Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 969 แหล่งกำเนิดวิญญาณ

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 969 แหล่งกำเนิดวิญญาณ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลินสวินเห็นดังนี้ ในใจก็อดไม่ได้ที่จะทั้งโกรธและอาย ปล่อยให้หมีโง่ตัวหนึ่งหนีไปได้ ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอยู่บ้าง

เพียงแต่เมื่อมาไตร่ตรองโดยละเอียด ก็มีความรู้สึกที่บอกไม่ถูกขึ้นอีก

หมียักษ์สีเงินยวงตัวนั้นดูเหมือนไม่สะดุดตา แต่กลับทำให้ส่วนลึกในจิตใจเขารู้สึกถึงอันตรายที่ไม่แน่ใจว่ามีหรือไม่กันแน่

เหมือนกับว่า ภายในร่างของหมีขาวตัวนี้มีพลังอันน่ากลัวถึงที่สุดจำศีลอยู่ ทันทีที่ปะทุออกมาก็จะปลดปล่อยอานุภาพทำลายล้างที่ไม่อาจคาดคะเนได้

ช่างร้ายกาจเสียจริง!

หลินสวินสายหัวน้อยๆ ไม่คิดอะไรอีก

กลุ่มพวกเขาเดินหน้าต่อไป ระหว่างทางบรรยากาศยิ่งเงียบสงัดยิ่งขึ้น ในห้วงอากาศมีแต่รัศมีดาราสีเงินไหววูบคลุมเครือ พลิ้วไหวเหนือความคาดหมายหาใดเทียบ

ขวับ!

ไม่นานนักสัตว์ปีศาจอีกตัวก็กระโจนออกมา มันเป็นแมงมุมหมาป่ามหึมาตัวหนึ่ง ทั้งตัวแวววาวเปล่งแสงสีเงิน ขนาดราวสิบกว่าจั้ง มีขาหนาแน่นขนัด ขาปล้องแหลมคมส่องสว่างราวดาบ

มันแข็งแกร่งนัก แผ่ไอโหดเหี้ยมน่าตื่นตระหนกออกมา ยามเคลื่อนไหวตัดผ่านท้องนภา ขาใหญ่แต่ละขาไหวโบกประหนึ่งดาบยาวเจิดจ้าราวหิมะเล่มแล้วเล่มเล่ากำลังแกว่งไกว ตัดห้วงอากาศขาดออกเป็นเส้นๆ

การต่อสู้ปะทุขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย หลินสวินพุ่งขึ้นไปประลองกับมัน ที่ทำให้เขาตกตะลึงก็คือ อาศัยเพียงพลังหมัดและลูกเตะ กลับไม่อาจทลายการป้องกันของแมงมุมหมาป่าสีเงินตัวนี้ได้!

อีกทั้งขาปล้องของมันเหมือนดาบ สีเงินยวงส่องสว่าง แข็งแกร่งเกินต้านทาน พลังสังหารน่ากลัวถึงที่สุด

ตามที่หลินสวินคาดคะเน แค่ในแง่ของพลังต่อสู้ อย่างน้อยแมงมุมหมาป่าสีเงินตัวนี้ก็ไม่ด้อยกว่าบุคคลแห่งยุคในปัจจุบันเหล่านั้น!

นี่ก็น่าเหลือเชื่อนัก และยิ่งทำให้พื้นที่แถบนี้ดูยิ่งลี้ลับและน่ากลัวขึ้น

ในที่สุดหลินสวินก็เรียกดาบหักออกมา ถึงได้ฟันแมงมุมหมาป่าสีเงินตัวนั้นตาย จากนั้นก็เก็บศพมันมา

แต่ทั้งหมดนี้ยังไม่จบลง ระหว่างทางต่อมามีสัตว์ปีศาจพุ่งออกมาตลอด ทั้งสุนัขพยัคฆ์สีเงิน งูพิษ แรดภูเขาเป็นต้น

เห็นได้ชัดว่าสัตว์ปีศาจเหล่านี้ไม่ใช่สัตว์ในดินแดนรกร้างโบราณ ควรเรียกว่าเป็นสัตว์ประหลาดฟ้าดาราถึงจะถูก พลังที่แท้จริงของแต่ละตัวแข็งแกร่งขึ้นไปทุกที ตัวที่อ่อนแอที่สุดยังร้ายกาจกว่าผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติชั้นหนึ่งในปัจจุบันเสียอีก!

ถึงขั้นที่ว่า งูพิษมหึมาซึ่งมีร่างยาวพันจั้งตัวนั้นที่หลินสวินได้เจอ พลังที่แท้จริงต้องอยู่ในระดับราชันกึ่งระดับแน่ ยามพิโรธมีพลังราวพายุคลั่ง ฟ้าถล่มดินแตกระแหง ดุดันหาใดเทียบ

ยามโจมตีฝ่ายตรงข้าม ทำให้หลินสวินก็ลำบากไม่น้อย

จนกระทั่งผ่านไปหลายชั่วยาม หลินสวินฟาดฟันสัตว์ประหลาดฟ้าดาราทำนองเดียวกันนี้ไปแล้วสิบกว่าตัว เพียงแต่ที่ทำให้เขาสงสัยก็คือ เขากลับไม่เจอคู่ต่อสู้ที่นำพากลิ่นอายอันตรายมาให้เขาเหมือนหมียักษ์สีเงินยวงตัวนั้นอีก

ในที่สุดพวกหลินสวินก็เห็น ‘ทะเลสาบสีเงิน’ ที่เด็กหนุ่มเผ่าปีกอสนีผู้นั้นพูดถึง

นั่นเป็นทะเลสาบที่เรียกได้ว่าอัศจรรย์แห่งหนึ่ง ถูกเกาะเล็กเกาะน้อยรายล้อม น้ำทะเลสาบมีสีเงินบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์

เมื่อทอดสายตามองไปก็ดุจดั่งแสงดาราทั้งทะเลสาบกำลังโคจร งดงามถึงที่สุดราวภาพนิมิตมายา

‘โดดเด่นเหนือธรรมดาดังคาด’ พวกหลินสวินต่างทอดถอนใจในใจ

“เมื่อกี้ไม่ใช่ว่าเจ้าหมอนั่นพูดว่า ใต้ทะเลสาบแห่งนี้มีศิลาอุกกาบาตที่เรียกได้ว่าไร้เทียมทานก้อนหนึ่งซ่อนอยู่หรือ ยังพูดด้วยว่ามีขนาดเท่าภูเขาย่อมๆ แต่ไม่รู้ว่าจริงหรือหลอก” โค่วซิงดวงตาลุกวาว สังเกตใต้น้ำของทะเลสาบนั้น

“ทุกคนระวังนะ ใกล้กันนี้มีผู้แข็งแกร่งไม่น้อยซ่อนตัวอยู่”

จิตรับรู้ของหลินสวินแผ่ขยาย ชั่วพริบตาก็จับได้ว่าบนเกาะเล็กเกาะน้อยมีกลิ่นอายแกร่งกล้ามากมายซุ่มซ่อนอยู่

ที่ทำให้เขาตกใจคือ ภายในนั้นมีผู้แข็งแกร่งระดับราชันกึ่งระดับไม่ขาด อีกทั้งยังมีจำนวนมาก แต่ผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติกลับมีน้อยนัก

ทว่านี่ก็สมเหตุสมผล ผู้ที่สามารถมาถึงที่นี่ได้จะเป็นคนธรรมดาได้หรือ คราวนี้ถ้าไม่มีเขาเป็นแกนหลัก เพียงอาศัยความสามารถของพวกโค่วซิงก็ไม่อาจมาถึงที่นี่ได้เลย

“แปลก ในเมื่อเจ้าพวกนี้มาถึงแล้ว เหตุใดกลับไม่เห็นว่ามีใครเคลื่อนไหวล่ะ” พวกโค่วซิงก็รู้สึกได้ว่าออกจะไม่ชอบมาพากล

“ง่ายมาก พวกเขาต่างกำลังรอโอกาสดีที่สุด ไม่มีใครต้องการไปตายเป็นคนแรกหรอก”

ดวงตากระจ่างของแม่นางเยวี่ยสดใส แววตาฉลาดเฉลียวไหววูบ “จากจุดนี้ก็สันนิษฐานได้ว่าในทะเลสาบสีเงินแห่งนี้ต้องมีอันตรายใหญ่หลวงซ่อนอยู่ ทำให้ราชันกึ่งระดับเหล่านั้นต่างต้องระมัดระวังรอบคอบ ไม่กล้าเคลื่อนไหวตามอำเภอใจ”

“ไม่ต้องสนใจพวกเขา ประเดี๋ยวพวกเจ้ารออยู่ที่นี่ ข้าจะวางค่ายกลใหญ่ปกป้องพวกเจ้าไว้ จากนั้นจะลองไปดูความพิกลในทะเลสาบแห่งนี้คนเดียว”

หลินสวินพลันเอ่ยปาก ส่วนลึกในดวงตาฉายแววประหลาดยากสังเกตเห็น

เพราะในตอนนี้เอง ‘เสี่ยวอิ๋น’ ที่ถูกเขาคุมขังให้หันหน้าเข้าหากำแพงเพื่อสำนึกผิดในห้วงนิมิตมาตลอดกลับตื่นเต้นหาใดเทียบ นี่ดูผิดปกตินัก!

“ตัวเจ้าเองจะไม่เสี่ยงอันตรายไปหน่อยหรือ” แม่นางเยวี่ยออกจะเป็นห่วง “อย่าลืมนะ ใกล้กันนี้มีพวกร้ายกาจไม่น้อยซ่อนอยู่ แม้เจ้าจะได้ของจากใต้ทะเลสาบมา แต่ขอเพียงกลับมา จะต้องถูกพวกเขาโจมตีแน่!”

วาจาเช่นนี้ย่อมเป็นการเตือนหลินสวินให้ระวังตั๊กแตนไล่จับจั๊กจั่น นกขมิ้นอยู่ข้างหลัง

“ข้าเข้าใจดี ต่อให้ประสบอันตราย แต่ข้าก็ยังมีทางหนีทีไล่อยู่ไม่ใช่หรือ” หลินสวินยิ้มพูด ยามเอ่ยปากเขาก็สะบัดแขนเสื้อ ธงกระบวนสำริดผืนแล้วผืนเล่าซัดสาดออกมา แล้วพุ่งเข้าไปในห้วงอากาศแห่งนี้

เพียงชั่วพริบตาเท่านั้นก็ปูกระบวนผนึก ‘จตุลักษณ์ราชัน’ ขึ้นมา

ในขณะเดียวกัน หลินสวินนำแผ่นจานกระบวนกับถุงเก็บของที่บรรจุแกนวิญญาณขั้นสูงไว้จนเต็มส่งให้แม่นางเยวี่ย สิ่งนี้เป็นกุญแจสำคัญในการกระตุ้นค่ายกลใหญ่

ทันทีที่ประสบอันตราย เพียงต้องควบคุมแผ่นจานกระบวนและใช้พลังของแกนวิญญาณสนับสนุน ก็สามารถกระตุ้นกระบวนผนึกทั้งกระบวนได้

“ตอนนี้ข้าออกจะตั้งหน้าตั้งตารอให้มีเจ้าคนที่ไม่ดูตาม้าตาเรือบางคนบุ่มบ่ามมาหาที่ตาย ถ้าเป็นเช่นนี้ไม่แน่ว่าจะสามารถปล้นทรัพย์หลังศึกได้บ้าง อย่างไรเสียเจ้าพวกนั้นก็มาถึงที่นี่อยู่ก่อนแล้ว เป็นไปได้สูงว่าจะขุดศิลาอุกกาบาตไปแล้วไม่น้อย” แม่นางเยวี่ยพูดพลางแย้มยิ้ม

พวกโค่วซิงต่างก็อดยิ้มออกมาไม่ได้

ในเวลาเดียวกันนี้หลินสวินออกเคลื่อนไหว เข้าประชิดทะเลสาบสีเงินแห่งนั้นไปโดยลำพังแล้ว

เขาดูคล้ายเดินเล่นในสวน ท่วงท่าผ่อนคลาย แต่ความจริงแล้วพลังรอบกายเตรียมโจมตีไว้ก่อนแล้ว ตัวเขาเหมือนสายธนูที่ง้างจนตึง พร้อมโจมตีได้ทุกเมื่อ!

กระทั่งมาถึงริมทะเลสาบหลินสวินถึงได้หยุดเดิน

‘เสี่ยวอิ๋น เจ้าไม่รู้สึกว่าตอนนี้พวกเรามาคุยกันได้แล้วหรือ’ หลินสวินเอ่ยปากเนิบนาบในห้วงนิมิต

ตั้งแต่มาถึงริมทะเลสาบสีเงินแห่งนี้ เสี่ยวอิ๋นก็ดูตื่นเต้นอย่างผิดธรรมดา แต่เมื่อได้ยินวาจาของหลินสวินมันก็เยือกเย็นลงทันที แล้วพูดว่า ‘นายท่าน ท่านคิดอะไรไม่ดีขึ้นมาอีกแล้วหรือ ท่านตัดใจเถอะ ข้าจะไม่ติดกับท่านอีกแล้ว ข้าจะไม่ให้ความภาคภูมิใจและศักดิ์ศรีของข้าถูกเหยียบย่ำอีก ต่อให้เป็นท่าน ก็ไม่ได้!’

หลินสวินแทบจะสำลักตายเพราะประโยคนี้ ไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง ‘เจ้าตัวจ้อย ทำไมถึงพูดแบบนี้ล่ะ ยังคิดจะขบถอีกหรือ ให้เจ้าทบทวนหลายวันมานี้ ก็ได้ผลเช่นนี้ออกมาหรือ’

‘นายท่าน ข้าไม่ได้ผิด ท่านผิดต่างหาก คราวก่อนไม่น่าหลอกข้าอย่างใจดำไร้ความปรานีเช่นนั้นเลย ถ้าท่านไม่ขอโทษข้าก็จะไม่อภัยให้ท่านหรอก’ เสี่ยวอิ๋นดื้อรั้น ไร้เหตุผลเหมือนเด็กคนหนึ่ง

หลินสวินหมดคำพูดไปครู่หนึ่ง เขาไม่เคยเห็นหนอนกินเทพที่เย่อหยิ่งอวดดีเช่นนี้มาก่อน ปากเอาแต่เรียกว่านายท่าน แต่กลับไม่เชื่อฟังสักนิด!

‘ได้ ข้าขอโทษเจ้าก็ได้ เรื่องคราวก่อนข้าออกจะทำไปโดยขาดการไตร่ตรองไปบ้างจริงๆ แต่นั่นก็ไม่ใช่ว่าทำเพื่อให้เจ้ายังอยู่ข้างข้าหรือ เจ้าน่าจะเข้าใจความเอาใจใส่ของข้า ไม่ใช่เลือกต่อต้านข้าสิ’ หลินสวินถอนหายใจ สั่งสอนเจ้าตัวจ้อยแสนเย่อหยิ่งผู้นี้อย่างจริงใจ

‘ยังจริงใจไม่พอ’ เสี่ยวอิ๋นตอบกลับเสียงแข็ง

‘เจ้า…’ หลินสวินเริ่มโกรธ กำลังจะสั่งสอนเจ้าตัวจ้อยที่ไม่เชื่อฟังตัวนี้ให้ดี ก็ได้ยินเสี่ยวอิ๋นพลิกลิ้น ‘แต่ว่า ข้าให้อภัยท่านแล้ว’

ทันใดนั้นหลินสวินก็ทำเสียงอู้อี้แล้วพูดว่า ‘อย่างนี้สิถึงดี’ ความโกรธก็หายไปพร้อมกันด้วย

เสี่ยวอิ๋นเหมือนเด็กจริงๆ หลังจากเอ่ยว่าให้อภัยแล้วก็เหมือนคลายปมในใจจนสิ้น พูดอย่างตื่นเต้นว่า ‘นายท่าน ที่นี่มีแหล่งกำเนิดวิญญาณแกร่งกล้าดำรงอยู่ ถ้าเอามันมาได้ จะสามารถทำให้ข้าเลื่อนขั้นได้ขั้นหนึ่ง เติบโตถึงขั้นที่สามได้อย่างสมบูรณ์ ตอนนั้นข้าก็จะสามารถลอกคราบจากร่างแมลงแล้วแปรสภาพกลายเป็นร่างมนุษย์!’

‘แหล่งกำเนิดวิญญาณหรือ’ ดวงตาดำของหลินสวินหรี่ลง

‘ใช่ แหล่งกำเนิดวิญญาณที่บริสุทธิ์และแกร่งกล้ามากก็ซ่อนอยู่ใต้ทะเลสาบแห่งนี้’

เสียงของเสี่ยวอิ๋นเจือไปด้วยความหวัง ‘นายท่าน หรือท่านไม่อยากให้ข้าเลื่อนขั้น ถ้าสามารถลอกคราบกลายเป็นร่างมนุษย์ได้ ตอนนั้นข้าก็จะสามารถปลุกพลังพรรสวรรค์สายเลือด สามารถฝึกวิชาลับมรดกของเผ่าหนอนกินเทพของข้าได้!’

หลินสวินจิตใจไหวสะท้าน ตอนนี้ถึงรับรู้ว่า ก่อนหน้านี้ตนเหมือนจะประเมินพลังแฝงของเสี่ยวอิ๋นต่ำไป เจ้าตัวนี้เป็นถึงหนอนวิเศษที่อยู่ในสิบอันดับแรกของยุคบรรพกาล ทั้งตอนนี้ยังครอบครองพลังแฝงที่จะกลายเป็นราชัน หากสามารถปลุกวิชาลับพรสวรรค์ขึ้นมาได้จะต้องยิ่งแข็งแกร่งขึ้นแน่!

‘นี่เจ้ากำลังขอข้าหรือ’ หลินสวินเบิกบานใจนัก คิดว่าตนมีแต้มต่อ

‘นายท่าน นี่เป็นหน้าที่ที่ท่านควรทำให้เสร็จสิ้น’ เสี่ยวอิ๋นเอ่ยอย่างจริงจัง

หลินสวินหน้าเจื่อน เจ้าตัวจ้อยนี่ตรงไปตรงมาเกินไปแล้ว แสดงความอ่อนข้อแม้สักนิด ทำดีกับตนเสียหน่อยไม่เป็นหรือไงนะ

‘นายท่าน เผ่าหนอนกินเทพของข้าหยิ่งทระนงโดยกำเนิด ไม่เคยทำเรื่องไร้ยางอายและประจบพลอเหล่านั้น ภายหน้าขอท่านให้เกียรติข้าบ้าง’ เสี่ยวอิ๋นจริงจังหนักแน่น

หลินสวินถูกเจ้าตัวจ้อยนี่เอาชนะอย่างราบคาบ แม้แค้นจนกัดฟันกรอด หมายจะจัดการเจ้าตัวจ้อยนี่สักตั้ง แต่ในที่สุดก็อดทนไว้ได้

ไม่ว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นหนอนกินเทพอยู่ดี อีกทั้งยังเป็นตัวอ่อนหนอนราชัน ในยุคบรรพกาลก็ชื่อเสียงระบือใต้หล้าแล้ว อย่างไรก็ต้องให้เกียรติ…

‘ประเดี๋ยวข้าจะเข้าไปในทะเลสาบ เจ้ามานำทาง จะได้พลังแหล่งกำเนิดวิญญาณนั้นมาหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว’ หลินสวินสลัดความคิดฟุ้งซ่าน พูดออกมาอย่างเคร่งขรึม

‘อื้ม!’ เสี่ยวอิ๋นพยักหน้าอย่างรุนแรง

คราวนี้หลินสวินถึงได้ชื่นใจ ในใจลอบพึมพำว่าถ้าปกติเชื่อฟังอย่างนี้ก็คงดีมาก…

เด็กหนุ่มไม่ร่ำไร เตรียมออกเคลื่อนไหวแล้ว

เงาร่างของเขาวูบไหว กระโจนขึ้นไปในอากาศ ก่อนเคลื่อนไปที่กลางทะเลสาบสีเงินอย่างระมัดระวัง

“เจ้าเด็กนั่นในที่สุดก็ทนไม่ไหวแล้ว!”

“เด็กนี่ก็ไม่รู้เป็นศิษย์สำนักไหน ความตายมาเยือนแล้วยังไม่รู้ตัวอีก กระทำการอย่างบ้าบิ่นและหุนหันพลันแล่นไปแล้ว”

“เช่นนี้จะไม่ยิ่งดีหรือ สัตว์ปีศาจที่ก้นทะเลสาบตัวนั้นน่ากลัวหาใดเทียบ หลายวันมานี้ไม่รู้กลืนกินผู้แข็งแกร่งไปกี่คนแล้ว ถ้าเด็กนี่ดึงดูดความสนใจของสัตว์ปีศาจนั่นไว้ได้ พวกเราก็สามารถฉวยโอกาสนี้ชิงศิลาอุกกาบาตก้อนนั้นมาอยู่ในมือได้แล้ว!”

“เหอะๆ อายุน้อยเลยไม่รู้เรื่องรู้ราวจริงๆ นะ”

บนเกาะเล็กเกาะน้อยที่อยู่ใกล้กับทะเลสาบมีผู้แข็งแกร่งมากมายซ่อนตัวอยู่

เมื่อเห็นหลินสวินเคลื่อนไหว พวกเขาก็สีหน้าเปลี่ยนไปต่างๆ กัน บ้างหัวเราะเยาะ บ้างครุ่นคิด บ้างเวทนา บ้างมีความสุขที่เห็นผู้อื่นลำบาก

ในขณะเดียวกัน พวกแม่นางเยวี่ยที่ซ่อนตัวอยู่ในกระบวนผนึกจตุลักษณ์ราชันกลับตื่นตระหนกอย่างเลี่ยงไม่ได้ จ้องเขม็งไปที่เงาร่างของหลินสวิน เพียงกลัวว่าเขาจะหายตัวไป

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด