Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 895 อริยะที่ตะบึงอย่างบ้าคลั่ง

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 895 อริยะที่ตะบึงอย่างบ้าคลั่ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 895 อริยะที่ตะบึงอย่างบ้าคลั่ง
ไม่ใช่บอกว่า ศิลาหินรอบนอกสุดของป่าศิลาแทบจะเป็นพลังมหามรรคธรรมดาทั้งหมดหรือ

หลินสวินยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น สีหน้าแปลกประหลาด

ตอนนี้กลุ่มผู้กล้าได้พุ่งเข้าไปในส่วนลึกของป่าศิลาแล้ว อย่างเช่นพวกจี้ซิงเหยา อวี่หลิงคง ต่างตามหาศิลาหินที่พวกเขาหมายปองได้ในทันที

มีผู้แข็งแกร่งเพียงส่วนน้อยที่วนเวียนอยู่รอบนอกอาณาเขตป่าศิลาเหมือนหลินสวิน

นี่ก็เป็นเรื่องปกติมาก แม้ในป่าศิลาเก่าแก่ผืนนี้มีศิลาหินตั้งอยู่เป็นพันหลัก แต่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถอนุมานและหยั่งถึงพลังแห่งมหามรรคที่ประทับอยู่บนศิลาหินได้!

ถึงขั้นพูดได้ว่า พลังแห่งมหามรรคที่คุณลักษณะยิ่งสูง ก็ยิ่งยากจะถูกอนุมานออกมา หากไม่มีความสามารถในการหยั่งรู้และพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม ไม่สามารถหยั่งถึงและครอบครองมันได้แน่

ผู้แข็งแกร่งในที่นี้ล้วนเป็นบุคคลชั้นยอด และรู้จักตัวเองเป็นอย่างดี รู้ว่าในป่าศิลาแสดงมรรคแห่งนี้ การเลือกสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเองต่างหากที่สำคัญที่สุด

หากหวังสูงเกินไป กลับยิ่งจะถูกคัดออกได้ง่าย!

เพียงแต่ตอนที่สังเกตเห็นว่าหลินสวินยืนอยู่นอกป่าศิลาแต่ไม่กล้าเคลื่อนไหวในขั้นต่อไป ผู้ฝึกปราณที่ลังเลอยู่บริเวณรอบนอกก็แปลกใจขึ้นมา

ในจิตใต้สำนึกของพวกเขาคิดว่า บุคคลแห่งยุคอย่างหลินสวิน ควรจะพุ่งไปแย่งกับพวกจี้ซิงเหยาและอวี่หลิงคงในส่วนลึกของป่าศิลาตั้งแต่แรก

แต่ตอนนี้เขากลับเหมือนไม่คิดจะทำเช่นนั้น กลับมาตามหาศิลาหินจากรอบนอกป่าศิลา นี่ดูผิดปกติมาก

“หรือเทพมารหลินรู้ตัวว่าความสามารถในการหยั่งรู้ไม่ดีพอ”

มีคนสงสัย

แต่ไม่ทันไรก็มีคนโต้แย้ง “รีบหุบปากเถอะ ความสามารถในการหยั่งรู้ไม่ดีพองั้นหรือ อย่าล้อเล่นหน่อยเลย ความสามารถในการหยั่งรู้เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณ และพลังจิตวิญญาณของเทพมารหลินสามารถจุดโคมวิญญาณระดับสุริยันกลางนภาหกดวงได้อย่างง่ายดาย เจ้ากลับกล้าบอกว่าความสามารถในการหยั่งรู้ของเขาใช้ไม่ได้งั้นหรือ สมองเพี้ยนไปแล้วหรือเปล่า!”

“ทุกท่านโปรดระวังภัยจากปาก ข้าสงสัยว่าเทพมารหลินนั่นเตรียมจะแต่งเป็นหมูหลอกกินเสือ ขุดหลุมฝังคนอีกแล้ว!” มีคนเตือน

ทันใดนั้นสีหน้าของผู้แข็งแกร่งหลายคนพลันพิลึกพิลั่นขึ้นมา ในใจตระหนักได้อย่างกะทันหัน ว่าเทพมารหลินในตอนนี้ควรจะเรียกว่าเทพลวงหลินถึงจะถูก…

ส่วนผู้แข็งแกร่งที่สงสัยว่าความสามารถในการหยั่งรู้ของหลินสวินใช้ไม่ได้ก่อนหน้านี้ก็กลัวจนเหงื่อท่วมตัว ในใจเต้นระรัว เมื่อครู่นี้เขาเกือบกระโดดลงหลุมไปเองแล้ว!

เทพมารหลินคนนี้ร้ายกาจเกินไปแล้ว จนเวลานี้แล้วไม่ไปช่วงชิงวาสนามรรค กลับจะขุดหลุมพรางลวงหลอกคนอีก ป้องกันไม่ทันเลยจริงๆ

ก็ไม่แปลกที่พวกเขาจะคิดเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ตอนที่จุดโคมวิญญาณ พวกเขาก็คิดว่าหลินสวินจงใจแสดงความอ่อนแอ ลวงจนผู้แข็งแกร่งห้าคนจากเผ่าหงส์เขียวและตระกูลจงหลีถูกคัดออกไป

จากนั้นตอนอยู่บนนภาสูงหมื่นจั้ง เขาก็ทำทีว่าไม่สามารถจุดโคมวิญญาณได้ ถูกพวกซาหลิวฉานเยาะเย้ยเหน็บแนม

แต่ผลลัพธ์เป็นอย่างไรเล่า เทพมารหลินแสดงอานุภาพยิ่งใหญ่ จุดโคมวิญญาณรวดเดียวถึงหกดวง โจมตีพวกซาหลิวฉานจนโกรธหน้าเขียวแทบกระอักเลือด อึ้งงันอยู่กับที่ ท่าทางเหมือนอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี

และตอนนี้บุคคลแห่งยุคอย่างหลินสวินกลับวนเวียนอยู่รอบนอกป่าศิลา สถานการณ์เช่นนี้ย่อมทำให้คนอดเชื่อมโยงไม่ได้

“หึ!”

“ยังคิดจะลวงคนอีก เพลาๆ หน่อยเถอะ!”

“คิดว่าพวกข้าจะโง่โดนเจ้าหลอกครั้งแล้วครั้งเล่าหรือ”

“เจ้าเองก็นับว่าเป็นบุคคลแห่งยุคคนหนึ่ง แต่กลับเจ้าเล่ห์เพทุบาย ไร้ยางอายจริงๆ ไม่รู้สึกขายหน้าบ้างหรือ”

ห่างออกไปพวกซาหลิวฉานก็สังเกตเห็นภาพนี้ พลันเดือดดาลสุดกำลัง คิดไปตามจิตใต้สำนึกว่า ที่หลินสวินทำเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าล้วนพุ่งเป้ามาที่พวกเขา!

เทพมารหลินนี่เสพติดแล้วกระมัง ก่อนหน้านี้ลวงพวกเขาเช่นนี้ ตอนนี้ยังใช้แผนเดิม กลอุบายก็ไม่เปลี่ยน วิธีนี้ล้าสมัยเกินไปแล้ว

พวกเขาไม่มีทางโดนหลอกแน่!

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาโดนหลอกจนมีเงามืดในใจแล้ว อ่อนไหวอย่างมาก เห็นหลินสวินทำเช่นนี้ ก็คิดไปเองว่าจะลวงพวกเขาอีกแล้ว

หลินสวินจะทำอย่างไรได้ เขาเป็นผู้บริสุทธิ์จริงๆ และคร้านจะอธิบายด้วย เห็นพวกซาหลิวฉานโกรธจนกระหืดกระหอบกลับทำให้เขาแอบขำ

‘เป็นพวกโง่ฝูงหนึ่งจริงๆ’

‘สิงเจินจื่อผู้สืบทอดมหาวิหารธรรมแดนเร้นเทพคนนั้นพูดถูก เมื่อกระดานทองคำผู้กล้าที่แท้จริงปรากฏ ผู้ที่ถูกเรียกว่าบุคคลผู้กล้าบนโลก ส่วนใหญ่ต้องถูกซัดไปตามลมฝน ถูกตัดสมญาผู้กล้า!’

และในสายตาของหลินสวิน พวกซาหลิวฉานใช้คำนี้ ช่างเป็นการดูหมิ่นคำว่า ‘ผู้กล้า’!

……

หลินสวินไม่สนใจสายตาประหลาดรอบข้างอีก พลันก้าวไปอยู่ตรงหน้าศิลาหินที่อยู่ขอบป่าศิลา

ศิลาหินหลักนี้เป็นสีเทาหม่นๆ ตั้งเอียงๆ อยู่ตรงนั้น ด้านบนมีร่องรอยแห่งกาลเวลา เมื่อสังเกตดูอย่างละเอียดแล้ว บนนั้นมีภาพหินแกะสลักภาพหนึ่ง เพียงแต่ร่องรอยนั้นตวัดเกินไป ให้ความรู้สึกยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ

เมื่อเทียบกับศิลาหินที่กำลังสร้างคลื่นอันคลุมเครือและปรากฏการณ์มหัศจรรย์อื่นๆ ศิลาหินหลักนี้ดูธรรมดามาก เหมือนเศษหินที่ถูกทิ้งไว้ตรงนั้นอย่างไรอย่างนั้น

รอบนอกของป่าศิลามีศิลาหินมากมายที่เป็นเช่นนี้ ทั้งเก่าแก่ มีรอยด่างและธรรมดา

แต่เมื่อหลินสวินยืนอยู่ตรงนั้น ชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดตรงบริเวณจุดปราณทั้งสี่แห่งเส้นปราณหัวใจของเขาราวกับจะลุกไหม้แล้ว เปล่งแสงสีขาวบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ที่สว่างไสวอย่างที่สุด ทำให้ตรงหน้าอกหลินสวินร้อนผ่าวและเจ็บแปลบขึ้นมา

‘เช่นนั้นก็เป็นมันแล้วกัน!’

หลินสวินสูดหายใจเข้าลึกๆ นั่งขัดสมาธิ เคลื่อนสายตามองศิลาหินที่กระดำกระด่างและธรรมดานั่น

หืม?

ผู้แข็งแกร่งบางส่วนสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวของหลินสวินก็อดตะลึงไม่ได้ เทพมารหลินจะอนุมานศิลาหินธรรมดาๆ หลักนั้นจริงๆ หรือ

เขาไม่ใช่จะขุดหลุมลวงคนหรอกหรือ

“เจ้าหมอนี่มักอยากจะทำอะไรนอกกรอบ แหวกแนว แตกต่างจากคนทั่วไปอยู่เสมอ ข้าว่าคราวนี้เขาจะต้องตกหลุมพรางตัวเองเหมือนตอนจุดโคมวิญญาณอีกแน่!”

พวกซานหลิวฉานแค่นเสียงอย่างเย็นเยียบ

ผู้กล้าคนอื่นๆ สีหน้าต่างสับสน ก็จริง ตอนที่จุดโคมวิญญาณครั้งที่แล้ว หลินสวินทิ้งโคมวิญญาณหกดวงเอาไว้ไม่ไปครอบครอง กลับยังจะไปตามหาโคมวิญญาณที่คุณภาพสูงกว่า

สุดท้ายกลับคว้าน้ำเหลว

นี่ทำให้เหล่าผู้กล้าต่างเสียดายและปวดใจแทนเขา

และครั้งนี้ล่ะ เทพมารหลินจะซ้ำรอยเดิมหรือไม่

ไม่นานบรรยากาศก็กลับสู่ความเงียบสงบ ป่าศิลาไร้สุ้มเสียง บรรยากาศท่ามกลางฟ้าดินทั้งผืนเคร่งขรึม

การทดสอบได้เริ่มขึ้นแล้ว เหล่าผู้แข็งแกร่งล้วนผ่านอุปสรรคอย่างหนักหน่วงกว่าจะมาถึงจุดนี้ แน่นอนว่าจะไม่ยอมถูกคัดออกในด่านสุดท้าย

สีหน้าของพวกเขาจดจ่อ เริ่มทำเวลาอนุมานความลึกลับบนศิลาหินอย่างสุดความสามารถ

‘ศิลานี้ไม่อาจหยั่ง!’

‘น่าชังนัก ศิลาหินนี้ธรรมดาเพียงนี้ กลับไม่สามารถถูกข้าอนุมานความเร้นลับภายในออกมาได้ หรือความสามารถในการหยั่งรู้ของข้าแย่เกินไปจริงๆ’

‘เตือนผู้มาทีหลัง อย่าเลือกศิลาหินนี้ ไม่เช่นนั้นจะเสียใจภายหลัง!’

หลินสวินกำลังเตรียมจะลงมือ แต่สายตากลับถูกตัวอักษรแต่ละบรรทัดบนผิวศิลาหินที่อยู่ตรงหน้าดึงดูด

ตัวอักษรเหล่านั้นมีรูปแบบที่แตกต่างกัน เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มาจากลายมือเดียวกัน แต่เนื้อหาล้วนเต็มไปด้วยอารมณ์ด้านลบที่ไม่จำยอม สิ้นหวัง ขึ้งโกรธและสับสน

เห็นได้ชัดว่าในเทศกาลโคมกถามรรคที่ผ่านๆ มา ก็เคยมีผู้กล้าอยากจะคลี่คลายความลึกลับในศิลาหินนี้ แต่ก็จบลงด้วยความล้มเหลวโดยไม่มีข้อยกเว้น

และล้มเหลว ก็เท่ากับคัดออก!

‘ในนี้มีความลับที่ยิ่งใหญ่ เสียดายที่ไม่ให้ข้าเห็น ความสามารถในการหยั่งรู้ของข้าโดดเด่นกว่าคนรุ่นเดียวกันมานานแล้ว ใครจะคิดว่ากลับหยุดอยู่หน้าศิลาหินหลักนี้ โชคชะตา… ช่างกลั่นแกล้งคน!’

ตอนที่เห็นตัวอักษรบรรทัดนั้น หลินสวินพลันหรี่ตา นี่จะต้องเป็นบุคคลแห่งยุคคนหนึ่งอย่างแน่นอน และคนผู้นี้ก็สัมผัสได้ว่าศิลาหินหลักนี้ไม่ธรรมดา แต่สุดท้ายเขาก็ล้มเหลว!

ชั่วขณะหนึ่งหลินสวินพลันสับสนไม่น้อย

นี่คือการทดสอบถกมรรคด่านที่ห้า และเป็นด่านสุดท้าย หากพบเจออุปสรรคตอนนี้และถูกคัดออกไป ก็จะไม่สามารถไปถึงหน้าต้นโคมสำริดมรรคโบราณนั่นได้อีก

จะเลือกศิลาหินหลักนี้หรือไม่

หลินสวินลังเลอยู่ในใจ

ทันใดนั้นเขาแค่นเสียงอย่างอึดอัดคราหนึ่ง รู้สึกว่าตรงหน้าอกยิ่งร้อนลวกขึ้นมา และรู้สึกเจ็บราวกับถูกทึ้งกระชาก ชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดยิ่งสว่างไสว ราวกับจะพุ่งออกจากหน้าอก

‘ที่เมื่อก่อนผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นไม่เคยคลี่คลายพลังแห่งมหามรรคในศิลาหินนี้ได้ บางทีอาจจะไม่เกี่ยวกับความสามารถในการหยั่งรู้ แต่แค่… พวกเขาขาดโชควาสนาอย่างหนึ่ง!’

จู่ๆ หลินสวินก็ตระหนักได้ว่า บางทีศิลาหินที่อยู่ตรงหน้าอาจจะมีไว้เพื่อผู้แข็งแกร่งที่มีพรสวรรค์ ‘หุบเหวกลืนกิน’ โดยเฉพาะ

ไม่เช่นนั้นเหตุใดชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดของตนจึงเกิดการตอบสนองที่แปลกประหลาดเช่นนี้ในตอนนี้

‘ช่างเถอะ ไม่ว่าอย่างไรก็ลองให้สุดความสามารถ ได้ถือว่าโชคดี ไม่ได้ถือว่าเป็นโชคชะตา!’

หลินสวินสูดหายใจเข้าลึกๆ สลัดความคิดสับสนวุ่นวาย กายใจนิ่งสงบ ปรากฏสภาวะที่ว่างเปล่าถึงขีดสุด แผ่พลังจิตวิญญาณออกมาปกคลุมศิลาหิน

บนศิลาหินมีภาพหินแกะสลักที่ลวกๆ และกระดำกระด่างภาพหนึ่ง ยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ ราวกับเป็นผลงานของเด็กอายุสามขวบ

แต่ทันทีที่จิตวิญญาณของหลินสวินสัมผัสกับภาพนี้ รู้สึกเพียงว่าในหัวมีเสียงระเบิดดังตู้มขึ้นมา มองเห็นภาพที่ดูแปลกประหลาดภาพหนึ่งขึ้นมาท่ามกลางความเลือนราง

กลางฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาล ชายชราที่ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าแห้งเหี่ยว รูปร่างผอมบางคนหนึ่งกำลังตะบึงอยู่ในใต้หล้าอย่างบ้าคลั่ง

ก้าวย่างเขาโซซัดโซเซ แต่ทุกก้าวที่ย่ำลงไปกลับทำให้ฟ้าดินคำราม สรรพสิ่งสะเทือนไปตามๆ กัน!

กาลเวลาผันเปลี่ยน เกิดการเปลี่ยนแปลงยกใหญ่ พริบตาเดียวราวกับผ่านไปพันหมื่นปี ชายชรายังคงวิ่งอย่างบ้าคลั่ง ท่ามกลางฟ้าดิน ท่ามกลางภูผานที ไม่เคยหยุดฝีเท้า

จากนั้นเขาก้าวขึ้นบนเมฆไปอยู่บนท้องฟ้า พุ่งออกนอกวัฏจักร ตะบึงอยู่กลางท้องฟ้าพรั่งดาราอย่างบ้าคลั่ง พอก้าวย่างออกไป ท้องฟ้าดาราก็ถูกทิ้งไว้ด้านหลังเขา ดาราเคลื่อนคล้อยก็ไม่ใช่แค่เท่านี้หรอกหรือ!

เขาเป็นใคร

แล้วคิดจะทำอะไร

ในใจหลินสวินสั่นสะเทือน

น่ากลัวเกินไปแล้ว นี่จะต้องเป็นอริยะที่มีความสามารถเชื่อมสวรรค์คนหนึ่งอย่างแน่นอน ถึงขั้นที่น่ากลัวกว่าอริยะ เห็นดารานภาเป็นทางเดิน หนึ่งก้าวเคลื่อนคล้อยดารา ไม่อาจจับร่องรอย!

และระหว่างนั้น กาลเวลาผันผ่าน สรรพสิ่งผันเปลี่ยน สุริยันจันทราลับฟ้าไม่รู้คืนวัน ภาพทั้งหมดพร่าเบลอขุ่นมัว

แต่เงาร่างของชายชราคนนั้นยังคงไม่สลายไป กาลเวลาไม่สามารถกัดกร่อน ความว่างเปล่าไม่สามารถขวางกั้นฝีเท้าของเขา เขายังคงวิ่งอย่างบ้าคลั่ง!

เขาเหมือนกำลังแสวงหาบางอย่าง ทั้งเหมือนกำลังต่อสู้อย่างดุเดือด!

ใช่แล้ว เหมือนกับการต่อสู้ ราวกับกำลังเผชิญศัตรูอยู่ตลอดเวลา แทบจะเรียกได้ว่าบ้าคลั่ง ทำให้หลินสวินหัวใจสะท้าน รู้สึกถึงความตึงเครียดและกดดันที่ยากจะอธิบายเป็นคำพูดอย่างหนึ่ง

โครม!

ทันใดนั้น จู่ๆ เงาร่างของชายชราก็หยุดชะงักกะทันหัน เบื้องหน้าของเขาคือความว่างเปล่า กว้างใหญ่ไพศาลไร้จำกัด

ชั่วพริบตานั้น บนร่างกายของเขาก็ระเบิดแสงอันน่าหวั่นหวาดสายหนึ่งออกมา ราวกับเปลวเพลิงผลาญเผา ทำให้วัฏจักรดารานภาที่อยู่ด้านหลังเขายังสั่นสะเทือนตาม

มองจากที่ห่างไกล เขาเหมือนเป็นเหวลึกแห่งหนึ่ง ประหนึ่งจะกลืนกินสรรพสิ่ง น่าสะพรึงอย่างหาที่สุดไม่ได้

นี่มัน…

หลินสวินสั่นไปทั้งตัว กลิ่นอายของหุบเหวกลืนกิน บนตัวผู้อาวุโสคนนี้กลับมีพลังชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดเหมือนกับตน!

……………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด