Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 801 สถานการณ์แปรเปลี่ยนอีกครา

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 801 สถานการณ์แปรเปลี่ยนอีกครา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

การโจมตีของซุนฮวนเรียบง่าย ตรงไปตรงมาและดุดัน!

นี่คือความเชื่อมั่นในพลังถึงที่สุดประการหนึ่ง อยู่เหนือระดับกระบวนแปรจุติ แม้อาศัยเคล็ดวิชานับพันในมือเจ้า ข้าก็สามารถถล่มมันในคราเดียว!

และเช่นเดียวกัน นี่คือพลังและความห้าวหาญของราชันกึ่งระดับ กับแค่หนอนน้อยตัวเดียว แค่ดีดนิ้วก็ขจัดสิ้น ไม่จำเป็นต้องก่อศึกใหญ่โตแต่แรก

ครืน!

แสงมรรคเชี่ยวกรากดุจเกลียวคลื่นประวาตฟ้า ส่องประกายถึงขีดสุดและน่าสะพรึงยิ่งยวด สาดส่องทั่วฟ้าดินจนเจิดจ้าดุจหิมะ

ภาพเหตุการณ์เช่นนั้นทำเอาพวกเฮ่าชิงฮือใจสั่นระรัว ปิ่มจะหายใจไม่ออก แม้แต่พวกเขาเองก็เพิ่งเคยเห็นซุนฮวนออกมือเป็นครั้งแรก

และพลังแผ่ไพศาลน่าพรั่นพรึงเช่นนี้ ทำให้พวกเขาไม่คลางแคลงแม้แต่น้อย ว่าต่อให้เป็นมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติขั้นสมบูรณ์ ก็ไม่อาจต้านทานการโจมตีนี้ได้!

ไอ้เด็กสวะนั่นต้องถูกกำจัดแน่!

พวกเขาฮึกเหิมอยู่ในใจ

ทว่ายังไม่รอให้พวกเขาได้ยินดี ทั่วร่างก็พลันแข็งทื่อโดยพร้อมเพรียง ในครรลองสายตาปรากฏภาพที่ทำให้พวกเขายากลืมเลือนชั่วชีวิต…

หลินสวินดึงธนูง้างศร เงาร่างหล่อเหลาพลันเปลี่ยนเป็นกำยำดุจเทพมาร กลิ่นอายชวนประหวั่นเหลือจะเอ่ยแผ่ซ่านจากคันธนูและศรในมือ

ตูม!

ฟ้าดินปานพังทลาย ปรากฏลักษณ์ประหลาดน่าสะพรึงอย่างตะวันร่วงหล่นจากนภาคราม กาทองครวญโลหิตกลางทะเลมรกต ที่นั่นวายุอสนีถาโถม เสมือนเทพมารบรรพกาลคำรามพิโรธ

เพราะอัศจรรย์สะเทือนใต้หล้าเกินไป จึงทำให้ฟ้าดินแถบนี้ล้วนปรากฏสัญญาณเภทภัยราวกับเป็นวันสิ้นโลกก็ไม่ปาน

ตูม!

สามารถเห็นอย่างชัดเจน ว่าศรดำสนิทที่ถูกปล่อยออกไป ราวกับเป็นแสงมรรคที่ประหนึ่งแสงแรกแห่งตะวันแหวกผ่ารัตติกาล

รอบๆ ลูกศร ห้วงอากาศกลายสภาพแปรปรวน ช่วงเวลาดั่งถูกทะลวงผ่าน ต่อหน้ามัน แสงมรรคทั้งผืนซึ่งซุนฮวนแผ่ออกมาราวทำจากกระดาษ เพียงเสียงครืนเดียวก็ถูกฉีกขาด กลายเป็นละอองแสงประพรมลอยล่องทั่วนภา

เวลาเสมือนดั่งหยุดนิ่งและยึดตรึงชั่วพริบตา

เดิมสีหน้าซุนฮวนเย็นชาและอำมหิต มีอานุภาพดุจสูงส่งบงการผู้อื่น แต่เมื่อเห็นหลินสวินเรียกคันธนูออกมา ม่านตาเขาพลันหดรัด สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย

และเมื่อหลินสวินง้างสายธนูแดงสดราวแช่ในน้ำเลือดนั่น ในใจเขาสั่นสะท้านยากอธิบาย ขนพองสยองเกล้า มัมผัสได้ถึงอันตรายอย่างที่สุด

นี่ทำให้เขาประหลาดใจยากจะเชื่อ

กระทั่งพริบตาที่ศรดอกนี้ปล่อยออก เขาไม่อาจสงบใจได้อีก สีหน้าแปรเปลี่ยนใหญ่หลวงเกือบหวีดร้องเสียงหลง ไร้ซึ่งท่วงท่าสูงส่งเหนือคนอื่นอีกแม้เพียงเสี้ยว กลับดูราวกระต่ายที่ตื่นตระหนก สั่นเทาไปทั้งตัว

เขาขวัญหนีดีฝ่อ สัมผัสได้ถึงความน่าสะพรึง ตระหนักได้ว่าครานี้ตนสะเพร่าเต็มที หาใช่ประเมินคู่ต่อสู้ต่ำเกิน แต่ประเมินสมบัติในมือคู่ต่อสู้ต่ำไปต่างหาก!

นี่เสมือนเทพมังกรจากฟ้าพลันพบว่า ในมือมดปลวกตัวจ้อยบนพื้นดินถือดาบสมบัติไร้เทียมทานพอที่จะสังหารมังกรได้!

หนี!

ซุนฮวนสมกับเป็นสัตว์ประหลาดเฒ่ากึ่งราชัน สัญชาตญาณการต่อสู้และประสบการณ์อันจัดเจนทำให้เขาเกิดตอบสนองตั้งแต่พริบตาแรก

ทว่าความประมาทท้ายที่สุดก็คือประมาท ความเลินเล่อเพียงเล็กน้อยก่อนหน้าอาจไม่ส่งผลอะไร แต่เวลานี้กลับสามารถทำให้ถึงแก่ชีวิต!

เพราะนี่คือธนูวิญญาณไร้แก่นสารและศรแห่งนภาคราม คันธนูและศรคู่นี้มีที่มาเกินคาดเดานี้ เคยสังหารเหล่าราชันกึ่งระดับบนสมรภูมิกระหายเลือดหลายคน ทำให้ราชันที่แท้จริงต้องสิ้นชีพด้วยความแค้น!

กระทั่งราชินีกระหายเลือดจ้าวซิงเย่ยังเคยอาศัยธนูและศรคู่นี้บุกถล่มค่ายพ่อมดเถื่อน กดดันกองทัพพ่อมดเถื่อนจนยุติศึกไม่กล้ารุกราน!

บัดนี้หลินสวินใช้ธนูและศรคู่นี้ในดินแดนรกร้างโบราณเป็นครั้งแรก หากไม่สังหารศัตรูคงผิดต่อพลานุภาพล้นฟ้าของสมบัติคู่นี้เกินไป

ตูม!

เสียงดังสนั่นปานอสนีบาต แสงเพลิงทำลายล้างโชติช่วงทะลวงเมฆา กระจายไปทั่วม่านรัตติกาล ขยายแผ่ทุกทิศ สะเทือนเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน

และร่างของซุนฮวนถูกสังหารกระจุยในชั่วพริบตา เลือดเนื้อแหลกทลาย ดับสลายภายในรัศมีแสงมลายล้าง!

กระทั่งใกล้ตาย สัตว์ประหลาดเฒ่าผู้ห่างจากระดับราชันเพียงเสี้ยวยังไม่ทันแม้แต่จะเปล่งเสียงร้องโหยหวนก็หายลับจาก ศพอันตรธาน!

คลื่นกระแทกควันหลงชวนประหวั่นยังคงแผ่กระจาย ทะลวงโค่นทิวเขาอันห่างไกล ป่าไม้เก่าแก่กลายเป็นเถ้าถ่านในชั่วพริบตา พื้นดินปริแตกแยกออกหลายสายดั่งช่องแคบหุบเหวลึก ทุกอย่างล้วนน่าตกตะลึง ราวเห็นวันสิ้นโลกมาเยือนกับตา

ตึกตักๆ…

ฮว่าชิงฉือและพวกคนชั้นแนวหน้าของสำนักมุกวิญญาณทั้งหมดต่างถูกคลื่นลูกหลงน่าหวาดหวั่นนี้โจมตี ซวนเซกระเด็นไปนอกระยะสิบกว่าจั้ง ปากกระอักเลือด ล้มกองระเนระนาด อเนจอนาถหาใดเปรียบ

ทว่านใจพวกเขาถูกความหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเข้าปะทะ ทำเอาพวกเขาสิ้นหวังหมดหนทาง ตะลึงงันโดยสมบูรณ์

ในฐานะผู้ก่อตั้งอาวุโสเพียงหนึ่งเดียวของสำนักมุกวิญญาณ สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับกึ่งราชันที่ชื่อเสียงสะเทือนแคว้นวิญญาณอัคนีผู้หนึ่งอย่างซุนฮวน กลับถูกศรดอกเดียวสังหารต่อหน้าต่อตาพวกเขา ความไหวหวั่นและผลกระทบเช่นนั้นถึงกับเกือบทำให้พวกเขาพังทลาย

ตายแล้ว?

พวกเขาไม่อาจยอมรับความจริงอันโหดร้าย!

ในเวลาเดียวกันสีหน้าหลินสวินพลันซีดขาว ร่างกายมีสัญญาณราวตะเกียงน้ำมันแห้งขอดออกมารางๆ พลังทั่วร่างเกือบถูกดูดไปจนสิ้น

นี่ก็คือพลังสะท้อนกลับ เขาคุ้นเคยอยู่ก่อนแล้วจึงไม่ลนลาน ด้วยเหตุนี้จึงแอบเตรียมแกนวิญญาณหลายก้อน ดูดซับพลังเสริมกำลังตนเต็มที่

ทว่าต่างจากแต่ก่อน ครั้งนี้ในใจเขากลับปรากฏเจตจำนงดุดันที่คล้ายมีคล้ายไม่มีสายหนึ่ง จู่โจมสภาวะจิตและจิตวิญญาณของเขาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เขารับไม่ไหวอยู่บ้าง

‘อย่างที่ราชินีกระหายเลือดกล่าวไว้ไม่ผิด ธนูวิญญาณไร้แก่นสารไม่อาจใช้บ่อยๆ มิฉะนั้นไอพลังอำมหิตซึ่งเปี่ยมท้นในตัวมันจะถูกชักนำมา ทำให้เกิดผลลัพธ์เลวร้ายไม่อาจคาดเดา…’

นัยน์ตาดำของหลินสวินมีแสงเยียบเย็นผุดพราย โคจรเคล็ดเวทบริกรรมต้านทานและสลายไอพลังอำมหิตซึ่งกำลังจู่โจมจิตใจเต็มที่

ตอนนั้นจ้าวซิงเย่เคยเตือนว่าคันธนูนี้เคยแปดเปื้อนเลือดอริยะ กำจัดสิ้นวิญญาณแห่งอริยะ สมัยบรรพกาลเรียกได้ว่าเป็นอาวุธสงครามแห่งยุค

ทว่าปัจจุบันมันเสียหายหนักเกินไป และไออำมหิตและความกระหายเลือดซึ่งสั่งสมอยู่ภายในก็มากเกินไป ไม่ช้าก็เร็วต้องระเบิดออกมาแน่!

ตอนนั้นยามจ้าวซิงเย่สังหารราชันนภาเพลิงแห่งสายคนเถื่อนอัคคี ก็มีความคั่งแค้นก่อนสิ้นลมของอริยะเอ่อล้นจากคันธนู แค่เพียงครู่เดียวยังเกือบทำยอดบุคคลระดับราชันอย่างจ้าวซิงเย่ประสบเภทภัย!

แค่คิดก็รู้ว่าไอพลังอำมหิตเช่นนี้น่าหวาดกลัวหาใดเปรียบระดับใด

และยามนี้หลินสวินก็รับรู้ถึงมันแล้ว เพียงแต่สิ่งที่เขาสัมผัสถึงเป็นเพียงแค่ไอพลังอำมหิตที่คล้ายมีคล้ายไม่มีบางๆ เท่านั้น

แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น ก็ยังทำให้การขับเคลื่อนพลังทั่วร่างของเขาได้รับผลกระทบจนอลหม่านแทบพังทลาย เห็นได้ว่าน่าหวาดกลัวหาใดเปรียบ

และเวลานี้เอง หลินสวินจึงตระหนักถึงความน่ากลัวของธนูวิญญาณไร้แก่นสารโดยสมบูรณ์ ไม่เพียงส่งผลต่อศัตรู แม้แต่กับผู้ใช้เองก็จะเกิดผลกระทบไม่อาจคาดเดา!

‘หากมีโอกาส จงมุ่งหน้าสู่หุบเขาตะวันคล้อยที่ถูกขนานามว่าเป็น ‘แดนเร้นอริยะ’ ค้นหาวิญญาณอาวุธที่สูญหายของธนูวิญญาณไร้แก่นสารให้พบ แก้ไขภัยแฝงแห่งคันธนูนี้ให้สมบูรณ์…’

หลินสวินสูดหายใจลึก นึกถึงคำชี้แนะที่จ้าวซิงเย่เคยมอบให้

ธนูวิญญาณไร้แก่นสารคือสมบัติอริยะกายสิทธิ์ที่แท้จริง ต่างจากสมบัติอริยะโดยทั่วไป เดิมภายในมีวิญญาณอาวุธที่สามารถสะกดไออำมหิตและความกระหายเลือดในคันธนูอยู่

แต่เมื่อผ่านกาลเวลาอันไร้สิ้นสุด ธนูวิญญาณไร้แก่นสารเสียหายหนักมานานแล้ว วิญญาณอาวุธไม่รู้ตกหล่นหายไปอยู่แห่งใดนานแล้ว

หากคิดหาวิญญาณอาวุธกลับมา การมุ่งหน้าสู่หุบเขาตะวันคล้อยอาจสามารถเสาะหาเบาะแสพบ!

เสียงครวญครางทรมานระลอกหนึ่งดังออกมาไกลๆ ปลุกหลินสวินให้ตื่นจากห้วงความคิด จากนั้นนัยน์ตาดำของเขาเปลี่ยนเป็นเยียบเย็น จ้องมองยังที่ห่างออกไป

ตรงนั้นฮว่าชิงฉือและคนชั้นแนวหน้าของสำนักมุกวิญญาณทั้งหมดแม้โอดครวญสะบักสะบอม แต่ยังล้วนรอดชีวิต…

หลินสวินเก็บคันธนูและศร ย่างก้าวกลางอากาศมุ่งประชิด

ถึงแม้พลังกายเหือดหายไปมาก แต่หากรีดเค้นพลังทั้งหมด หลินสวินมั่นใจว่ายังสามารถปลิดชีพคนพวกนี้จนเกลี้ยงได้

“บรู๊ว!”

ทว่ายังไม่รอให้หลินสวินเข้าประชิด บนทิศทางมุ่งสู่นครเตโชพลันเกิดเสียงหอนเล็กแหลมน่าเกรงขามดังขึ้น ประดุจผีร้องไห้หมาป่าหอน ท่ามกลางรัตติกาลเห็นได้ว่าชวนขนพองสยองเกล้า

หลินสวินสีหน้าปรวนแปรอยู่บ้าง มองพวกฮว่าชิงฉือซึ่งอยู่ห่างไกล ท้ายที่สุดจึงสะกดข่มความกระหายสังหารศัตรูที่เหลืออยู่ ตัดสินใจจากไปทันที

หากเขาคาดเดาไม่ผิด ผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬคงถูกทำให้ตระหนก รีบเร่งมุ่งมาทางนี้เต็มกำลัง!

ถึงอย่างไรการเคลื่อนไหวซึ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ก็ใหญ่โตเกินไป นครเตโชก็ห่างจากตรงนี้ไม่ไกล แน่นอนว่าต้องมีคนถูกทำให้ตระหนก และต้องมาเสาะหาข้อเท็จจริง

ปัจจุบันหลินสวินไม่ได้ตัวคนเดียว ข้างกายเขายังมีซย่าเสี่ยวฉงอีกคน เพื่อความปลอดภัยของเด็กสาว หลินสวินไม่สามารถเสี่ยงอันตรายอีก

“เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่หากพวกเจ้ากล้าแพร่งพรายออกไป วันหน้าข้าจะมาล้างบางสำนักมุกวิญญาณ!”

นัยน์ตาดำขลับหลินสวินเย็นชา มองจ้องฮว่าชิงฉือประหนึ่งคมดาบยะเยียบเย็น

พริบตานั้นฮว่าชิงฉือหนาวสั่นไปทั้งตัวราวตกสู่ถ้ำน้ำแข็ง ในใจเขาถูกความหวาดกลัวเข้าครอบงำนานแล้ว บัดนี้หลังจากได้ยินคำข่มขู่ของหลินสวินก็ทำเอาเขาปานจะพังทลาย

เขารู้ว่าในเมื่อเด็กหนุ่มนั่นกล้าพูด ต้องกล้าทำเช่นนี้แน่!

สวบ!

หลินสวินไม่ชักช้า กล่าวทิ้งท้ายประโยคหนึ่งแล้วเงาร่างก็หายวับไปทันใด หายไปในหมู่เขาอันห่างไกลซึ่งถูกปกคลุมไว้ด้วยรัตติกาลไร้ขอบเขต

“เขา… เขายอมปล่อยพวกเรางั้นรึ”

หานเหยียนเชวียยากจะเชื่อ เขาเสียแขนข้างหนึ่ง ช่วงท้องถูกทะลวงเป็นรูโหว่ชุ่มเลือด กระดูกแตกหลายแห่ง ผมเผ้าสยายยุ่ง ท่าทางอเนจอนาถนัก

คนอื่นต่างตะลึงงันเช่นกัน ไม่เข้าใจว่าเหตุใดหลินสวินจึงเมตตาละเว้นชีวิตพวกเขาในเวลานี้

มีเพียงฮว่าชิงฉือทีคล้ายเดาอะไรออก กล่าวสีหน้าอึมครึมเคร่งขรึม “ทุกท่าน วาจาเมื่อครู่ทุกท่านล้วนได้ยินแล้ว เพื่อความอยู่รอดของพวกเราสำนักมุกวิญญาณ ข้าไม่หวังให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรขึ้น ดังนั้นเรื่องวันนี้… ก็ทำเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นเถอะ!”

ไม่เคยเกิดขึ้น?

คนอื่นสีหน้าปรวนแปร ในใจทั้งหวาดกลัว งุนงง โกรธแค้นและสิ้นหวัง ผู้ก่อตั้งอาวุโสซุนฮวนตายแล้ว ยังให้ทำเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น?

อันที่จริงฮว่าชิงฉือขมขื่นยิ่งกว่าพวกเขา แต่เขารู้ว่าหากไม่ทำเช่นนี้ จากนี้ไปสำนักมุกวิญญาณของพวกเขาคงเสี่ยงจะถูกล้างบางทุกเมื่อ!

“เรื่องนี้พวกเราได้แต่ยอมรับไป จะกล่าวโทษก็ต้องโทษพวกเราที่มองผิด ล่วงเกินเด็กหนุ่มที่ไม่ควรล่วงเกิน…”

ฮว่าชิงฉือดวงตาเหม่อลอย กล่าวพึมพำ “เขาเป็นผู้กล้ารุ่นเยาว์แห่งยุคที่ไหนกัน เห็นชัดว่าเป็นอสูรมารพลิกฟ้าไม่อาจใช้เหตุผลทั่วไปมาเปรียบเทียบ… นอกเสียจากเขาจะตายไป ไม่เช่นนั้นเรื่องในวันนี้พวกเราคงได้แต่ยอมจำนน!”

กล่าวถึงตอนท้าย สีหน้าเขาพลันเปลี่ยนเป็นมุ่งมั่นไม่อาจขืนขัดอย่างที่สุด

ใช่ ยอมจำนน!

พวกเขาสำนักมุกวิญญาณอาจสามารถข่มขวัญแคว้นวิญญาณอัคนีได้ แต่ทั้งแดนฐิติประจิมก็เป็นแค่สำนักเล็กพรรคน้อยหนึ่งเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์ล่วงเกินอสูรมารพลิกฟ้าที่ถูกลิขิตมาให้ผงาดกร้าวบนดินแดนรกร้างโบราณ!

มิฉะนั้นจุดจบคงเหมือนอย่างที่เด็กหนุ่มนั่นกล่าวไว้ ถูกล้างบางทั้งสำนัก!

“ทางนี้!”

ท่ามกลางรัตติกาลอันห่างไกล เสียงอึมครึมหนึ่งดังขึ้น ทำเอาพวกฮว่าชิงฉือที่กำลังหนักอกหนักใจตื่นตระหนก เงยหน้ามองออกไป

ก็เห็นขบวนวิญญาณมายาทมิฬซึ่งอาบไล้อยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงทมิฬ กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้แต่ไกลอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง

ราตรีกาลดุจหมึกเขียน

พวกเขาเสมือนดั่งเหล่ามารร้ายจากขุมนรกทมิฬ

…………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด