทุกคนต่างมองไม่ดี ตอนนี้กลับใช้การกระทำตบหน้าพวกเขาทุกคนอย่างแรง!

ความสามารถด้านการหลอมอาวุธระดับนี้ คนธรรมดาที่ไม่มีความรู้ด้านการสลักวิญญาณเลยจะมีได้อย่างไร เกรงว่าแม้แต่ปรมาจารย์สลักวิญญาณลงมือเอง ยังยากจะผ่อนคลายได้อย่างเขา!

ปรมาจารย์อิงก้มหน้าก้มตาพลิกดูม้วนตำราในมือ ความดื้อดึงของเด็กหนุ่มเช่นนี้ทำให้เขาทั้งดูถูกและเดือดดาล ในใจคิดคำพูดไว้มากมาย รอตอนที่อีกฝ่ายอับอายขายหน้า จะไล่ตะเพิดให้ออกไปทันที!

ไม่ใช่ว่าเขาเกลียดชังและจงใจเพ่งเล็งไปที่อีกฝ่าย แต่เป็นเพราะไม่อยากเห็นเด็กหนุ่มที่ไม่รู้อะไรเลยมาก่อเรื่องที่กองยุทโธปกรณ์ต่างหาก

“ปรมจารย์อิง ท่าน… ท่านรีบดูหน่อยเถอะ…” ข้างๆ นักสลักวิญญาณคนหนึ่งกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก เตือนเสียงเบา

“อ้อ เขารู้ว่ายากแล้วยอมแพ้ไปแล้วหรือ ถือว่าฉลาด เหอะๆ ให้ข้าดูสีหน้าของเขาตอนนี้หน่อยซิ…”

ในขณะที่พูดปรมาจารย์อิงก็เงยหน้าขึ้นมองไปทางเด็กหนุ่มที่อยู่ห่างออกไป

เพียงแวบเดียวเท่านั้นเขาก็อึ้งค้างอยู่กับที่ สีหน้าเปลี่ยนไปฉับพลัน “นี่…”

“ปรมาจารย์อิง ท่านก็ดูออกแล้วหรือ นี่ดูผิดปกติไม่น้อย” นักสลักวิญญาณที่อยู่ข้างๆ เอ่ยเสียงขื่น

ไม่ใช่แค่ผิดปกติ แต่ผิดปกติมากเกินไปแล้ว!

ยามนี้ปรมาจารย์อิงสูญเสียความเยือกเย็น ลุกพรวดขึ้น ในสายตาเต็มไปด้วยความตะลึง พึมพำว่า “ทักษะฝีมือนี้… ฝีมือเช่นนี้…”

เขาตกใจเกินไปจนพูดไม่ออก

ภาพนี้ดึงดูดความสนใจจากนักสลักวิญญาณและกลุ่มผู้ฝึกปราณที่อยู่รอบๆ ทันที ต่างหันมองอย่างแปลกใจและตะลึง

แม้แต่ปรมาจารย์อิงยังเสียอาการเพียงนี้ หรือว่า…

ตอนนี้เอง ปรมาจารย์อิงราวกับอัดอั้นมานานแล้ว ริมฝีปากพ่นประโยคหนึ่งออกมาอย่างยากลำบาก “นี่มันความสามารถระดับปฐมาจารย์!”

ประโยคเดียวราวกับดึงพลังทั้งร่างกายของเขาออกมา ทำให้สีเลือดบนใบหน้าของเขาจางจนขาวซีด ร่างกายก็สั่นเทา

เมื่อครู่นี้ตนปฏิเสธและกีดกันปฐมาจารย์สลักวิญญาณคนหนึ่งต่อหน้างั้นหรือ

คิดถึงตรงนี้ในใจปรมาจารย์อิงก็สั่นสะท้าน อยากจะตบหน้าตัวเองสักที เสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปอย่างที่สุด

หากเมื่อครู่นี้ท่าทีของตนสุภาพกว่านี้เสียหน่อย อดทนถามให้มากกว่านี้ ก็จะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นใช่หรือไม่

ปรมาจารย์อิงสองตาไร้แวว ท่าทางราวกับวิญญาณล่องลอยอย่างไรอย่างนั้น

ในวงการนักสลักวิญญาณ มีกฎเหล็กอันเป็นที่ยอมรับของทุกคนมาโดยตลอด นั่นคือห้ามหมิ่นประมาทปฐมาจารย์!

เพราะนี่เป็นบุคคลที่โดดเด่นและสูงส่งเกินไป ราวกับมังกรศักดิ์สิทธิ์บนสวรรค์ ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดในประวัติการณ์ของแวดวงสลักวิญญาณ บุคคลระดับนี้ใช่คนที่นักสลักวิญญาณคนใดจะกล้าดูหมิ่นและสบประมาทได้อย่างไร

หากเรื่องนี้เผยแพร่ออกไป ถึงขั้นที่จะทำให้เขาอิงสิงคงถูกนักสลักวิญญาณทั่วทั้งจักรวรรดิเกลียดชังและมองเป็นศัตรูได้!

ชิ้ง!

เสียงกังวานใสที่แฝงไอสังหารดังขึ้น ทุกคนตกใจและตื่นจากภวังค์ความคิดต่างๆ สายตาหยุดอยู่ที่มือของเด็กหนุ่มโดยพร้อมเพรียงกัน

กระบี่เหล็กนิลเล่มหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศ ตัวกระบี่ดำราวกับหมึก เปล่งประกายแสงระยิบระยับแสบตาราวกับดวงดาวที่เย็นยะเยือก

มันลอยอยู่อย่างนั้นแต่กลับมีไอสังหารแผ่ออกมา ทำให้ผู้ฝึกปราณหลายคนรู้สึกแสบตา ผิวหนังหนาวเยือกขึ้นมา

ทันใดนั้นทุกคนต่างหัวใจสั่นไหวโดยพร้อมเพรียงกัน กระบี่เหล็กนิลอันก่อนหน้านี้ เป็นเพียงแค่ระดับสวรรค์ขั้นต่ำเท่านั้น ไม่ถือว่าล้ำค่าอะไร

แต่เพียงเวลาหนึ่งถ้วยชาเท่านั้น หลังจากเด็กหนุ่มหลอมขึ้นใหม่ กระบี่เล่มนี้กลับประหนึ่งถอดรยางค์เปลี่ยนกระดูก เปลี่ยนเป็นโฉมใหม่!

“ระดับสวรรค์ชั้นยอด!” นักสลักวิญญาณคนหนึ่งตกใจร้องเสียงหลง

คนทั้งที่นั้นเงียบกริบ กระบี่วิญญาณระดับสวรรค์ขั้นต่ำเล่มหนึ่งกลายเป็นระดับสวรรค์ชั้นยอดในทันที อานุภาพเพิ่มขึ้นไม่ใช่แค่ขั้นเดียว!

และทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในเวลาเพียงหนึ่งถ้วยชาเท่านั้น ทำให้ทุกคนในที่นั้นต่างเสียการควบคุม นี่เป็นการเปลี่ยนของเสื่อมโทรมให้กลายเป็นของวิเศษชัดๆ!

หรือเด็กหนุ่มคนนี้จะเป็นปฐมาจารย์สลักวิญญาณคนหนึ่งจริงๆ

“ก่อนหน้านี้ผู้น้อยอิงสิงคงล่วงเกินปฐมาจารย์หลิน ขอปฐมาจารย์โปรดอย่าถือโทษ!”

ท่ามกลางความเงียบงันนี้ เห็นเพียงปรมาจารย์อิงสูดหายใจเขาลึกๆ กะทันหัน จากนั้นเข้าไปคารวะ ใบหน้าเต็มไปด้วยความละอายใจและตื่นตระหนก

คราวนี้ทุกคนในที่นั้นยิ่งเงียบกว่าเดิม ทุกสายตาที่มองเด็กหนุ่มล้วนเปลี่ยนไป ปฐมาจารย์! เป็นปฐมาจารย์จริงๆ ด้วย!

เพียงแต่…

เด็กหนุ่มที่อายุน้อยเพียงนี้ กลับก้าวสู่ระดับปฐมาจารย์แห่งวงการสลักวิญญาณแล้ว ความเป็นจริงนี้ดูตะลึงโลกมากเกินไปแล้ว

“คารวะปฐมาจารย์หลิน!” นักสลักวิญญาณคนอื่นๆ ต่างรีบเข้าไปคารวะแทบไม่ทัน สีหน้าของพวกเขาก็เผยความละอาย ในใจรู้สึกพะวง

ก่อนหน้านี้พวกเขาตำหนิและโจมตีเด็กหนุ่มซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้ตอนนี้พวกเขาเสียใจและหวาดกลัว ในใจกระวนกระวายอย่างมาก

เหล่าผู้ฝึกปราณที่มาดูอึ้งค้างอยู่กับที่โดยสิ้นเชิง เดิมพวกเขามาดูความคึกคัก ไม่เคยคิดว่าเรื่องราวจะพลิกผันมากขนาดนี้ เด็กหนุ่มที่เคยฆ่าราชันกึ่งระดับ เพียงพริบตาเดียวก็กลายเป็นปฐมาจารย์สลักวิญญาณคนหนึ่งแล้ว!

ผลลัพธ์เช่นนี้พวกเขาคาดไม่ถึงเลย

‘เก็บได้สมบัติซะแล้ว! มารดามันเถอะ เกินคาดจริงๆ!’ หลูเหวินถิงร้องตะโกนในใจ ตื่นเต้นจนสั่นไปทั้งตัว

เด็กหนุ่มปฐมาจารย์สลักวิญญาณคนหนึ่ง หากมาอยู่ในกองยุทโธปกรณ์ของค่ายหมายเลขเจ็ด เช่นนั้นผลประโยชน์ก็ยากจะประเมินอย่างแน่นอน!

เพียงแต่พอหลูเหวินถิงนึกถึงก่อนหน้านี้ที่ตัวเองคัดค้านไม่ให้อีกฝ่ายมารับตำแหน่งในกองยุทโธปกรณ์สุดกำลัง เขาก็อยากจะตบหน้าตัวเองสักที แบบนี้มันเรียกว่ามีตาหามีแววไม่ชัดๆ!

“ข้าเคยบอกแล้วว่าจะช่วยเจ้าหลอมสมบัติใหม่ เจ้าลองดูว่าพอใจกระบี่เล่มนี้หรือไม่”

หลินสวินยื่นกระบี่เหล็กนิลให้อาปี้พร้อมยิ้มพูด

“หา?”

อาปี้ตื่นจากความตะลึง มองกระบี่เหล็กนิลโฉมใหม่ในมือแล้วงุนงงไปหมด ในใจมีความรู้สึกตื่นเต้นและดีใจอย่างบอกไม่ถูก

ส่วนผู้ฝึกปราณอื่นๆ ที่อยู่ใกล้ๆ ต่างมองอาปี้ด้วยสายตาอิจฉา เด็กสาวคนนี้ช่างโชคดีเหลือเกิน!

……

ตั้งแต่วันนั้น หลินสวินก็ประจำอยู่ที่กองยุทโธปกรณ์ ชีวิตยุ่งมากแต่ก็มีความสุข

หลังจากฐานะ ‘ปฐมาจารย์สลักวิญญาณ’ ของเขาเผยแพร่ออกไป แต่ละวันจะมีผู้ฝึกปราณมากมายมาด้วยความเลื่อมใสศรัทธาในชื่อเสียง

บางคนมาเพื่อหวังผูกมิตรกับหลินสวิน และบางคนก็หวังให้หลินสวินลงมือหลอมสมบัติให้พวกเขา

กองยุทโธปกรณ์ก็ครึกครื้นมากขึ้น ทุกเช้าจะมีผู้ฝึกปราณมากมายมาเข้าแถว หวังจะได้รับโอกาสที่หลินสวินหลอมอาวุธให้ด้วยตัวเอง

เริ่มแรกหลินสวินเองก็ไม่ได้ปฏิเสธทุกคนที่มา แต่ไม่นานเขาก็ทนไม่ไหวแล้ว ด้วยผู้ฝึกปราณที่มาขอความช่วยเหลือมากเกินไป ทำให้เขาดูแลไม่ไหวจริงๆ

สุดท้ายเขาตั้งกฎว่าจะรับภารกิจหลอมอาวุธเพียงสามครั้งต่อวันเท่านั้น และจะแก้เพียงแค่งานหลอมอาวุธที่นักสลักวิญญาณคนอื่นๆ ไม่สามารถแก้ไขได้เท่านั้น

เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทำให้หลินสวินผ่อนคลายลงไม่น้อย

ช่วงกลางวันเขาไปหลอมอาวุธที่กองยุทโธปกรณ์ กลางคืนหาเวลาฝึกปราณ ศึกษาค้นคว้าการฝึกยุทธ์ ในยามว่างจะรวมกลุ่มคนรู้จักมาร่วมดื่มและพูดคุยกัน เพื่อรับข่าวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสมรภูมิกระหายเลือด

สิ่งที่สมควรแก่การพูดถึงคือ เมื่อแม่ทัพใหญ่จ่างซุนเลี่ยรู้ข่าวที่หลินสวินเป็นปฐมาจารย์สลักวิญญาณ ตอนแรกก็ตะลึง ตบโต๊ะตัวหนึ่งจนแหลกละเอียด

จากนั้นสีหน้าก็เริ่มเปลี่ยนไปเอาแน่เอานอนไม่ได้ ก่นด่าราชันกระหายเลือดว่าเป็นไอ้เฒ่าระยำอย่างเกรี้ยวโกรธ ข่าวสำคัญขนาดนี้ยังปิดบังไม่ยอมบอก

ต่อจากนั้นเขาก็อดหัวเราะลั่นไม่ได้ เสียงหัวเราะนั่นราวกับภูผาทลายมหาสมุทรถล่ม ก้องไปทั่วทั้งค่ายหมายเลขเจ็ด ทำให้ผู้ฝึกปราณทุกคนต่างประหลาดใจและงงงวย แทบจะคิดว่าแม่ทัพจ่างซุนเลี่ยธาตุไฟเข้าแทรกซะแล้ว…

ในคืนนี้เอง

หน้าประตูบ้านหลินสวิน ใต้ท้องฟ้าสีรัตติกาล งานเลี้ยงเพิ่งจะจบลงก็เห็นว่าเหล่าหวงหัวหน้าทหารยามที่เฝ้าค่ายเมาอีกแล้ว และกำลังเพ้อตามประสาคนเมาที่แม้แต่เจ้าตัวยังฟังไม่รู้เรื่อง

อาปี้ดื่มจนใบหน้างามแดงระเรื่อร้อนผ่าว ตาปรือล่องลอย โวยวายว่าจะดวลเหล้ากับหลินสวิน สุดท้ายก็เมาล้มอยู่ในอ้อมอกของหลินสวิน

หลูเหวินถิงกำลังฮัมเพลง เพลงที่ร้องคือทหารหาญตายในศึกนับร้อย ผู้โชคดีจึงจะได้กลับมา ทำนองเพลงทั้งเศร้าและทุ้มต่ำ

สุดท้ายทุกคนแยกย้ายกันไป เพราะพรุ่งนี้ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องทำ ในสมรภูมิกระหายเลือดแห่งนี้ ศัตรูไม่ตาย สงครามไม่จบ ในฐานะผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิ เรื่องที่พวกเขาต้องทำในแต่ละวันแทบจะเกี่ยวข้องกับการฆ่าศัตรูทั้งหมด

“วันนี้หลิ่วเหวินไม่ทันกลับค่ายมาก่อนฟ้ามืด คงไม่กลับมาอีกแล้ว” ก่อนไปหูทงพูดทิ้งท้ายเอาไว้ประโยคหนึ่ง ไม่ถึงกับเสียใจ ดูนิ่งสงบมาก

หลินสวินอึ้ง ดื่มเหล้าในจอกจนหมดเงียบๆ

……………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด