Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 717 คลื่นลมรอบทิศ

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 717 คลื่นลมรอบทิศ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ปึ้ก!

แต่แม้จะหลบหนีสุดความสามารถแล้ว มู่หลิงเฟิงก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัส ถูกศรแห่งนภาครามแทงทะลุซี่โครง เจาะทะลวงเป็นโพรงเลือด

พลังทำลายล้างที่น่าหวาดหวั่นเกือบฉีกร่างเขาขาด เจ็บปวดจนเขาอดไม่อยู่ ร้องเสียงแหลมน่าหดหู่หาใดเทียบสะท้านเก้าชั้นฟ้า

นี่ก็คืออานุภาพของศรแห่งนภาคราม!

สิ่งที่น่าเสียดายเพียงอย่างเดียวก็คือ คราวนี้มู่หลิงเฟิงเตรียมตัวป้องกันไว้ก่อนแล้ว จึงโชคดีไม่ได้เดินตามรอยหมานจิ่วผู้นั้น

“เฮือก!” จินตู้เจินที่อยู่อีกด้านหนึ่งสูดหายใจเย็นเยียบ สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย วิชาธนูเช่นนี้ทำให้เขาใจสั่นระรัว น่ากลัวและเย้ยฟ้าเกินไปแล้ว

“เฮอะ!”

แต่เวลานี้ชางหลันเสวี่ยกลับฉวยโอกาสเคลื่อนไหว เงาร่างหายวับในทันใด เรียกถ้วยกระดูกสัตว์ถ้วยหนึ่งออกมา ภายในนั้นอบอวลไปด้วยแสงวารี รัศมีเทพหลั่งไหลพรั่งพรู ราวธารามหาสมุทรปกคลุม

ถ้วยกระดูกสัตว์มีพลังปราณบริสุทธิ์ แสงน้ำเฟื่องฟุ้ง นี่เป็นสมบัติลับชิ้นหนึ่งนามว่า ‘ถ้วยแห่งวารีริน’ สามารถเก็บยึดสมบัติได้

ฮูม!

ชั่วพริบตานั้น รัศมีเทพแสงวารีไหลบ่าจะเข้าปกคลุมศรแห่งนภาคราม

“เก็บ!”

นางเอ่ยอย่างแจ่มชัด หว่างคิ้วปรากฏความปรีดา

เพียงแต่ครู่ต่อมานางก็หน้าเปลี่ยนสีในทันใด ร้องเสียงหลง

ก็ได้ยินเสียงดังตู้ม อานุภาพเทพไร้รูปที่ศรแห่งนภาครามแผ่ออกมาพลันปลดเปลื้องพันธนาการ คมศรสีแดงเข้มไหววูบ ยิงทะลุถ้วยแห่งวารีรินนั้นเสียงดังปึ้ก!

พรึบ!

เศษถ้วยแห่งวารีรินปลิวว่อน ทำให้ชางหลินเสวี่ยเจ็บปวดใจร้องเสียงแหลม นี่เป็นถึงสมบัติชิ้นงามในมือนาง จะคิดได้อย่างไรว่ากลับถูกทำลายอย่างง่ายดายเช่นนี้

นี่เรียกได้ว่าขโมยไก่ไม่ได้แล้วยังเสียข้าวสารอีกกำมือ

เมื่อมองศรแห่งนภาครามอีกครั้งมันก็กลับไปอยู่ในมือหลินสวินนานแล้ว

นี่ไม่ใช่พลังของหลินสวิน แต่เป็นเสียงสะท้อนและการร้องเรียกหากันระหว่างศรแห่งนภาครามและคันธนูวิญญาณไร้แก่นสาร

สวบ!

และแต่ตอนนี้หลินสวินก็หนีต่อแล้ว

ฝ่ายหลัง สีหน้าของมู่หลิงเฟิง ชางหลันเสวี่ย และจินตู้เจินพลันย่ำแย่หาใดเทียบ คล้ำเขียวอึมครึม โกรธจนแทบคลั่ง

ศรเมื่อกี้นั้นทำให้พวกเขาล้วนดูสะบักสะบอม ที่ทำให้พวกเขาสีหน้ามืดทะมึนก็คือ ในสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาราชันกึ่งระดับสามคนกลับรั้งเด็กหนุ่มคนหนึ่งไว้ไม่ได้!

“ตามไป!”

มู่หลิงเฟิงคำราม เหมือนอสูรร้ายบรรพกาลที่ได้รับบาดเจ็บ ทั้งตื่นตระหนกระคนโกรธ

“ข้าจะฆ่าเจ้าเด็กนี่แล้วจับมันกินเลือดกินเนื้อทั้งเป็น!”

ชางหลันเสวี่ยยิ่งร้องเสียงแหลมต่อเนื่อง

“มันยิงธนูแล้ว ต้องไม่สามารถยิงดอกที่สองได้อีกแน่ เวลาตายของมันมาถึงแล้ว!”

ดวงตาจินตู้เจินเผยจิตสังหารมาจนหมดสิ้น

โครม!

พวกเขาเคลื่อนผ่านอากาศด้วยความรวดเร็ว ไอสังหารพลุ่งพล่านไม่ปิดบังแต่อย่างใด ไล่ตามต่อไป

กร๊อบ! กร๊อบ!

หินหยกอัศจรรย์ก้อนแล้วก้อนเล่าแหลกสลายในมือหลินสวิน พลังชีวิตลี้ลับที่อยู่ภายในนั้นไหลเข้าสู่ร่างของเขาอย่างต่อเนื่อง เสริมพลังกายของเขา

หลังจากยิงศรแห่งนภาครามเมื่อครู่ออกไป เขาก็เก็บพลังกายไว้ส่วนหนึ่ง ไม่ได้ใช้จนหมด

เหตุผลก็เพราะเขาในตอนนี้เป็นผู้มีพลังปราณระดับหยั่งสัจจะขั้นสูงแล้ว พลังปราณต่างจากคราวสังหารหมานจิ่วโดยสิ้นเชิง

แม้เป็นเช่นนี้ เพียงอาศัยพลังที่เหลืออยู่เท่านี้ก็ไม่อาจทำให้เขายิงธนูดอกที่สองได้

ทว่ามีหินหยกอัศจรรย์เติมพลังให้เขาอย่างต่อเนื่อง ทำให้หลินสวินไม่ต้องกังวลเรื่องฟื้นฟูพลัง

……

“เมื่อกี้… พลานุภาพน่าหวาดหวั่นนัก! นั่นคงไม่ใช่หลินสือเอ้อร์ปฐมาจารย์สลักวิญญาณในค่ายจักรวรรดิหมายเลขเจ็ดของพวกเราหรอกกระมัง”

หลังจากเงาร่างของหลินสวินกับพวกมู่หลิงเฟิงจากไปได้ไม่นาน ในบริเวณนี้ก็มีผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิกลุ่มหนึ่งปรากฏตัว

ก่อนหน้านี้พวกเขารับรู้ได้กลายๆ ถึงความเคลื่อนไหวน่าตื่นตะลึงที่นี่ กระทั่งเห็นปรากฏการณ์ประหลาดน่าพรั่นพรึงที่เกิดขึ้นยามหลินสวินยิงธนูดอกนั้น

“ต้องเป็นเขาแน่! ไม่ได้ยินหรือ มู่หลิงเฟิง ราชันกึ่งระดับจากสายคนเถื่อนพฤกษาถูกโจมตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ร้องโหยหวนสะท้านฟ้าดิน!”

ผู้ฝึกปราณเหล่านี้หน้าเปลี่ยนสี ล้วนตกตะลึงไม่หยุดหย่อน

“สวรรค์ หลินสือเอ้อร์ถึงกับถูกราชันกึ่งระดับสามคนตามฆ่า! ดูท่าข่าวจะเป็นจริงดังคาด ครั้งนี้สวะพ่อมดเถื่อนเหล่านั้นตั้งมั่นจะฆ่าหลินสือเอ้อร์สินะ!”

“เร็วเข้า กระจายข่าวนี้ออกไปให้ผู้ฝึกปราณจักรวรรดิของพวกเราที่อยู่ตามพื้นที่อื่นในป่าต้นหม่อนรู้ทั่วกัน หลินสือเอ้อร์เป็นถึงผู้กล้าหนุ่มเย้ยฟ้า ไม่อาจถูกสวะพ่อมดเถื่อนทำร้ายถึงแก่ความตายได้เด็ดขาด!”

หลังจากผู้ฝึกปราณเหล่านี้ตื่นตะลึงไปในตอนแรกก็ล้วนเริ่มเคลื่อนไหว

ด้วยเป็นผู้ฝึกปราณจากจักรวรรดิเช่นเดียวกัน พวกเขาย่อมไม่ต้องเลือกเลย ต้องเข้าข้างหลินสวินอยู่แล้ว และวันนี้เมื่อเห็นอีกฝ่ายประสบเคราะห์สังหารใหญ่ ใครจะไม่ใยดีได้อีก

วันนี้ข่าวด่วนข่าวหนึ่งก็แพร่กระจายไปตามเขตใหญ่แต่ละเขตของป่าต้นหม่อนว่า…

มีเด็กหนุ่มผู้กล้านามหลินสือเอ้อร์ ถูกราชันกึ่งระดับเผ่าพ่อมดเถื่อนสามคนตามฆ่าตลอดทาง สถานการณ์แขวนอยู่บนเส้นด้าย!

ทันใดนั้น คลื่นลมใหญ่มหึมาก็เกิดขึ้นเช่นนี้

“ฮ่าๆ เจ้าเด็กหนุ่มปีศาจนั่นในที่สุดก็จะตายแล้ว ข้าว่าแล้วว่าครั้งนี้เขาต้องพบเคราะห์ คิดจริงๆ หรือว่าอาศัยคันธนูใหญ่ลี้ลับคันหนึ่งก็จะไม่มีใครในใต้หล้าสู้ได้ น่าขัน!”

“เจ้าเด็กนี่ใจกล้าคับฟ้า แต่สุดท้ายตอนนี้จะถูกกำจัด นี่เป็นจุดจบที่ไปมีเรื่องกับเผ่าพ่อมดเถื่อน ต่อให้เจ้ามีพรสวรรค์สูงส่งกว่านี้ สมบัติทรงพลังกว่านี้ ผลสุดท้ายการถูกดับลมหายใจย่อมเป็นเรื่องที่ยากหลีกเลี่ยง!”

ผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนหลายคนระทึกใจ วิพากษ์วิจารณ์กันไม่ว่างเว้น

ข่าวลือเรื่องหลินสือเอ้อร์ทำให้พวกเขาทั้งตกตะลึงทั้งหวาดกลัวอยู่ก่อนแล้ว อย่างไรเสียเด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะผู้หนึ่งกลับสามารถฆ่าราชันกึ่งระดับได้ นี่ช่างเป็นเรื่องน่าตระหนกยิ่งนัก

และตอนนี้เมื่อรู้ว่าเด็กหนุ่มกำลังจะถูกฆ่า ผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อนเหล่านี้ต่างลอบถอนหายใจโล่งอก มีความสุขเมื่อผู้อื่นรับเคราะห์ไม่ว่างเว้น

ข่าวนี้ก็ก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือนในหมู่ผู้ฝึกปราณจากจักรวรรดิเช่นกัน หลินสือเอ้อร์ไม่เพียงลือชื่อยิ่งในเผ่าพ่อมดเถื่อน ในค่ายจักรวรรดิทั้งแปดก็เป็นบุคคลร้ายกาจผู้โดดเด่นที่มีชื่อเสียงอย่างรวดเร็วเป็นที่หนึ่ง เมื่อได้รู้ว่าเขาตกอยู่ในอันตราย ยากนักที่จะไม่ดึงดูดความสนใจของผู้อื่น

“ซวยแล้ว หรือครั้งนี้หลินสือเอ้อร์จะไม่อาจหลุดพ้นจากความลำบากได้”

“สถานการณ์ไม่สู้ดี การตามฆ่าของราชันกึ่งระดับสามคน อย่าว่าแต่เด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะอย่างเขาเลย ขนาดราชันกึ่งระดับที่แท้จริงเกรงว่าก็ต้องประสบเคราะห์!”

ผู้ฝึกปราณจากจักรวรรดิหลายคนกังวลใจอย่างยิ่ง

“จะกลัวอะไรเล่า อย่าลืมสิ ในการต่อสู้ที่หุบเขาพยัคฆ์ หลินสือเอ้อร์ยิงธนูดอกเดียวก็สังหารราชันกึ่งระดับได้ พลานุภาพสะเทือนทั้งหุบเขา ในเมื่อเขามาป่าต้นหม่อนคนเดียว ต้องเตรียมตัวมาอย่างดี ไม่อาจตกที่นั่งลำบากได้ง่ายเช่นนี้”

“เฮ้อ ไม่ว่าอย่างไรรีบหาที่อยู่ของหลินสือเอ้อร์เถอะ พวกเราจะปล่อยให้เขาถูกสวะพ่อมดเถื่อนฆ่าไปต่อหน้าต่อตาไม่ได้!”

และเมื่อได้ข่าวเหล่านี้ อิ๋งเชวี่ยนายน้อยราชวงศ์เถื่อนมืดก็ป่าวประกาศในทันทีว่า “ครั้งนี้หลินสือเอ้อร์ต้องตาย พวกเจ้าเผ่ามนุษย์อย่าว่าแต่ไปช่วยเหลือเลย แม้แต่โอกาสช่วยมันเก็บศพก็ยังไม่มี! ต่อให้ระดับราชันของพวกเจ้าออกโรงก็ไม่มีประโยชน์!”

เมื่อวาจาเช่นนี้แพร่ออกมา ทำให้ผู้ฝึกปราณจากจักรวรรดิหลายคนต่างสีหน้าอึมครึม ยิ่งรับรู้ได้ว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี

ขนาดคนใหญ่คนโตชั้นยอดบางคนยังหยุดค้นหาวาสนา เริ่มติดตามเรื่องนี้!

“ข้าเชื่อว่าหลินสือเอ้อร์ต้องพลิกอันตรายให้กลายเป็นปลอดภัย ขณะเดียวกัน ข้าจะติดตามการต่อสู้นี้ หากหลินสือเอ้อร์ประสบเคราะห์ ข้าจะล้างเลือดสวะพ่อมดเถื่อนทุกคนที่อยู่ในป่าต้นหม่อน!”

ไม่นานนักแม่ทัพใหญ่ซย่าโหวเจี๋ยแห่งจักรวรรดิก็เอ่ยปาก ไอสังหารพวยพุ่ง ทำให้ฝั่งผู้ฝึกปราณจากจักรวรรดิพลุ่งพล่านโดยสมบูรณ์

“เหอะๆ ซย่าโหวเจี๋ย เวลาตายของเจ้ากำลังจะมาถึงแล้วยังกล้าพูดจาสวยหรูอย่างนี้หรือ ล้างคอรอไว้เถอะ ไม่นานข้าจะไปเด็ดหัวเจ้า!”

ไม่นานนักที่ฝั่งผู้แข็งแกร่งเผ่าพ่อมดเถื่อน ราชันนภาเพลิงก็ข่มขู่อย่างดูแคลนเย็นชา ตาต่อตาฟันต่อฟัน สร้างความสะเทือนเลือนลั่นครั้งมโหฬารเช่นกัน

ชั่วครู่เดียว บรรยากาศในป่าต้นหม่อนก็เปลี่ยนไปเพราะเหตุนี้

……

ขณะที่ข่าวลือต่างๆ ปรากฏขึ้นอย่างเซ็งแซ่ หลินสวินกำลังหนีตายอยู่ตลอด

ฮูม!

ไม่นานนักคันธนูวิญญาณไร้แก่นสารก็ถูกง้างจนสุด ศรแห่งนภาครามเก็บพลังไว้รอปล่อยออก

เพียงแต่ขณะที่หลินสวินยังไม่ทันได้ยิง พวกมู่หลิงเฟิงที่เป็นราชันกึ่งระดับสามคนที่ตามหลังอย่างต่อเนื่องซึ่งเตรียมตัวระมัดระวังอยู่ก่อนแล้วล้วนพากันหลบออก ไม่อาจถูกเล็งเป้าได้

หลินสวินทอดถอนใจ จำต้องเก็บคันธนูวิญญาณไร้แก่นสารแล้วหลบหนีต่อไป

ภาพนี้เกิดขึ้นซ้ำหลายครั้ง ตั้งแต่ทำให้มู่หลิงเฟิงบาดเจ็บ ระหว่างทางที่หลบหนี ราชันกึ่งระดับสามคนนี้ก็ระแวดระวังขึ้นมา ไม่เปิดโอกาสให้หลินสวินได้ยิงศรแห่งนภาครามออกมาแต่อย่างใด

นี่ทำให้หว่างคิ้วของหลินสวินปรากฏแววอึมครึม

หินหยกอัศจรรย์ในมือเขาเหลือไม่กี่ก้อนแล้ว เขาหลบหนีเต็มกำลังตลอดทาง แม้ไม่ถูกตามทัน แต่การใช้พลังกายไม่ว่างเว้นก็กลายเป็นปัญหาถึงชีวิต

‘ยังดีที่กำลังจะค่ำแล้ว…’

หลินสวินสูดหายใจลึก ขณะเดียวกับที่หลบหนีก็รับรู้ได้อย่างเฉียบแหลมว่าท้องฟ้ามืดลงอย่างรวดเร็ว

“ไอ้สวะตัวจ้อยสมควรตาย! ทำไมมันถึงว่องไวปานนี้”

ด้านหลัง พวกมู่หลิงเฟิงยิ่งอัดอั้น ไล่ตามมาตลอดทางกลับตามไม่ทันอีกฝ่ายอยู่ตลอด นี่ทำให้พวกเขาโกรธจนแทบกระอักเลือด

พวกเขาเป็นถึงราชันกึ่งระดับเชียวนะ!

แต่ตอนนี้ขนาดเด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะผู้หนึ่งยังตามไม่ทัน นี่ช่างเป็นความอัปยศ หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปต้องทำให้พวกเขาอับอายแน่

“แย่ล่ะ! กำลังจะค่ำแล้ว!”

ทันใดนั้นชางหลันเสวี่ยพลันเอ่ยปาก ใบหน้างามบิดเบี้ยว

ครู่เดียวสีหน้าของมู่หลิงเฟิงกับจินตู้เจินก็อึมครึมหาใดเทียบทันที

เมื่อรัตติกาลมาเยือน สมรภูมิกระหายเลือดก็แปรเปลี่ยนเป็นน่ากลัวกว่าตอนกลางวันร้อยเท่า โดยเฉพาะในป่าต้นหม่อนที่ลี้ลับและอันตรายแห่งนี้ก็ยิ่งน่ากลัว

ต่อให้เป็นพวกเขาราชันกึ่งระดับ เมื่อราตรีมาเยือนก็ทำได้เพียงจำศีล ไม่กล้าบุ่มบ่ามตามอำเภอใจ

รัตติกาล อีกไม่นานก็จะมาเยือนแล้ว

ฟ้าดินปกคลุมไปด้วยบรรยากาศกดดันและน่าหวาดผวา พาให้คนขนหัวลุก

“ไม่เป็นไร ถ้าเจ้าเด็กนี่ไม่อยากตายโหงต้องไม่กล้าเคลื่อนไหวต่อแน่ พวกเราหยุดเถอะ ข้าระบุกลิ่นอายของมันได้แล้ว ต่อให้มันจะกำบังตัวก็เสียแรงเปล่า!”

ในที่สุดมู่หลิงเฟิงก็ตัดสินใจเด็ดขาด ราตรีที่กำลังมาเยือนทำให้เขาเองก็กระสับกระส่าย รู้สึกถึงกลิ่นอายอันตรายที่แอบแฝงอยู่

“ก็คงทำได้แค่นี้ล่ะ” ถึงแม้ชางหลันเสวี่ยกับจินตู้เจินจะไม่เต็มใจ แต่เพื่อความปลอดภัยก็ทำได้เพียงยินยอม

ถึงกระนั้นที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจก็คือ เด็กหนุ่มที่อยู่ด้านหน้ากลับไม่มีความคิดจะหยุดพักเลยสักนิด ในค่ำคืนมืดมัวไร้ขอบเขตเช่นนี้ ไม่นานก็หนีไปไกลจนลับตาแล้ว

“นี่…” มู่หลิงเฟิงอึ้งไป “เจ้าสวะตัวจ้อยนี่ไม่อยากอยู่แล้วจริงๆ หรือ”

“เห็นชัดว่าเขารับรู้ได้ว่า หลังจากมืดแล้วถึงจะเป็นโอกาสเพียงหนึ่งเดียวที่จะหนีพ้นการตามฆ่าของพวกเราได้!”

ชางหลันเสวี่ยชิงชังจนกัดฟัน “ทำอย่างไรดี จะตามไปหรือไม่”

จินตู้เจินลังเลเสียแล้ว กำลังใคร่ครวญถึงข้อดีข้อเสียและอันตรายอยู่

“พวกเดรัจฉานเฒ่า ทำไมไม่ตามมาเล่า แน่จริงก็มาสู้กันสิ!”

และในตอนนี้เอง เสียงตะโกนของหลินสวินก็ดังขึ้นโดยพลันท่ามกลางราตรีไกลออกไป

ยังไม่ทันขาดคำ ศรแห่งนภาครามก็เค้นพลานุภาพน่าหวาดหวั่นคับฟ้า บดขยี้ห้วงกาศโครมคราม พุ่งระเบิดออกมา

ชั่วพริบตานี้พวกมู่หลิงเฟิงเดือดดาลกราดเกรี้ยว โมโหจนแทบเต้น ไอ้เด็กเมื่อวานซืนนี่ไม่มีทางไปแล้ว แต่ยังกล้าท้าทายและโต้กลับตอนนี้เชียวหรือ

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด