Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 766 ละครเด็ดฉากหนึ่ง

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 766 ละครเด็ดฉากหนึ่ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

พวกโม่เฟิงสีหน้าอึมครึมหม่นหมอง

พวกเขาทะยานไปในพื้นที่ห่างไกล กลัวแต่จะถูกศิษย์จากขุมอำนาจอื่นพบเข้า เวลานี้พวกเขาต่างหมดสภาพ หน้าบวมแดงเหมือนหัวหมู

“ไอ้เดรัจฉานตัวนั้นรังแกกันเกินไปแล้ว! ถึงกับกล้าย่ำยีลบหลู่พวกเรา เมื่อกลับไปจะต้องขอให้ผู้อาวุโสของสำนักลงมือแล่เนื้อเถือหนัง บดกระดูกมันให้เป็นผุยผง!”

บางคนเอ่ยขึ้นอย่างอับอายและขุ่นเคือง

“เดรัจฉานตัวนั้นแม้เลวนัก แต่กลับไม่ได้ลงมือฆ่า นี่ดูพิกลอยู่นะ ถ้าข้าคาดเดาไม่ผิด น่าจะเป็นเด็กหนุ่มคนนั้นสั่งการอยู่เบื้องหลัง”

เหวินเฟยหรันเอ่ยวิเคราะห์ นางไม่ได้รับบาดเจ็บ ใบหน้าพริ้งเพรางามเด่น ดูสะดุดตาในหมู่ผู้สืบทอดสำนักมุกวิญญาณที่ใบหน้ายับเยิน

“เป็นลูกไม้ของเด็กหนุ่มนั่นหรือ”

คนอื่นล้วนฉงนใจไม่อาจสงบได้ เมื่อใคร่ครวญโดยละเอียด สภาพการณ์ตอนพวกเขาพบกับงูเหลือมยักษ์วารีทมิฬก็ดูน่าสงสัยชอบกลจริงๆ

เดรัจฉานนั่นปากพร่ำเรียกพวกเขาว่าสวะ ดูถูกดูแคลน ลบหลู่และข่มเหงถึงที่สุด ทั้งยังเตือนพวกเขาว่าภายหลังให้เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตาบ้าง

“หึ! ศิษย์น้องเหวินตาแหลมดังคาดนะ”

โม่เฟิงแค่นหัวเราะหยัน “พวกเราล้วนถูกลบหลู่ มีเพียงเจ้าที่ปลอดภัยดี เกรงว่าจะเป็นเพราะเด็กหนุ่มนั่นรู้ว่าเจ้าใส่ใจเขาอยู่ตลอด จึงสั่งให้เจ้างูเหลือมยักษ์วารีทมิฬออมมือให้เจ้ากระมัง”

เมื่อพูดคำนี้ออกมา คนอื่นก็ล้วนสีหน้าประหลาด สายตาที่มองไปยังเหวินเฟยหรันต่างเปลี่ยนไปแล้ว

เป็นจริงที่ว่าหลายวันนี้เหวินเฟยหรันบอกพวกเขาว่าอย่าต่อต้านเด็กหนุ่มผู้นั้นอยู่ตลอด และตอนนี้พวกเขาล้วนโดนเล่นงาน มีเพียงนางเท่านั้นที่ปลอดภัย นี่ดูไม่ชอบมาพากลอย่างชัดเจน

“ข้า…” ใบหน้างามของเหวินเฟยหรันเปลี่ยนไป กำลังปริปากจะอธิบาย กลับไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี ในใจโกรธเคืองโดยพลัน

“เอาล่ะ ไม่พูดเรื่องนี้ก็แล้วกัน”

โม่เฟิงก็ไม่คิดจะหาเรื่องมากไปกว่านี้ เขาสูดลมหายใจลึกแล้วกล่าวว่า “เรื่องนี้จะรามือเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด ไม่ว่าเจ้าเดรัจฉานนั่นจะถูกเด็กหนุ่มคนนั้นล่อลวงหรือไม่ ก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนเพราะเรื่องนี้!”

คนอื่นพากันพยักหน้า

เมื่อคิดว่าพวกเขาที่เป็นถึงผู้สืบทอดสำนักมุกวิญญาณ กลับถูกอสูรมารตัวหนึ่งย่ำยีจนจำหน้าไม่ได้ พวกเขาก็ทั้งโกรธทั้งอายจนอยากตาย

หากเรื่องนี้กระจายออกไป พวกเขาคงได้กลายเป็นตัวตลกของทั้งแคว้นวิญญาณอัคนี!

“หืม”

ฉับพลัน โม่เฟิงก็หน้าเปลี่ยนสี ในสัมผัสจิตวิญญาณของเขา เห็นว่าในที่ไกลลิบมีเงาร่างที่คุ้นเคยถึงที่สุดร่างหนึ่ง

เป็นเจ้าเด็กหนุ่มนั่น!

นี่ทำให้เขาใจเต้นตึกตัก หรือเจ้าหมอนั่นจะมาเอาคืนพวกเขาอีกแล้ว

ความจริงโม่เฟิงหวาดหวั่นอยู่บ้าง ถูกเอาคืนจนกลัวเสียแล้ว รู้สึกว่าหลินสวินช่างตามหลอกหลอนเหมือนผีร้าย พาให้ผู้อื่นเจ็บปวดใจและพรั่นพรึง

เพียงแต่ไม่นานนักเขาก็สังเกตได้ว่าสถานการณ์ไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคาดคิด

“ที่แท้เขาก็ถูกหยางอวิ๋นตู้แห่งสำนักยุทธ์พันเวทขวางทางอยู่ คราวนี้มีละครฉากเด็ดให้ดูแล้ว เหอะๆ…”

รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าบวมตุ่ยเขียวช้ำนั่น ดูมุ่งร้ายและน่าขัน เพียงแต่ตัวเขาไม่รับรู้ มือใหญ่โบกขึ้นหนึ่งครั้ง “ทุกคน มีละครฉากเด็ดให้ดูแล้ว พวกเจ้าไม่ต้องพูดอะไร ตามข้ามา!”

ไม่นานนักคนอื่นก็สังเกตเห็นหลินสวินที่ถูกขวางทางอยู่ แต่ละคนล้วนยินดีปรีดา มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นอย่างที่สุด

สำนักยุทธ์พันเวทมีบุคคลไร้เทียมทานอย่างเยวี่ยเจี้ยนหมิงสั่งการ ในที่สุดครั้งนี้เจ้าเด็กนั่นก็โชคร้ายแล้ว!

พวกเขาเข้าไปใกล้อย่างลับๆ ล่อๆ หมายจะดูละครฉากเด็กฉากหนึ่ง

……

กลางป่า เมื่อเห็นว่าหลินสวินปฏิเสธตนทันควัน ทำให้ชายชุดขาวประหลาดใจ ออกจะงงงวย จากนั้นสีหน้าก็เคร่งขรึม “เจ้าถึงกับกล้าปฏิเสธข้าหรือ”

หลินสวินหัวเราะ อดไม่ได้เอ่ยว่า “เหตุใดข้าจะปฏิเสธไม่ได้เล่า เจ้าไปเอาความมั่นใจมาจากใคร ถึงได้กล้าชี้นิ้วสั่งข้าตามใจชอบ”

ชายชุดขาว หรือก็คือหยางอวิ๋นตู้แห่งสำนักยุทธ์พันเวทกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ไว้หน้าให้ก็ไม่เอาใช่ไหม เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้า…”

เพี๊ยะ!

ไม่ทันขาดคำ หลินสวินก็ตวัดฝ่ามือข้างหนึ่งแหวกอากาศไปตบหน้าหยางอวิ๋นตู้เสียงดังกังวานจนใบหน้าบวมแดง ร้องโหยหวนกระเด็นออกไปทันควัน ภาพตรงหน้าพร่ามัวเลือนราง

“อย่างเจ้าก็กล้าสบประมาทข้าหรือ”

ดวงตาสีดำของหลินสวินเยียบเย็น ยามแรกเข้ามาในดินแดนรกร้างโบราณ เดิมคิดเขาคิดจะเคลื่อนไหวอย่างไม่หวือหวา แต่กลับพบว่ายิ่งเรียบง่ายเท่าไรก็ยิ่งถูกผู้อื่นดูเบาเท่านั้น

อย่างพวกโม่เฟิงก่อนหน้านี้ก็เป็นเช่นนี้

ชายชุดขาวที่มาจากสำนักยุทธ์พันเวทตรงหน้าคนนี้ก็เช่นกัน ล้วนมีท่าทีชูคอหยิ่งผยอง ทำให้หลินสวินคิดจะทำตัวเรียบง่ายยังทำไม่ได้

จู่ๆ เขาก็นึกถึงคำหนึ่งที่จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิจื่อเย่าบอกเขา ‘สู้!’

ต้องสู้ เดินหน้าไปอย่างองอาจ ไม่หวั่นความยากลำบากนานัปการ!

หากไม่เตรียมตัวเช่นนี้ ยังจะพูดว่าจะไปช่วงชิงมหามรรคกับหมื่นผู้กล้าเมื่อมหาสงครามอุบัติขึ้นได้อย่างไร

“เจ้า… ถึงกับกล้าตบข้าหรือ”

ชายชุดขาวคนนั้นกราดเกรี้ยว มือกุมใบหน้าที่บวมแดง ท่าทางไม่อาจทำใจเชื่อได้

ไกลออกไปพวกโม่เฟิงก็ตาเบิกกว้าง สูดหายใจเยียบเย็น เด็กหนุ่มคนนี้ป่าเถื่อนถึงเพียงนี้ พูดไม่เข้าหูหน่อยก็ตบหยางอวิ๋นตู้เลยหรือ

ที่ทำให้พวกเขาหวาดหวั่นที่สุดก็คือ หยางอวิ๋นตู้นับเป็นคนโดดเด่นในระดับหยั่งสัจจะที่ทรงพลังกล้าหาญถึงที่สุดคนหนึ่ง แต่กลับไม่สามารถตั้งรับฝ่ามือเดียวได้ นี่ช่างน่าสะท้านขวัญนัก

“ถ้ากล้าสบประมาทข้าอีก เชื่อหรือไม่ว่าข้ายังกล้าฆ่าเจ้า”

หลินสวินพูดอย่างรายเรียบ ดวงตากลับแผ่ไอสังหารเย็นชาเหี้ยมเกรียม กลิ่นอายน่าหวาดกลัวไร้รูปแผ่ขยายออกมาจากร่างของเขา

หยางอวิ๋นตู้ตกใจกลัวตัวสั่นเทา รู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่ไม่เคยมีมาก่อนจนแทบหายใจไม่ออก

ในสายตาของเขา เด็กหนุ่มหล่อเหลาที่อยู่ไกลออกไปผู้นั้นเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน ไอสังหารไหลทะลักราวกระแสน้ำ เหมือนราชันที่เดินออกมาจากภูเขาศพทะเลเลือด น่าสยดสยองยิ่ง

ชายชุดขาวสั่นระริกไปทั้งตัว กัดฟันเสียงกึกกัก ขวัญหนีดีฝ่อขนหัวลุกเกรียว รู้สึกหวาดผวายิ่งนัก

แม้เขาจะอวดดีอยู่บ้างแต่ตาก็ยังมีแวว ชั่วพริบตาก็ชี้ชัดได้ว่าครั้งนี้เตะถูกแผ่นเหล็กเสียแล้ว

เด็กหนุ่มคนนั้นเป็นคนธรรมดาเสียที่ไหน เห็นได้ชัดว่าเป็นคนร้ายกาจที่เคยก่อพายุฝนคาวเลือดไม่รู้ตั้งเท่าไร!

และครั้งนี้พวกโม่เฟิงก็รับรู้ได้ถึงความน่ากลัวของหลินสวินในที่สุด แม้ห่างไปไกลลิบ แต่เมื่อรู้สึกถึงไอสังหารน่าครั่นคร้ามที่อบอวลไปทั้งร่างของหลินสวินในตอนนี้ ก็ทำให้พวกเขาขนลุกขนพอง สติไม่อยู่กับตัว

แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!

ตอนนี้พวกเขาถึงเพิ่งรู้ว่า การกระทำของหลินสวินก่อนหน้านี้ แทนที่จะพูดว่ากำลังคิดบัญชีพวกเขาอยู่ ให้พูดว่าตั้งใจเย้าแหย่เสียดีกว่า!

เพราะแค่ไอสังหารและพลานุภาพเช่นนี้ หากคิดจะเอาคืนพวกเขาก็ไม่เห็นต้องมากความขนาดนี้เลย สู้ตรงๆ ก็สามารถกำราบพวกเขาได้แล้ว!

ต่อให้เป็นโม่เฟิงที่เย่อหยิ่งจองหอง อวดดีหาใดเทียบ ตอนนี้ก็ต้องยอมรับจุดนี้

นี่ทำให้พวกเขาหนาวเยือกในใจ เดิมทีพวกเขายังคิดว่าจะเอาคืนหลินสวินอย่างไรดีอยู่เลย แต่ตอนนี้พวกเขากลับไม่แน่ใจเสียแล้ว

“ต่อให้เขาป่าเถื่อนแค่ไหน ครั้งนี้ก็ก่อปัญหาใหญ่โตแล้ว หยางอวิ๋นตู้เป็นหนึ่งในคนที่เยวี่ยเจี้ยนหมิงเชื่อใจที่สุด มีหรือจะตบตีเขาได้ง่ายๆ”

โม่เฟิงกัดฟัน “รอดูเถอะ เด็กนี่ทำเช่นนี้ ต้องเจอการเอาคืนของเยวี่ยเจี้ยนหมิงแน่!”

คล้ายเป็นการตอบรับการคาดเดาของเขา ไม่ทันไรบริเวณที่ห่างออกไปก็มีเสียงแหวกอากาศดังขึ้น

รุ้งเทพสีทองเจิดจ้าสายหนึ่งพาดผ่านอากาศมาราวสะพานโค้ง โปรยปรายละอองแสงดุจภาพนิมิต ก็เห็นว่ามีเงาร่างของชายหญิงกลุ่มหนึ่งยืนตระหง่านอยู่เหนือรุ้งเทพ

ผู้ที่นำหน้ามาเป็นชายหนุ่มที่ผมยาวระไหล่ สวมอาภรณ์สีม่วง เอวคาดเข็มขัดหยก โครงร่างสูงใหญ่ ท่วงท่าปราดเปรียวผู้หนึ่ง

เขามีคิ้วตรงแน่วดังกระบี่ ดวงตาเป็นประกายดั่งดารา รูปลักษณ์หล่อเหล่ายิ่งนัก ผิวพรรณเปล่งปลั่งเกลี้ยงเกลาเหมือนหยกมันแพะ เวลานี้ขี่รุ้งเทพมาเยือน ช่างเหมือนเทพจากสวรรค์ลงมาเยือนโลกา อิริยาบถเหนือธรรมดาถึงที่สุด

เมื่อเทียบกับเขาแล้ว ชายหญิงคนอื่นที่อยู่ข้างกายล้วนดูหมองลงทันตา ด้วยถูกรัศมีของเขาบดบังจนสิ้น ยิ่งขับเน้นให้เขาโดดเด่นขึ้นไปอีก

เยวี่ยเจี้ยนหมิง!

พวกโม่เฟิงจิตใจสั่นไหว ความรู้สึกสับสนปนเป นี่เป็นผู้กล้าไร้เทียมทานที่น่าจับตามองที่สุดคนหนึ่งในแคว้นวิญญาณอัคนีของพวกเขา พรรสวรรค์ล้ำเลิศหาใดเทียบ เปรียบเสมือนผู้นำในหมู่คนรุ่นเยาว์ของสี่สำนักสามตระกูล

ขณะเดียวกัน คนผู้นี้ก็เป็นคู่ต่อสู้ที่พวกโม่เฟิงกริ่งเกรงที่สุดคนหนึ่ง ความแข็งแกร่งทางศักยภาพของเยวี่ยเจี้ยนหมิง ในหมู่คนรุ่นเยาว์บรรยายได้ด้วยคำว่า ‘ล้ำลึกไม่อาจคาดเดา’ เท่านั้น!

ตั้งแต่เขาเริ่มเข้าสู่เส้นทาง ในบรรดาคนรุ่นเดียวกันแทบไม่มีผู้ใดสามารถบดบังรัศมีเขาได้

“เยวี่ยเจี้ยนหมิงมาแล้ว ครั้งนี้มีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว ต่อให้เจ้าหนุ่มนั่นป่าเถื่อนแค่ไหน เกรงว่าก็ต้องถูกเยวี่ยเจี้ยนหมิงกำราบ”

ความรู้สึกของพวกโม่เฟิงซับซ้อนนัก พวกเขาหวาดกลัวและไม่พอใจเยวี่ยเจี้ยนหมิง แต่ก็หมายให้เขาสำแดงฤทธาสังหารหลินสวิน

“ศิษย์พี่เยวี่ย!”

ไกลออกไป หยางอวิ๋นตู้ร้องโอดครวญแต่สีหน้ากลับปรีดา ใบหน้าแจ่มใส สายตาที่มองไปยังหลินสวินมีความเคียดแค้น

เยวี่ยเจี้ยนหมิงมาพร้อมกับศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นๆ แล้ว นี่ย่อมทำให้หยางอวิ๋นตู้ใจชื้น จิตใจมั่นคงมากอย่างไม่ต้องสงสัย

หลินสวินก็ชำเลืองมองเยวี่ยเจี้ยนหมิงเช่นกัน แต่สีหน้ากลับเรียบเฉยไม่หวั่นไหวดังเดิม เขาถึงขั้นรู้อยู่ก่อนแล้วว่าห่างออกไปพวกโม่เฟิงกำลังรอดูเรื่องตลกจากตนอย่างลับๆ

สำหรับหลินสวินแล้ว เรื่องเหล่านี้ไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่อะไร

ในกาลก่อนหน้านี้ เขาเคยถูกสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันกลุ่มหนึ่งตามฆ่า ทั้งยังเคยประมือกับผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติชั้นยอด ขนาดราชันกึ่งระดับยังเคยปลิดชีพไปไม่น้อย มีหรือจะสนใจการเพ่งเล็งและข่มขู่ของคนรุ่นเยาว์เหล่านี้

พูดได้ว่าหลินสวินในตอนนี้ในแง่พลังปราณกับอายุอาจจะไม่ต่างกับคนรุ่นเดียวกัน ถือเป็นผู้ฝึกปราณรุ่นเยาว์ แต่ในแง่ประสบการณ์และการต่อสู้ เขายืนอยู่ในจุดที่สูงชั้นกว่านานแล้ว ยืนมองทุกสิ่งที่แปรเปลี่ยนเป็นเล็กจ้อยจากมุมสูง!

นี่ก็คือมกุฎมรรคา ประหนึ่งราชันแห่งระดับผู้หนึ่ง ยืนตระหง่านเหนือหมู่เมฆา เบื้องบนสามารถเย้ยฟ้าโค่นล้ม เบื้องล่างสามารถโอหังเหนือทุกสิ่ง!

ทว่าแม้ในใจจะราบเรียบไม่หวั่นไหว แต่เมื่อได้เห็นเยวี่ยเจี้ยนหมิงก็ยังคงทำให้เขาอดตกตะลึงไม่ได้อยู่บ้าง

แค่จากบุคลิกของอีกฝ่ายก็ทำให้เขาตัดสินได้ว่า เยวี่ยเจี้ยนหมิงคนนี้เป็นผู้โดดเด่นที่พบเห็นได้ยากผู้หนึ่ง

สมัยหลินสวินอยู่ในโลกชั้นล่าง ได้เห็นอัจฉริยะ ผู้มีพรสวรรค์ ผู้มีความสามารถโดดเด่นและบุตรเทพต่างๆ มามาก ย่อมสามารถดูสิ่งที่ผู้อื่นมองไม่เห็นออก

ก็เหมือนกับเยวี่ยเจี้ยนหมิงคนนี้ ตามการสันนิษฐานของเขา เมื่อเทียบกับชิงเจ๋อผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าแล้วก็ไม่แตกต่างกันเท่าไร

แม้ว่าชิงเจ๋อจะแพ้คามือเขา แต่ดีร้ายอย่างไรก็เป็นศิษย์สืบทอดคนหนึ่งในสำนักกระบี่เทียมฟ้า พรสวรรค์ล้ำเลิศ รากฐานหนาแน่น

และในสถานที่อย่างแคว้นวิญญาณอัคนีแห่งแดนฐิติประจิม ในสำนักยุทธ์พันเวทที่เป็นได้แค่เจ้าถิ่นในแคว้นหนึ่งนี้ กลับสามารถอบรมบ่มเพาะผู้โดดเด่นอย่างเยวี่ยเจี้ยนหมิงออกมาได้ ย่อมต้องทำให้เขาประหลาดใจอยู่บ้าง

นี่ก็เหมือนพบมัจฉาทองตัวหนึ่งในสระน้ำที่ไม่ได้ใหญ่อะไร เป็นสิ่งที่ไม่สมควรอยู่ในสระ ไม่ช้าก็เร็วจะต้องแปลงกายเป็นมังกรและจากไป

ระหว่างที่หลินสวินกำลังขบคิดอยู่ พวกเยวี่ยเจี้ยนหมิงก็มาถึงอย่างรวดเร็ว

“ศิษย์พี่เยวี่ย เมื่อกี้นี้เจ้าเด็กนั่น…” หยางอวิ๋นตู้รีบร้อนก้าวมาข้างหน้าแล้วบอกเล่าอย่างใส่สีตีไข่ หมายจะให้เยวี่ยเจี้ยนหมิงลงมือกำราบหลินสวินทันที

เพียงแต่ยังไม่ทันพูดจบก็ได้ยินเสียงดังเพี๊ยะ หยางอวิ๋นตู้ถูกตบหน้าจนโซซัดโซเซเกือบล้มลงไปกับพื้น

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด