Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 808 ตัดสินใจจู่โจมกลับ

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 808 ตัดสินใจจู่โจมกลับ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“นายน้อยรีบหนีเร็ว! ข้าจะต้านไม่อยู่แล้ว!” ขณะเดียวกันเสียงคำรามของโก่วขุ่ยดังสนั่นมาจากนอกถ้ำสถิต

ยังมีโอกาส!

โก่วซวีสิงจุดประกายความหวังใหม่อีกครั้ง เขาหนีอย่างบ้าคลั่งแทบไม่สนใจสิ่งอื่น สำหรับอสูรน้อยนอเดียวนั่นเขาไม่กล้าไปสนใจอีก

แม้ตอนนี้จับมันได้ก็ต้องถูกราชันอสูรเนตรทองนอเดียวนั่นหมายหัวแน่ ยังไม่ทันหนีรอดจากภูเขาคงประสบเคราะห์กรรมซะก่อน!

โครม!

ทว่าขณะเงาร่างโก่วซวีสิงเพิ่งมาถึงปากถ้ำสถิต ห้วงนิมิตพลันรู้สึกเจ็บปวดจนหน้ามืด ร่างกายซวนเซหกคะเมนราวหมากินขี้

“หนอนกินเทพ!”

โก่วซวีสิงโกรธแค้นถึงขีดสุด ในห้วงนิมิตเขาพลังจิตซึ่งคลุมด้วยเกราะสมบัติปริศนาอีกชั้นฉายแสงวับวาว กำลังต่อต้านการโจมตีของหนอนกินเทพขนาดเท่าเมล็ดข้าวตัวหนึ่ง

“ต้องเป็นฝีมือของไอ้สวะนั่นแน่!”

โก่วซวีสิงโกรธจนควันออกหู เขาคือยอดบุคคลรุ่นเยาว์ระดับบั่นพันเศียรที่สง่าผ่าเผย ปัจจุบันกลับพลาดท่าเสียทีต่อเนื่อง ตอนนี้ยิ่งถูกศัตรูฉวยโอกาสซ้ำเติม นี่จะให้เขาอดทนอดกลั้นได้อย่างไร

หากไม่ใช่ว่าเขามีสมบัติป้องกันพลังจิต ก็คงประสบเคราะห์ไปแล้ว!

“อย่าให้ข้าจับเจ้าได้แล้วกัน!”

โก่วซวีสิงสูดหายใจลึก หยัดร่างตะกายขึ้นจากพื้นอย่างยากลำบากเพื่อหนีต่อ

เขาสังเกตว่าหลังหนอนกินเทพตัวนั้นเจออุปสรรคก็ล่าถอยหายลับจากร่างตนโดยไม่ลังเล นี่ยิ่งพิสูจน์ว่าเจ้าหนอนน่ากลัวนี่ถูกคนควบคุม

แต่ตอนนี้โก่วซวีสิงแทบไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ ตอนที่เขาเพิ่งหนีออกจากถ้ำสถิตนั่นก็รู้สึกถึงพลังน่าหวาดกลัวหาใดเปรียบลงมาจากฟากฟ้า สายฟ้าสีทองทั่วนภาสาดส่องแน่นขนัดดั่งพายุฝน เปี่ยมกลิ่นอายทลายฟ้ามลายดิน

นี่ทำเขามือเท้าเย็นเยียบหนาวสั่นไปทั้งตัว

จบเห่แล้ว!

สุดท้ายก็ช้าไปก้าวหนึ่ง…

“นายน้อยหนีไป!”

เสียงตะโกนดังขึ้นข้างหู ก็เห็นว่าในช่วงเวลาเป็นตายนี้เงาร่างโก่วขุ่ยพลันขวางปรากฏอยู่เบื้องหน้าโก่วซวีสิง

นี่ทำให้โก่วซวีสิงดีใจล้นเหลือ พบหนทางรอดยามอันตราย รีบหนีลุกลี้ลุกลน

แต่เบื้องหลังเสียงร้องโหยหวนของโก่วขุ่ยกลับดังก้องขึ้น

อสนีบาตสีทองทั่วผืนฟ้ามาจากการโจมตีอันเกรี้ยวกราดของราชันอสูรเนตรทองนอเดียว น่าหวาดกลัวอย่างแท้จริง ครอบคลุมทั่วอาณาบริเวณ

แม้โก่วขุ่ยต้านทานเต็มกำลังก็ยังถูกผ่าจนควันท่วมผม สั่นสะท้านไปทั้งตัว ผิวดำไหม้เกรียมแตกระแหง ปากยิ่งกระอักเลือดไม่หยุด

น่าอนาถยิ่งนัก!

บนร่างเขาโชยกลิ่นเนื้ออยู่เลือนราง ราวถูกอสนีบาตฟาดจนสุก

แต่ไม่เสียทีที่โก่วขุ่ยเป็นราชันระดับสังสารวัฏที่แท้จริง ยามนี้กำลังต้านทานสุดความสามารถ แสงโลหิตทั่วร่างเจิดจรัส แม้ได้รับบาดเจ็บสาหัสก็ยังไม่ถูกสังหารลงตรงนั้น

และบัดนี้โก่วซวีสิงหนีห่างไปแล้ว ออกไปรวมตัวกับผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬคนอื่นๆ โชคดีหนีพ้นเคราะห์ร้ายมาได้

แต่สีหน้าเขากลับผิดแปลกหาใดเปรียบ ดวงตาปูดโปนแทบถลน แหงนหน้ามองฟ้าแผดเสียงตะโกนอย่างอดไม่อยู่ น้ำเสียงเปี่ยมล้นเพลิงโทสะ

สุดท้ายเขาจึงเข้าใจ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อครู่คือหลุมพรางที่ศัตรูวางดักไว้ก่อนแล้ว หมายอาศัยพลังของราชันอสูรเนตรทองนอเดียวนั่นมาทำลายพวกเขา!

แต่ก่อนหน้านี้พวกเขากลับไม่รู้ตัว คิดว่าเจอวาสนาไร้เทียมทาน กระโดดลงหลุมพรางอย่างโง่เขลา…

นี่ทำให้โก่วซวีสิงแทบอยากจะตบปากตัวเอง วาสนาบ้าบออะไรกัน มีวาสนาเฮงซวยแบบนี้ที่ไหน

ทันใดนั้นโก่วซวีสิงซึ่งเดือดดาลไปทั้งตัวพลันแข็งทื่อ สัมผัสได้ถึงเจตจำนงน่าหวาดกลัวและเยียบเย็นที่กวาดมองมา

เห็นชัดว่าเสียงตะโกนของเขาเมื่อครู่ดึงดูดความสนใจของอสูรเนตรทองนอเดียวที่อยู่ห่างไป จนใช้จิตรับรู้กวาดมองมา

นี่ทำให้โก่วซวีสิงฝ่าเท้าเย็นเยียบ ทั้งตระหนกทั้งกลัวทั้งอึดอัด แม่งเอ๊ย บรมซวยจริงๆ แค่ระบายอารมณ์นิดหน่อยก็ถูกราชันอสูรนั่นเห็นเป็นศัตรู แถมเขายังไม่กล้าขัดขืน ความรู้สึกนี่ทำเอาเขาแทบบ้า

“หนีเร็ว!”

ห่างออกไป สุดท้ายโก่วขุ่ยก็ยืนหยัดไม่อยู่ ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนหนีหัวซุกหัวซุนมา

“ไป!”

โก่วซวีสิงผวาในใจ สะกดเพลิงพิโรธและความอัดอั้นสุมอกจากไปพร้อมคนอื่นโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

“โฮก…”

กลางฟ้าดิน อสูรเนตรทองนอเดียวร้องคำราม เสียงราวฟ้าร้องกัมปนาทถาโถมเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน มันโกรธแค้นอย่างยิ่ง แสงทองทั่วร่างพวกพุ่งจนแสบตา ส่องสว่างฟ้าดิน

แต่สุดท้ายมันกลับไม่ไล่ตามมา คำรามระบายอยู่นานก่อนที่เงาร่าของงมันจึงไหววูบ พุ่งเข้าสู่ส่วนลึกของถ้ำสถิต เห็นชัดว่ามันเป็นห่วงอสูรเนตรทองนอเดียวตัวน้อยนั่นจะประสบอันตราย

ฝุ่นควันตลบอบอวล ฟ้าดินฟื้นคืนความเงียบสงัด

แต่ละแวกใกล้เคียงภูเขาวิญญาณไร้นามลูกนั้น เศษซากหักทลายเกลื่อนกลาด พื้นดินแตกพังเป็นทาง

เขาสูงชัน ป่าเก่าแก่ พุ่มไม้ใบหญ้าซึ่งเดิมกระจายทั่วบริเวณ… ล้วนถูกทำลายราบจากการต่อสู้ ฝุ่นควันตลบอบอวล

ศึกนี้น่าหวาดกลัวยิ่งอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ที่น่ากลัวที่สุดคือราชันอสูรเนตรทองนอเดียวนั่นมีอานุภาพร้ายกาจล้นฟ้าเกินไป กดกำราบราชันเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬผู้หนึ่งอย่างกร้าวแกร่งจนยับเยินไม่เป็นท่า

หากไม่ใช่ว่ามันห่วงความปลอดภัยของอสูรเนตรทองนอเดียวตัวน้อย ไม่ว่าหลินสวินหรือพวกโก่วซวีสิงคงตายกันทั้งขบวน!

หลินสวินแอบถอนใจ ขณะนี้เขาหลบซ่อนอยู่ข้างเนินดินแห่งหนึ่งซึ่งห่างจากภูเขาวิญญาณไร้นามหลายสิบลี้ อาศัยไอซวนหนีบดบังร่างกาย

อีกทั้งเขาไม่กลัวถูกราชันอสูรเนตรทองนอเดียวเจอตัว อาศัยยานขนส่งอวกาศก็สามารถหนีการล่าสังหารของราชันได้โดยสมบูรณ์

นี่คือสิ่งที่เขาเคยพิสูจน์มาแล้วยามอยู่ในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณ

ที่ทำให้หลินสวินเสียดายคือ ครั้งนี้ออกเคลื่อนไหวเสียใหญ่โตแต่กลับไม่สามารถกำจัดพวกสวะหมาดำนั่นได้หมด

ทว่าหลินสวินพอใจแล้ว อย่างน้อยอีกฝ่ายก็สูญเสียขุมพลังมือฉมังเกือบครึ่ง ซ้ำยังมีราชันกึ่งระดับสองคนตายอนาถ ราชันคนหนึ่งบาดเจ็บสาหัส การโจมตีนี้เรียกได้ว่าหนักหน่วง

‘แต่เสียดายอมฤตแกนสุวรรณพวกนั้น…’

หลินสวินคิดไปคิดมา สุดท้ายก็หันจากไป เขารู้ว่าไม่มีโอกาสนำอมฤตแกนสุวรรณมาอีกแล้ว

กระทั่งเขายังแอบสงสัยว่าทันทีที่ตนกล้าเข้าใกล้ ต้องนำมาซึ่งการโจมตีที่น่ากลัวยิ่งกว่าของราชันอสูรเนตรทองนอเดียวนั่นแน่

ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ที่สระน้ำส่วนลึกของถ้ำสถิตนั่น เขาเคยสั่งสอนลูกอสูรเนตรทองนอเดียวตัวนั้นอย่างไม่เกรงใจ

แม้ว่ามันยังแบเบาะ แต่ก็เป็นถึงทายาทราชัน!

หากรู้ว่าเขาเคยตีก้นเจ้าตัวน้อยนั่น ซ้ำยังหิ้วหางมันกลับหัวเขย่าเต็มแรงแค่เพื่อให้มันคายอมฤตแกนสุวรรณออกมา ราชันอสูรเนตรทองนอเดียวนั่นคงโกรธจนคลั่งแน่

‘ไม่สิ!’

เพิ่งเหินทะยานไปร้อยกว่าลี้ หลินสวินพลันตระหนักถึงประเด็นหนึ่งได้ จึงหยุดเท้าจมสู่ห้วงความคิดโดยพลัน

‘การต่อสู้อย่างดุเดือดเมื่อครู่ ราชันของพวกสวะหมาดำนั่นได้รับบาดเจ็บสาหัส นี่เป็นโอกาสดีที่สุดในการสังหารเจ้าหมาแก่นี่ หากพลาดไปคงน่าเสียดายแย่…’

นัยน์ตาดำของหลินสวินมีแสงไหววูบ เขารู้ดีว่าฝ่ายตรงข้ามจดจำตัวเองไว้มั่นแล้ว บนหนทางต่อจากนี้คงทำการล่าสังหารอย่างบ้าคลั่ง

หลินสวินแม้ไม่หวั่นเกรง แต่ถูกพัวพันเช่นนี้สุดท้ายคงเกิดอุปสรรคและอันตรายมากมาย

ในเมื่อเป็ฯเช่นนี้ ไม่สู้จัดการภัยแฝงให้สิ้นซากในคราเดียว!

‘อาศัยธนูวิญญาณไร้แก่นสารและศรแห่งนภาครามก็น่าจะลองปลิดชีพมันได้ เพียงแต่พลังสะท้อนกลับของคันธนูและศรคู่นี้คงเปลี่ยนเป็นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ…’

หลินสวินลังเลครู่หนึ่ง สุดท้ายจึงตัดสินใจเด็ดขาด ;ช่างเถอะ! อย่างมากหลังจากนี้ก็ผนึกคันธนูและศรคู่นี้ซะ อาศัยแสงมรรคทองนิลกาฬสะกดไว้ในเจดีย์สมบัติไร้อักษร นอกเสียจากเจอช่วงวิกฤติเป็นตาย ต่อไปจะไม่ใช้มันอีกก็พอ…’

สวบ!

เงาร่างเขาวาบกะพริบ หวนกลับตามเส้นทางเดิม เริ่มค้นหาร่องรอยของพวกโก่วซวีสิงด้วยตนเอง

ต้องทำเวลา!

หลินสวินกระจ่างแจ้งแก่ใจ หากรอราชันเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬนั่นฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ เขาคงไม่มีโอกาสสังหารฝ่ายตรงข้ามอีก

สำหรับซย่าเสี่ยวฉง…

ให้นางอยู่ในเจดีย์สมบัติไร้อักษรจะปลอดภัยที่สุด จมูกสุนัขพวกนั้นไวเกินไป พาซย่าเสี่ยวฉงออกมาเคลื่อนไหวด้วยคงไม่สะดวกนัก

หลินสวินคิดว่าเมื่อถึงเขาบรรพตเขียวที่แคว้นหงส์สถิตแล้ว เขาค่อยปล่อยซย่าเสี่ยวฉงออกมา เช่นนี้จึงจะปลอดภัยและหมดห่วงที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

“ช่างน่าอัปยศ!”

บนยอดเขาสูงสลับซับซ้อนไร้หญ้าเติบโตลูกหนึ่ง ลมหนาวหอบพัด โก่วซวีสิงสีหน้าถมึงทึงกัดฟันกรอด

จำนวนผู้บาดเจ็บล้มตายปรากฏแล้ว ครานี้แค่บนภูเขาวิญญาณไร้นามนั่น พวกเขาก็สูญเสียราชันกึ่งระดับสองคน รวมถึงคนในเผ่าที่แข็งแกร่งองอาจอีกสามสิบเจ็ดคน

ความเสียหายนี้หนักหน่วงเกินไป ดวงใจโก่งซวีสิงหลั่งเลือด คล้ายถูกดาบเสียบทะลุหัวใจ!

คนในเผ่าเหล่านั้นล้วนแต่เป็นกองกำลังติดตามข้างกายเขา ทุกคนที่ตายไปล้วนแล้วแต่เป็นความสูญเสียที่ไม่น้อย

โดยเฉพาะโก่วซานและโก่วไห่ราชันกึ่งระดับทั้งสอง นั่นเป็นผู้พิทักษ์ซึ่งทางเผ่าตระเตรียมเพื่อเขาเป็นพิเศษ คนในเผ่าคนอื่นๆ ไม่อาจได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษเช่นนี้โดยสิ้นเชิง

แต่บัดนี้…

ล้วนตายหมดแล้ว!

โก่วซวีสิงแทบไม่ต้องคิด ต่อให้ครานี้สามารถปฏิบัติการสำเร็จราบรื่น เมื่อหวนคืนสู่เผ่าต้องถูกวิจารณ์ตั้งคำถาม หัวเราะเยาะและโจมตีนับไม่ถ้วน!

นี่ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของเขาในเผ่า ถึงขั้นอาจสูญเสียการดูแลและความใส่ใจจากผู้อาวุโสด้วยเหตุนี้ สูญสิ้นอิทธิพลและสถานะอย่างรวดเร็ว!

ยิ่งคิดโก่วซวีสิงยิ่งคับแค้น สีหน้าเหยเกถึงขีดสุด มืดทะมึนจนประหนึ่งจะมีน้ำหยดออกมา

ใกล้ๆ นั้น พวกผู้แข็งแกร่งอย่างโก่วตงเงียบกริบดังจักจั่นเดือนหนาว ในใจพวกเขาก็โกรธแค้นอัดอั้นหาใดเปรียบ พวกเขาเป็นถึงคนของเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ มีหรือจะเคยเสียเปรียบมากขนาดนี้?

“นายน้อย ท่านน่าจะเห็นรูปลักษณ์เป้าหมายชัดเจนสินะ”

ทันใดนั้นน้ำเสียงแหบพร่าหนึ่งดังขึ้น เหมือนพลังชีวิตพร่องจนอ่อนแอลงบ้าง เป็นโก่วขุ่ยซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสนั่นเอง

ยามนี้เขากำลังฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ ใช้อมฤตแกนสุวรรณที่โก่วซวีสิงมอบให้ คงไม่ต้องกังวลว่าจะเหลืออาการภายหลัง

แต่หากหมายฟื้นคืนดังเดิม ย่อมไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำได้ในชั่วพริบตา

จากการประเมินของเขา อย่างน้อยคงต้องใช้เวลาสามวันจึงจะสามารถสมานบาดแผล นี่ยังต้องมีอมฤตแกนสุวรรณและลูกกลอนวิญญาณซึ่งได้ผลชะงัดหลายชนิดคอยช่วย มิฉะนั้นการฟื้นฟูจะยิ่งช้าลง

“เจ้าหมอนั่น…”

โก่วซวีสิงนึกโดยละเอียด ครู่ใหญ่จึงกล่าวคิ้วขมวด “ตอนนั้นข้าเห็นอยู่รางๆ ดูเหมือนเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ทั้งไม่คล้ายราชันกึ่งระดับอย่างที่พวกเราสันนิษฐาน…”

พูดถึงตรงนี้นัยน์ตาเขาพลันส่องแสงสีเขียวมรกตสยบผู้คน ก่อนกล่าวอย่างเด็ดขาด “ใช่แล้ว บางทีข้าอาจไม่สามารถตัดสินอายุของเขา แต่จากกลิ่นอายบนตัวที่ดมได้ ยืนยันได้ว่าเขาไม่ใช่ราชันกึ่งระดับ ถึงขั้นไม่ใช่แม้แต่ระดับกระบวนแปรจุติ แต่เป็นปราณระดับหยั่งสัจจะ!”

“ทว่า… กลิ่นอายของเขาทรงพลังกว่าผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะทั่วไป เลือดลมราวตะวันลุกโพลง พลังขับเคลื่อนพลุ่งพล่านดั่งเตาหลอม หากเป็นไปดังคาด ไอ้สวะตัวจ้อยนี่น่าจะเป็นยอดบุคคลในบรรดาคนรุ่นเยาว์!”

หากหลินสวินรู้ว่าโก่วซวีสิงอาศัยประสาทรับกลิ่นอันแม่นยำมาระบุพลังปราณของเขา ไม่รู้ว่าจะรู้สึกอย่างไร…

ผู้แข็งแกร่งทั้งหมด ณ ที่นั้นล้วนตะลึงงัน ไหนเลยจะคาดคิดว่าคู่ต่อสู้ที่ขุดหลุมพรางใส่พวกเขาจนมีสภาพอเนจอนาถเช่นนี้ เป็นเพียงเด็กหนุ่มที่เหมือนจะอยู่ในระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่ง!

……………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด