Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 892 ดอกเทพรวมยอด

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 892 ดอกเทพรวมยอด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 892 ดอกเทพรวมยอด
เสียงธรรมอันลึกลับคลุมเครือที่อธิบายไม่ถูกก้องอยู่ในจิตวิญญาณ ราวกับเสียงท่องคัมภีร์ของสมัยบรรพกาล เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ที่ยากจะอธิบายเป็นคำพูด

นี่คือการหยั่งรู้มรดกจิตวิญญาณอย่างหนึ่ง ยิ่งใหญ่และบริสุทธิ์

เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น หลินสวินพลันรู้สึกว่าจิตวิญญาณของตนกำลังเปลี่ยนแปลง ยิ่งใหญ่ขึ้น จมสู่การหยั่งรู้ในระดับลึกอย่างหนึ่ง

ฉึบ!

ก็ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่ เหนือวิญญาณแห่งพลังจิตของหลินสวินพรั่งพรูแสงบริสุทธิ์ที่สว่างไสวราวกับภาพฝันมากมาย สดใสทรงพลัง แผ่กระจายพลุ่งพล่าน

สุดท้ายเกาะตัวเป็นดอกตูมที่ราวกับภาพมายาดอกหนึ่ง

ไม่นานดอกตูมเบ่งบาน พร้อมกับแสงมรรคที่สว่างไสวบริสุทธิ์

ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!

กลีบทุกกลีบเบ่งบาน ส่งเสียงธรรมไพเราะและมหัศจรรย์สั่นสะเทือนจิตวิญญาณ ทำให้ทั้งตัววิญญาณแห่งพลังจิตมีความรู้สึกเหมือนถูกชำระล้างและยกระดับถึงขีดสุด

สุดท้ายดอกตูมเบ่งบานอย่างสิ้นเชิง ในเกสรพรั่งพรูละอองแสงขาวโพลนดั่งหิมะ ราวกับเป็นภาพมายา วิเศษอัศจรรย์

มันลอยอยู่เหนือวิญญาณแห่งพลังจิต ปลดปล่อยแสงราวกับน้ำพุมากมาย ส่องสว่างวิญญาณแห่งพลังจิตให้โปร่งใสทั้งแถบ

ชั่วพริบตาเดียวหลินสวินรับรู้ได้อย่างฉับไวว่าจิตวิญญาณของตนเปลี่ยนไปอีกครั้ง ราวกับมีแสงแห่งสติปัญญาจุดหนึ่งปลุกความทรงจำของตนขึ้นมา ทุกภาพตั้งแต่เกิดจนถึงตอนนี้ ทุกประสบการณ์ในเส้นทางการฝึกปราณ ราวกับภาพม้วนแล้วม้วนเล่าสะท้อนอยู่ในใจอย่างประณีตละเอียดอ่อน

‘ดอกเทพรวมยอด สามารถมองเห็นความจริงแห่งอดีต!’

หลินสวินตระหนักได้อย่างหนึ่งว่า ดอกเทพหนึ่งดอกที่วิญญาณแห่งพลังจิตควบรวมออกมานี้ แตกต่างจากในอดีตอย่างสิ้นเชิง

นี่ทำให้เขาประหลาดใจ เพียงแค่โคมแห่งความมืดที่เปล่งแสงแห่งรัตติกาลนิรันดร์หนึ่งดวงเท่านั้น แต่การรับรู้มรดกจิตวิญญาณอันเก่าแก่ที่ประทับอยู่ กลับนำพาให้พลังจิตวิญญาณของเขาก้าวสู่ระดับใหม่ นี่เหลือเชื่อเกินไปแล้ว!

ดอกไม้นี้เกิดจากจิตวิญญาณ เป็นตัวแทนของการฝึกปราณ ‘ในอดีต’ ของตน ทำให้ในใจหลินสวินเกิดการหยั่งรู้มากมาย

เขาเพิ่งจะเข้าใจว่า ที่แท้ในสมัยบรรพกาลก็มีแบ่งระดับการฝึกจิตวิญญาณเช่นเดียวกัน

โดยแบ่งเป็น ‘ระดับสัมผัสรู้’ ‘ระดับจิตรับรู้’ ‘ระดับวิญญาณเทพ’ ‘ระดับดอกเทพรวมยอด’ ‘ระดับระดับจิตลอยล่อง’ ‘ระดับแปรเทพเปลี่ยนอริยะ’ ทั้งหมดหกระดับใหญ่

ระดับสัมผัสรู้ คือการตื่นของพลังจิตใจ เป็นขั้นแรกของการสัมผัสรู้ฟ้าดิน

ระดับจิตรับรู้ เป็นพลังจิตวิญญาณที่มีเพียงมหายุทธ์ซึ่งระดับปราณสูงกว่าระดับมหาสมุทรวิญญาณเท่านั้นจึงจะครอบครองได้ สามารถหยั่งรู้หมื่นลักษณ์แห่งฟ้าดิน มองเห็นร่องรอยแห่งมหามรรค

ระดับวิญญาณเทพ หมายถึงวิญญาณแห่งพลังจิต ดูแลควบคุมห้วงนิมิต สามารถทำหลายอย่างพร้อมกันได้ มหัศจรรย์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด แสงแห่งปัญญาปรากฏ

เช่นหลินสวินช่วงก่อนหน้านี้ ก็อยู่ในระดับนี้

ส่วน ‘ระดับดอกเทพรวมยอด’ เป็นระดับจิตวิญญาณที่อัศจรรย์และเร้นลับยิ่งกว่า แบ่งเป็นอีกสามขั้นเล็กอันได้แก่ ‘เห็นอดีต’ ‘เห็นปัจจุบัน’ และ ‘เห็นอนาคต’

ทุกครั้งที่ไปถึงขั้นหนึ่ง เหนือวิญญาณแห่งพลังจิตก็จะควบรวมดอกเทพมหามรรคดอกหนึ่งออกมา ส่องประกายสู่ตน มีความมหัศจรรย์ที่ยากจะจินตนาการ

สำหรับ ‘ระดับจิตลอยล่อง’ และ ‘ระดับแปรเทพเปลี่ยนอริยะ’ เป็นระดับจิตวิญญาณสำหรับอริยมรรค ห่างไกลเกินไป หลินสวินหยั่งรู้ได้เพียงแนวคิดหนึ่ง แต่ไม่สามารถมองทะลุถึงแก่นจริงแท้ของมัน

‘การฝึกจิต ก็คือรากฐานแห่งการสำรวจความเป็นความตาย ค้นหาหนทางสู่อมตะ จิตวิญญาณดุจดวงประทีป พลังจิตไม่เสื่อมสูญก็เหมือนดั่งอมตะ เกิดแก่เจ็บตายไม่อาจรุมเร้าได้!’

‘และสำหรับผู้ฝึกปราณ จิตวิญญาณยิ่งแข็งแกร่ง ปริศนาแห่งฟ้าดินที่สามารถหยั่งถึงและครอบครองได้ก็ยิ่งมาก มีประโยชน์ที่ไม่อาจคาดเดาต่อการเสาะหามรรคาและแสวงหาความลับแห่งอมตะ’

‘มันเกี่ยวโยงไปถึงความลับแห่งการเกิดดับ เป็นสิ่งสำคัญต่อการหลอมมรรคกลายเป็นราชัน ต่อไปเมื่อก้าวสู่เส้นทางอมตะ เข้าถึงมรรคกลายเป็นอริยะ ยิ่งมีคุณประโยชน์อัศจรรย์ที่ไม่มีสิ่งใดทดแทนได้!’

การหยั่งรู้มากมายพวยพุ่งขึ้นในใจหลินสวิน มีความรู้สึกกระจ่างแจ้งพบแสงสว่างขึ้นมาอย่างกะทันหัน

……

ตึง~~

การทดสอบด่านที่สี่จบลงพร้อมกับเสียงระฆังเก่าแก่

ผู้กล้าที่กำลังหยั่งรู้มรดกจิตวิญญาณในโคมวิญญาณที่ถูกจุดสว่างต่างสั่นเทิ้มไปทั้งกาย จิตวิญญาณถูกดูดจากโคมวิญญาณกลับคืนสู่ร่างกาย

“ไวเกินไปแล้ว เหตุใดข้ารู้สึกเหมือนเพิ่งผ่านไปเพียงพริบตาเดียวเท่านั้นก็จบลงแล้ว”

มีบางคนสีหน้าอึ้งงัน ยังคงไม่ได้สติจากการหยั่งรู้อย่างแท้จริง

“ยอดเยี่ยมมาก! ผ่านการหยั่งรู้ครั้งนี้ ทำให้ข้ามองทะลุถึงความเร้นลับแห่งการควบรวม ‘วิญญาณเทพ’ เชื่อว่าอีกไม่นานก็สามารถลองหลอมวิญญาณแห่งพลังจิตได้แล้ว”

มีบางคนตื่นเต้น สีหน้าปรากฏความดีใจ เห็นชัดว่าเก็บเกี่ยวจากการหยั่งรู้ได้มากมาย

“น่าเสียดายที่เวลาน้อยเกินไป ไม่เช่นนั้นข้าจะต้องเข้าถึงความเร้นลับมากกว่านี้แน่!”

และมีบางคนที่ยังไม่หนำใจ

ยามนี้พวกจี้ซิงเหยา อวี่หลิงคงและลั่วเจียต่างตื่นจากการหยั่งรู้ แต่ละคนสีหน้าแตกต่างกันออกไป หว่างคิ้วล้วนมีความยินดีที่ปิดไม่อยู่

โคมวิญญาณที่พวกเขาได้มาถือว่าคุณภาพชั้นหนึ่ง การหยั่งรู้ที่ได้ก็ยิ่งมหัศจรรย์ ในการหยั่งรู้ของพลังจิตวิญญาณครั้งนี้ เกิดการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด เก็บเกี่ยวไปได้ไม่น้อย

“จริงสิ เทพมารหลินล่ะ เขาเลือกโคมวิญญาณดวงใดกันแน่” จู่ๆ ก็มีคนถามขึ้น

“จริงด้วย เท่าที่ข้าสังเกต โคมวิญญาณหกดวงที่เขาจุดติด ไม่มีดวงใดที่ถูกเขาเลือกเลย” ทันใดนั้นผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ต่างตระหนักได้

ก่อนหน้านี้หลินสวินทิ้งโคมวิญญาณหกดวงนั้น จิตวิญญาณพุ่งสู่จุดสูงของนภาหมื่นจั้ง ทำให้คนอื่นๆ ต่างไม่อาจเห็นว่าเขาได้จุดโคมวิญญาณขึ้นใหม่หรือไม่

“จะต้องพลาดไปแล้วแน่ๆ หากเขาจุดโคมวิญญาณอีก จะต้องเกิดปรากฏการณ์ประหลาดตั้งนานแล้ว แต่ตั้งแต่ต้นจนจบข้าก็ไม่เห็นถึงความเคลื่อนไหวใดเลย”

ซาหลิวฉานยิ้มเยาะพูด

สีหน้าของทุกคนพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย เจ้าหมอนี่ยังถูกเทพมารหลินหลอกไม่พออีกหรือ จนป่านนี้ยังมีความกล้าไปปฏิเสธเทพมารหลินอีก

“ทำไม เหตุใดพวกเจ้าจึงมองข้าเช่นนี้ หรือข้าพูดอะไรผิด”

ซาหลิวฉานพลันรู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว สีหน้าไม่น่าดูอยู่บ้าง

“นี่ก็นับว่าเป็นความจริง หากเขาจุดโคมวิญญาณระดับสุริยันกลางนภา ข้าคงรับรู้ได้ตั้งนานแล้ว ทว่าตั้งแต่เขาขึ้นสู่ระดับที่สูงขึ้นไปในห้วงอากาศกลับไม่มีความเคลื่อนไหวใดเลย เช่นนี้สามารถคาดการณ์ได้ว่า สุดท้ายเขาคงจะคว้าน้ำเหลว”

สิ่งที่เหนือความคาดหมายคือ ตอนนี้อวี่หลิงคงกลับส่งเสียงอย่างมั่นใจ

นี่ทำให้ทุกคนต่างตะลึง พลังจิตวิญญาณของเทพมารหลินพลิกฟ้าเช่นนี้ จะคว้าน้ำเหลวได้อย่างไร

“คงจะเป็นเช่นนั้นจริง ก่อนหน้านี้ข้าเคยสำรวจดูแล้ว ด้านบนของห้วงฟ้านั่นไม่มีโคมวิญญาณเลยแม้แต่ดวงเดียว” จี้ซิงเหยาเองก็พึมพำ

นางไม่ได้อยากฉวยโอกาสโจมตีหลินสวินตอนนี้ แต่ก็รู้สึกแปลกใจและไม่เข้าใจมาก

หากหลินสวินคว้าน้ำเหลวก็ควรกลับมา ตามหาโคมวิญญาณที่ถูกเขาจุดสว่างในตอนแรกเพื่อรับมรดก

แต่โคมวิญญาณทั้งหกดวงแม้จะถูกจุดแล้ว แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นของไม่มีเจ้าของ ไม่เคยถูกหลินสวินครอบครอง

นี่แปลกประหลาดเกินไปแล้ว

แม้แต่จี้ซิงเหยายังพูดเช่นนี้ ผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ จึงไม่สามารถสงบใจได้นัก เทพมารหลินดันคว้าน้ำเหลวในการทดสอบด่านที่สี่งั้นหรือ

คนอื่นทิ้งแตงโมเพื่อเก็บเมล็ดงา[1] แต่อย่างน้อยยังมี ‘เมล็ดงา’ แต่ดูเขา เดิมทีสามารถได้รับวาสนาอันล้ำค่า แต่เพราะความโลภ สุดท้ายกลับไม่ได้อะไรเลย

นี่เป็นเรื่องน่าศร้าครั้งหนึ่งเลยเชียว!

“ฮ่าๆๆ” ซาหลิวฉานเบิกบานขึ้นมา มั่นใจนักหนาว่าหลินสวินจะต้องไม่ได้อะไรติดมือ อดพูดไม่ได้ “เมื่อครู่นี้มีโคมวิญญาณถูกเขาจุดสว่างถึงหกดวง ล้วนเกิดปรากฏการณ์ระดับสุริยันกลางนภา สะดุดตาและโดดเด่นอย่างมาก แต่ใครจะคิดว่าเจ้าหมอนั่นกลับพลาดทั้งหมด…”

“เฮ้อ จะพูดเช่นนั้นก็ไม่ได้ นี่เป็นเพราะเทพมารหลินเรียกร้องมากเกินไป ดูถูกการช่วงชิงศุภโชคในสุริยันกลางนภาอย่างไรเล่า” คำพูดของจงหลีอู๋จี้เหน็บแนม แฝงความเย้ยหยัน

ชิงเหลียนเอ๋อร์เองก็ยิ้มพูด “นี่เรียกว่าโชคชะตากลั่นแกล้งคน เรื่องนี้หากเผยแพร่ออกไปจะต้องเป็นเรื่องน่าขันยกใหญ่มากอย่างแน่นอน คนทั่วหล้าคงไม่มีใครคิดถึงว่าเทพมารหลินจะตกต่ำถึงขั้นนี้”

เหล่าผู้กล้าต่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี

“จะเป็นเช่นนี้จริงหรือ” ไป๋หลิงซีขมวดคิ้ว

“ไม่มีทางเป็นเช่นนี้แน่!” เยวี่ยเจี้ยนหมิงมั่นใจมาก

และในตอนนี้หลินสวินซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ก็ตื่นขึ้นมา ลืมตาขึ้น ส่วนลึกของนัยน์ตาที่ราวกับหุบเหววาบแสงประหลาดวูบหนึ่ง

“ทำไม พวกเจ้ายังไม่พอใจอีกหรือ”

หลินสวินลุกขึ้นยืน แววตาเรียบเฉยกวาดมองพวกซาหลิวฉานแวบหนึ่ง

เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น ในใจพวกเขาต่างรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง ราวกับความลับทั้งภายในและภายนอกร่างกายล้วนถูกหลินสวินมองทะลุ

เวลาเดียวกันนั้นผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ที่อยู่บริเวณนั้นต่างสังเกตเห็นอย่างฉับไวว่า เทพมารหลินราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน บุคลิกยิ่งดูหลุดพ้น มีความรู้สึกบริสุทธิ์ว่างเปล่าปราศจากธุลีอย่างหนึ่ง

เอ๋!

หลายคนต่างประหลาดใจ นี่มันเกิดอะไรขึ้น

แต่เมื่อสัมผัสอย่างละเอียดกลับพบว่า ภายใต้บุคลิกที่ดูเหมือนราบเรียบแต่หลุดพ้นของหลินสวิน มีท่วงทำนองปราณที่ราวกับเหวลึกล้ำ ลุ่มล้ำไม่อาจคาดเดา ไม่สามารถมองทะลุตื้นลึกหนาบางได้เลย!

พวกซาหลิวฉานสีหน้าเปลี่ยนไป นึกถึงแต่ละเหตุการณ์ที่ถูกหลินสวินหลอกลวงก่อนหน้านี้ ในใจก็เดือดพล่านอีกครั้ง โกรธจนแทบจะสบถด่าออกมา

ทว่าด้วยความระวังและระแวงอย่างหนึ่ง พวกเขาเพียงยิ้มเยาะ แต่ไม่กล้าพูดอะไรมาก

“เจ้าจุดโคมวิญญาณแล้วหรือ” จี้ซิงเหยาอดถามไม่ได้

หลินสวินยิ้มพูด “เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า”

คิ้วเรียวของจี้ซิงเหยาเลิกขึ้น นางไม่ชินกับรอยยิ้มน่ารังเกียจเช่นนี้ของหลินสวินที่สุด ท่าทางที่คิดเองเออเอง จงใจแสดงออกให้ดูเร้นลับเพื่อตบตาคน เห็นแล้วอดโมโหไม่ได้

สุดท้ายก็ไม่มีใครรู้ว่าหลินสวินจุดโคมวิญญาณสว่างได้อีกหรือไม่

แต่หลายคนต่างสังเกตเห็นว่าหลินสวินสงบนิ่งเกินไป ไม่มีความเสียใจสักนิด ดูผิดปกติมาก และไม่เหมือนกำลังแสร้งทำเป็นนิ่งสงบด้วย

นี่พาให้น่าคิดนัก

ฮูม

ทันใดนั้นยันต์มรรคในมือทุกคนพลันเปล่งแสง เกิดคลื่นแปลกประหลาดม้วนตัวพวกเขาไว้ ก่อนจะหายไปในชั่วพริบตา

บททดสอบด่านที่ห้ากำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว

……

และตอนนี้เอง โลกภายนอกก็ตกอยู่ท่ามกลางความฮือฮา

“อะไรนะ เทพมารหลินนั่นจุดโคมวิญญาณที่มีคุณภาพระดับสุริยันกลางนภาคนเดียวถึงหกดวง นี่เขายังใช่คนอยู่หรือไม่”

“สัตว์ประหลาด!”

“เดิมทีพวกเทพธิดาจี้ถูกกำหนดให้โดดเด่น ชื่อเสียงสะเทือนไปทั่วหล้า ใครจะคิดว่ากลับมีเทพมารหลินโผล่มา โดดเด่นเหนือทุกคนในชั่วพริบตา”

เสียงฮือฮาและเสียงอุทานด้วยความตกใจดังขึ้นไม่ขาดสาย

เหล่าผู้ยิ่งใหญ่ต่างหวั่นไหว การทดสอบจุดโคมวิญญาณในครั้งนี้แตกต่างจากที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิงจริงๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน!

“ได้ยินว่าหลินสวินนั่นมาจากโลกชั้นล่าง จนถึงตอนนี้ยังไร้สำนัก ข้าเกิดมีใจเมตตาขึ้นมา ยินยอมรับเขามาเป็นศิษย์เป็นกรณีพิเศษ”

คนใหญ่คนโตผู้หนึ่งลูบหนวดพร้อมรอยยิ้ม

“บังเอิญจริง สำนักของพวกเราหมายตาเทพมารหลินไว้ตั้งแต่แรกแล้ว กำลังคิดจะชวนเขาเข้าสำนักหลังจบเทศกาลโคมกถามรรคพอดี”

……

กลุ่มผู้ยิ่งใหญ่ต่างออกปาก เกิดความคิดที่จะดึงตัวหลินสวิน

“ทุกท่านอย่าแย่งกันไปเลย บุคคลพลิกฟ้าอย่างหลินสวิน มีเพียงการเข้าสู่เรือนกระบี่เร้นปุจฉาของข้าเท่านั้น จึงจะสามารถแสดงศักยภาพออกมาได้อย่างเต็มที่”

ถึงขั้นที่แม้แต่ท่านย่ากระเรียนทองยังเอ่ยปาก ภาพเหล่านี้ล้วนทำให้ผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ ตะลึง อึ้งจนตาค้างไปแล้ว เทพมารหลินคนนี้ได้รับความนิยมเกินไปหรือเปล่า

——

[1] ทิ้งแตงโมเก็บเมล็ดงา หมายถึง การคว้าเอาของเล็กๆ แต่กลับทิ้งสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ให้ความสำคัญแต่กับเรื่องรองๆ จนละเลยเรื่องสำคัญ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด