Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 891 โคมแห่งความมืดรัตติกาลนิรันดร์

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 891 โคมแห่งความมืดรัตติกาลนิรันดร์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 891 โคมแห่งความมืดรัตติกาลนิรันดร์
ความผิดพลาดในอดีตเป็นบทเรียนในอนาคต

ในใจผู้กล้าแอบระแวง ตัดสินใจว่าต่อไปจะระวังเทพมารหลินให้มาก เจ้าหมอนี่ไม่เพียงพลังต่อสู้ดุดัน ยังหน้าเนื้อใจเสือ อันตรายอย่างที่สุด ไม่ระวังเพียงนิดเดียวก็สามารถถูกเขาทำร้ายได้!

ก่อนหน้านี้ผู้แข็งแกร่งห้าคนจากตระกูลจงหลีและเผ่าหงส์เขียวก็โดนหลอกไปครั้งหนึ่งแล้ว คิดว่าพลังจิตวิญญาณของหลินสวินอ่อนแอ จึงฉวยโอกาสนี้ลงมือเล่นงานเยวี่ยเจี้ยนหมิงอย่างอดไม่ได้

ใครจะคิดว่าความอ่อนแอเป็นเพียงภาพจอมปลอมที่หลินสวินเสแสร้งขึ้น เมื่อเขาระเบิดขึ้นมา ผู้แข็งแกร่งทั้งห้าคนนั้นก็ประสบโศกนาฏกรรมโดยตรง

แม้แต่จงหลีอู๋จี้และชิงเหลียนเอ๋อร์ต่างตกใจ รีบหลบราวกับไฟลนก้น

และตอนนี้หลินสวินใช้วิธีเดิมอีกครั้ง จงใจแสดงออกว่าอ่อนแอ ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ปริเสียงเลยแม้แต่คำเดียวราวกับกำลังหย่อนเหยื่อรอปลา แต่พวกซาหลิวฉานคิดแต่จะแก้แค้นจึงโดนหลอก รีบร้อนออกตัว แน่นอนว่าผลลัพธ์จะต้องน่าเศร้าอีกแล้ว

จังหวะตบหน้ากลับนี้เรียกได้ว่าชำนาญถึงขั้นสมบูรณ์ บรรลุจุดสุดยอด ทำให้เหล่าผู้กล้ายังรู้สึกเจ็บหน้าแทนพวกซาหลิวฉาน

ร้ายกาจและอำมหิตเกินไปแล้ว!

เทพมารหลินไม่พลาดทุกโอกาสที่จะได้โจมตีคู่ต่อสู้!

เพียงแต่ครั้งนี้พวกเขาเข้าใจหลินสวินผิดแล้วจริงๆ…

ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นการทดสอบด่านที่สี่ หลินสวินจะไปมีกะจิตกะใจเล่นกับพวกซาหลิวฉานเสียที่ไหน

ครั้งนี้พวกซาหลิวฉานเป็นฝ่ายยื่นหน้าเข้ามาเองทั้งนั้น และท่าทางก็เหมือนทนรอไม่ไหวแล้วอย่างไรอย่างนั้น เขาจึงต้องฝืนใจสะบัดฝ่ามือเข้าไป

“หลินสวิน ไอ้คนต่ำช้า!!” พวกซาหลิวฉานต่างอับอายจนพาลโกรธ เดือดดาลจนตะโกนลั่นหน้าเขียว

เจ้าหมอนี่จงใจชัดๆ เจ้าเล่ห์อย่างที่สุด จงใจขุดหลุมพรางเอาไว้ รอพวกเขากระโดดลงไป

“ข้าต่ำช้าหรือ ผู้ร่วมวิถีทุกท่านในที่นี้ต่างก็เห็นอย่างชัดเจนว่าพวกเจ้าวอนหาเรื่อง กระโดดออกมาเอง ตอนนี้พออับอายขายหน้ากลับโทษว่าข้าต่ำช้าหรือ พวกเจ้ายังมีหน้าเรียกตัวเองว่าผู้กล้าอีกหรือ”

หลินสวินยิ้มเยาะ

ทุกคนต่างพูดไม่ออก คำพูดนี้ของหลินสวินไม่สามาถโต้เถียงได้เลยจริงๆ

ส่วนพวกซาหลิวฉานโกรธจนปอดแทบระเบิดออก พวกเขาไหนเลยจะคิดได้ว่า เทพมารหลินผู้กล้าแกร่งจะถึงกับเจ้าเล่ห์ร้ายกาจเพียงนี้

เพื่อล่อหลอกพวกเขา แม้แต่เกียรติและขอบเขตก็ไม่สนใจแล้ว!

“ข้าบอกแล้วว่าแมลงฤดูร้อนไม่อาจพูดถึงน้ำแข็ง ส่วนพวกเจ้านั้นยิ่งกว่าแมลงฤดูร้อนเสียอีก อย่างมากก็แค่พวกตัวตลกที่น่าขันและไม่รู้จักประเมินความสามารถของตนฝูงหนึ่ง!”

เสียงของหลินสวินสบายๆ แต่ทุกคำราวกับมีดคม โจมตีจนพวกซาหลิวฉานอยากเข้าไปสู้กับหลินสวินจนแทบทนไม่ไหว

“พูดตามจริงข้าคร้านจะสนใจพวกเจ้าแต่แรก พวกเจ้ากลับเหยียบจมูกขึ้นหน้า หาเรื่องใส่ตัว! ไม่พอใจหรือ เช่นก็เบิกตาสุนัขของพวกเจ้ารอดูต่อไป!”

เพิ่งสิ้นเสียงนี้ ทุกคนต่างหัวใจสะท้าน จุดโคมวิญญาณแล้วแท้ๆ เทพมารหลินคิดจะทำอะไรอีก

แม้แต่พวกซาหลิวฉานยังอึ้ง

วู้ม!

ในเวลานั้นเอง บนชั้นนภาวิญญาณแห่งพลังจิตก้าวย่างต่อไป มาถึงหน้าโคมวิญญาณดวงหนึ่ง กวาดแขนเสื้อเบาๆ หนึ่งครา

โคมวิญญาณราวกับดวงสุริยัน เปล่งแสงอย่างไร้ขีดจำกัด!

เฮือก

ทุคนคน ณ ที่นั้นต่างอึ้งตาค้างตกตะลึง จุดโคมวิญญาณระดับสุริยันกลางนภาดวงหนึ่งได้ก็น่าตะลึงมากพอแล้ว

แต่ตอนนี้ ในระหว่างที่เทพมารหลินพูดคุยพร้อมรอยยิ้มอยู่นั่น กลับจุดโคมวิญญาณสว่างขึ้นมาอีกดวง และยังเป็นระดับสุริยันกลางนภาเช่นเดียวกัน!

นี่ฟังดูน่าทึ่งเกินไปแล้ว ไม่มีใครเคยได้ยินว่าในการทดสอบด่านที่สี่ยังสามารถจุดโคมวิญญาณสว่างถึงสองดวง ทั้งยังเป็นระดับสุริยันกลางนภาทั้งคู่!

“นี่…” เหล่าผู้กล้าสะท้านจนพูดไม่ออก

แม้จะเป็นพวกจี้ซิงเหยา อวี่หลิงคงและลั่วเจียยังตกใจ ต่างกวาดจิตรับรู้เข้าไปมอง เมื่อเห็นภาพนี้ในใจต่างสั่นสะท้านไม่น้อย

จุดโคมวิญญาณระดับสุริยันกลางนภาสว่างถึงสองดวง นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อนอย่างแน่นอน!

‘เจ้าหมอนี่ต้องจงใจแน่!’ จี้ซิงเหยาโกรธจนกัดฟัน ก่อนหน้านี้นางยังย่ามใจอยู่ไม่น้อย รอดูว่าหลินสวินจะคลี่คลายสถานการณ์อย่างไร

แต่เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น เจ้าหมอนี่กลับสร้างความฮือฮาขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าจงใจก่อเรื่อง!

‘ข้ามองผิดไปจริง…’ อวี่หลิงคงคิดเช่นนี้ ความรู้สึกแปลกประหลาดพลุ่งพล่านขึ้นในใจ มีไอสังหารที่ควบคุมไม่อยู่เสี้ยวหนึ่ง

ยามนี้เขารับรู้ได้ถึงภัยคุกคามจากตัวหลินสวิน ทำให้เขารู้สึกไม่ดีอย่างมาก

คนที่เขาไม่เคยเห็นในสายตา กลับเผยพลังจิตวิญญาณที่ทำให้เขาเองยังรู้สึกถึงภัยคุกคาม นี่ทำให้อวี่หลิงคงยากจะยอมรับอย่างไม่ต้องสงสัย

‘เป็นบุคคลระดับเทพมารจริงๆ…’ ลั่วเจียเหมือนคิดอะไรอยู่

……

พวกซาหลิวฉานสั่นไปทั้งตัว สีหน้าเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวซีด น่าสนใจอย่างที่สุด ในใจอยากจะกระอักเลือด

หากบอกว่าตอนที่หลินสวินจุดโคมวิญญาณดวงแรกติด พวกเขารู้สึกเดือดดาล อัดอั้นเหมือนโดนหลอก เช่นนั้นพวกเขาในตอนนี้ก็รู้สึกอับอายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

แรงโจมตีนี้รุนแรงเกินไปแล้ว!

พอนึกถึงคำเหยียดหยามและท้าทายของพวกเขาที่มีต่อหลินสวินเมื่อครู่นี้ ทำให้พวกเขาอยากแทรกแผ่นดินหนีเสียเดี๋ยวนี้ อับอายขายหน้ายิ่งแล้ว!

“นี่มันเทพมารหลินซะที่ไหน เทพลวงหลินชัดๆ…” มีผู้แข็งแกร่งพึมพำ

เทพลวงหลิน?

เหล่าผู้กล้าตะลึง สมญานามนี้ช่างเหมาะสมจริงๆ เวลาลวงคนไม่แสดงสีหน้า พรสวรรค์สมบูรณ์แบบเป็นธรรมชาติ ความคิดไร้ขีดจำกัด ลงมือตามอำเภอใจ หลอกลวงคนอย่างแนบเนียนใกล้เคียงมรรค

ดังเช่นพวกซาหลิวฉาน ที่ตอนนี้จิตใจล้วนถูกกระทบกระเทือนจนอึ้งค้างอยู่กับที่ ทั้งน่าเห็นใจและน่าขัน

……

บนท้องฟ้ารัตติกาลยามนี้มีโคมวิญญาณห้าดวง ราวกับสุริยันดวงโตแขวนอยู่ โชติช่วงเรืองรอง ส่องสะท้อนซึ่งกันและกัน

โดยแบ่งเป็นของจี้ซิงเหยา อวี่หลิงคง และลั่วเจียคนละดวง มีเพียงหลินสวินที่ยึดครองคนเดียวถึงสองดวง

ทว่าเหนือความคาดหมายของทุกคน ทุกอย่างยังไม่จบเพียงเท่านี้

ช่วงเวลาหลังจากนั้น พลันเห็นพลังจิตวิญญาณของหลินสวินยิ่งใหญ่และทรงพลังขึ้น จุดโคมวิญญาณสว่างขึ้นดวงแล้วดวงเหล่า

ทุกๆ ดวงล้วนราวกับสุริยันสะท้อนฟ้า ส่องสว่างจักรวาล!

ไม่เพียงแค่พวกซาหลิวฉานที่อึ้งจนตาค้าง ณ ที่นั้นยังมีผู้แข็งแกร่งอีกมากมายที่ตกตะลึง ล้วนมีความรู้สึกไม่สมจริง เหมือนมองเห็นสิ่งมหัศจรรย์หนึ่งเดียวในโลก

นี่ทำให้ไม่สามารถจินตนาการได้เลยจริงๆ เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาก่อน!

พลังจิตวิญญาณของเทพมารหลินนั่นแข็งแกร่งถึงเพียงใดเชียว

บุคคลแห่งยุคอย่างพวกจี้ซิงเหยา อวี่หลิงคงและลั่วเจียก็ไม่อาจสงบใจได้เช่นกัน ในใจมีความกดดันหนักอึ้ง

ในการทดสอบด่านที่สี่นี้ หากเทียบกันจริงๆ พวกเขาต่างด้อยกว่าไม่น้อยอย่างไม่ต้องสงสัย!

หลินสวินในตอนนี้นำหน้าไปไกลไม่เห็นฝุ่น!

ไม่นานบนท้องฟ้าพลันมีโคมวิญญาณที่ราวกับสุริยันเพิ่มเข้ามาอีกสี่ดวง ล้วนถูกหลินสวินจุดสว่าง รวมกันแล้วเขาจุดโคมวิญญาณสว่างขึ้นมาหกดวงแล้ว

นี่หากแพร่กระจายออกไปจะต้องสร้างความฮือฮาให้ทั่วหล้าอย่างแน่นอน ถึงอย่างไรเทศกาลโคมกถามรรคในทุกๆ ครั้งที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาก่อน

แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจคือ หลินสวินในตอนนี้กลับยังไม่หยุด

หรือพูดอีกอย่างว่า แม้เขาจะจุดโคมวิญญาณมาหลายดวงแล้ว แต่กลับไม่เคยเลือกมรดกจิตวิญญาณที่ประทับอยู่ในโคมดวงใดเลย

เขากำลังทำอะไรอยู่

……

หลินสวินกำลังตามหา

กำลังตามหาโคมวิญญาณที่เหมาะกับตน แต่สิ่งที่ทำให้เขาต้องขมวดคิ้วคือ เขาลองอยู่หลายครั้ง แม้สามารถจุดโคมวิญญาณได้ แต่กลับหาที่พึงพอใจไม่ได้เสียที

ตอนนี้พลังจิตวิญญาณของเขาได้พุ่งสู่จุดที่สูงมากของห้วงนภาแล้ว ทำให้ผู้ฝึกปราณหลายคนถึงขั้นไม่สามารถรับรู้ได้อีกต่อไปแล้ว

บนที่สูงของห้วงนภา แทบไม่พบโคมวิญญาณใดๆ แม้แต่ดวงเดียว นอกจากท้องฟ้ารัตติกาลก็คือความว่างเปล่า

หลินสวินไม่ตัดใจ พุ่งขึ้นไปอีก

แม้แต่บุคคลอย่างจี้ซิงเหยาก็ตรวจจับพลังจิตวิญญาณของหลินสวินได้ยากขึ้นเรื่อยๆ ห่างไกลเกินไปแล้ว

“เกรงว่าเขาคงหลอมวิญญาณแห่งพลังจิตออกมาแล้ว มิฉะนั้นไม่มีทางพุ่งขึ้นไปยังจุดที่สูงถึงเพียงนี้ในนภาหมื่นจั้งได้…”

ตอนนี้บุคคลแห่งยุคหลายคนต่างตระหนักได้ว่า ด้านพลังจิตวิญญาณของหลินสวิน ได้ไปเข้าถึงระดับที่สูงยิ่งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนแล้ว ไม่เช่นนั้นย่อมเป็นเรื่องยากที่จะทำได้ถึงขั้นนี้

วิญญาณแห่งพลังจิต!

ในระดับกระบวนแปรจุติแทบจะเรียกได้ว่าไม่สามารถฝึกได้ มีเพียงบนร่างของสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันส่วนใหญ่เท่านั้นจึงจะพบเห็นได้

แต่เห็นได้ชัดว่าเทพมารหลินคนนี้คล้ายจะทำได้ถึงขั้นนี้แล้ว!

จิตวิญญาณดุจดวงประทีป ส่องประกายสู่ตน พลังจิตไม่เสื่อมสูญ โคมวิญญาณสว่างชั่วนิจนิรันดร์ ความแข็งแกร่งอ่อนแอของพลังจิตวิญญาณ คือจุดสำคัญของการหลอมมรรคกลายเป็นราชัน

และยามนี้ ทุกอย่างกำลังพิสูจน์ว่าหลินสวินมีศักยภาพแฝงในการบรรลุระดับราชันที่เหนือกว่าคนทั่วไปอย่างไม่ต้องสงสัย!

นี่ทำให้พวกจี้ซิงเหยา อวี่หลิงคงต่างให้ความสำคัญ ไม่กล้ามองว่าหลินสวินเป็นคนธรรมดาอีก

สูงขึ้นเรื่อยๆ…

จู่ๆ หลินสวินก็รับรู้ได้ถึงความเหนื่อยล้าอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เขารู้ว่าความสูงนี้ถึงขีดจำกัดของพลังจิตวิญญาณของตนแล้ว

ทอดสายตามองไปรอบๆ ห้วงนภาตรงนี้มืดดำราวกับน้ำหมึก ว่างเปล่าอ้างว้าง มีความเงียบที่กดดันใจคน

“ดูเหมือนว่าจะไม่มีแล้วจริงๆ…” หลินสวินจนปัญญา บางทีระดับสุริยันกลางนภาอาจจะเป็นโคมวิญญาณที่คุณภาพสูงที่สุดแล้ว

เพียงแต่ตอนที่หลินสวินกำลังจะกลับ จู่ๆ ก็ชะงักไปด้วยตระหนักได้ถึงปัญหาหนึ่ง ม่านรัตติกาลที่ราวกับกรงปกคลุมฟ้าดินนี้ ก็เป็นแสงอย่างหนึ่งไม่ใช่หรือ

ใต้ห้วงนภา โคมวิญญาณมากมายบ้างโชนแสงราวสุริยัน บ้างราวกับดวงดาวเปล่งประกาย แต่ไม่ว่าจะเจิดจ้าเพียงใด กลับไม่สามารถทำลายแสงแห่งดำมืดของม่านรัตติกาลได้อย่างสมบูรณ์!

หลินสวินรู้สึกถึงบางอย่าง จึงหยุดตามหาโคมวิญญาณ แล้วใช้วิญญาณแห่งพลังจิตไปสัมผัสห้วงฟ้าสีรัตติกาลนั่น

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร วิญญาณแห่งพลังจิตของหลินสวินสั่นขึ้นมาคราหนึ่ง สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่แทบจะว่างเปล่า แต่กลับเงียบสงัดเก่าแก่อย่างที่สุดสายหนึ่ง

เดาถูกแล้วจริงๆ!

ทันใดนั้นในใจหลินสวินพลันสะท้าน วิญญาณแห่งพลังจิตโคจรพลังเต็มกำลัง ไล่ตามกลิ่นอายอันเงียบสงัดเก่าแก่นั่น

หลินสวินรู้สึกเหมือนถูกความมืดมิดอันไม่มีที่สิ้นสุดล้อมอยู่รางๆ กลิ่นอายเก่าแก่โบราณที่ทำให้จิตวิญญาณของเขารู้สึกถึงความกดดันแผ่ขยายออกมา

ลึกล้ำดุจราตรีกาล สงัดเงียบดุจความมืดมน

และในเวลานั้นเอง หลินสวินมองเห็นโคมวิญญาณดวงหนึ่ง มันมีขนาดราวฝ่ามือเด็กทารก ตัวโคมประหนึ่งสร้างขึ้นจากทองเซียนสีดำ มีความรู้สึกเก่าแก่หนักอึ้งซ่อนอยู่ภายใน ราวกับโคมแห่งความมืดมิดดวงหนึ่งที่หลอมรวมไว้ในรัตติกาลนิรันดร์

ความมืดมิด เดิมทีเป็นสิ่งที่ทำให้คนรู้สึกกดดันและสิ้นหวัง

แต่โคมดวงนี้กลับตรงข้าม มันมีเอกลักษณ์อย่างชัดแจ้ง มีกลิ่นอายยิ่งใหญ่โอ่อ่า เคร่งขรึมและเก่าแก่!

มันนี่แหละ!

หลินสวินตามหามานาน นี่เป็นครั้งแรกที่รับรู้ได้อย่างแรงกล้าว่า สิ่งที่พลังจิตวิญญาณของตนต้องการก็คือโคมแห่งความมืดที่เปล่งแสงรัตติกาลนิรันดร์ดวงนี้!

พรึ่บ!

วิญญาณแห่งพลังจิตของหลินสวินกระโดดไป นำพาพลังจิตวิญญาณของตนเข้าไปภายในโคมแห่งความมืดดวงนั้น

ฮูม

ทันทีที่เข้าไป กลิ่นอายแห่งมรดกอันยิ่งใหญ่ที่เก่าแก่อย่างหาที่เปรียบไม่ได้พุ่งเข้ามาราวกับภูผาทลายคลื่นยักษ์ถล่ม ท่วมท้นวิญญาณแห่งพลังจิต

ในเวลาเดียวกัน สีรัตติกาลที่ปกคลุมฟ้าดินถึงกับกระเพื่อมคลื่นแปลกประหลาดลูกแล้วลูกเล่า แผ่ขยายระลอกคลื่นอันคลุมเครือ โคมวิญญาณแต่ละดวงที่ถูกจุดและแขวนอยู่กลางอากาศล้วนสั่นสะเทือนไปตามคลื่น พลิ้วไหวอยู่กลางห้วงฟ้า

โคมวิญญาณส่ายไหว แสงสว่างพรั่งพรู กลับยิ่งขับเน้นให้สีรัตติกาลยิ่งมืดมิดและเงียบสงัด…

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด