Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 829 เด่นสง่าไร้เทียมทาน อานุภาพสะท้านสิบทิศ

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 829 เด่นสง่าไร้เทียมทาน อานุภาพสะท้านสิบทิศ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 829 เด่นสง่าไร้เทียมทาน อานุภาพสะท้านสิบทิศ
“โลกภายนอก มหาสงครามมาแล้วใช่หรือไม่”

เสียงเยียบเย็นราวน้ำแข็งนั้นดังขึ้น ไม่มีคลื่นอารมณ์เลยสักนิด แต่นี่กลับทำให้หลินสวินอึ้งไป ไม่อาจเชื่อได้

หากเขาจำไม่ผิด นี่เป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายเอ่ยถาม!

นี่พิสูจน์ได้อย่างไม่ต้องสงสัยว่าที่เขาคาดเดาไว้ก่อนหน้านี้ถูกต้อง เสียงนี้น่าจะเป็นตัวตนที่มีสติปัญญาอย่างหนึ่ง!

“ยังไม่มา แต่ก็ใกล้แล้ว” หลินสวินพูดตามจริง

“ใกล้แล้ว…” เสียงนั้นตกอยู่ในความเงียบงัน

ฟ้าดินกว้างไกลไร้ขอบเขต ทางเดินเมฆาหยกปูลาดตรงแน่ว ประตูสวรรค์ลี้ลับตั้งตระหง่าน ทุกอย่างล้วนคุ้นตาเช่นนี้

แต่เมื่อเสียงนี้เริ่มเปลี่ยนไปจากแต่ก่อน ทำให้ทั้งหมดนี้แตกต่างไปจากเดิมแล้ว

หลินสวินพลันรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายสนใจมหาสงครามเช่นกัน เป็นเพราะเหตุใด

หรือว่าตั้งแต่อดีตนานมาแล้ว อีกฝ่ายก็รู้ว่าใต้หล้านี้จะเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อน

ทันใดนั้นหลินสวินก็ยิ้มหยันตนเอง ชีวิตเขาเสี่ยงตาย ตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน ต่อให้รู้เหตุผลทั้งหมดนี้แล้วจะเป็นอย่างไรเล่า

“ข้าจะออกไปดูเสียหน่อย”

จู่ๆ เสียงเย็นยะเยือกราวน้ำแข็งนั้นก็ดังขึ้น วาจาที่เอ่ยออกมาทำให้หลินสวินแข็งทื่อไปทั้งตัว ออกไปหรือ

หรือว่า…

และในระหว่างที่หลินสวินไหวสะท้านในใจนี้ สุดทางเดินเมฆาหยกก็พลันปรากฏเงาร่างคลุมเครือเลือนรางเงาหนึ่ง สง่างามอรชร ดูร่างจริงทั้งหมดไม่ออก เพราะละอองแสงเจิดจรัสราวเซียนโบยบินบดบัง ช่วงโชติแสบตาถึงที่สุด

แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่านั่นเป็นสตรีนางหนึ่ง!

“เจ้าทะลวงด่านอย่างวางใจ ข้าไปครู่หนึ่งแล้วจะกลับมา”

เงาร่างสง่างามราวเซียนโบยบินนั้นพลันแปรสภาพเป็นละอองแสงแล้วมลายหายไปพร้อมกับเสียงเลือนราง

ไปครู่หนึ่งแล้วจะกลับมาหรือ

หลินสวินใจสั่นสะท้าน ในหัวออกจะสับสนงงงวย เขาไม่คิดเลยว่าเข้ามายังห้องโถงมรรคาสวรรค์ครั้งนี้จะเกิดเหตุไม่คาดฝันเช่นนี้ขึ้น

โครม!

ไม่ทันให้หลินสวินได้ครุ่นคิด ทัศนวิสัยตรงหน้าก็เปลี่ยนไปในทันใด

เริ่มการทะลวงด่านครั้งที่หก!

…….

แสงสายัณห์มืดลง

“หาพบแล้ว กลิ่นอายของเด็กนี่เคยปรากฏขึ้นที่นี่!”

กลางห้วงอากาศปรากฏเงาร่างของโก่วหยางป๋อ ใบหน้าซูบตอบและเรียบเฉยของเขาเผยรอยยิ้ม “ในที่สุดก็ทนต่อไปไม่ไหวแล้วหรือ”

อีกด้านหนึ่งดวงตาโก่วหยางทงฉายแววเหี้ยมเกรียมเย็นเยียบ “เด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่ง กลับสามารถทนการตามสังหารของพวกเรามาถึงตอนนี้ได้ก็หายากจริงๆ ทว่าสุดท้ายก็เป็นเช่นนี้อยู่ดี ต่อให้แข็งแกร่งกว่านี้ก็สู้พลังระดับราชันที่แท้จริงไม่ได้!”

“รอจับเจ้าเด็กนี่ได้อย่าเพิ่งฆ่ามันตายก่อน ข้าจะแขวนศพมันนอกเมืองฉางอันแคว้นต้าถัง แล้วประจานศพมันร้อยวัน ให้ผู้ฝึกปราณทั้งแดนฐิติประจิมได้เห็นโดยทั่วกันว่าคนที่กล้าล่วงเกินเผ่าเรา จะพบจุดจบน่าสังเวชเพียงไหน!”

น้ำเสียงโก่วหยางป๋อเรียบเฉย แต่วาจากลับน่าสะท้านขวัญ

“เชือดไก่ให้ลิงดูหรือ ไม่เลว ความวุ่นวายที่เจ้าเด็กนี่ก่อขึ้นทำให้เกียรติภูมิของเผ่าเราเสื่อมเสีย ต้องใช้การลงโทษอย่างโหดเหี้ยมนี้เป็นเยี่ยงอย่าง”

โก่วหยางทงเห็นด้วยอย่างยิ่ง

ระหว่างที่สนทนากันอยู่ เงาร่างสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันทั้งสองก็ปรากฏขึ้นเหนือห้วงอากาศเบื้องหน้ายอดเขาเขียวชอุ่มลูกหนึ่ง

เป็นที่นี่เอง!

ชั่วพริบตาสายตาของพวกเขาก็เคลื่อนไป แล้วเพ่งเป้าไปที่ถ้ำแห่งหนึ่งตรงตีนเขาลูกนี้

“สถานการณ์โดยรวมแน่ชัดแล้ว” มุมปากของโก่วหยางป๋อยกขึ้นอย่างเหี้ยมเกรียม

“ก็ให้ข้าลงมือแล้วกัน”

โก่วหยางทงยิ้ม ในใจกลับบังเกิดความปรีดาอย่างบอกไม่ถูก

นี่เป็นเรื่องที่ไม่บังควร อย่างไรเสียเขาก็เป็นถึงราชัน ยามนี้เพียงแค่สังหารเด็กหนุ่มระดับหยั่งสัจจะผู้หนึ่ง เดิมทีควรรู้สึกอับอายถึงจะถูก แต่ตอนนี้กลับมีความรู้สึกเช่นนี้ ช่างไม่บังควรนัก

จากจุดนี้ก็ดูออกว่าการตามสังหารตลอดทางนี้ทำให้โก่วหยางทงคับข้องใจเพียงไหน และเวลานี้ก็ถือว่าได้โอกาสปลดปล่อยแล้ว

“ก็ได้ จำไว้ อย่ารีบร้อนฆ่าเจ้าเด็กนี่เด็ดขาด” โก่วหยางป๋อเตือนขึ้นอีกหนึ่งประโยค เหมือนกลัวว่าถ้าหลินสวินตายแล้วจะไม่อาจทำให้เขาระบายไฟโทสะที่สุมทรวงได้

“นั่นย่อมแน่นอน”

โก่วหยางทงหัวเราะชอบใจ

พวกเขาพูดคุยกันอย่างเหิมเกริมไม่หวั่นเกรง ท่าทางมั่นใจว่าจะได้รับชัยชนะ

เพียงแต่ตอนที่โก่วหยางทงกำลังจะลงมือ รอยยิ้มที่มุมปากกลับแข็งทื่อโดยพลัน นัยน์ตาเบิกกว้าง ถึงกับนิ่งอึ้งอยู่เช่นนั้น

“หืม?”

ขณะเดียวกันโก่วหยางป๋อก็จิตใจสั่นระรัว รู้สึกกระวนกระวายถึงขีดสุด ขนลุกเกรียวไปทั้งร่าง

ก็เห็นว่าภายในถ้ำที่อยู่เบื้องล่างของยอดเขานั้น เงาร่างคลุมเครือเลือนรางเงาหนึ่งเดินออกมาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ อรชรอ้อนแอ้นไม่ชัดเจน

ทว่าภาพที่พวกโก่วหยางป๋อเห็นกลับเป็นอีกอย่าง

พวกเขาเป็นสัตว์ประหลาดระดับราชัน ผงาดเหนือห้าระดับใหญ่แห่งพลังปราณ โอหังเหนือโลกา ในใต้หล้ากาลปัจจุบัน หากไม่มีอริยะปรากฏกาย ราชันถือเป็นผู้อยู่สูงสุด!

แต่เมื่อได้เห็นเงาร่างนี้ พวกเขากลับหนาวเยือกไปทั้งตัว

นี่เป็นตัวตนเช่นไรกัน

เหนือร่างนางราวกับมีสายโซ่เทพที่ส่องสว่างเปล่งประกายโอบล้อมสายแล้วสายเล่า มีละอองแสงเซียนโบยบินลอยละล่อง มีแสงร้อนแรงโชติช่วงอบอวล แสงแต่ละแสงปะทุออกราวดอกไม้ไฟ

จู่ๆ ก็เกิดเสียงกึกก้องเหนือเวิ้งฟ้า ละอองแสงมงคลเทลงมาสายแล้วสายเล่า ประหนึ่งสักการะเทพชั้นยอดผู้หนึ่งซึ่งมาเยือนโลกา บังเกิดปรากฏการณ์ประหลาดเจิดจรัสขึ้น!

ส่วนนางยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น มีท่วงท่าประหนึ่งก้มมองเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน พาให้กาลเวลาทำได้เพียงศิโรราบ

นี่เป็นปรากฏการณ์น่าหวาดหวั่นที่สามารถสะท้านโลกาได้!

อย่างไรเรียกมีอำนาจเหนือสรรพสิ่ง อยู่เหนือทวยเทพทั้งปวง

ก็อย่างนี้อย่างไรเล่า!

โก่วหยางป๋อกับโก่วหยางทง สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันสองคน ถือตัวว่าได้เห็นคลื่นลมใหญ่โตมาจนเจนจัด กระทั่งเคยมีโชคได้พบเห็นบารมีของอริยะยุคปัจจุบันผู้หนึ่งจากไกลๆ

แต่เมื่อเทียบกับเงาร่างเลอเลิศตรงหน้านี้ ขนาดอริยะยังดูด้อยกว่าไปสามส่วน ไม่อาจเทียบรัศมีได้!

นี่ทำให้พวกเขาหนังศีรษะชาหนึบ หน้าเปลี่ยนสียิ่ง

พวกเขาจะคิดได้อย่างไรว่าในเวลาที่จะได้ตักตวงเช่นนี้ กลับเกิดเรื่องไม่คาดฝันพรรค์นี้ขึ้นกะทันหัน

คนผู้นี้เป็นใครกัน

เหตุใดถึงปรากฏตัวที่นี่ได้

บุคคลระดับนี้ เหตุใดไม่เคยได้ยินในดินแดนรกร้างมาก่อน

ในใจสัตว์ประหลาดเฒ่าทั้งสองเกิดความสงสัยนับไม่ถ้วน ความรู้สึกตกตะลึงและหวาดผวาที่ไม่ได้มีมาหลายปีแล้วบังเกิดขึ้นในจิตใจอีกครั้ง

ครืน!

ฟ้าดินเริ่มสั่นไหว ปรากฏความโกลาหล กลิ่นอายเหนือธรรมดาราวอริยเทพพุ่งทะลุเมฆา ปั่นป่วนสภาพอากาศ

พลังที่น่าหวาดหวั่นเช่นนี้ทะลวงผ่านพลังแห่งมหามรรคชั้นฟ้า ชั่วพริบตาก็ม้วนตลบกระจายไปทั่วสารทิศ

ในเวลานี้สรรพสัตว์ตัวสั่นงันงก หมื่นวิญญาณหมอบคลาน ผู้ฝึกปราณไม่รู้เท่าไรในแดนฐิติประจิมต่างหวาดหวั่นและกดดัน แทบอยากจะคุกเข่าหมอบกราบลงไปกับพื้น

ก่อนหน้านี้พวกโก่วหยางป๋อยังมีท่าทางมั่นใจว่าจะกำชัย โอหังหาใดเทียบ แต่ตอนนี้กลับรู้สึกหวาดผวาโดยสมบูรณ์ พวกเขาเป็นถึงสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันในกาลปัจจุบัน แต่เวลานี้กลับรู้สึกหวาดกลัว เหมือนตัวเล็กจิ๋วราวมด!

พวกเขาอยากหันกายหนีไปอย่างยิ่ง

ทว่าอานุภาพของเงาร่างอ้อนแอ้นนั้นแผ่ไพศาลไปทั่วทิศ กลิ่นอายฟ้าดินล้วนถูกกดทับ ทำให้พวกเขาถึงกับไม่กล้าก้าวเท้าเคลื่อนที่เลยสักนิด!

ราวกับว่าหากกล้าทำเช่นนั้นก็จะเป็นการลบหลู่ ฟ้าดินไม่อาจยอมรับ

เวลานี้ในเขตแคว้นนับพันของแดนฐิติประจิม ไม่รู้มีบุคคลที่แข็งแกร่งหาใดเปรียบเท่าไรตื่นตระหนก มองไปทางทิศเดียวกันอย่างคาดไม่ถึง

เพียงแต่ด้วยพลังของพวกเขา กลับรู้สึกเพียงแรงกดดันหาใดเทียมที่สามารถทำให้สรรพสัตว์ในโลกล้วนสั่นเทิ้ม!

“เป็นสิ่งมีชีวิตเช่นไรถือกำเนิดกันแน่นี่ ถึงได้มีอานุภาพผงาดฟ้าเช่นนี้”

“แม้แต่อริยะในปัจจุบันก็ไม่ถึงขนาดนี้กระมัง”

“เหตุใดถึงได้… มหาสงครามยังไม่ทันอุบัติขึ้น พลังสูงส่งราวกับเป็นสิ่งต้องห้ามก็จะถือกำเนิดขึ้นแล้วหรือ”

ขนาดบุคคลระดับราชันผู้แข็งแกร่งยังสั่นสะท้าน กระทั่งสิ่งมีชีวิตโบราณที่ได้เหยียบย่างลงไปบนอริยมรรคบางตัวก็ถูกทำให้ตื่นตระหนก รู้สึกหวาดผวาและกดดัน

เวลานี้กลิ่นอายเช่นนั้นพุ่งผ่านเก้าชั้นฟ้า เขย่าขวัญถึงอเวจี สรรพสิ่งล้วนศิโรราบ ราวกับเป็นเจตจำนงแห่งผู้เป็นนายเหนือฟ้าดิน

ทศทิศล้วนจำนน สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนจิตใจสั่นระรัว พวกที่ธรรมดาบางส่วนยิ่งนึกว่าบังเกิดรอยเทพ คุกเข่าก้มหัวเคารพบูชาลงกราบกราน

“ข้ากลับมาอีกครั้งแล้ว เพียงแต่… ดินแดนรกร้างโบราณนี้กลับไม่ใช่สถานที่ที่ข้าคุ้นเคยอีกแล้ว…” นางพึมพำแผ่วเบา กลัดกลุ้มอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ถอนหายใจเบาๆ ทำให้ทั้งฟ้าดินครวญครางเพราะนาง

เมื่อเสียงนี้ดังขึ้น กลิ่นอายไร้เทียมทานที่พุ่งทะลุนภากาศไปก็รวมตัวเข้าด้วยกันราวกระแสธาร เก็บรวบเข้ามาบนร่างสตรีผอมบางผู้นั้น

ทันใดนั้นผู้ฝึกปราณที่อยู่ตามที่ต่างๆ ของแดนฐิติประจิมก็ล้วนอึ้งไป ตื่นจากความตกตะลึงและกดดัน มองหน้ากันเลิ่กลั่ก ชั่วพริบตาเมื่อกี้ไม่เหมือนจริงราวกับฝันร้าย

แต่สัตว์ประหลาดเฒ่าและสิ่งมีชีวิตโบราณบางตัวกลับรู้ดีว่าทั้งหมดนี้เป็นความจริง!

นี่ทำให้พวกเขาจิตใจสั่นระรัว พากันสันนิษฐานเพราะไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดถึงมีกลิ่นอายน่าหวาดหวั่นเช่นนี้ซุ่มซ่อนอยู่ในพรมแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลของแดนฐิติประจิมได้ ราวกับผู้เป็นนายเหนือฟ้าดิน สามารถเหยียดหยันเหนือเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน!

“อย่างไรก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว ยุคสมัยผันผ่าน กาลเวลาเปลี่ยนแปร ต่อให้เอาชนะศัตรูทั้งมวล ไร้ศัตรูอยู่ในโลกาแล้ว จะต้านทานความรุ่งเรืองและเสื่อมถอยของโลกได้อย่างไร…”

“ผู้ที่คุ้นเคยเหล่านั้นล้วนไม่อยู่แล้ว การเสาะหาหนทางแห่งมหามรรคที่แท้ก็เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด ต้องเดินโดดเดี่ยวโดยลำพัง…”

อารมณ์ของนางเหมือนหดหู่และผิดหวัง สายตาหมองหม่น

หากหลินสวินได้เห็นเช่นนี้ต้องไม่อาจเชื่อแน่ ว่าเสียงที่เยียบเย็นราวน้ำแข็ง ว่างเปล่าและเรียบเฉยนั้นกลับมีความหวั่นไหวในอารมณ์เช่นนี้

“ช่างเถิด ตอนนั้นข้าเหยียบย่างบนวิถีทางไพศาลโดยลำพัง ในใจก็รู้ดีอยู่แล้วว่ากฎกรรมชาตินี้ถูกกำหนดไว้นานแล้ว”

แม้จะเก็บงำกลิ่นอายบนร่าง แต่ยามสตรีผู้นั้นยืนอยู่เช่นนั้น ทั้งร่างก็ยังคงอาบชโลมไปด้วยรัศมีเปล่งประกายดังเดิม ตอบรับกับมหามรรครอบชั้นฟ้า เกิดเป็นบรรยากาศเหนือธรรมดาที่ทำให้สรรพสัตว์ต้องก้มหัวสักการะ

สายตาของนางหันเหไป เหนือห้วงอากาศพลันมีเสียงถล่มโครมคราม ดุจจะพังทลายเหมือนไม่อาจรับสายตาจดจ้องเช่นนี้ได้

ตุ้บๆ!

โก่วหยางป๋อกับโก่วหยางทงคุกเข่าลงไปทันใด ฝืนพูดด้วยเสียงสั่นเครือว่า “พวกข้าสองคนเดินผ่านที่แห่งนี้ มิได้มีความคิดจะละเมิดลบหลู่ ขอท่านผู้อาวุโสเมตตาไว้ชีวิตด้วย!”

นี่เป็นถึงสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันของเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ เป็นผู้ทรงอำนาจมานานปี อานุภาพสะท้านแดนดิน ชื่อเสียงชั่วร้ายสะเทือนไปทั่วแดนฐิติประจิม!

แต่ตอนนี้กลับประหวั่นพรั่นพรึงราวหมาไร้เจ้าของ คุกเข่าลงโดยตรง!

นี่หากถูกผู้คนในใต้หล้าเห็นเข้า เกรงว่าจะไม่อาจเชื่อได้เลย

“เฮอะ คิดไม่ถึงว่ากาลเวลาไร้ที่สิ้นสุดผ่านไป สายเลือดสุนัขสวรรค์มายาทมิฬกลับยังดำรงอยู่ถึงปัจจุบัน เห็นเช่นนี้แล้ว…”

สตรีผู้นี้ทอดถอนใจครั้งหนึ่ง เสียงแปรเปลี่ยนเป็นเยียบเย็นไม่แปรปรวน มีความเฉยเมยและราบเรียบถึงที่สุดเพิ่มขึ้นมา

ราวกับว่าขอเพียงนางต้องการ โลกนี้ไม่มีเรื่องใดสามารถทำให้นางหวั่นไหวได้

เสียงพูดเพิ่งเงียบลง ลำแสงราวเซียนโบยบินแสงหนึ่งก็พุ่งออกมาจากปลายนิ้วของนาง แล้วหายเข้าไปในหว่างคิ้วของพวกโก่วหยางป๋อ

ส่วนพวกเขาตั้งแต่เริ่มจนจบ อย่าว่าแต่ต่อต้าน ขนาดจะโต้ตอบยังไม่ทัน!

ครู่ต่อมาพวกเขาก็รู้สึกได้ว่าจิตวิญญาณและความทรงจำของตนถูกเจตจำนงสูงส่งสายหนึ่งฉวยไว้ ในสมองมีความเจ็บปวดทิ่มแทงอย่างรุนแรง

ในขณะเดียวกัน สตรีผู้นี้เหมือนเข้าใจทุกสิ่งแล้ว ในดวงตายังไร้อารมณ์เช่นเคย

นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งนางถึงถอนใจเบาๆ “ช่างเถิด ให้ข้าจบความแค้นนี้เองก็แล้วกัน เพียงหวังว่าสักวันหนึ่งเขาจะผลักประตูบานนั้นออกไปได้…”

ทันใดนั้นกระแสเย็นยะเยือกไปถึงขั้วกระดูกก็อบอวลในจิตใจพวกโก่วหยางป๋อ ทำให้พวกเขารับรู้ได้ถึงความไม่เข้าทีโดยพลัน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด