Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 756 อำนาจทั่วนครหลวง มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 756 อำนาจทั่วนครหลวง มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 756 อำนาจทั่วนครหลวง มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น
โดย
ProjectZyphon
หลินสวินจะไปแล้ว!

หลายวันมานี้ข่าวนี้แพร่ในนครต้องห้ามอย่างดุเดือด กลายเป็นประเด็นร้อนที่เหล่าขุมอำนาจและผู้ฝึกปราณสายต่างๆ ติดตามมากที่สุด

“เฮ้อ ข้ารู้อยู่นานแล้ว ว่าเด็กหนุ่มผู้กล้าอย่างคุณชายหลินไม่มีทางอยู่ในจักรวรรดินานแน่”

“คุณชายไร้เทียมทาน อำนาจทั่วนครหลวง ถ้าคุณชายหลินจากไปแล้ว กลัวว่าฉายานี้คงไม่มีใครมีสิทธิ์ครอบครองอีกแล้ว”

“ปลากระโดดออกจากมหาสมุทรสู่โลกอันกว้างขวาง ดอกไม้จะเบ่งบานความงดงามในอีกฟากฟ้า แม้คุณชายหลินไปดินแดนรกร้างโบราณอันลึกลับและกว้างใหญ่นั่น ก็ไม่มีทางไม่มีชื่อเสียง!”

ผู้ฝึกปราณมากมายบ้างเสียดาย บ้างให้คำอวยพร

สำหรับหลินสวิน ผู้ฝึกปราณหลายคนมีจิตใจที่ชื่นชมและยกย่อง เด็กหนุ่มผู้มาจากชายแดนซีหนาน กลับพัฒนาอย่างรุ่งโรจน์ตลอดทาง ผงาดขึ้นในนครต้องห้ามอย่างแข็งกร้าว สุดท้ายกลายเป็นเด็กหนุ่มผู้กล้าที่คนทั่วหล้าจับตามอง

ความโดดเด่นระดับนี้ใครจะเทียบได้

และตำนานเกี่ยวกับหลินสวินยิ่งนับไม่ถ้วน ถึงตอนนี้ยังคงเผยแพร่อยู่ในนคร เป็นที่พูดถึงไม่รู้เบื่อ

เด็กหนุ่มระดับนี้จะไม่ให้คนตกใจหรือตะลึงได้อย่างไร

ตอนนี้เขากำลังจะออกจากจักรวรรดิไปแสวงมรรคาในดินแดนรกร้างโบราณ แน่นอนว่าย่อมทำให้ผู้คนอาลัยอาวรณ์อยู่บ้าง หากเด็กหนุ่มผู้กล้าคนนี้จากไป ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะกลับมา เท่ากับว่าต่อไปบุคคลระดับตำนานในนครต้องห้ามจะน้อยลงไปคนหนึ่ง!

“ฮ่าๆๆ ฟ้ามีตา ในที่สุดเจ้าคนป่าเถื่อนราวกับเทพมารนั่นก็ไปเสียที!”

“ขืนเขายังไม่ไป ในใจข้าต้องปรากฏเงามืดแน่ ในบรรดาคนรุ่นเยาว์มีเขาอยู่ ย่อมไม่มีวันที่เราจะได้จรัสแสงได้อย่างเต็มที่”

“ไปซะได้ก็ดี! ข้าเพียงหวังว่าชาตินี้เขาจะไม่กลับมาอีก หลายปีที่ผ่านมานับตั้งแต่เขาเข้าสู่นครต้องห้ามก็เปรียบเสมือนดาวมารไม่มีผิดเพี้ยน ก่อเรื่องฆ่าคนไปทั่ว สร้างความวุ่นวายไม่จบสิ้น น่าปวดหัวจริงๆ”

และขุมอำนาจรวมทั้งผู้ฝึกปราณบางส่วนที่เคยมีความแค้นกับหลินสวิน ตอนที่ได้ยินว่าหลินสวินกำลังจะจากไป แต่ละคนต่างดีใจจนแทบคลั่ง พากันฉลองยิ่งใหญ่ อยากจะดื่มให้เมาเพื่อปลดปล่อยความสุขในใจจนแทบรอไม่ไหวแล้ว

ในตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอย่างพวกตระกูลฉือ ตระกูลจั่วและตระกูลฉิน บรรยายในช่วงนี้ล้วนเต็มไปด้วยความปลื้มปิติ เหมือนกำลังเฉลิมฉลองเทศกาลอย่างไรอย่างนั้น

ช่วยไม่ได้ เมื่อก่อนมีหลินสวินอยู่ ทำให้พวกเขาแทบจะกินไม่ได้นอนไม่หลับ ในใจจะถูกเงามืดบดบังอยู่แล้ว

ตอนนี้หลินสวินกำลังจะจากไป พวกเขาจะไม่ดีใจได้อย่างไร

นี่ก็เหมือนการส่งเทพเจ้าแห่งโรคระบาดจากไป ทำให้ขุมอำนาจที่เป็นปรปักษ์ดีใจมากจนเกือบร้องไห้

“เพียงแค่ออกเดินทางไปยังดินแดนรกร้างโบราณเท่านั้น ก็สร้างความฮือฮาและเป็นที่สนใจขนาดนี้แล้ว ทั่วทั้งจักรวรรดิคงมีเพียงหลินสวินคนเดียวเท่านั้นที่มีอิทธิพลเช่นนี้”

ส่วนพวกคนนอกที่ไม่มีความแค้นและไม่ถึงกับสนิทหรือชื่นชมหลินสวิน ต่างอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจเช่นนี้ออกมา

จริงอย่างว่า ถ้าเป็นผู้ฝึกปราณทั่วไปอย่าว่าแต่จากไปเลย แม้ตายคงยังไม่มีใครสนใจ

แต่หลินสวินนั้นเห็นได้ชัดว่าแตกต่างโดดเด่น

เขาในตอนนี้ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วฟ้า โดดเด่นในจักรวรรดิ ทุกการกระทำล้วนส่งผลกระทบต่อจิตใจผู้ฝึกปราณ ไม่อยากเป็นที่สนใจยังยาก

……

ปังๆๆ!

ในหอสุรามีกลุ่มผู้ฝึกปราณกำลังทะเลาะกันเอง ทุบโต๊ะเก้าอี้จนแหลกละเอียด สถานการณ์สับสนวุ่นวาย

“มารดามันเถอะ แน่จริงพวกเจ้าก็ว่าร้ายคุณชายหลินอีกคำดูสิ”

“หนอย หลินสวินนั่นเป็นมารปีศาจป่วนโลก ตอนนี้เขากำลังจะไปแล้ว เราฉลองสักหน่อยจะเป็นไรไป ไม่อนุญาตให้ใครพูดงั้นรึ”

เห็นได้ชัดว่าฝั่งหนึ่งเป็นคนที่ยกย่องสรรเสริญหลินสวิน อีกฝั่งหนึ่งเป็นคนที่อยากรีบไล่หลินสวินออกจากนครต้องห้ามแทบรอไม่ไหวแล้ว และนี่ก็คือเหตุผลของสองฝ่ายที่ทะเลาะกัน พาให้หัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้

ทีแรกหลินสวินดื่มอยู่กับกู่เหลียง เห็นเช่นนี้ก็อดลุกขึ้นอย่างจนปัญญาไม่ได้ หมุนตัวเดินออกไป

“ฮ่าๆ คิดไม่ถึงเลยว่าอิทธิพลของเจ้าในตอนนี้ยิ่งใหญ่ถึงขั้นนี้แล้ว”

หลังเดินออกจากหอสุรา กู่เหลียงหัวเราะลั่นอย่างกลั้นไม่อยู่

หลินสวินเองก็ขัดเคืองใจเล็กน้อย เดิมทีเขาคิดว่าจะจากไปเงียบๆ แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้แล้ว

ทั้งสองถือไหเหล้า ทำได้เพียงเดินเล่นไปพลางดื่มไปพลาง

เพียงแต่ระหว่างทางกลับมีความวุ่นวายเกิดขึ้นไม่ขาดสาย เจอผู้ฝึกปราณที่บ้างก็โต้เถียง บ้างก็ถลกแขนเสื้อหาเรื่อง ทะเลาะกันจนพวกสถานที่อย่างหอสุรา โรงน้ำชาและหอนางโลมเกิดความขัดแย้งอย่างต่อเนื่อง ดูครื้นเครงอย่างมาก

และเหตุผลล้วนเหมือนกัน เป็นการประลองฝีมือระหว่างผู้ฝึกปราณที่สนับสนุนและชื่นชมหลินสวินกับที่คนไม่สนับสนุนและไม่ชื่นชมหลินสวิน

หลินสวินเองก็ปวดหัวไม่ได้ อารมณ์จะดื่มก็หายไปแล้ว

เขาถึงขั้นสงสัยว่าถ้าตนอยู่ต่ออีกสักสองสามวัน ในนครต้องห้ามคงทะเลาะกันจนสับสนวุ่นวายแน่

“เสี่ยวฮวา เจ้าอย่าดูถูกข้า โตขึ้นข้าจะกลายเป็นชายที่ยิ่งใหญ่ค้ำฟ้าเหมือนคุณชายหลิน!”

ระหว่างทางกลุ่มเด็กน้อยกลุ่มหนึ่งกำลังหยอกล้อทะเลาะวิวาท เด็กน้อยขี้มูกโป่งคนหนึ่งพูดกับเด็กหญิงอีกคนอย่างจริงจัง “ตอนนี้เพียงแค่เจ้ารับปากว่าจะเล่นกันข้า ในอนาคตเมื่อข้ากลายเป็นผู้กล้าไร้เทียมทานแห่งยุคแล้ว ข้าจะให้เจ้าเป็นผู้หญิงของข้า”

เด็กหญิงมัดผมชี้ฟ้า สวมเสื้อลายดอก เอามือเท้าเอวอย่างมาดมั่นยิ่ง พลันกลอกตาพูด “จางเสี่ยวฝาน เจ้าตัดใจซะเถอะ ข้าได้ข่าวว่าจนตอนนี้พี่หลินสวินยังไม่แต่งงาน รอข้าโตขึ้นจะต้องแต่งให้พี่หลินสวินแน่ ส่วนเจ้า… หึ เช็ดน้ำมูกให้สะอาดก่อนแล้วค่อยมาคุยโว!”

สีหน้าของกู่เหลียงพิกลขึ้นมาทันที แม้แต่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมตัวเท่านี้ยังเห็นหลินสวินเป็นคู่ต่อสู้งั้นหรือ

คนรุ่นหลังเหนือล้ำกว่าก่อนจริงๆ!

“เก่งจริงพี่ชายข้า เจ้ายังมีคนรู้ใจรุ่นเยาว์อีกคน” กู่เหลียงสีหน้าขบขัน ขยิบตาล้อหลินสวิน

หลินสวินตอบกลับเพียง “ไสหัวไป!”

จากนั้นเขาก็หิ้วไหเหล้ารีบหนีออกจากที่นั่น เด็กน้อยเหล่านั้นพูดอย่างไม่กลัวเกรง เขากังวลว่าจะได้ยินคำพูดไม่เข้าท่าอะไรอีก

“ในอนาคตเมื่อเข้าสู่ดินแดนรกร้างโบราณ เจ้าคบเพื่อนให้มากๆ จะได้ไม่โดดเดี่ยวเหมือนตอนนี้…”

เห็นหลินสวินที่เดินอยู่ท่ามกลางผู้คนในระยะไกล กู่เหลียงกลับถอนหายใจทีหนึ่ง

ใต้หล้านี้คนที่รู้ชื่อเสียงของหลินสวินมีเยอะเหมือนขนวัว แต่จนถึงตอนนี้คงยังไม่มีใครที่เข้าใจหลินสวินได้อย่างแท้จริง

เขาเดินออกจากภูเขานับแสนของชายแดนซีหนานตัวคนเดียว ผจญภัยบนโลกเพียงลำพัง เหยียบย่างผ่านเมืองตงหลิน เมืองหมอกอำพราง ค่ายกระหายเลือดและนครต้องห้าม

เคยไปที่ทะเลกลืนวิญญาณ เคยเข้าไปในสมรภูมิกระหายเลือด แต่ในทุกๆ ครั้งเขามักเดินทางคนเดียว

คนบนโลกล้วนตะลึงกับชื่อเสียงนี้ มองเห็นเพียงด้านที่รุ่งโรจน์และสดใส ความโดดเดี่ยวที่จารึกไว้เบื้องหลังจะมีสักกี่คนที่รู้

โดดเดี่ยว!

นี่คือภาพจำที่หลินสวินทิ้งไว้ให้กู่เหลียง

บางทีกู่เหลียงคิดว่า นี่อาจจะเรียกว่ายิ่งสูงยิ่งเหน็บหนาว

แม้จะเป็นเพื่อน แต่กู่เหลียงกลับไม่เคยรู้ว่าหลินสวินคิดอะไรอยู่กันแน่ และแบกความกดดันที่ไม่มีใครรู้ไว้มากเท่าไหร่

ห่างออกไป หลินสวินมุ่งหน้าไปเพียงลำพัง ชุดสีขาวพระจันทร์ ผมสีดำขลับสยายลู่ลง ในมือถือไหเหล้าสีคราม รูปร่างผ่าเผย เดินอยู่ท่ามกลางผู้คนแล้วดูสง่างามอย่างมาก

เพียงแต่กู่เหลียงกลับยิ่งรู้สึกว่า หลินสวินที่เดินอยู่ห่างไปเพียงลำพังนี้ ดูแตกต่างกับทุกสิ่งที่จอแจพลุกพล่านอย่างมาก

นี่ก็คือการฝึกปราณหรือ

บางทีสิ่งที่เขาตามหา อาจจะหลุดพ้นเหนือโลกีย์ก็เป็นได้

กู่เหลียงส่ายหน้าแล้วรีบตามไป

……

เช้าตรู่สองวันหลังจากนั้น ท้องฟ้าเพิ่งเริ่มสว่าง

เมื่อคืนหิมะตก ทั้งนครต้องห้ามถูกปกคลุมภายใต้โลกสีขาวโพลน เป็นประกายพร่างพราว มีกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์แบบหนึ่ง

ตอนที่หลินสวินเดินออกจากประตูภูเขาชำระจิต จ้าวไท่ไหลรออยู่ที่นั่นแล้ว

หลังจากทักทายกัน หลินสวินอดหันกลับไปมองภูเขาชำระจิตที่อยู่ด้านหลังไม่ได้ สุดท้ายก็หมุนตัวกลับมาเงียบๆ ก้าวเท้าขึ้นเกี้ยวสมบัติไป

“หิมะเต็มนคร ช่างเป็นภาพที่สวยงาม!”

จ้าวไท่ไหลหัวเราะเสียงดัง แล้วบังคับเกี้ยวสมบัติพุ่งเข้ากลางพายุหิมะ

“รักษาตัว!”

หน้าประตูภูเขาชำระจิต เงาร่างคนกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้น ทั้งหลิงจง พญาแร้ง เสี่ยวเคอ จูเหล่าซานและหลินไหวหย่วน… ต่างเฝ้ามองเกี้ยวสมบัติคันนั้นค่อยๆ ห่างออกไป สุดท้ายหายไปท่ามกลางหมอกหิมะขาวโพลน

หลังจากหลินสวินไปคราวนี้ ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ สำหรับคนตระกูลหลินเหล่านี้แล้ว อย่างไรก็ต้องมีความอาลัยอาวรณ์และห่วงใยอยู่ไม่น้อย

“จิ๊บๆ…”

ในอ้อมอกของเสี่ยวเคอ ดวงตาของเจ้าจิ๊บจิ๊บตัวกลมน้ำตาปริ่ม ไหลพรากลงกลายเป็นหยดน้ำตาที่ราวกับเพชรเพลิง

เจ้าตัวเล็กเองก็เหมือนจะรู้ว่าจะไม่ได้เจอหลินสวินอีกนาน จึงร้องไห้เสียใจมาก

ป๊าบ!

เสี่ยวเคอตบหัวนุ่มนิ่มของเจ้าจิ๊บจิ๊บไปทีหนึ่ง “ร้องไห้อะไร ไม่ได้ตายจากกันสักหน่อย อ่อนไหวจริงๆ เลย”

ทุกคนยิ้มออกทันที ความเศร้าจากการจากลาก็จางไปไม่น้อย

“ดินแดนรกร้างโบราณ กว้างใหญ่เก่าแก่ ไพศาลไม่มีที่สิ้นสุด ที่นั่นมีเผ่าพันธุ์มากมาย มีสำนักโบราณไม่รู้เท่าไหร่ที่ยืนหยัดตั้งแต่บรรพกาลจนถึงปัจจุบัน ยิ่งมีอริยะที่แท้จริงเริงร่ายอยู่ในนั้น…”

เสียงของพญาแร้งแฝงความภาคภูมิใจ “ด้วยคุณสมบัติและรากฐานของหลินสวิน จะต้องสามารถประสบความสำเร็จที่นั่นอย่างแน่นอน ต่อสู้กับผู้กล้ามากมาย จรัสแสงอย่างยิ่งใหญ่!”

ทุกคนได้ยินแล้วต่างเลือดลมพลุ่งพล่าน อวยพรหลินสวินอยู่ในใจ

……

พระราชวัง

พระราชวังในช่วงเช้าตรู่ปกคลุมอยู่ภายใต้หิมะสีขาว เงียบเหงาแต่น่าเกรงขาม บรรยากาศสุดแสนจะอลังการ

เกี้ยวสมบัติคันหนึ่งแล่นผ่านคลื่นหิมะเข้าพระราชวังไป ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยถูกสิ่งใดกีดขวาง สุดท้ายมันจอดนิ่งหน้าแท่นบูชาโบราณหนึ่งในส่วนลึกของพระราชวัง

แท่นบูชาสูงเก้าจั้ง สร้างจากดินห้าสี ตรงกลางประทับภาพเก้าวัง ส่วนบนเชื่อมฟ้า ส่วนล่างเชื่อมดิน มีกลิ่นอายความศักดิ์สิทธิ์และโดดเด่น

ตอนที่หลินสวินเดินออกจากเกี้ยวสมบัติ จ้าวไท่ไหลตบไหล่เขาพร้อมเอ่ย “ไปดี ไม่ส่งล่ะ แล้วพบกันใหม่”

หลินสวินหมดคำพูด แทบจะกลอกตาใส่ จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์นี่ทำชุ่ยๆ เกินไปหรือเปล่า

พลันเห็นจ้าวไท่ไหลบังคับเกี้ยวสมบัติออกไปไกลแล้ว พร้อมกันนั้นเสียงหัวเราะของเขาก็ดังลั่นอยู่ในสายลม “แค่ไปดินแดนรกร้างโบราณเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเสียหน่อย เศร้าเกินไปมันไม่ดี ตรงกันข้าม ข้าอยากรีบได้ยินข่าวดีที่เจ้าป่วนดินแดนรกร้างโบราณแทบไม่ไหวแล้ว! ฮ่าๆๆ”

ป่วนดินแดนรกร้างโบราณ…

หน้าผากหลินสวินพลันปรากฏเส้นเลือดนูนขึ้นมา หรือในสายตาของจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์นั่น ตนเป็นคนที่ก่อเรื่องไปทั่วมาโดยตลอด?

หิมะขาวเรืองรอง กลับไม่เคยปกคลุมแท่นบูชาอันเก่าแก่ลึกลับที่อยู่ตรงหน้า

มันพิเศษมาก มีกลิ่นอายเก่าแก่อันเป็นเอกลักษณ์ ราวกับมีร่องรอยของห้วงอากาศและกาลเวลาแผ่กระจายอยู่บนพื้นผิว ทำให้หลินสวินมีความรู้สึกงงงวยเหมือนพื้นที่เวลาปั่นป่วน

“เจ้ามาแล้ว”

เสียงอันอบอุ่นราบเรียบดังขึ้นโดยพลัน

………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด