Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 890 หมาป่าห่มหนังแกะ?

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 890 หมาป่าห่มหนังแกะ? at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 890 หมาป่าห่มหนังแกะ?
ขณะนี้แม้แต่พวกจี้ซิงเหยา อวี่หลิงคงล้วนถูกทำให้ตระหนก สังเกตเห็นสถานการณ์เปราะบางของหลินสวิน

‘ไอ้ระยำหน้าด้านนี่ ในที่สุดก็ถูกบีบจำนนสักที ดูซิว่าคราวนี้เขาจะจบอย่างไร’ ในใจจี้ซิงเหยาปรากฏความรู้สึกมีสุขบนความทุกข์ของคนอื่นเสี้ยวหนึ่ง

ขณะเดียวกันนางก็รู้สึกแปลกอยู่บ้าง ต่อให้ดูหมิ่นและรังเกียจสันดานไร้ยางอายต่ำช้าของหลินสวินอย่างมาก แต่นางก็ไม่อาจไม่ยอมรับ ว่าหลินสวินมีคุณสมบัติเพียงพอลำพองในหมู่คนรุ่นเยาว์

แต่จนบัดนี้เขากลับไม่จุดโคมวิญญาณสักดวง นี่มันผิดปกตินัก

‘เอื้อมสูงไม่ถึงก้มต่ำไม่เป็น มัวแต่อวดดีไม่รับความจริง เจ้าหมอนี่ดูไปแล้วก็เท่านั้น’ อวี่หลิงคงเยาะหยันภายในใจ

จิตวิญญาณคือสิ่งสำคัญของการหลอมมรรคกลายเป็นราชัน กระทั่งเป็นลางบอกพลังแฝงของการกลายเป็นราชันในภายภาคหน้า

จากมุมมองอวี่หลิงคง แม้ก่อนหน้านี้พลังต่อสู้หลินสวินเย้ยฟ้าเพียงใด แต่หากจิตวิญญาณบกพร่อง ภายหลังต่อให้สามารถก้าวสู่ระดับราชัน ความสำเร็จก็คงจำกัด!

สารพัดอุปสรรคย่อมมาเยือนต้องเปิดโลกทัศน์ให้กว้าง ความสำเร็จตอนนี้อาจชวนตะลึงเหนือธรรมดา แต่สำหรับคนรุ่นเยาว์ สิ่งที่ต้องผจญไม่ใช่ปัจจุบัน แต่เป็นอนาคต!

มหาสงครามจวนมาเยือน วาสนานาและการต่อสู้ที่ไม่เคยมีมาก่อนใกล้ปรากฏ

ภายใต้สิ่งแวดล้อมเช่นนี้ หากจิตวิญญาณหลินสวินเกิดบกพร่อง เช่นนั้นอนาคตเขาต้องไม่อาจชิงชัยบนมหามรรคกับบุคคลแห่งยุคคนอื่นแน่

กระทั่งอาจดับมอดกลางหมู่ชนแต่เพียงเท่านี้!

นี่คือความเห็นของอวี่หลิงคง

นอกจากนี้พวกมู่เจี้ยนถิง เหลยเชียนจวินเองต่างจับจ้องสถานการณ์ พวกเขาไร้พยาบาทกับหลินสวิน ก่อนหน้าก็ไม่มีส่วนข้องแวะอันใด ทว่าเมื่อเห็นเทพมารหลินที่แต่ก่อนชักนำคลื่นลมเหลือคณา บัดนี้กลับตกอยู่ในสถานการณ์น่าเป็นห่วง ก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ

เพียงแต่ไม่ช้า ไม่ว่าจี้ซิงเหยา อวี่หลิงคง หรือพวกมู่เจี้ยนถิงต่างสำรวมจิต ไม่สนใจติดตามอีก

พวกเขาล้วนจุดโคมวิญญาณแห่งตนแล้ว กำลังไตร่ตรองและหยั่งรู้พลังมรดกจิตวิญญาณซึ่งประทับอยู่ในโคมวิญญาณ นี่ก็คือวาสนาล้ำค่าหาใดเปรียบ

“เทพมารหลิน ยอมรับความจริงเถอะ อย่าได้ดึงดันอีกเลย ไม่ขายหน้าแย่หรือ” ซาหลิวฉานหัวเราะลั่น

เขาวางท่ามีสุขบนทุกข์คนอื่น ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีโอกาสโจมตีหลินสวิน แน่นอนว่าเขาไม่มีทางเกรงใจ

หลินสวินมุ่นคิ้ว เจ้าหมอนี่ช่างเอะอะมะเทิ่ง

เขาสังเกตโคมวิญญาณที่ซาหลิวฉานจุดสว่าง เต็มที่ได้แค่ขั้น ‘สว่างไสว’ ทั้งยังสู้ไป๋หลิงซีไม่ได้ด้วยซ้ำ

หลินสวินไม่รู้จริงๆ ว่าใครมันให้ความกล้าเจ้าหมอนี่ ทำให้เขากล้ากระโดดโลดเต้นจนเกินงามเช่นนี้ ยังมีหน้ามาหัวเราะเยาะตน

นอกจากซาหลิวฉานแล้ว พวกจงหลีอู๋จี้ ชิงเหลียนเอ๋อร์เองก็ตั้งท่าซ้ำเติม แน่นอนว่าพวกเขาได้แค่ขยับปาก ไม่อาจก่ออันตรายอะไรต่อหลินสวิน

ซูม…

จู่ๆ กลางที่นั้นเกิดภาพชวนตะลึง พลังจิตวิญญาณสีม่วงสายหนึ่งวิวัฒน์เป็นกระถางมหึมา พุ่งทะยานมาถึงความสูงใกล้พลังจิตวิญญาณหลินสวิน

ต่อมาโคมวิญญาณดวงหนึ่งถูกจุดขึ้นชั่วพริบตา จาก ‘แววระยับ’ ขั้นแรกเริ่มถึง ‘สว่างไสว’ จนมาถึง ‘สุริยันกลางนภา’ ในท้ายสุด กระบวนการทั้งหมดเสร็จสิ้นชั่วพริบตา!

ทุกคนตรงนั้นพลันสั่นสะท้านถูกดึงดูด

ใครกัน ถึงกับจุดโคมวิญญาณระดับ ‘สุริยันกลางนภา’ อีกดวง

นี่น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!

ไม่ช้าทุกคนก็มองเห็น ผู้ที่สามารถทำได้ถึงขั้นนี้คือเด็กสาวชุดม่วงคนหนึ่ง ท่าทางนางโดดเด่นเหลือประมาณ หน้าผากขาวกระจ่างหมดจด พรั่งแสงแห่งสติปัญญา รูปร่างอ่อนช้อยงดงาม ทั่วร่างแผ่หมอกเมฆาม่วงศักดิ์สิทธิ์ต่อเนื่อง เห็นได้ว่าโดดเด่นและลึกลับ

ลั่วเจีย!

ผู้สืบทอดตำหนักปรกอุดมแห่งแดนประมุขพิภพ!

นางลึกลับยิ่ง เริ่มแต่เข้าสู่เทศกาลโคมกถามรรคก็ทิ้งร่องรอยเลือนราง ไปมาคนเดียวดุจม่านหมอก

อีกทั้งในการทดสอบสามรอบแรก ฝีมือทั้งไม่โดดเด่นและไม่ดาษดื่น ซ้ำไม่ดึงดูดความสนใจเท่าไหร่นัก

แต่ตอนนี้นางกลับจุดโคมวิญญาณได้ดั่งดวงตะวัน สั่นสะเทือนผู้คนในคราเดียว!

“ที่แท้เป็นนาง…”

“ดูท่าแต่ก่อนพวกเราต่างละเลยผู้สืบทอดปริศนาแห่งตำหนักปรกอุดมคนนี้เสียแล้ว”

เหล่าผู้กล้าประหลาดใจ

ที่คาดไม่ถึงที่สุดคือ เวลานี้จี้ซิงเหยาเป็นฝ่ายเอ่ยปากแสดงความยินดีก่อน “แม่นางลั่วเจียสมเป็นหัวหน้าผู้สืบทอดในปัจจุบันของตำหนักปรกอุดม ครองจิตวิญญาณเช่นนี้ สามารถวาดหวังมหามรรคในภายหน้าได้”

“สหายยุทธ์ชมเกินไปแล้ว” เสียงลั่วเจียใสกระจ่างดั่งวารี ผุดผ่องดุจกล้วยไม้กลางหุบเขาเหมือนกับตัวของนาง

ขณะเดียวกันอวี่หลิงคงก็เอ่ย “ลั่วเจียหรือ ข้าได้ยินว่าผู้อาวุโส ‘หลิงเจวี๋ยคง’ ซึ่งปิดด่านมานานแปดพันปีที่ตำหนักปรกอุดม ปีก่อนปรากฏตัวออกมาเป็นกรณีพิเศษ รับศิษย์เบื้องท้ายคนหนึ่งนามลั่วเจีย หรือว่าจะเป็นแม่นางท่านนี้”

“คิดไม่ถึงว่าศิษย์พี่แดนพิสุทธิ์อมตะแห่งกาฬทักษิณท่านนี้ก็เคยได้ยินชื่อเสียงต่ำต้อยของข้า” ลั่วเจียกล่าวเสียงแผ่ว

“ฮ่าๆ ทั่วดินแดนรกร้างโบราณ ผู้อาวุโสหลิงเจวี๋ยคงคืออริยะที่เรียกได้ว่าเป็นตำนานท่านหนึ่ง ปราณวิถีกระบี่ยอดเยี่ยมที่สุด ลุ่มลึกเกินคาดเดา แปดพันปีก่อนก็มีกิตติศัพท์ว่า ‘อริยะกระบี่ปรกอุดม’ ชื่อเสียงสะเทือนใต้หล้า”

อวี่หลิงคงหัวเราะร่าอย่างเปิดเผย “บรรพชนตระกูลข้านับถือผู้อาวุโสหลิงเจวี๋ยคงอยู่เสมอ เรื่องที่แม่นางลั่วเจียถูกผู้อาวุโสหลิงเจวี๋ยคงรับเป็นศิษย์คนท้าย ข้าก็ฟังมาจากผู้อาวุโสในตระกูล”

เฮือก!

ผู้คนพลันส่งเสียงสูดหายใจสะท้าน

ใครต่างไม่คาดคิด ว่าผู้สืบทอดลึกลับของตำหนักปรกอุดมคนนี้ ถึงกับเป็นศิษย์เบื้องท้ายของอริยะกระบี่ผู้หนึ่ง!

อริยะเดิมก็เหมือนเทพมังกรเร้นหุบเหว ไม่อาจมองเห็นร่องรอย พลานุภาพเทียมฟ้า มีฝีมือยิ่งใหญ่ไม่อาจคาดเดา

และอริยะผู้อาศัยวิถีกระบี่สร้างชื่อเลื่องลือ พลังของเขาย่อมชวนประหวั่นยิ่งกว่าโดยไม่ต้องสงสัย

ลั่วเจียถึงกับสามารถเป็นศิษย์คนท้ายของอริยะกระบี่ท่านหนึ่ง แค่คิดก็รู้ว่าคุณสมบัติและรากฐานของนางน่าอัศจรรย์ระดับใด

‘เจ้าเฒ่าสากกะเบือไป่เฟิงหลิวเคยบอกว่า ลั่วเจียคล้ายมีความเกี่ยวข้องกับเผ่าหงส์เซียน ความเป็นมานี้เดิมทีก็ลึกลับน่าตะลึงพอแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่านางยังเป็นผู้สืบทอดอริยะกระบี่… ช่างร้ายกาจนัก!’

ในใจหลินสวินเองก็สะท้านไม่หยุด

เขาเคยพบอริยะ อย่างเช่นวานรเฒ่าที่ซ่อนอยู่ในแดนลับอสูรมารอริยะ หรืออย่างจักจั่นขาว จักจั่นทอง และผีเสื้อราตรีสีเลือดที่จำศีลอยู่ในป่าต้นหม่อนในสมรภูมิกระหายเลือด

ด้วยเหตุนี้เขาจึงรู้ชัดว่า คนที่สามารถก้าวสู่อริยมรรคเป็นบุคคลน่าหวาดกลัวระดับใด

ลั่วเจียยังเยาว์วัยเช่นนี้ กลับถูกอริยะกระบี่ผู้หนึ่งรับเป็นศิษย์เบื้องท้าย แค่คิดก็รู้ว่ารากฐานนางต้องไม่ธรรมดา!

ณ ที่นั้นเงียบสงัด ทุกคนต่างจิตใจกระเพื่อมไหว พวกเขาเพิ่งรับรู้ว่า ในเทศกาลโคมกถามรรคครั้งนี้ยังแฝงด้วยผู้สืบทอดอริยะกระบี่ที่เก็บงำซ่อนเร้นจนเกือบถูกพวกเขาละเลย แรงจู่โจมนี้ช่างมากเหลือเกิน

ทว่าท่ามบรรยากาศเงียบสงัด ดันมีเสียงเยาะหยันเสียดหูยิ่งของซาหลิวฉาน

“เทพมารหลิน ตอนนี้เจ้าควรตัดใจได้แล้วกระมัง โคมวิญญาณที่แม่นางลั่วเจียจุดอยู่ใกล้เจ้า แต่ก่อนหน้าเจ้ากลับไม่อาจทำได้ถึงขั้นนี้ นี่หมายความว่าอะไรเจ้าคงไม่รู้กระมัง”

ทันใดนั้นสีหน้าเหล่าผู้กล้าเปลี่ยนเป็นพิลึกพิลั่น

แม้ซาหลิวฉานกำลังเยาะเย้ยและโจมตีเทพมารหลิน แต่ที่พูดก็เป็นจริง เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ล้วนถูกพวกเขาเห็นด้วยตาตัวเอง

“ฮึ เจ้าหมอนี่เห็นชัดว่าไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ คิดว่าตนเหมือนพวกเทพธิดาจี้ คุณชายอวี่ คิดฝันเลิศเลอเสียจริง”

“ไม่รู้จักวางตัว ทำได้แค่สร้างความขบขัน เทพมารหลิน เจ้าแน่ใจนะว่าจะปล่อยไก่อยู่ตรงนั้นต่อ”

ชิงเหลียนเอ๋อร์และจงหลีอู๋จี้พากันเอ่ยปาก วาจาเปี่ยมความปรามาสและเย้ยหยัน

ช่วยไม่ได้ ก่อนหน้านี้พวกเขาถูกหลินสวินไล่ตามจนหัวซุกหัวซุนราวไฟลนก้น ความอัปยศและคั่งแค้นสุมอกอยู่ก่อนแล้ว ในเวลานี้แทบอยากเหยียบหลินสวินให้จมเท้าด้วยซ้ำ

อันที่จริงหลินสวินออกจะรังเกียจและเอือมระอา รู้สึกเหมือนมีแมลงวันหัวเขียวสองสามตัวส่งเสียงหึ่งๆ อยู่ข้างหู ไล่ก็ไม่ไป

“ท่าทางเช่นนี้ของพวกเจ้า ทำเอาข้านึกขึ้นได้ประโยคหนึ่ง” เขาพลันกล่าว ทำให้ผู้แข็งแกร่งมากมายใคร่รู้

“ทุกคนดูสิ เทพมารหลินอับอายจนโกรธแล้ว นี่จะเอ่ยปากแก้ต่างให้ตัวเองหรือ น้อยๆ หน่อย! อย่าขายขี้หน้าอีกเลย ข้าละอายแทนเจ้าแล้วเนี่ย!” ซาหลิวฉานเยาะเย้ย

หลินสวินหาได้สนใจไม่ กล่าวต่อไป “ประโยคนี้ก็คือ แมลงฤดูร้อนไม่อาจพูดถึงน้ำแข็ง แต่สวะอย่างพวกเจ้า แม้แต่แมลงฤดูร้อนยังเทียบไม่ได้ ช่างทำให้คำว่า ‘ผู้กล้า’ แปดเปื้อน!”

“เจ้า…”

ซาหลิวฉานเพิ่งหมายพูดอะไร ก็เห็นกลางนภาสูง พลังจิตวิญญาณของหลินสวินพลันส่องสว่าง แม้ไม่ได้จุดโคมวิญญาณ แต่แค่พลังจิตวิญญาณของเขาก็ราวตะวันดวงโตดวงหนึ่ง เปล่งประกายไร้ขีดจำกัด!

ผู้แข็งแกร่งบางส่วนต่างมีความรู้สึกไม่อาจมองโดยตรง ช่างเจิดจรัสและแสบตาเหลือเกิน

“นี่…”

เหล่าผู้กล้าในใจสั่นสะท้าน ตระหนักได้ว่าเทพมารหลินเดือดดาลแล้ว กระตุ้นพลังจิตวิญญาณถึงขีดสุดเต็มกำลัง

เพียงแต่พลังจิตวิญญาณแข็งแกร่งชวนประหวั่นเช่นนี้ เหตุใดจนปัจจุบันล้วนไม่อาจจุดโคมวิญญาณได้สักดวง?

หรือเขาหาอะไรบางอย่างมาตลอด ด้วยเหตุนี้จึงรั้งรอไม่ตัดสินใจ

“ฮึ! จิตวิญญาณทรงพลังแล้วอย่างไร ไม่อาจจุดโคมวิญญาณได้ แน่นอนว่าเป็นเพราะมีจุดบกพร่อง!” พวกซาหลิวฉาน จงหลีอู๋จี้ ชิงเหลียนเอ๋อร์แม้ประหลาดใจสงสัย แต่ปากยังไม่ละเลยหน้าที่

“ไม่อาจจุดโคมวิญญาณ? เช่นนั้นจงเบิกตาสุนัขของพวกเจ้าให้ดี!”

หลินสวินเวลานี้ไม่เก็บงำไว้อีก พลังจิตวิญญาณพลันกลายเป็นคนตัวเล็กสามชุ่น รูปร่างท่าทางราวถอดแบบจากหลินสวิน เงาร่างสูงสง่า ทั่วร่างเจิดจรัส

วิญญาณแห่งพลังจิต!

แต่เนื่องด้วยพลังจิตวิญญาณของเขาเจิดจ้าเกินไป แทบไม่มีคนสังเกตเห็นการมีอยู่ของวิญญาณแห่งพลังจิต

วู้ม!

วิญญาณแห่งพลังจิตย่างก้าวบนอากาศ สะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง โคมวิญญาณกลางนภาดวงหนึ่งที่อยู่ใกล้เคียงถูกจุดสว่าง แค่ชั่วพริบตาก็เหมือนมหาสุริยันสะท้อนใต้เวิ้งฟ้า สว่างกระจ่างเกรียงไกร!

สุริยันกลางนภา!

ทุกคนตรงนั้นตะลึงพรึงเพริด เทพมารหลินก่อนหน้านี้ยั้งพลังไว้ดังคาด พลังจิตวิญญาณเองก็แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!

พวกซาหลิวฉาน จงหลีอู๋จี้ ชิงเหลียนเอ๋อร์อึ้งงันโดยสมบูรณ์ ตกตะลึงอ้าปากค้าง ในใจเหมือนมีหมื่นอาชาไพรตะบึงผ่าน

ก่อนหน้านี้พวกเขาพูดจาคล่องปาก มองว่าจิตวิญญาณหลินสวินบกพร่อง ด้วยเหตุนี้จึงเย้ยหยันและเหน็บแนมเต็มที่ ในใจเปี่ยมความรื่นรมย์แช่มชื่นถึงแก่น

แต่บัดนี้พวกเขากลับราวถูกคนฟาดกระบองเตือนสติ หัวสมองเบลอไปหมด อึดอัดจนแทบกระอักเลือด ไหนเลยจะคิดว่าเรื่องกลับพลิกผันเช่นนี้?

ความรู้สึกนี้เหมือนถูกคนตบหน้าเข้าจังหนับ ปวดแสบปวดร้อนไปหมด!

“เทพมารหลินนี่เห็นชัดว่าจงใจเล่นละครตบตาพวกซาหลิวฉาน ถึงได้อดกลั้นมาตลอด รอตบหน้าเวลานี้”

ผู้แข็งแกร่งมากมายสีหน้าพิลึกพิลั่น พวกเขาคิดว่าหลินสวินเจตนา ‘ห่มหนังแกะ’ เก็บงำแผนเจ้าเล่ห์ รอเวลาโจมตีและแก้แค้นพวกซาหลิวฉาน

ไม่เช่นนั้นอาศัยฝีมือของเขาเช่นตอนนี้ คงจุดโคมวิญญาณระดับสุริยันกลางนภาไปนานแล้ว ไยต้องรอจนป่านนี้เล่า?

วิธีนี้ช่างสร้างความเสียหายเหลือเกิน!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด