Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 797 ขบวนวิญญาณมายาทมิฬ

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 797 ขบวนวิญญาณมายาทมิฬ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ขอรับ!”

สุดท้ายโม่เฟิงพยักหน้ารับคำอย่างยากลำบาก คำสั่งอาจารย์ยากฝ่าฝืน แม้ใจเขาคัดค้านนักแต่ไม่อาจไม่ทำตาม

บางครั้งชีวิตคนเราก็เป็นเช่นนี้ เรื่องไม่สมปรารถนาล้วนมีมากมาย!

ทว่าขณะโม่เฟิงลุกขึ้น พลันเห็นว่าทางเข้าโรงเตี๊ยมซึ่งอยู่เยื้องกันมีเงาร่างคุ้นตาหนึ่งเดินออกมา เป็นเด็กหนุ่มนั่น!

ข้างกายเขามีเด็กสาวคนหนึ่งติดตามมาด้วย นั่นคือซย่าเสี่ยวฉง โม่เฟิงรู้จักเป็นอย่างดี

ดึกดื่นป่านนี้พวกเขาจะไปไหนกันอีก

โม่เฟิงมึนงง

“ดูเหมือนพวกเขาจะจากไปสินะ”

ด้านข้าง หานเหยียนเชวียเองก็หยัดกายลุกขึ้น หน้ากากสีขาวเงินเจือกลิ่นอายแปลกประหลาดภายใต้แสงตะเกียงสลัวในโรงน้ำชา

“ไม่มีธุระของเจ้าแล้ว เจ้ารอฟังข่าวอยู่ที่นี่เถอะ”

หานเหยียนเชวียพูดพลางก้าวออกจากโรงน้ำชา แฝงตัวตามท้องถนนอยู่หลังหนุ่มสาวคู่นั้นอย่างเงียบเชียบ

ตุ้บ!

เห็นดังนี้โม่เฟิงก็นั่งอย่างไร้เรี่ยวแรงอยู่ตรงนั้น สีหน้าหดหู่ อารมณ์เขาสับสนนัก พูดไม่ออกว่าควรดีใจหรือโศกเศร้าดี

บางทีนี่อาจเป็นชีวิตที่ตนต้องเผชิญ

ดึกสงัด โคมไฟยาวไร้สิ้นสุด

หลินสวินรีบเร่งก้าวเดินบนท้องถนน จิตใจวิตกกังวลอยู่บ้าง นึกถึงท่าทางอมยิ้มและเงียบสงบของลิ่นเหวินจวินก่อนลาจาก เขาพลันทอดถอนใจอยู่ภายใน

“พี่หลินสวิน อย่างที่ข้าพูดไม่ผิดใช่ไหม อาจารย์ข้าไม่มีทางผิดนัดอยู่แล้ว”

ซย่าเสี่ยวฉงเอ่ยปากหัวเราะคิกคัก ความเจิดจ้าบนหน้าน้อยไร้เดียงสาท่ามกลางรัตติกาลเหมือนจะสะดุดตาเป็นพิเศษ

เด็กสาวยังคงมีทีท่าไร้วิตกกังวล ไม่รู้สักนิดว่าการเดินทางของนางครานี้ อาจไม่ได้พบอาจารย์ของนางอีก…

นี่ทำให้ในใจหลินสวินเกิดความสงสารเหลือจะเอ่ย

ตัวเขาเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกท่านลู่เลี้ยงดูจนเติบใหญ่มากับมือ ตอนนั้นเคยผ่านประสบการณ์จากลากับท่านลู่มาก่อน ด้วยเหตุนี้จึงเข้าใจความเจ็บปวดรวดร้าวซึ่งอาจเกิดขึ้นจากการอำลานิรันดร์

“เสี่ยวฉง ข้าพาเจ้าไปสถานที่น่าสนุกด้วยกันดีไหม” หลินสวินกล่าวเสียงอบอุ่น

ซย่าเสี่ยวฉงมองหลินสวินอย่างเคลือบแคลงสงสัยวูบหนึ่ง ก่อนย่นจมูกน่ารักกล่าว “พี่หลินสวิน ทำไมข้ารู้สึกว่าท่านออกจะแปลกๆ คงไม่ได้รับการกระทบกระเทือนอะไรใช่ไหม หรือยังกังวลเรื่องที่แตะก้นแม่เสือสาวอยู่งั้นรึ”

หลินสวินอึ้งไป กลั้นขำไม่อยู่ ยกมือเขกหน้าผากซย่าเสี่ยวฉงคราหนึ่ง ก่อนกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้ากลัวนางรึ ฮึ เจ้าน่ะดูถูกข้าไปแล้ว ครั้งหน้าหากเจอนางอีก เจ้าคอยดูแล้วกันว่าข้าจะจัดการนางอย่างไร!”

พูดถึงตอนท้ายเขาทำท่าเย่อหยิ่งเสียเต็มประดา

ซย่าเสี่ยวฉงหัวเราะคิกคักกล่าว “ก็ได้ ข้าจะรอดูท่านตีก้นนางจนออกลาย ตีจนนางคำรามโฮกๆ เลย!”

หลินสวินหัวเราะลั่น

ทั้งสองก้าวเดินเคียงกันบนท้องถนนยามรัตติกาล ยิ่งเดินยิ่งห่างไกลออกไป สองข้างทางคือแสงโคมจางๆ ห่างออกไปคือหมู่ดาราบางตา สิ่งปลูกสร้างเก่าแก่เรียงรายเป็นระเบียบเคี้ยวคดลดเลี้ยว ประพรมเสียงหัวเราะชัดกระจ่างราวกระดิ่งลมของเด็กสาวต่อเนื่องตลอดทาง

เด็กหนุ่มแย้มยิ้มมองยังที่ห่างไกล นัยน์ตาดำขลับกลับลุ่มลึกเงียบสงัดเฉกเช่นราตรีกาล

ชานเมืองนครเตโช หมู่เขากว้างใหญ่ไพศาล ยามค่ำคืนเสมือนสัตว์ปีศาจมากมายกำลังจำศีลนิทรา ทอดยาวติดต่อกันอย่างไร้สิ้นสุด

ไม่เพียงแต่นครเตโชในแคว้นวิญญาณอัคนี กระทั่งทุกเขตเมืองใหญ่ในแดนฐิติประจิมล้วนมีป่าเก่าเขาแก่แทบทั้งสิ้น ยังมีอาณาเขตดิบเถื่อนมากมายไม่เคยถูกสำรวจ

หญิงชราชุดเขียวมองคุณหนูผู้ยืนโดดเดี่ยวอึ้งงันไม่เอ่ยวาจาอยู่ตรงนั้น ในใจพลันเกิดสังหรณ์ไม่ดี คุณหนูยืนแน่นิ่งไม่ขยับอยู่ตรงนั้นมาครู่หนึ่งแล้ว

“คุณหนู เวลาล่วงมานานแล้ว พวกเราควรจากไปแล้ว” นางอดเอ่ยเตือนไม่ได้

เด็กสาวชุดดำคล้ายไม่ได้ยิน

นางรูปร่างเพรียวบาง โค้งเว้าได้รูปสมบูรณ์แบบ ผิวขาวผ่องเกลี้ยงเกลา ยืนอยู่ตรงนั้นตามอารมณ์ มีความโดดเด่นสันโดษประการหนึ่ง กลิ่นอายประณีตเยียบเย็น หน้ากากสีขาวเงินเพิ่มสีสันลึกลับเป็นปริศนาแก่นาง

หญิงชราชุดเขียวกังวลอยู่ในใจ หรือเกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรขึ้นกับคุณหนูระหว่างประลองวันนี้ เป็นไปได้อย่างนั้นรึ

กวาดตามองคนรุ่นเยาว์ทั่วแดนฐิติประจิม ผู้ที่สามารถเป็นคู่ต่อกรของคุณหนูมีจำนวนแค่นับนิ้วได้ และที่สามารถโจมตีนางยิ่งน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย แทบไม่มีด้วยซ้ำ!

หญิงชราชุดเขียวไม่เชื่อว่าการต่อสู้วันนี้จะส่งผลกระทบต่อคุณหนูจริงๆ

หรือเป็นเพราะ… การโจมตีตอนท้ายนั่น

ในหัวหญิงชราชุดเขียวหวนนึกถึงภาพแผ่นหลังเด็กหนุ่มที่โค้งขึ้นดั่งพญามังกร กระแทกบั้นท้ายคุณหนูอย่างหนักหน่วง สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นผิดแปลกบ้างเล็กน้อย

ภายในใจเด็กสาวชุดดำพรั่งพรูความไม่พอใจเด่นชัด

เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ส่งผลกระทบต่อนางอย่างใหญ่หลวง ทำให้ตอนนั้นนางงุนงงหัวสมองว่างเปล่าไปชั่วขณะ

สำหรับนางนี่คือความประมาทและผิดพลาดซึ่งไม่อาจให้อภัยอย่างไม่ต้องสงสัย ที่น่าโมโหที่สุดคือการโจมตีนี้… น่าอัปยศเกินไปแล้ว!

นึกถึงตรงนี้ในใจนางยิ่งเกิดอารมณ์พลุ่งพล่านระงับไม่อยู่ แทบอยากหันหลังกลับไปหาตัวไอ้ระยำบัดซบนั่นต่อเสียตอนนี้

ถึงกับกล้าใช้วิธีไร้ยางอายเช่นนี้ลบหลู่ตนต่อหน้าสายตามหาชนที่จับจ้อง นี่มันคือความอัปยศใหญ่หลวงอย่างแท้จริง!

วันนี้หลังการต่อสู้เสร็จสิ้น นางก็ราวกับเป็นบ้าเสาะหาร่องรอยเด็กหนุ่มคนนั้นทั่วนครเตโชมาตลอด ท้ายที่สุดกลับคว้าน้ำเหลว และวันนี้ต้องจากไปแล้ว ในใจจึงไม่ยินยอมยิ่ง

‘อย่าให้ข้าจับเจ้าได้แล้วกัน!’ เด็กสาวชุดดำเกรี้ยวกราดในใจ กล่าวเน้นทีละคำ

จากนั้นนางสูดหายใจลึก คืนสู่ความนิ่งสงบและมั่นใจดังอดีตอีกครา เซียนสาวผู้สำรวมตนราวกลับมาอีกครั้ง

“ไปสืบดูว่าเด็กหนุ่มนั่นเป็นใครกันแน่ ไม่ว่าเขาลึกลับเพียงใดก็ไม่ต้องสนใจ นำตัวเขามาให้ข้า!”

เด็กสาวชุดดำเปล่งเสียงราบเรียบ นิ่งสงบและล่องลอยยิ่ง น้ำเสียงดุจเสียงสวรรค์สะท้อนก้องยามรัตติกาล

“เจ้าค่ะ” หญิงชราชุดเขียวไม่กล้าชักช้า

นางรู้ว่าคราวนี้คุณหนูโกรธจริงๆ แล้ว ชิงชังเด็กหนุ่มนั่น

ถึงอย่างไรแต่เล็กจนโตคุณหนูไม่เคยถูกคนดูหมิ่นเช่นนี้มาก่อน หากมีคนรู้เข้าต้องส่งผลกระทบไม่อาจคาดเดาต่อกิตติศัพท์ของคุณหนูแน่

“ต้องมาบอกข้าทันที” เด็กสาวชุดดำกล่าว

หญิงชราชุดเขียวในใจสั่นสะท้าน

อันที่จริงแม้คุณหนูไม่กำชับนางก็จะทำเช่นนั้น ภายในแคว้นวิญญาณอัคนีซึ่งไม่มีแม้ระดับราชันสักคน กลับปรากฏเด็กหนุ่มที่สามารถตีเสมอคุณหนูอย่างเจิดจรัสและพลิกฟ้า

แต่ก่อนหน้านี้เขากลับเงียบเชียบไร้ชื่อเสียง ไม่เคยมีคนรู้จักคุ้นเคย แม้แต่ผู้ฝึกปราณพื้นถิ่นของนครเตโชล้วนไม่แน่ใจ เห็นได้ว่าลึกลับยิ่ง อาศัยเพียงจุดนี้ก็ควรค่าแก่การสืบหาเบื้องลึกของเขาอย่างไม่สนค่าตอบแทนแล้ว!

“หืม?”

หญิงชราชุดเขียวคล้ายสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนเล็กน้อย เงาร่างวาบกะพริบพลันพาเด็กสาวชุดดำหายลับจากไป

ชั่วครู่เดียวบนทิวเขาไร้ขอบเขตกว้างไกลปรากฏกองกำลังขบวนหนึ่งอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง มุ่งหน้ามาทางนครเตโชภายใต้ท้องฟ้ายามราตรี

เมื่อมองดูโดยละเอียด ในขบวนเงาร่างมากมายอาบไล้อยู่กลางเปลวเพลิงทมิฬ แปลกประหลาดและน่าเกรงขาม พวกเขาโดยสารอาชาทมิฬขนาดมหึมาชวนประหวั่นชนิดหนึ่ง

สี่เท้าของอาชาทมิฬราวเสาเหล็ก นัยน์ตาแดงก่ำดั่งกระดิ่งสำริด ร่างกายปานเขาลูกย่อมๆ หมอกสีดำหนาแผ่กระจาย ดุจอาชาวิญญาณจากนรกอเวจี

และศูนย์กลางขบวนล้อมพิทักษ์เกี้ยวสมบัติสีดำคันหนึ่ง เกี้ยวสมบัตินั้นมีคนชุดดำแปดคนแบก เคลื่อนผ่านห้วงอากาศอย่างเงียบเชียบไร้เสียง เห็นได้ว่าโดดเด่นยิ่งนัก ราวกับบผู้ที่โดยสารอยู่คือราชันภูตผีจากอเวจี

ตั้งแต่ต้นจนจบทุกอย่างล้วนไร้สุ้มเสียง เปรียบดั่งขบวนราตรีร้อยภูตผีในตำนาน!

เหตุการณ์นี้มีแรงจู่โจมรุนแรงยิ่ง ในยามค่ำคืนเห็นได้ว่าน่ากลัวนัก ไม่ว่าใครเห็นต่างขนพองสยองเกล้า จิตใจหวาดผวา

“ขบวนวิญญาณมายาทมิฬ! นี่คือกองกำลังของเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ!”

นัยน์ตาหญิงชราชุดเขียวปรากฏแววอัศจรรย์ในความมืด คล้ายไหวหวั่นอยู่บ้าง “ส่วนเกี้ยวหลังนั้นดูเหมือน ‘เกี้ยวสมบัติกาฬเคราะห์’! นี่น่ะเป็นหนึ่งในอาวุธบรรพบุรุษของเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ แม้อานุภาพเทียบสมบัติอริยะไม่ได้ แต่ก็เรียกได้ว่าน่าหวาดกลัวไร้ขอบเขต ผู้ที่สามารถโดยสารอาวุธบรรพบุรุษเช่นนี้ฐานะต้องไม่ธรรมดา!”

“เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬรึ…” นัยน์ตากระจ่างใสดุจดาราของเด็กสาวชุดดำฉายแววรังเกียจยากสังเกตเห็นเสี้ยวหนึ่ง

ในภาพความประทับใจของนาง เผ่าพันธุ์นี้สร้างชื่อโดยอาศัยความมืดดำ คาวเลือดและการฆ่าฟันมาตลอด เสมือนเผ่ามารอย่างไรอย่างนั้น ทำให้ผู้ฝึกปราณบนโลกหน้าเปลี่ยนสีเมื่อกล่าวถึง

ที่น่ากริ่งเกรงและหวาดกลัวที่สุดคือ กลวิธีของเผ่าพันธุ์นี้เหี้ยมโหดและนองเลือดยิ่งยวด ในดินแดนรกร้างโบราณไม่รู้ว่าก่อเรื่องที่ทำให้สวรรค์พิโรธคนเคียดแค้นไปเท่าไหร่ พูดได้ว่าชื่อเสียงฉาวโฉ่เลื่องลือถ้วนทั่ว

แต่ที่จนปัญญาคือเผ่าพันธุ์นี้เบื้องลึกเบื้องหลังแข็งแกร่งทรงพลังเหลือประมาณ อิทธิพลยิ่งใหญ่ทั่วสี่แดนวิภูของดินแดนรกร้างโบราณ คิดหมายกำจัดถึงรากเหง้าพวกเขาล้วนแทบเป็นไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้แม้แต่สำนักโบราณบางส่วนต่างไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเผ่านี้โดยง่าย

กระทั่งขบวนวิญญาณมายาทมิฬนั้นหายลับจากไป หญิงชราชุดเขียวและเด็กสาวชุดดำจึงเดินออกมาจากความมืด สายตาต่างมองไปยังนครเตโชซึ่งปกคลุมอยู่ใต้ราตรีกาลโดยพร้อมเพรียง

“เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬมาอย่างยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ทั้งมีคนใหญ่คนโตผู้หนึ่งโดยสารเกี้ยวสมบัติกาฬเคราะห์มาด้วย เกรงว่านครเตโชคงบังเกิดคลื่นลมที่ไม่อาจคาดเดาแล้ว…”

หญิงชราชุดเขียวทอดถอนใจ “มหาสงครามใกล้มาเยือน โลกเองก็เริ่มเปลี่ยนเป็นโกลาหล เกรงว่าใช้เวลาไม่นาน ทั่วแดนฐิติประจิมหรือกระทั่งทั้งดินแดนรกร้างโบราณคงเปลี่ยนเป็นอลหม่านขึ้นเรื่อยๆ ก่อเกิดหายนะและการต่อสู้ซึ่งไม่อาจคาดเดา”

“ที่ข้าสงสัยยิ่งกว่าคือ เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬนั่นมุ่งหน้ามานครเตโชในครั้งนี้ด้วยเหตุใด”

นัยน์ตาดาราของเด็กสาวชุดดำวาววับด้วยแสงประหลาด “แคว้นวิญญาณอัคนีเล็กๆ กลับมีตัวประหลาดบรรพกาลที่ลึกลับจำศีลอยู่ในค่ายอริยะบนยอดเขาดาราโรย ยามนี้ยังดึงดูดความสนใจของเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ นี่ออกจะผิดปกติอยู่บ้าง”

ขณะเดียวกันในใจนางยังเสริมไปอีกประโยค ‘ยังมีเจ้าคนระยำต่ำช้า ไพร่สถุล ไร้ยางอาย แม้คุณธรรมน่ารังเกียจหาใดเปรียบ แต่ถึงอย่างไรสุดท้ายก็ยังถือเป็นเด็กหนุ่มผู้กล้าที่เรียกได้ว่าไร้เทียมทานคนหนึ่ง’

“คุณหนู พวกเราควรไปแล้ว” หญิงชราชุดเขียวมองทะลุความคิดของเด็กสาวปรุโปร่ง รู้ว่านางคิดอยู่ต่อเพื่อตามหาและคิดบัญชีเด็กหนุ่มนั่น

เด็กสาวชุดดำชะงัก ครู่ใหญ่จึงถอนใจกล่าว “ช่างเถอะ ไปก็ไป จากนี้ไม่ช้าก็เร็วต้องพบกันอีกแน่ ทว่าเมื่อถึงตอนนั้น…”

นัยน์ตากระจ่างของนางฉายแววโกรธแค้น “ข้าจะตอนเจ้าระยำนี่แน่!”

หญิงชราชุดเขียวยิ้มน้อยๆ กล่าว “หากไม่เกิดเหตุสุดวิสัย คนอย่างเด็กหนุ่มนั่นคงต้องเข้าร่วม ‘เทศกาลโคมกถามรรค’ แน่ ถึงตอนนั้นคุณหนูอาจสามารถลบล้างความอัปยศได้”

เด็กสาวชุดดำกล่าวอืมคราหนึ่ง ก่อนย่างก้าวผ่านห้วงอากาศจากไป

ขณะเดียวกัน บนทิศทางออกนอกเมืองฝั่งตรงกันข้าม หลินสวินพาซย่าเสี่ยวฉงทอดสายตามองท้องทุ่งกว้างสีดำที่ห่างไกลพลางกล่าว “เสี่ยวฉง หนทางต่อจากนี้อาจไร้สงบสุขอยู่บ้าง เจ้าต้องเตรียมตัวให้ดี”

ซย่าเสี่ยวฉงส่งเสียงอืมพลางกล่าว “พี่หลินสวิน ข้าเชื่อฟังท่าน ขอแค่ท่านอย่าลักพาตัวข้าก็พอ”

หลินสวินแอบขบฟันกรอด ข้า… เหมือนคนล่อลวงเด็กสาวไม่รู้ประสานักรึไง!

……………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด