Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 881 ขอบคุณสำหรับคำอวยพร

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 881 ขอบคุณสำหรับคำอวยพร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 881 ขอบคุณสำหรับคำอวยพร
เทพมารหลินลำบากแล้ว!

นี่คือสิ่งที่ผู้แข็งแกร่งทุกคนรับรู้ร่วมกัน ถูกบุคคลแห่งยุคมากขนาดนี้จับจ้อง มองเป็นเป้าหมายที่ต้องประณามและเพ่งเล็ง แค่คิดก็รู้ว่าผลที่ตามมาร้ายแรงเพียงใด

ทว่า…

พวกเขาพลาดไปเรื่องหนึ่ง ในบรรดาคนรุ่นเยาว์นี้ หลินสวินไม่เคยกลัวใครมาก่อน!

ตอนที่เขาเพิ่งมาถึงแดนฐิติประจิมก็กล้าฉีกหน้าเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ ทำการล่าสังหารครั้งใหญ่ซึ่งยืดเยื้อหลายวัน กระทั่งยังเคยถูกสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันสองคนอย่างโก่วหยางป๋อและโก่วหยางทงตามล่าพร้อมกัน แม้จนบัดนี้ก็ยังอยู่ดีไม่ใช่หรือ

ความขัดแย้งและการปะทะตรงหน้าแค่นี้ ไม่สามารถทำให้หลินสวินรู้สึกตึงมือสักนิด

“อย่าพูดมาก ไม่พอใจก็ออกมาสู้”

หลินสวินเวลานี้สีหน้าราบเรียบ นัยน์ตาดำเยียบเย็น พลังทั่วร่างพรั่งพรูไหวเคลื่อน กวาดมองผู้คนตรงนั้นประดุจเทพมารหนุ่มที่ผงาดง้ำทั่วทิศคนหนึ่ง

ทุกคนต่างหน้าเปลี่ยนสี จนป่านนี้เทพมารหลินยังแข็งกร้าวเช่นนี้ นี่คือไม่สนใจสิ่งใดอย่างที่สุดแล้วใช่ไหม

“คุณชายอวี่พูดถูก เจ้านี่มันรนหาที่ตาย!”

ผู้กล้าคนหนึ่งแสยะยิ้ม เขาคือทายาทเผ่าแมวป่าทองม่วง และเป็นยอดบุคคลผู้หนึ่งในหมู่คนรุ่นเยาว์

ฟุ่บ!

หลินสวินไม่พูดพร่ำทำเพลง นัยน์ตาวาบประกายคมกริบ โผทะยานฉีกกระชากห้วงอากาศ

เสียงพรึ่บเดียว ชายหนุ่มนั่นเพิ่งหมายหลีกหลบก็ถูกฟันเข้าร่าง ผิวแตกเลือดอาบ โลหิตแดงสดพุ่งกระเซ็นเกือบถูกบั่นศีรษะ

ห้วงอากาศเกิดคลื่นผันผวน ชายหนุ่มยังไม่ทันเปล่งเสียงร้องก็ถูกเคลื่อนย้ายคัดออกไป

เฮือก!

กลางที่นั้นเงียบสนิท มีเพียงเสียงสูดหายใจหนาวเยือกดังก้องขึ้น

เหล่าผู้กล้าตื่นตระหนก แค่ชั่วพริบตาเดียวก็กำราบยอดบุคคลผู้หนึ่งได้? เทพมารหลินไม่แกร่งเกินไปหน่อยหรือ

ชายหนุ่มเมื่อครู่นั่นแม้ไม่ถึงขั้นบุคคลแห่งยุค แต่ก็ถือเป็นพวกชั้นยอดในเหล่าผู้กล้า มีชื่อเสียงมานานหลายปี

ทั้งเขายังมีชาติกำเนิดจากเผ่าแมวป่าทองม่วง พรสวรรค์อัศจรรย์เป็นเลิศ มีความเร็วซึ่งหาตัวจับยาก แต่กระทั่งจะหลบยังล้วนไม่ทันการ ถูกกำราบทันที!

แววตาบุคคลแห่งยุคบางส่วนวูบไหว โดยเฉพาะพวกซาหลิวฉาน ชิงเหลียนเอ๋อร์ซึ่งเคยต่อสู้กับหลินสวินมาก่อน แต่เพิ่งผ่านไปเพียงไม่กี่วัน พวกเขาพลันพบว่าพลังของหลินสวินเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งขึ้นอีกช่วงใหญ่ ลึกล้ำยากหยั่งถึงยิ่งกว่าเดิม

ในที่นั้นเงียบสงัด ทุกคนล้วนดูออก ว่าก่อนหน้านี้เทพมารหลินไม่ได้ล้อเล่น เขาคิดจะอาละวาดกำราบศัตรูทั้งมวลจริงๆ

“ยังมีใครไม่พอใจอีก” แววตาหลินสวินเยียบเย็นยิ่งกว่าเดิม เพียงประโยคเดียวกลับเจือความอหังการเหลือจะเอ่ย สะท้อนก้องฟ้าดิน

ทุกอย่างเงียบกริบ อึดอัดหาใดเปรียบ

สายตาผู้แข็งแกร่งมากมายต่างมองไปทางพวกจี้ซิงเหยา อวี่หลิงคง มู่เจี้ยนถิง เหลยเชียนจวิน จงหลีอู๋จี้พร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

เห็นชัดแจ้งว่าจิตใต้สำนึกของพวกเขาคิดว่า เวลานี้คนที่สามารถข่มอำนาจเทพมารหลินได้ คงมีเพียงเหล่าผู้กล้าแห่งยุคพวกนี้แล้ว

สำหรับผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ณ ที่นั้น ต่อหน้าเทพมารหลินคงไม่สามารถสร้างแรงคุกคามได้อย่างสิ้นเชิง ความพ่ายแพ้ย่อยยับของผู้แข็งแกร่งเผ่าแมวป่าทองม่วงเมื่อครู่คือข้อพิสูจน์ที่ดีที่สุด

“เจ้าช่างเจ้าแผนการนัก”

ทันใดนั้นอวี่หลิงคงเอ่ยปากเฉยชา “รู้ว่าแม้ถูกกำราบในการทดสอบถกมรรค ผลของมันก็แค่ถูกคัดออก ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดอันตรายถึงชีวิต ด้วยเหตุนี้จึงไม่เกรงกลัวสิ่งใดใช่หรือไม่”

ไม่รอหลินสวินตอบ น้ำเสียงเขาพลันเจือไอสังหารวูบหนึ่ง กล่าวเน้นทีละคำ “เจ้าวางใจ ข้าจะไม่ให้เจ้าสมปรารถนา เมื่อถึงต้นโคมสำริดมรรคโบราณ ข้าจะสังหารเจ้าด้วยตัวเอง!”

วาจากึกก้องสะท้านปฐพี ศิลาถล่มนภาประหวั่น!

เหล่าผู้กล้าสั่นสะท้าน ตระหนักได้ว่าบุคคลแห่งยุคซึ่งมาจากแดนพิสุทธิ์อมตะในแดนกาฬทักษิณผู้นี้เคลื่อนจิตสังหารโดยสมบูรณ์ หมายพิฆาตเทพมารหลินลบล้างความอัปยศ

แน่นอนว่าการที่อวี่หลิงคงทำเช่นนี้อาจมีเจตนาอื่น แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญ ที่สำคัญคือในเมื่อเขาเอ่ยวาจานี้ออกไปแล้ว ก็จะต้องทำเช่นนั้นแน่!

หลินสวินแค่นเสียงฮึ “ใช้ความคิดไม่ซื่อเจ้ามาคาดเดาให้น้อยหน่อย ก็แค่อยากแบ่งแยกเป็นตายไม่ใช่หรือ ถึงตอนนั้นจะให้เจ้าสมปรารถนา!”

ถามตัวเองดูแล้ว เขาไม่เคยข้องแวะอะไรกับอวี่หลิงคงมาก่อน ยิ่งไม่อาจพูดถึงว่ามีความเคียดแค้นพยาบาทใด แต่ฝ่ายตรงข้ามตั้งตนเป็นศัตรูกับเขาเพราะจี้ซิงเหยา นี่มันจะรังแกกันเกินไปแล้ว

“การกระทำของคุณชายอวี่ช่างถึงใจจริงๆ ข้าเคยพูดมานานแล้ว ว่าในเทศกาลโคมกถามรรคจะลงโทษเจ้านี่เป็นคนแรก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เมื่อถึงหน้าต้นโคมสำริดมรรคโบราณ ก็นับรวมข้าด้วยคน!”

จงหลีอู๋จี้เอ่ยขึ้นบ้าง เขารูปร่างกำยำผ่าเผย สีหน้าอำมหิต พลานุภาพข่มขู่ผู้คน การออกตัวเวลานี้ทำให้ผู้กล้าในที่นั้นพลันกระสับกระส่าย

กลับเห็นหลินสวินเยาะหยัน “ตอนอยู่หน้าหอวสันตสารท หากไม่ใช่ท่านย่ากระเรียนทองยื่นมือขัดขวาง ข้าคงกำจัดเจ้าไปนานแล้ว ไหนเลยจะมีโอกาสให้เจ้าพูดอยู่ตอนนี้”

“เหอะๆ ถึงตอนนั้นก็ลองดูว่าใครกำจัดใคร!” จงหลีอู๋จี้หัวเราะลั่น

“นับรวมข้าคนหนึ่ง” เวลานี้ซาหลิวฉานก็กล่าวด้วยสีหน้าทะมึน สายตาที่จับจ้องหลินสวินเจือความคั่งแค้นไม่ปกปิดแม้แต่น้อย

“นับรวมข้าด้วย” ชิงเหลียนเอ๋อร์เปล่งเสียงเย็นชา

ตอนอยู่หน้าหอวสันตสารท นางก็เหมือนซาหลิวฉาน ต่างเคยถูกหลินสวินซัดพินาศภายใต้ความสะเพร่า ด้วยเหตุนี้ในใจจึงเคียดแค้นอัดอั้นมาตลอด คิดฉวยโอกาสนี้ลบล้างความอัปยศ

“หลินสวิน ก่อนหน้านี้เจ้าดูหมิ่นเซี่ยอวี้ถังผู้สืบทอดสำนักกระบี่โผผินของข้า ความแค้นนี้ ข้าจั๋วขวงหลันจะทวงคืนเอง!” จั๋วขวงหลันเอ่ยราบเรียบ ตัวเขาดั่งกระบี่ แม้ไม่เคยออกจากฝักแต่มีประกายแหลมคมชวนประหวั่นที่อำพรางไว้ไม่อยู่

ชั่วขณะเดียวสถานการณ์ในที่นั้นแปรเปลี่ยน บุคคลผู้กล้าคนแล้วคนเล่าก้าวออกมา ท่าทีแกร่งกร้าวเผยความแน่วแน่ว่าต้องการสังหารเทพมารหลิน ทำให้ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ใกล้ๆ เกิดคลื่นซัดโหมภายในใจ ตกตะลึงพรึงเพริดไม่หยุด

สามารถคาดการณ์ได้เลยว่า เมื่อถึงหน้าต้นโคมสำริดมรรคโบราณ การต่อสู้โรมรันดุเดือดยากพบเห็นเป็นประวัติการณ์ต้องเปิดฉากขึ้นแน่!

และเทพมารหลินซึ่งตกเป็นเป้าโจมตีของทุกคน จะต้องอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลมอันตราย!

ไป๋หลิงซีซึ่งเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดกับตาในที่สุดยามนี้ก็หน้าเปลี่ยนสี ในใจกังวลถึงขีดสุด หากกล่าวถึงคนที่รู้จักหลินสวินดีที่สุดในที่นี้ คงเป็นนางโดยไม่ต้องสงสัย

และเพราะรู้จักนิสัยใจคอหลินสวิน นางแน่ใจมากว่าหลินสวินไม่มีทางหวาดกลัว ตั้งแต่ตอนที่เขาฝึกปราณในจักรวรรดิจื่อเย่า ก็ไม่เคยถูกภัยคุกคามใดขู่ให้กลัวทั้งสิ้น

แต่ไป๋หลิงซีรู้ชัดว่าคราวนี้… แตกต่างจากที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง!

แค่เพียงอวี่หลิงคงก็มีพลังต่อสู้น่าสะพรึงที่ไม่อาจจินตนาการแล้ว ในคนรุ่นราวคราวกันประหนึ่งราชัน บำเพ็ญเพียรจนบัดนี้ยังไม่เคยปราชัยสักครั้ง

เขาแข็งแกร่งเกินไป!

ทรงพลังถึงขั้นทำให้ไป๋หลิงซีไม่อาจเชื่อว่าหลินสวินจะสามารถต่อกรกับเขาได้!

หาใช่ไป๋หลิงซีมองโลกแง่ร้าย แต่เพราะนางรู้จักหลินสวินดี และรู้จักอวี่หลิงคงดีเช่นเดียวกัน หลังชั่งน้ำหนักภายในใจจึงไม่อาจมั่นใจในตัวหลินสวินมากไปนัก

‘หวังเพียงเจ้าอย่าใช้อารมณ์เด็ดขาด การอดกลั้นชั่วขณะใช่ว่าเป็นเรื่องร้ายเสมอไป…’ ไป๋หลิงซีพึมพำอยู่ในใจ

นางไม่กล้าเอ่ยปากเกลี้ยกล่อมเวลานี้ ด้วยเกรงว่าจะส่งผลต่อศักดิ์ศรีของหลินสวิน ได้แค่แอบคาดหวังภายในใจ ให้หลินสวินพิจารณาสถานการณ์ ทำสิ่งที่เอื้อประโยชน์ต่อตัวเขาที่สุด

หลินสวินขณะนี้ยังคงสีหน้าไม่เปลี่ยน นัยน์ตาดำเยียบเย็น มองศัตรูที่กระโดดออกมาทีละคน ไม่ได้ผิดคาดกับสิ่งนี้

ไม่ว่าซาหลิวฉาน ชิงเหลียนเอ๋อร์ หรือจงหลีอู๋จี้ จั๋วขวงหลัน ล้วนอยู่ในความคาดหมายของเขา เพราะรู้ว่าพวกเขาไม่มีทางวางมือยุติเรื่องราวแน่

สิ่งเดียวที่ทำเขาคิ้วขมวดอยู่บ้างคือการตัดสินใจของอวี่หลิงคง แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น กลับทำให้เขาซึ่งเป็นผู้กล้าแห่งยุคคนหนึ่งประกาศว่าจะสังหารตน การตอบสนองนี้ชัดเจนเกินไป ซ้ำยังคล้ายร้อนอกร้อนใจอยู่บ้าง

นี่ทำให้หลินสวินตระหนักได้ว่า อวี่หลิงคงทำเช่นนี้ต้องมีจุดประสงค์อื่นแน่!

ทว่าหลินสวินไม่ได้หวาดกลัวอะไร กลับกันเมื่อเห็นภาพนี้เขายังแอบเป่าปากโล่งอก ศัตรูไม่ได้น่ากลัว ที่น่ากลัวคือศัตรูซึ่งซ่อนอยู่ในที่ลับต่างหาก

หลินสวินไม่เชื่อว่าหลังจากได้ยินคำพูดมอมเมาของเซี่ยอวี้ถังเมื่อครู่ ผู้กล้าคนอื่นๆ จะไม่ไหวหวั่น

กระทั่งเขากล้าสรุปชัดว่า ผู้แข็งแกร่งมากมายในที่นั้นคงมั่นใจแน่ว่าตนมีศุภโชคติดตัว ครอบครองสมบัติอริยะ บางทีตอนนี้พวกเขาอาจไม่เผยท่าทีอะไร แต่ก็มั่นใจได้ว่าคงมีคนเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมาแล้ว!

นี่ก็คือศัตรูในที่ลับ!

และเป็นสิ่งที่ทำให้หลินสวินระวังตัว ทวนในที่แจ้งหลบหลีกง่าย ธนูในที่ลับยากป้องกัน นี่คือหลักการซึ่งไม่อาจหักล้างมาแต่โบราณ

เวลานี้เอง ข้างหูเขาพลันได้ยินเสียงสื่อจิตเย็นชาของจี้ซิงเหยา…

‘ดูท่าคนที่อยากจัดการเจ้ามีมากทีเดียว ครั้งนี้ข้าจะไม่ผสมโรง แต่เจ้าอย่าด่วนดีใจไป หากครั้งนี้เจ้าสามารถรอดมาได้ ข้าจะไปหาเจ้าแก้แค้นล้างความอัปยศ!’

ในน้ำเสียงเจืออาการมีความสุขบนความทุกข์ผู้อื่นเสี้ยวหนึ่ง และมีความเด็ดเดี่ยวอยู่ส่วนหนึ่ง

หลินสวินเลิกคิ้ว ในใจมีโทสะ เรื่องทุกอย่างวันนี้แม้ไม่ใช่เพราะเด็กสาวจอมหยิ่งนี่นำพามา แต่ก็ปะทุขึ้นจากตัวนาง แต่นางดันพูดจาแดกดัน ท่าทางรอดูตนเป็นตัวตลก นี่มันน่าโมโหเกินไปแล้ว

เขาเงยหน้ามองไปก็เห็นจี้ซิงเหยาที่รูปร่างงามสง่า บุคลิกเยียบเย็นดุจหิมะ นัยน์ตากระจ่างดั่งดวงดาราคู่นั้นกำลังมองมาทางตน มุมปากอวบอิ่มแดงฉ่ำโค้งเป็นนัยเสี้ยวหนึ่ง

‘เจ้าอย่าบีบข้า หากกดดันข้าแล้ว ข้าก็จะไม่เก็บความลับให้เจ้าอีก’ หลินสวินสื่อจิตเตือน

‘เจ้า!’ นัยน์ตากระจ่างของจี้ซิงเหยาพลันเบิกโพลง

หลินสวินยิ้มเย็นชา ‘เจ้าอะไร ขอบอกเจ้าเลยว่าหากคิดแก้แค้นล้างอัปยศก็รีบมา ไม่ตีก้นเจ้าจนออกลาย ข้าหลินสวินยอมเปลี่ยนไปใช้แซ่เจ้า!’

บนใบหน้างามสง่าของจี้ซิงเหยามีความคับแค้นและไอสังหารสายหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างปกปิดไม่อยู่ น่ารังเกียจเกินไปแล้ว เจ้าหมอนี่กล้าอาศัยสิ่งนี้มาข่มขู่ ช่างหน้าด้านไร้ยางอายถึงขั้นสมควรโดนพันมีดหมื่นแล่!

‘ทางที่ดีครั้งนี้เจ้าอย่าตายไปก่อนก็แล้วกัน!’ นางแค้นจนกัดฟันกรอด ริมฝีปากแดงเม้มโค้งราวคมดาบ หากไม่ใช่โอกาสไม่อำนวย นางคงพุ่งไปฆ่าคนเสียตอนนี้แล้ว

‘ขอบคุณสำหรับคำอวยพร’ หลินสวินยิ้มตอบ

ซ่า… ซ่า…

เวลานี้บนทะเลปรวนแปรที่ห่างไกลนั่นพลันควบรวมดอกบัวขนาดราวอ่างไม้ออกมามากมาย ทองอร่ามพร่างพราว ล่องลอยบนผืนทะเล งดงามเจิดจรัส

การทดสอบด่านที่สามจะเริ่มแล้ว!

“ไป!”

ในดวงตาวาบผู้ฝึกปราณมากมายวาบประกาย ทะยานฟ้ามุ่งหน้าไป ก่อนเหยียบบนดอกบัวทอง ฝ่าลมโต้คลื่นออกไป

หลินสวินสังเกตเห็นว่าดอกบัวสีทองแต่ละดอกมีที่ยืนมากสุดสำหรับสองคน ผู้ฝึกปราณไม่น้อยต่างเลือกเคลื่อนไหวพร้อมกันเป็นคู่

“หลินสวิน ต้องการไปด้วยกันหรือไม่” ห่างออกไป เยวี่ยเจี้ยนหมิงประชิดเข้ามา

หลินสวินแปลกใจอยู่บ้าง “เคลื่อนไหวพร้อมข้าเวลานี้คงประสบอันตรายมากมาย ถึงขั้นอาจถูกผู้แข็งแกร่งคนอื่นเพ่งเล็ง เจ้าแน่ใจหรือ”

“เจ้าคิดว่าข้าเป็นพวกขี้ขลาดหวาดกลัวเช่นนั้นรึ” เยวี่ยเจี้ยนหมิงยิ้ม

หลินสวินเองก็ยิ้มรับ เยวี่ยเจี้ยนหมิงเสนอตัวออกมาเวลานี้ต้องใช้ความกล้ามากนัก เขาพยักหน้ากล่าว “เช่นนั้นก็ไปด้วยกัน”

…………

ตอนที่ 881 ขอบคุณสำหรับคำอวยพร
เทพมารหลินลำบากแล้ว!

นี่คือสิ่งที่ผู้แข็งแกร่งทุกคนรับรู้ร่วมกัน ถูกบุคคลแห่งยุคมากขนาดนี้จับจ้อง มองเป็นเป้าหมายที่ต้องประณามและเพ่งเล็ง แค่คิดก็รู้ว่าผลที่ตามมาร้ายแรงเพียงใด

ทว่า…

พวกเขาพลาดไปเรื่องหนึ่ง ในบรรดาคนรุ่นเยาว์นี้ หลินสวินไม่เคยกลัวใครมาก่อน!

ตอนที่เขาเพิ่งมาถึงแดนฐิติประจิมก็กล้าฉีกหน้าเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ ทำการล่าสังหารครั้งใหญ่ซึ่งยืดเยื้อหลายวัน กระทั่งยังเคยถูกสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันสองคนอย่างโก่วหยางป๋อและโก่วหยางทงตามล่าพร้อมกัน แม้จนบัดนี้ก็ยังอยู่ดีไม่ใช่หรือ

ความขัดแย้งและการปะทะตรงหน้าแค่นี้ ไม่สามารถทำให้หลินสวินรู้สึกตึงมือสักนิด

“อย่าพูดมาก ไม่พอใจก็ออกมาสู้”

หลินสวินเวลานี้สีหน้าราบเรียบ นัยน์ตาดำเยียบเย็น พลังทั่วร่างพรั่งพรูไหวเคลื่อน กวาดมองผู้คนตรงนั้นประดุจเทพมารหนุ่มที่ผงาดง้ำทั่วทิศคนหนึ่ง

ทุกคนต่างหน้าเปลี่ยนสี จนป่านนี้เทพมารหลินยังแข็งกร้าวเช่นนี้ นี่คือไม่สนใจสิ่งใดอย่างที่สุดแล้วใช่ไหม

“คุณชายอวี่พูดถูก เจ้านี่มันรนหาที่ตาย!”

ผู้กล้าคนหนึ่งแสยะยิ้ม เขาคือทายาทเผ่าแมวป่าทองม่วง และเป็นยอดบุคคลผู้หนึ่งในหมู่คนรุ่นเยาว์

ฟุ่บ!

หลินสวินไม่พูดพร่ำทำเพลง นัยน์ตาวาบประกายคมกริบ โผทะยานฉีกกระชากห้วงอากาศ

เสียงพรึ่บเดียว ชายหนุ่มนั่นเพิ่งหมายหลีกหลบก็ถูกฟันเข้าร่าง ผิวแตกเลือดอาบ โลหิตแดงสดพุ่งกระเซ็นเกือบถูกบั่นศีรษะ

ห้วงอากาศเกิดคลื่นผันผวน ชายหนุ่มยังไม่ทันเปล่งเสียงร้องก็ถูกเคลื่อนย้ายคัดออกไป

เฮือก!

กลางที่นั้นเงียบสนิท มีเพียงเสียงสูดหายใจหนาวเยือกดังก้องขึ้น

เหล่าผู้กล้าตื่นตระหนก แค่ชั่วพริบตาเดียวก็กำราบยอดบุคคลผู้หนึ่งได้? เทพมารหลินไม่แกร่งเกินไปหน่อยหรือ

ชายหนุ่มเมื่อครู่นั่นแม้ไม่ถึงขั้นบุคคลแห่งยุค แต่ก็ถือเป็นพวกชั้นยอดในเหล่าผู้กล้า มีชื่อเสียงมานานหลายปี

ทั้งเขายังมีชาติกำเนิดจากเผ่าแมวป่าทองม่วง พรสวรรค์อัศจรรย์เป็นเลิศ มีความเร็วซึ่งหาตัวจับยาก แต่กระทั่งจะหลบยังล้วนไม่ทันการ ถูกกำราบทันที!

แววตาบุคคลแห่งยุคบางส่วนวูบไหว โดยเฉพาะพวกซาหลิวฉาน ชิงเหลียนเอ๋อร์ซึ่งเคยต่อสู้กับหลินสวินมาก่อน แต่เพิ่งผ่านไปเพียงไม่กี่วัน พวกเขาพลันพบว่าพลังของหลินสวินเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งขึ้นอีกช่วงใหญ่ ลึกล้ำยากหยั่งถึงยิ่งกว่าเดิม

ในที่นั้นเงียบสงัด ทุกคนล้วนดูออก ว่าก่อนหน้านี้เทพมารหลินไม่ได้ล้อเล่น เขาคิดจะอาละวาดกำราบศัตรูทั้งมวลจริงๆ

“ยังมีใครไม่พอใจอีก” แววตาหลินสวินเยียบเย็นยิ่งกว่าเดิม เพียงประโยคเดียวกลับเจือความอหังการเหลือจะเอ่ย สะท้อนก้องฟ้าดิน

ทุกอย่างเงียบกริบ อึดอัดหาใดเปรียบ

สายตาผู้แข็งแกร่งมากมายต่างมองไปทางพวกจี้ซิงเหยา อวี่หลิงคง มู่เจี้ยนถิง เหลยเชียนจวิน จงหลีอู๋จี้พร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

เห็นชัดแจ้งว่าจิตใต้สำนึกของพวกเขาคิดว่า เวลานี้คนที่สามารถข่มอำนาจเทพมารหลินได้ คงมีเพียงเหล่าผู้กล้าแห่งยุคพวกนี้แล้ว

สำหรับผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ณ ที่นั้น ต่อหน้าเทพมารหลินคงไม่สามารถสร้างแรงคุกคามได้อย่างสิ้นเชิง ความพ่ายแพ้ย่อยยับของผู้แข็งแกร่งเผ่าแมวป่าทองม่วงเมื่อครู่คือข้อพิสูจน์ที่ดีที่สุด

“เจ้าช่างเจ้าแผนการนัก”

ทันใดนั้นอวี่หลิงคงเอ่ยปากเฉยชา “รู้ว่าแม้ถูกกำราบในการทดสอบถกมรรค ผลของมันก็แค่ถูกคัดออก ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดอันตรายถึงชีวิต ด้วยเหตุนี้จึงไม่เกรงกลัวสิ่งใดใช่หรือไม่”

ไม่รอหลินสวินตอบ น้ำเสียงเขาพลันเจือไอสังหารวูบหนึ่ง กล่าวเน้นทีละคำ “เจ้าวางใจ ข้าจะไม่ให้เจ้าสมปรารถนา เมื่อถึงต้นโคมสำริดมรรคโบราณ ข้าจะสังหารเจ้าด้วยตัวเอง!”

วาจากึกก้องสะท้านปฐพี ศิลาถล่มนภาประหวั่น!

เหล่าผู้กล้าสั่นสะท้าน ตระหนักได้ว่าบุคคลแห่งยุคซึ่งมาจากแดนพิสุทธิ์อมตะในแดนกาฬทักษิณผู้นี้เคลื่อนจิตสังหารโดยสมบูรณ์ หมายพิฆาตเทพมารหลินลบล้างความอัปยศ

แน่นอนว่าการที่อวี่หลิงคงทำเช่นนี้อาจมีเจตนาอื่น แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญ ที่สำคัญคือในเมื่อเขาเอ่ยวาจานี้ออกไปแล้ว ก็จะต้องทำเช่นนั้นแน่!

หลินสวินแค่นเสียงฮึ “ใช้ความคิดไม่ซื่อเจ้ามาคาดเดาให้น้อยหน่อย ก็แค่อยากแบ่งแยกเป็นตายไม่ใช่หรือ ถึงตอนนั้นจะให้เจ้าสมปรารถนา!”

ถามตัวเองดูแล้ว เขาไม่เคยข้องแวะอะไรกับอวี่หลิงคงมาก่อน ยิ่งไม่อาจพูดถึงว่ามีความเคียดแค้นพยาบาทใด แต่ฝ่ายตรงข้ามตั้งตนเป็นศัตรูกับเขาเพราะจี้ซิงเหยา นี่มันจะรังแกกันเกินไปแล้ว

“การกระทำของคุณชายอวี่ช่างถึงใจจริงๆ ข้าเคยพูดมานานแล้ว ว่าในเทศกาลโคมกถามรรคจะลงโทษเจ้านี่เป็นคนแรก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เมื่อถึงหน้าต้นโคมสำริดมรรคโบราณ ก็นับรวมข้าด้วยคน!”

จงหลีอู๋จี้เอ่ยขึ้นบ้าง เขารูปร่างกำยำผ่าเผย สีหน้าอำมหิต พลานุภาพข่มขู่ผู้คน การออกตัวเวลานี้ทำให้ผู้กล้าในที่นั้นพลันกระสับกระส่าย

กลับเห็นหลินสวินเยาะหยัน “ตอนอยู่หน้าหอวสันตสารท หากไม่ใช่ท่านย่ากระเรียนทองยื่นมือขัดขวาง ข้าคงกำจัดเจ้าไปนานแล้ว ไหนเลยจะมีโอกาสให้เจ้าพูดอยู่ตอนนี้”

“เหอะๆ ถึงตอนนั้นก็ลองดูว่าใครกำจัดใคร!” จงหลีอู๋จี้หัวเราะลั่น

“นับรวมข้าคนหนึ่ง” เวลานี้ซาหลิวฉานก็กล่าวด้วยสีหน้าทะมึน สายตาที่จับจ้องหลินสวินเจือความคั่งแค้นไม่ปกปิดแม้แต่น้อย

“นับรวมข้าด้วย” ชิงเหลียนเอ๋อร์เปล่งเสียงเย็นชา

ตอนอยู่หน้าหอวสันตสารท นางก็เหมือนซาหลิวฉาน ต่างเคยถูกหลินสวินซัดพินาศภายใต้ความสะเพร่า ด้วยเหตุนี้ในใจจึงเคียดแค้นอัดอั้นมาตลอด คิดฉวยโอกาสนี้ลบล้างความอัปยศ

“หลินสวิน ก่อนหน้านี้เจ้าดูหมิ่นเซี่ยอวี้ถังผู้สืบทอดสำนักกระบี่โผผินของข้า ความแค้นนี้ ข้าจั๋วขวงหลันจะทวงคืนเอง!” จั๋วขวงหลันเอ่ยราบเรียบ ตัวเขาดั่งกระบี่ แม้ไม่เคยออกจากฝักแต่มีประกายแหลมคมชวนประหวั่นที่อำพรางไว้ไม่อยู่

ชั่วขณะเดียวสถานการณ์ในที่นั้นแปรเปลี่ยน บุคคลผู้กล้าคนแล้วคนเล่าก้าวออกมา ท่าทีแกร่งกร้าวเผยความแน่วแน่ว่าต้องการสังหารเทพมารหลิน ทำให้ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ใกล้ๆ เกิดคลื่นซัดโหมภายในใจ ตกตะลึงพรึงเพริดไม่หยุด

สามารถคาดการณ์ได้เลยว่า เมื่อถึงหน้าต้นโคมสำริดมรรคโบราณ การต่อสู้โรมรันดุเดือดยากพบเห็นเป็นประวัติการณ์ต้องเปิดฉากขึ้นแน่!

และเทพมารหลินซึ่งตกเป็นเป้าโจมตีของทุกคน จะต้องอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลมอันตราย!

ไป๋หลิงซีซึ่งเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดกับตาในที่สุดยามนี้ก็หน้าเปลี่ยนสี ในใจกังวลถึงขีดสุด หากกล่าวถึงคนที่รู้จักหลินสวินดีที่สุดในที่นี้ คงเป็นนางโดยไม่ต้องสงสัย

และเพราะรู้จักนิสัยใจคอหลินสวิน นางแน่ใจมากว่าหลินสวินไม่มีทางหวาดกลัว ตั้งแต่ตอนที่เขาฝึกปราณในจักรวรรดิจื่อเย่า ก็ไม่เคยถูกภัยคุกคามใดขู่ให้กลัวทั้งสิ้น

แต่ไป๋หลิงซีรู้ชัดว่าคราวนี้… แตกต่างจากที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง!

แค่เพียงอวี่หลิงคงก็มีพลังต่อสู้น่าสะพรึงที่ไม่อาจจินตนาการแล้ว ในคนรุ่นราวคราวกันประหนึ่งราชัน บำเพ็ญเพียรจนบัดนี้ยังไม่เคยปราชัยสักครั้ง

เขาแข็งแกร่งเกินไป!

ทรงพลังถึงขั้นทำให้ไป๋หลิงซีไม่อาจเชื่อว่าหลินสวินจะสามารถต่อกรกับเขาได้!

หาใช่ไป๋หลิงซีมองโลกแง่ร้าย แต่เพราะนางรู้จักหลินสวินดี และรู้จักอวี่หลิงคงดีเช่นเดียวกัน หลังชั่งน้ำหนักภายในใจจึงไม่อาจมั่นใจในตัวหลินสวินมากไปนัก

‘หวังเพียงเจ้าอย่าใช้อารมณ์เด็ดขาด การอดกลั้นชั่วขณะใช่ว่าเป็นเรื่องร้ายเสมอไป…’ ไป๋หลิงซีพึมพำอยู่ในใจ

นางไม่กล้าเอ่ยปากเกลี้ยกล่อมเวลานี้ ด้วยเกรงว่าจะส่งผลต่อศักดิ์ศรีของหลินสวิน ได้แค่แอบคาดหวังภายในใจ ให้หลินสวินพิจารณาสถานการณ์ ทำสิ่งที่เอื้อประโยชน์ต่อตัวเขาที่สุด

หลินสวินขณะนี้ยังคงสีหน้าไม่เปลี่ยน นัยน์ตาดำเยียบเย็น มองศัตรูที่กระโดดออกมาทีละคน ไม่ได้ผิดคาดกับสิ่งนี้

ไม่ว่าซาหลิวฉาน ชิงเหลียนเอ๋อร์ หรือจงหลีอู๋จี้ จั๋วขวงหลัน ล้วนอยู่ในความคาดหมายของเขา เพราะรู้ว่าพวกเขาไม่มีทางวางมือยุติเรื่องราวแน่

สิ่งเดียวที่ทำเขาคิ้วขมวดอยู่บ้างคือการตัดสินใจของอวี่หลิงคง แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น กลับทำให้เขาซึ่งเป็นผู้กล้าแห่งยุคคนหนึ่งประกาศว่าจะสังหารตน การตอบสนองนี้ชัดเจนเกินไป ซ้ำยังคล้ายร้อนอกร้อนใจอยู่บ้าง

นี่ทำให้หลินสวินตระหนักได้ว่า อวี่หลิงคงทำเช่นนี้ต้องมีจุดประสงค์อื่นแน่!

ทว่าหลินสวินไม่ได้หวาดกลัวอะไร กลับกันเมื่อเห็นภาพนี้เขายังแอบเป่าปากโล่งอก ศัตรูไม่ได้น่ากลัว ที่น่ากลัวคือศัตรูซึ่งซ่อนอยู่ในที่ลับต่างหาก

หลินสวินไม่เชื่อว่าหลังจากได้ยินคำพูดมอมเมาของเซี่ยอวี้ถังเมื่อครู่ ผู้กล้าคนอื่นๆ จะไม่ไหวหวั่น

กระทั่งเขากล้าสรุปชัดว่า ผู้แข็งแกร่งมากมายในที่นั้นคงมั่นใจแน่ว่าตนมีศุภโชคติดตัว ครอบครองสมบัติอริยะ บางทีตอนนี้พวกเขาอาจไม่เผยท่าทีอะไร แต่ก็มั่นใจได้ว่าคงมีคนเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมาแล้ว!

นี่ก็คือศัตรูในที่ลับ!

และเป็นสิ่งที่ทำให้หลินสวินระวังตัว ทวนในที่แจ้งหลบหลีกง่าย ธนูในที่ลับยากป้องกัน นี่คือหลักการซึ่งไม่อาจหักล้างมาแต่โบราณ

เวลานี้เอง ข้างหูเขาพลันได้ยินเสียงสื่อจิตเย็นชาของจี้ซิงเหยา…

‘ดูท่าคนที่อยากจัดการเจ้ามีมากทีเดียว ครั้งนี้ข้าจะไม่ผสมโรง แต่เจ้าอย่าด่วนดีใจไป หากครั้งนี้เจ้าสามารถรอดมาได้ ข้าจะไปหาเจ้าแก้แค้นล้างความอัปยศ!’

ในน้ำเสียงเจืออาการมีความสุขบนความทุกข์ผู้อื่นเสี้ยวหนึ่ง และมีความเด็ดเดี่ยวอยู่ส่วนหนึ่ง

หลินสวินเลิกคิ้ว ในใจมีโทสะ เรื่องทุกอย่างวันนี้แม้ไม่ใช่เพราะเด็กสาวจอมหยิ่งนี่นำพามา แต่ก็ปะทุขึ้นจากตัวนาง แต่นางดันพูดจาแดกดัน ท่าทางรอดูตนเป็นตัวตลก นี่มันน่าโมโหเกินไปแล้ว

เขาเงยหน้ามองไปก็เห็นจี้ซิงเหยาที่รูปร่างงามสง่า บุคลิกเยียบเย็นดุจหิมะ นัยน์ตากระจ่างดั่งดวงดาราคู่นั้นกำลังมองมาทางตน มุมปากอวบอิ่มแดงฉ่ำโค้งเป็นนัยเสี้ยวหนึ่ง

‘เจ้าอย่าบีบข้า หากกดดันข้าแล้ว ข้าก็จะไม่เก็บความลับให้เจ้าอีก’ หลินสวินสื่อจิตเตือน

‘เจ้า!’ นัยน์ตากระจ่างของจี้ซิงเหยาพลันเบิกโพลง

หลินสวินยิ้มเย็นชา ‘เจ้าอะไร ขอบอกเจ้าเลยว่าหากคิดแก้แค้นล้างอัปยศก็รีบมา ไม่ตีก้นเจ้าจนออกลาย ข้าหลินสวินยอมเปลี่ยนไปใช้แซ่เจ้า!’

บนใบหน้างามสง่าของจี้ซิงเหยามีความคับแค้นและไอสังหารสายหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างปกปิดไม่อยู่ น่ารังเกียจเกินไปแล้ว เจ้าหมอนี่กล้าอาศัยสิ่งนี้มาข่มขู่ ช่างหน้าด้านไร้ยางอายถึงขั้นสมควรโดนพันมีดหมื่นแล่!

‘ทางที่ดีครั้งนี้เจ้าอย่าตายไปก่อนก็แล้วกัน!’ นางแค้นจนกัดฟันกรอด ริมฝีปากแดงเม้มโค้งราวคมดาบ หากไม่ใช่โอกาสไม่อำนวย นางคงพุ่งไปฆ่าคนเสียตอนนี้แล้ว

‘ขอบคุณสำหรับคำอวยพร’ หลินสวินยิ้มตอบ

ซ่า… ซ่า…

เวลานี้บนทะเลปรวนแปรที่ห่างไกลนั่นพลันควบรวมดอกบัวขนาดราวอ่างไม้ออกมามากมาย ทองอร่ามพร่างพราว ล่องลอยบนผืนทะเล งดงามเจิดจรัส

การทดสอบด่านที่สามจะเริ่มแล้ว!

“ไป!”

ในดวงตาวาบผู้ฝึกปราณมากมายวาบประกาย ทะยานฟ้ามุ่งหน้าไป ก่อนเหยียบบนดอกบัวทอง ฝ่าลมโต้คลื่นออกไป

หลินสวินสังเกตเห็นว่าดอกบัวสีทองแต่ละดอกมีที่ยืนมากสุดสำหรับสองคน ผู้ฝึกปราณไม่น้อยต่างเลือกเคลื่อนไหวพร้อมกันเป็นคู่

“หลินสวิน ต้องการไปด้วยกันหรือไม่” ห่างออกไป เยวี่ยเจี้ยนหมิงประชิดเข้ามา

หลินสวินแปลกใจอยู่บ้าง “เคลื่อนไหวพร้อมข้าเวลานี้คงประสบอันตรายมากมาย ถึงขั้นอาจถูกผู้แข็งแกร่งคนอื่นเพ่งเล็ง เจ้าแน่ใจหรือ”

“เจ้าคิดว่าข้าเป็นพวกขี้ขลาดหวาดกลัวเช่นนั้นรึ” เยวี่ยเจี้ยนหมิงยิ้ม

หลินสวินเองก็ยิ้มรับ เยวี่ยเจี้ยนหมิงเสนอตัวออกมาเวลานี้ต้องใช้ความกล้ามากนัก เขาพยักหน้ากล่าว “เช่นนั้นก็ไปด้วยกัน”

…………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด