Blessing Cursed พรวิเศษต้องสาป 1: คนพเนจร

Now you are reading Blessing Cursed พรวิเศษต้องสาป Chapter 1: คนพเนจร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

สงคราม สภาวะความขัดแย้งของสองดินแดนที่ทำให้ต้องทนทรมานมาตลอดเกือบห้าสิบปี ท่ามกลางไฟสงคราม ยังมีเขตแดนที่ไม่ว่าการสู้รบจะโหดร้าย และขยายตัวมากมายสักเพียงใด ที่แห่งนี้จะได้รับการยกเว้นอยู่เสมอ ที่สุดขอบดินแดนด้านหนึ่งปรากฏร่างเด็กหนุ่มพเนจรเดินโซซัดโซเซมาถึงเนินเขาที่เต็มไปด้วยทุ่งหญ้า และแหล่งน้ำซึ่งแตกต่างจากสภาพความเสื่อมโทรมที่เขาเพิ่งจะข้ามผ่านมาได้อย่างยากลำบาก กลิ่นหอมของไวน์ ขนมปัง และผลไม้สุกยั่วยวนให้เขาเดินข้ามทุ่งหญ้าฝ่าแมกไม้ตรงเข้าไปภายในวิหารที่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางของเขตแดนอันอุดมสมบูรณ์แห่งนี้ ด้วยเรี่ยวแรงที่แทบจะไม่มีเหลืออยู่ทำให้เขาล้มฟุบลงไปหลังจากก้าวเข้ามาในวิหารแห่งนี้ได้เพียงสองก้าวเท่านั้น

ขณะที่เขาพยายามกระเสือกกระสนด้วยกำลังเฮือกสุดท้ายที่แม้จะขยับนิ้วมือยังแทบจะทำไม่ไหวก็มีเสียงของชายคนหนึ่งลอยผ่านโสตประสาทของเด็กหนุ่ม

“เฮ้ยๆๆ!! ไอ้หนู มานอนอะไรตรงนี้”

เด็กหนุ่มรวบรวมกำลังที่เหลืออยู่ตะเบ็งเสียงให้ดังที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้

“ข…ข้า….หิว…ขอ…”

เสียงอันแผ่วเบาของเด็กหนุ่มนั้นฟังไม่ได้ศัพท์ แต่ชายปริศนาก็พอจะคาดเดาได้ว่าเด็กหนุ่มต้องการอะไร เดินไปเขาหยิบไวน์และผลไม้มาวางเอาไว้ใกล้ปากของเด็กหนุ่ม

“เอ้านี่ กินซะ ไม่ป้อนนะ กินเอาเอง อ้อค่อยๆ กินด้วยล่ะ”

เด็กหนุ่มทำได้เพียงขยับศีรษะแล้วใช้ปากงับผลไม้เข้าไปทีละน้อยก่อนออกเคี้ยวอย่างยากลำบาก เวลาผ่านไปครู่ใหญ่เรี่ยวแรงของเราเริ่มกลับคืนมา แขนและขาเริ่มมีกำลัง เขาจึงขยับตัวลุกขึ้นนั่งก่อนหยิบผลไม้เข้าปาก ตามได้ดื่มไวน์จากเหยือกที่วางอยู่ใกล้มือไปอึกใหญ่

“ก็ยังแข็งแรงดีอยู่นี่”

ชายปริศนาเป็นฝ่ายเริ่มต้นบทสนทนา เด็กหนุ่มเงยหน้ามองไปยังต้นเสียง ภาพที่เห็นคือชายซึ่งจากสายตาของเขา คล้ายคุณลุงวัยสามสิบปลายๆหรือไม่ก็สี่สิบต้นๆรูปร่างสูงใหญ่ กำยำ แต่ใบหน้าจะประดับด้วยรอยยิ้มอยู่ที่อ่อนโยนขัดกับบุคลิกที่ น่าเกรงขาม

“ขอบคุณมากๆ นะลุง”

เขากล่าวคำขอบคุณ แต่ก่อนจะได้พูดอะไรต่อไป ชายปริศนาก็ถามความเป็นมาของเด็กหนุ่ม

“เออๆ ว่าแต่แกน่ะ เป็นใคร ชื่ออะไร มาจากไหน แล้วทำไมมาหมอบอยู่ที่นี่”

เด็กหนุ่มวางเหยือกไวน์ลงก่อนจะตอบคำถาม

“ชื่อเหรอ ไม่มีหรอกลุง เร่ร่อนไปเรื่อยๆ แบบนี้มานานแล้ว ตั้งแต่จำความได้ก็มีแต่คนเรียกว่า ‘ไอ้หนู’ เหมือนที่ลุงเรียกนี่แหละ ว่าแต่ลุงเหอะ เป็นคนดูแลวิหารนี่เหรอ”

ชายปริศนาหัวเราะในความไม่แยแสโลกอย่างชอบใจ

“หึหึหึ..เออๆ ข้าเป็นคนที่คอยดูแลวิหารแห่งนี้ เรียกข้าว่า เฟอัสก์ ก็แล้วกัน”

เมื่อเด็กหนุ่มคล้ายจะพยักหน้ารับคำก็มีเสียงของผู้สูงวัยลอยมาพร้อมกับฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่งค่อยๆ ดังขึ้น

“เอางี้แล้วกัน ทางด้านหลังมีสระน้ำใหญ่อยู่ แกอาบน้ำซะ แล้วก็นี่เสื้อผ้าชุดใหม่ เอาไปเปลี่ยนซะ ผมเผ้ารุงรัง มอมแมม เหม็นคาวเลือดฉิบเลย”

เฟอัสก์บอกให้เด็กหนุ่มไปชำระร่างกายพลางเดินไปหยิบเสื้อผ้ามายื่นให้เด็กหนุ่มก่อนจะเดินออกไปยืนรอที่หน้าแท่นบูชา เด็กหนุ่มก้มมองสภาพสะบักสะบอมมอมแมมที่แทบไม่ต่างจากทหารหนีทัพ ซึ่งเลือกทิ้งสมรภูมิเพื่อเอาชีวิตรอด พร้อมผ้าคลุมที่เขรอะไปด้วยคราบเลือดของตัวเองแล้วก็ได้แต่จำใจต้องทำตามที่ลุงผู้ดูแลวิหารได้เสนอให้กับเขา

ขณะที่กำลังเดินโซเซไปยังสระน้ำบรรยากาศเงียบสงัดของเขตแดนแห่งนี้ก็ชวนให้คิดว่าการใช้ชีวิตของผู้ดูแลวิหารจะพบเจอกับความยากลำบากเพียงแค่ไหนกันนะ แม้จะไม่ต้องเร่ร่อนและดิ้นรนเอาชีวิตรอดแบบที่เขาต้องเจออยู่เป็นประจำ แต่ก็ต้องอยู่คนเดียวกลางธรรมชาติที่แสนจะเงียบสงบเกินไปแบบนี้ เพียงอึดใจเดียวเขาก็พาตัวเองมาถึงสระน้ำใหญ่ ไม่รอช้า เขาจัดแจงปลดมีดสั้นที่สภาพไม่น่าจะใช้งานได้คู่หนึ่งออกจากเอวมาวางไว้บนพื้น ก่อนจะถอดเสื้อผ้าออกมากองเอาไว้ข้างๆ สระ

แม้ร่างกายของเด็กหนุ่มจะมีกล้ามเนื้อที่เห็นได้ชัดเจนสมวัยแต่ด้วยความหิวโหย อดอยาก ทำให้เขาดูจะผอมบางกว่าที่ควรจะเป็น ซ้ำบนร่างกายยังเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นที่แสดงถึงชีวิตที่ต้องผ่านการต่อสู้เพื่อเอาตัวรอดไปวันๆ สีผิวที่กร้านแดดทำให้หากแต่ซีดเผือดยิ่งทำให้รอยแผลเหล่านั้นชัดเจนยิ่งขึ้น เด็กหนุ่มจุ่มตัวลงในสระก่อนจะหยิบมีดเก่าๆ คู่กายขึ้นมาลับคมกับหินที่ขอบสระก่อนจะจัดการโกนหนวดเคราออกแล้วเริ่มทำความสะอาดร่างกาย

ขณะเดียวกัน กลุ่มชายฉกรรจ์ห้าถึงหกคนเดินทางเข้ามาพร้อมกับหญิงชราซึ่งเพียงแค่ได้รูปลักษณ์ภายนอกก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นผู้ที่ได้รับความนับถือจากทุกคนในอาณาจักรแห่งนี้ได้เข้ามาถึงด้านในวิหารด้านในวิหาร หญิงชราเดินเข้ามายังหน้าแท่นบูชาพร้อมส่งสัญญาณให้ผู้ติดตามนำผลไม้ ขนมปัง ไวน์ และเนื้อสัตว์จำนวนหนึ่งมาตั้งถวายบนแท่นบูชา จากนั้นก็เริ่มสวดภาวนา

เมื่อเด็กหนุ่มอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็กลับเข้ามาในวิหาร เพียงแต่ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาให้ผู้แสวงบุญได้เห็น เขาได้แอบมองเหล่าผู้แสวงบุญด้วยสงสัยในทุกขั้นตอนการสวดภาวนา เวลาผ่านไปยิ่งสร้างความสงสัยให้กับเขา ทั้งๆ ที่แม่เฒ่าคนนั้นจวนเจียนจะหมอบแทบเท้าผู้ดูแลวิหารที่ยืนอยู่ต่อหน้าแล้ว แต่ทำไมคนกลุ่มนี้ยังทำเหมือนกับผู้ดูแลวิหารไม่มีตัวตนอยู่เสียอย่างนั้น

กระทั่งเสร็จสิ้นพิธี แม่เฒ่าได้ภาวนาต่อทวยเทพ

“ข้าแต่องค์เทพเฟอัสก์ผู้คุ้มครองดินแดนแห่งนี้ชายผู้นี้คือคนที่จะมายุติสงครามอันยืดเยื้อมาหลายสิบปี ได้โปรดประทานพรตามที่ชายผู้นี้ภาวนาด้วยเถิด เอาล่ะเจ้าน่ะมาที่หน้าแท่นบูชาเสีย”

แม่เฒ่าหันไปส่งสัญญาณเรียกให้เด็กหนุ่มวัยใกล้เคียงกับผู้ซึ่งแอบมองอยู่โดยที่ไม่มีใครรู้ตัวเดินมาที่หน้าแท่นบูชา “องค์เทพเฟอัสก์ข้าขอเพียงอาวุธวิเศษที่ทนทานและสามารถสังหารศัตรูนับสิบได้ในคราวเดียว”

เด็กหนุ่มผู้ถูกเลือกเอ่ยคำขอต่อเทพเจ้า

ด้านเด็กหนุ่มที่แอบมองพิธีศักดิ์สิทธิ์จากหลังแท่นบูชาเผลอหลุดคำพูดสั้นๆ ออกมา

“เทพเจ้า….เหรอ?”

แต่ดูเหมือนว่าเขายังมีสติมากพอ คำพูดเมื่อชั่วอึดใจจึงไม่ดังจนคนอื่นได้ยิน ทันใดนั้นเด็กหนุ่มก็มองไปที่เฟอัสก์ ก็พบว่าคุณลุงกล้ามโตได้หันมายิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน ก่อนที่เฟอัสก์จะเอื้อมมือไปแตะก้อนขนมปังที่นำมาถวายบนแท่นบูชา ทันใดนั้นแสงสว่างวาบปกคลุมทั่วทั้งวิหาร ขนมปังก้อนนั้นเปลี่ยนสภาพเป็นขวานเงินด้ามยาวเล่มหนึ่งวางอยู่บนแท่นบูชาอย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อผู้ถูกเลือกได้อาวุธวิเศษที่ต้องการก็เอ่ยขอบคุณเทพเจ้าก่อนจะกลับไปเตรียมตัวเข้าสู่สนามรบ

“จงรักษามันเอาไว้ราวกับที่เจ้ารักษาชีวิตของเจ้าเอง หากเจ้าของตาย มันจะสลายไปพร้อมกับชีวิตของเจ้า”

เสียงของเฟอัสก์ดังกังวานไปทั่ววิหารศักดิ์สิทธิ์ เหล่าผู้แสวงบุญที่ได้ยินเสียงของเทพเจ้าได้หันมาหมอบกราบที่หน้าแท่นบูชาด้วยกำลังใจที่เต็มเปี่ยมอีกครั้งก่อนจะจากไป

เด็กหนุ่มเดินออกมาจากหลังแท่นบูชาแต่สายตาจับจ้องไปที่เฟอัสก์ตลอดเวลา ร่างกายที่ผ่านการชำระจนสะอาด โกนหนวดโกนเคราเรียบร้อยแล้วเผยให้เห็นถึงใบหน้าคมเข้มแต่เรียบนิ่ง แม้หน้าตาของเด็กหนุ่มจะไม่เข้าขั้นหล่อเหลาแบบพิมพ์นิยมในสายตาสาวๆ แต่ก็ถือว่าหนุ่มน้อยผู้นี้หน้าตาดีกว่าผู้ชายทั่วไป หากแต่แววตาของเขาค่อนข้างจะลึกและเลื่อนลอยคล้ายเบื่อโลก ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาจึงทำให้เขาดูไม่ต่างอะไรกับนักรบเดนตาย

‘นี่เทพเจ้า…จริงๆเหรอ’ ความคิดที่อยู่ในใจเด็กหนุ่มถูกเฟอัสก์อ่านออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ก่อนเขาจะตอบมาพูดขึ้นว่า “ใช่ข้านี่แหละ ‘เฟอัสก์’ เทพเจ้าผู้คุ้มครองดินแดนลีซเนปแห่งนี้ ข้าจะแสดงตัวกับใครหรือจะพูดให้ใครได้ยินตอนไหนเมื่อไรก็ได้ ไม่ต้องแปลกใจหรอกเจ้าหนู มีเพียงแกเท่านั้นที่มองเห็นและได้ยินเสียงของข้าจนถึงเมื่อครู่นี้”

เมื่อหายสงสัยในสิ่งแรกคำถามมากมายได้ผุดเข้ามาในหัวของเด็กหนุ่มทันที

“ลุงอยู่ที่นี่มานานแค่ไหน แล้วไอ้เมื่อกี้มันคืออะไร แล้วลุงต้องทำบ่อยมั้ย คนพวกนั้นมาขออะไรบ้าง”

คำถามมากมายที่อยู่ในหัวแต่เด็กหนุ่มกลับถามออกมาได้เพียงเท่านี้ เฟอัสก์หัวเราะพลางส่ายหน้าเบาๆ ในความใสซื่อของเด็กหนุ่มก่อนจะเริ่มตอบคำถาม

“เฮ้อ…เด็กน้อยเอ้ย…ตั้งใจฟังให้ดี ข้าอยู่ที่นี่มาหลายพันปีแล้ว ตอนนี้ลีซเนปแห่งนี้กำลังทำสงครามยืดเยื้อกับสโจรกาดดินแดนที่พี่สาวของข้าคอยพิทักษ์อยู่”

เขาหยุดถอนใจเล็กน้อยก่อนจะเล่าเรื่องราวต่อ

“เรื่องราวมันเริ่มต้นจากอะไรข้าเองก็จำไม่ค่อยได้หรอก แถมยังรบกันมาหลายสิบปีแล้วด้วย ทุกครั้งที่ผู้ถูกเลือกตายก็จะผู้ถูกเลือกคนใหม่มาสวดภาวนาขอของวิเศษ เพราะไอ้ของวิเศษพวกนั้นมันจะสลายไปทุกครั้งที่เจ้าของมันตายล่ะนะ พี่สาวของข้าเองก็คงต้องอึดอัดอะไรแบบเดียวกันนี้อยู่เหมือนกันนั่นแหละ”

“แล้วทำไมลุงไม่ไปคุยกับพี่สาวของลุงล่ะว่าเบื่อเรื่องพวกนี้แล้ว”

“ก็คุยแล้ว เราพี่น้องยังไปมาหาสู่กันเป็นประจำอยู่แล้ว…เพียงแต่หน้าที่ก็ต้องเป็นหน้าที่นั่นล่ะ”

“แล้ว…ถ้ารบกันเอง…ลุงกับพี่สาวใครเก่งกว่ากัน”

“นั่นสินะ ข้าเองไม่เคยคิดเรื่องนี้เหมือนกันแฮะ…อ่าา…ว่าแต่แกเถอะถ้าได้เป็นผู้ถูกเลือกจะขออะไรข้า”

เด็กหนุ่มตอบกลับทันทีแบบไม่ต้องใช้เวลาสักเสี้ยวอึดใจคิด

“ไม่เอาหรอก แค่เอาชีวิตรอดไปวันๆ ก็เจ็บปวดมากอยู่แล้ว จะให้ไปรบด้วยของพวกนั้นน่ะเหรอ ฆ่าตัวตายชัดๆ”

เฟอัสก์จ้องมองเด็กหนุ่มด้วยความประหลาดใจกับสิ่งที่ได้ยิน

“ฆ่าตัวตายเหรอ…อืม…อาจจะเป็นแบบนั้นจริงๆ นั่นแหละนะ”

เทพเจ้าพึมพำกับตัวเอง ‘ไอ้เด็กนี่มันคิดเหมือนเราเลยเว้ย’ ห้วงความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาผ่านเข้ามาในหัวของเทพเจ้า ก่อนจะเอ่ยถามเด็กหนุ่มอีกครั้ง

“เออนี่ไอ้หนู…แกบอกว่ายังไม่มีชื่อใช่มั้ย…จากนี้ไป ข้าจะตั้งชื่อให้แกก็แล้วกันนะ”

เด็กหนุ่มหันไปมององค์เทพด้วยความรู้สึกบางอย่าง ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ประหลาดใจเหรอ แปลกใจหรือเปล่า หรือว่าดีใจที่จะได้ชื่อเสียที่คนอื่นจะได้เลิกเรียกเขาว่า ‘ไอ้หนู’ เสียทีแต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรมากกว่าการจ้องมองเทพเจ้าที่ยิ้มแย้มอยู่เสมอด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดาอยู่อย่างนั้น

“การมีชีวิตคือสิ่งที่มนุษย์ต่างใฝ่หา งั้นจากนี้ไปแกมีชื่อว่า ‘ไลฟ์’ ก็แล้วกันนะ” ก่อนที่เด็กหนุ่มจะแสดงท่าทีใดๆ เฟอัสก์ก็ได้ตั้งคำถามกับเด็กหนุ่มคาดหวังจะได้คำตอบที่เขาเองเคยคิดเอาไว้แต่กลับไม่มีใครนึกถึง

“ถ้าอย่างงั้น แกคิดว่าทำยังไงถึงจะหยุดสงครามได้ล่ะ”

“หยุดสงครามเหรอ…จะบ้ารึเปล่าลุง ถ้าไม่ใช่เทพเจ้าแบบลุงก็มีคนที่ตายไม่เป็น แขนขางอกกลับออกมาใหม่ หรือไม่ก็หยิบมาต่อคืนที่เดิมได้เท่านั้นแหละ คนธรรมดาแบกของวิเศษไปรบยังไงก็ตาย ต่อให้มีเวทมนต์วิเศษควบคุมธรรมชาติได้ก็เหอะไม่รอดหรอกลุง”

เทพเจ้าผู้คุ้มครองดินแดนลีซเนปหัวเราะออกมาด้วยถูกใจในคำตอบของไลฟ์ นี่แหละคือสิ่งที่เขาคิดอยู่เสมอ หากแต่หน้าที่ของเทพเจ้าอย่างเขาทำให้ไม่สามารถประทานพรหรือมอบของวิเศษให้กับผู้คนได้หากไร้การร้องขอ แม้รูปลักษณ์ของไลฟ์จะเป็นเพียงเด็กวัยรุ่นอายุเพียงสิบกว่าปี แต่ความคิดของเขากลับแสดงถึงประสบการณ์ชีวิตที่โหดร้าย

“ไลฟ์ เแกอายุเท่าไร”

“ไม่แน่ใจหรอกลุง ตั้งแต่จำความได้ข้าถูกพาตัวออกมาจากบ้านเด็กกำพร้า เหมือนกับว่าตอนนั้นข้าจะอายุสี่ปี”

“แล้วแกใช้ชีวิตเร่ร่อนแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วล่ะ”

ไลฟ์เริ่มเล่าความเป็นมาของเขาให้กับเทพเจ้าได้ฟัง

“หลังจากถูกพาออกจากบ้านเด็กกำพร้า มาอยู่ในไร่อะไรสักอย่างได้ 3 เดือนข้าก็หนีออกมากับพวกที่อายุเยอะกว่าข้าอีกสี่คน หนีออกมาได้ก็ใช้ชีวิตเร่ร่อนมาตลอด สี่ปีที่แล้วพวกเขาใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองแห่งหนึ่ง ส่วนข้างก็เร่ร่อนต่อมาเรื่อยๆ ผ่านมาก็ เกือบสิบสามปีแล้วมั้ง”

“งั้นตอนนี้แกก็อายุสิบหกงั้นเหรอ”

“คงงั้นแหละมั้ง…นี่ลุง ถ้าข้าจะอยู่ที่นี่สักพักใหญ่ๆ รวบรวมอาหารจะได้มั้ย”

เฟอัสก์ลุกขึ้นยืนพร้อมเดินออกไปข้างวิหาร “ตามข้ามาสิ” เด็กหนุ่มลุกขึ้นแล้วเดินตามเจ้าของวิหารแห่งนี้ออกไปข้างนอก

เฟอัสก์ยังไม่พูดอะไรสักคำนับตั้งแต่เดินออกมา กระทั่งมาถึงสวนฝั่งตะวันออกของวิหาร ทิวทัศน์เบื้องหน้าเป็นเมืองแห่งหนึ่ง หากอยู่ในช่วงเวลาปกติเมืองแห่งนี้สมควรเป็นสถานที่แห่งความมีชีวิตชีวา หากแต่ภาวะสงครามทำให้เมืองแห่งนี้อยู่ในสภาพที่ไม่น่าชื่นชมเท่าไรนัก

“ไลฟ์ แกลองมองดูเมืองที่อยู่ตรงนั้นสิ เห็นอะไรบ้าง”

“เมืองร้าง….เหรอ”

“ใช่แล้วเด็กน้อย เมืองแห่งนี้เคยมีความคึกคัก ทั้งการค้า เทศกาลเฉลิมฉลอง กระทั่งผู้คนค่อยๆ ถูกเกณฑ์ไปเป็นกำลังรบในสงครามที่ไร้สาระ เริ่มจากชายฉกรรจ์ ไล่ไปจนถึงเด็กหนุ่มวัยใกล้เคียงกับเแกนี่แหละ”

ไม่มีคำพูดใดที่เด็กหนุ่มสามารถพูดออกมาได้ ณ เวลานี้ เขาทำได้เพียงยืนมองซากเมืองที่แทบจะไร้ผู้คนแห่งนั้นอยู่เงียบๆ

“เอาเถอะ…ถ้าแกอยากจะอยู่ที่นี่หรือรวบรวมอาหารอะไรก็แล้วแต่นะ ถึงผู้คนจะเริ่มอพยพออกไปจากดินแดนแห่งนี้กันแล้ว แต่ก็ยังมีของกินมาถวายให้เทพเจ้าอยู่เรื่อยๆ นั่นแหละ ตราบใดที่ยังไม่มีบทสรุปของสงคราม” ก่อนจะหันหลังกลับพลางมุ่งหน้าสู่วิหารขอตน

เด็กหนุ่มหันไปมองเทพเจ้าแห่งลีซเนปถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะถามสิ่งที่อยู่ในใจของเขา เมื่อได้ยินคำพุดเมื่อครู่ของเฟอัสก์

“แล้วลุงล่ะ”

ทันทีที่เฟอัสก์หันกลับมามองเด็กหนุ่ม ไลฟ์ก็เริ่มอธิบายสิ่งที่เขากำลังสงสัยอยู่ “ก็ลุงบอกอยู่เมื้อกี้ไง อาหารยังมีมาบูชาลุงเรื่อยๆ ถ้าสงครามยังไม่จบใช่มั้ยล่ะ แล้วถ้าสงครามจบแล้วผู้คนเลิกมาถวายของกินรึเปล่า แล้วลุงจะหายไปมั้ย”

รอยยิ้มอ่อนโยนประดับบนดวงหน้าของเทพเจ้าอายุหลายร้อยปีแต่กลับมีรูปลักษณ์เป็นชายวัย 40 ต้นๆ ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกว่าคงเป็นเพราะความอ่อนโยนของไอ้ลุงล่ะมั้งที่ทำให้ผู้คนยังศรัทธาในเทพผู้ปกปักดินแดนแห่งนี้ และต่อให้สงครามจบลงแล้วก็คงไม่ใช่ปัญหาอะไร ผู้คนก็ยังคงมาสักการะเทพเจ้าองค์นี้อยู่ แต่ก็นะไอ้รอยยิ้มนั่นมันช่างขัดกับหน้าตาขึงขังแถมร่างกายสูงใหญ่กำยำดั่งนักรบผู้ไร้เทียมทานเสียจริง

“ข้าน่ะ…ตราบใดที่ผู้คนยังมีศรัทธาในเทพเจ้า ตัวตนของข้าก็จะไม่หายไปหรอกนะ แต่เอาเถอะ ข้าเริ่มจะถูกใจแกขึ้นมาแล้วล่ะเจ้าหนู จะอยู่เป็นผู้ดูแลวิหารแห่งนี้ไปตลอดเลยรึเปล่าก็ยังได้นะ”

“ไม่เอาหรอก พวกที่มาสักการะลุงเมื่อกี้น่ากลัวจะตาย ขออยู่จนกว่าจะเก็บเสบียงให้พอเดินทางได้หนึ่งเดือนก็น่าจะพอแล้วแหละ หนึ่งเดือนก็คงพ้นเขตสงครามแล้วล่ะ”

“เอาเถอะ ถ้าแกถูกเจอตัวก็บอกไปว่าเป็นคนดูแลวิหารแห่งนี้ก็แล้วกัน ที่วิหารสะอาดอยู่ตลอดเวลาก็คงจะทำให้ผู้เชื่อว่าแกอยู่ดูแลที่นี่ล่ะนะ”

“แล้วข้านอนที่ไหนได้บ้างล่ะลุง”

“ข้างหลังวิหารมีกระท่อมอยู่ เป็นของผู้ดูแลคนก่อน เขาถูกเกณฑ์ไปรบแล้วก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย แกใช้ที่นั่นเป็นที่พักก็แล้วกัน”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Blessing Cursed พรวิเศษต้องสาป 1: คนพเนจร

Now you are reading Blessing Cursed พรวิเศษต้องสาป Chapter 1: คนพเนจร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

สงคราม สภาวะความขัดแย้งของสองดินแดนที่ทำให้ต้องทนทรมานมาตลอดเกือบห้าสิบปี ท่ามกลางไฟสงคราม ยังมีเขตแดนที่ไม่ว่าการสู้รบจะโหดร้าย และขยายตัวมากมายสักเพียงใด ที่แห่งนี้จะได้รับการยกเว้นอยู่เสมอ ที่สุดขอบดินแดนด้านหนึ่งปรากฏร่างเด็กหนุ่มพเนจรเดินโซซัดโซเซมาถึงเนินเขาที่เต็มไปด้วยทุ่งหญ้า และแหล่งน้ำซึ่งแตกต่างจากสภาพความเสื่อมโทรมที่เขาเพิ่งจะข้ามผ่านมาได้อย่างยากลำบาก กลิ่นหอมของไวน์ ขนมปัง และผลไม้สุกยั่วยวนให้เขาเดินข้ามทุ่งหญ้าฝ่าแมกไม้ตรงเข้าไปภายในวิหารที่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางของเขตแดนอันอุดมสมบูรณ์แห่งนี้ ด้วยเรี่ยวแรงที่แทบจะไม่มีเหลืออยู่ทำให้เขาล้มฟุบลงไปหลังจากก้าวเข้ามาในวิหารแห่งนี้ได้เพียงสองก้าวเท่านั้น

ขณะที่เขาพยายามกระเสือกกระสนด้วยกำลังเฮือกสุดท้ายที่แม้จะขยับนิ้วมือยังแทบจะทำไม่ไหวก็มีเสียงของชายคนหนึ่งลอยผ่านโสตประสาทของเด็กหนุ่ม

“เฮ้ยๆๆ!! ไอ้หนู มานอนอะไรตรงนี้”

เด็กหนุ่มรวบรวมกำลังที่เหลืออยู่ตะเบ็งเสียงให้ดังที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้

“ข…ข้า….หิว…ขอ…”

เสียงอันแผ่วเบาของเด็กหนุ่มนั้นฟังไม่ได้ศัพท์ แต่ชายปริศนาก็พอจะคาดเดาได้ว่าเด็กหนุ่มต้องการอะไร เดินไปเขาหยิบไวน์และผลไม้มาวางเอาไว้ใกล้ปากของเด็กหนุ่ม

“เอ้านี่ กินซะ ไม่ป้อนนะ กินเอาเอง อ้อค่อยๆ กินด้วยล่ะ”

เด็กหนุ่มทำได้เพียงขยับศีรษะแล้วใช้ปากงับผลไม้เข้าไปทีละน้อยก่อนออกเคี้ยวอย่างยากลำบาก เวลาผ่านไปครู่ใหญ่เรี่ยวแรงของเราเริ่มกลับคืนมา แขนและขาเริ่มมีกำลัง เขาจึงขยับตัวลุกขึ้นนั่งก่อนหยิบผลไม้เข้าปาก ตามได้ดื่มไวน์จากเหยือกที่วางอยู่ใกล้มือไปอึกใหญ่

“ก็ยังแข็งแรงดีอยู่นี่”

ชายปริศนาเป็นฝ่ายเริ่มต้นบทสนทนา เด็กหนุ่มเงยหน้ามองไปยังต้นเสียง ภาพที่เห็นคือชายซึ่งจากสายตาของเขา คล้ายคุณลุงวัยสามสิบปลายๆหรือไม่ก็สี่สิบต้นๆรูปร่างสูงใหญ่ กำยำ แต่ใบหน้าจะประดับด้วยรอยยิ้มอยู่ที่อ่อนโยนขัดกับบุคลิกที่ น่าเกรงขาม

“ขอบคุณมากๆ นะลุง”

เขากล่าวคำขอบคุณ แต่ก่อนจะได้พูดอะไรต่อไป ชายปริศนาก็ถามความเป็นมาของเด็กหนุ่ม

“เออๆ ว่าแต่แกน่ะ เป็นใคร ชื่ออะไร มาจากไหน แล้วทำไมมาหมอบอยู่ที่นี่”

เด็กหนุ่มวางเหยือกไวน์ลงก่อนจะตอบคำถาม

“ชื่อเหรอ ไม่มีหรอกลุง เร่ร่อนไปเรื่อยๆ แบบนี้มานานแล้ว ตั้งแต่จำความได้ก็มีแต่คนเรียกว่า ‘ไอ้หนู’ เหมือนที่ลุงเรียกนี่แหละ ว่าแต่ลุงเหอะ เป็นคนดูแลวิหารนี่เหรอ”

ชายปริศนาหัวเราะในความไม่แยแสโลกอย่างชอบใจ

“หึหึหึ..เออๆ ข้าเป็นคนที่คอยดูแลวิหารแห่งนี้ เรียกข้าว่า เฟอัสก์ ก็แล้วกัน”

เมื่อเด็กหนุ่มคล้ายจะพยักหน้ารับคำก็มีเสียงของผู้สูงวัยลอยมาพร้อมกับฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่งค่อยๆ ดังขึ้น

“เอางี้แล้วกัน ทางด้านหลังมีสระน้ำใหญ่อยู่ แกอาบน้ำซะ แล้วก็นี่เสื้อผ้าชุดใหม่ เอาไปเปลี่ยนซะ ผมเผ้ารุงรัง มอมแมม เหม็นคาวเลือดฉิบเลย”

เฟอัสก์บอกให้เด็กหนุ่มไปชำระร่างกายพลางเดินไปหยิบเสื้อผ้ามายื่นให้เด็กหนุ่มก่อนจะเดินออกไปยืนรอที่หน้าแท่นบูชา เด็กหนุ่มก้มมองสภาพสะบักสะบอมมอมแมมที่แทบไม่ต่างจากทหารหนีทัพ ซึ่งเลือกทิ้งสมรภูมิเพื่อเอาชีวิตรอด พร้อมผ้าคลุมที่เขรอะไปด้วยคราบเลือดของตัวเองแล้วก็ได้แต่จำใจต้องทำตามที่ลุงผู้ดูแลวิหารได้เสนอให้กับเขา

ขณะที่กำลังเดินโซเซไปยังสระน้ำบรรยากาศเงียบสงัดของเขตแดนแห่งนี้ก็ชวนให้คิดว่าการใช้ชีวิตของผู้ดูแลวิหารจะพบเจอกับความยากลำบากเพียงแค่ไหนกันนะ แม้จะไม่ต้องเร่ร่อนและดิ้นรนเอาชีวิตรอดแบบที่เขาต้องเจออยู่เป็นประจำ แต่ก็ต้องอยู่คนเดียวกลางธรรมชาติที่แสนจะเงียบสงบเกินไปแบบนี้ เพียงอึดใจเดียวเขาก็พาตัวเองมาถึงสระน้ำใหญ่ ไม่รอช้า เขาจัดแจงปลดมีดสั้นที่สภาพไม่น่าจะใช้งานได้คู่หนึ่งออกจากเอวมาวางไว้บนพื้น ก่อนจะถอดเสื้อผ้าออกมากองเอาไว้ข้างๆ สระ

แม้ร่างกายของเด็กหนุ่มจะมีกล้ามเนื้อที่เห็นได้ชัดเจนสมวัยแต่ด้วยความหิวโหย อดอยาก ทำให้เขาดูจะผอมบางกว่าที่ควรจะเป็น ซ้ำบนร่างกายยังเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นที่แสดงถึงชีวิตที่ต้องผ่านการต่อสู้เพื่อเอาตัวรอดไปวันๆ สีผิวที่กร้านแดดทำให้หากแต่ซีดเผือดยิ่งทำให้รอยแผลเหล่านั้นชัดเจนยิ่งขึ้น เด็กหนุ่มจุ่มตัวลงในสระก่อนจะหยิบมีดเก่าๆ คู่กายขึ้นมาลับคมกับหินที่ขอบสระก่อนจะจัดการโกนหนวดเคราออกแล้วเริ่มทำความสะอาดร่างกาย

ขณะเดียวกัน กลุ่มชายฉกรรจ์ห้าถึงหกคนเดินทางเข้ามาพร้อมกับหญิงชราซึ่งเพียงแค่ได้รูปลักษณ์ภายนอกก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นผู้ที่ได้รับความนับถือจากทุกคนในอาณาจักรแห่งนี้ได้เข้ามาถึงด้านในวิหารด้านในวิหาร หญิงชราเดินเข้ามายังหน้าแท่นบูชาพร้อมส่งสัญญาณให้ผู้ติดตามนำผลไม้ ขนมปัง ไวน์ และเนื้อสัตว์จำนวนหนึ่งมาตั้งถวายบนแท่นบูชา จากนั้นก็เริ่มสวดภาวนา

เมื่อเด็กหนุ่มอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็กลับเข้ามาในวิหาร เพียงแต่ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาให้ผู้แสวงบุญได้เห็น เขาได้แอบมองเหล่าผู้แสวงบุญด้วยสงสัยในทุกขั้นตอนการสวดภาวนา เวลาผ่านไปยิ่งสร้างความสงสัยให้กับเขา ทั้งๆ ที่แม่เฒ่าคนนั้นจวนเจียนจะหมอบแทบเท้าผู้ดูแลวิหารที่ยืนอยู่ต่อหน้าแล้ว แต่ทำไมคนกลุ่มนี้ยังทำเหมือนกับผู้ดูแลวิหารไม่มีตัวตนอยู่เสียอย่างนั้น

กระทั่งเสร็จสิ้นพิธี แม่เฒ่าได้ภาวนาต่อทวยเทพ

“ข้าแต่องค์เทพเฟอัสก์ผู้คุ้มครองดินแดนแห่งนี้ชายผู้นี้คือคนที่จะมายุติสงครามอันยืดเยื้อมาหลายสิบปี ได้โปรดประทานพรตามที่ชายผู้นี้ภาวนาด้วยเถิด เอาล่ะเจ้าน่ะมาที่หน้าแท่นบูชาเสีย”

แม่เฒ่าหันไปส่งสัญญาณเรียกให้เด็กหนุ่มวัยใกล้เคียงกับผู้ซึ่งแอบมองอยู่โดยที่ไม่มีใครรู้ตัวเดินมาที่หน้าแท่นบูชา “องค์เทพเฟอัสก์ข้าขอเพียงอาวุธวิเศษที่ทนทานและสามารถสังหารศัตรูนับสิบได้ในคราวเดียว”

เด็กหนุ่มผู้ถูกเลือกเอ่ยคำขอต่อเทพเจ้า

ด้านเด็กหนุ่มที่แอบมองพิธีศักดิ์สิทธิ์จากหลังแท่นบูชาเผลอหลุดคำพูดสั้นๆ ออกมา

“เทพเจ้า….เหรอ?”

แต่ดูเหมือนว่าเขายังมีสติมากพอ คำพูดเมื่อชั่วอึดใจจึงไม่ดังจนคนอื่นได้ยิน ทันใดนั้นเด็กหนุ่มก็มองไปที่เฟอัสก์ ก็พบว่าคุณลุงกล้ามโตได้หันมายิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน ก่อนที่เฟอัสก์จะเอื้อมมือไปแตะก้อนขนมปังที่นำมาถวายบนแท่นบูชา ทันใดนั้นแสงสว่างวาบปกคลุมทั่วทั้งวิหาร ขนมปังก้อนนั้นเปลี่ยนสภาพเป็นขวานเงินด้ามยาวเล่มหนึ่งวางอยู่บนแท่นบูชาอย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อผู้ถูกเลือกได้อาวุธวิเศษที่ต้องการก็เอ่ยขอบคุณเทพเจ้าก่อนจะกลับไปเตรียมตัวเข้าสู่สนามรบ

“จงรักษามันเอาไว้ราวกับที่เจ้ารักษาชีวิตของเจ้าเอง หากเจ้าของตาย มันจะสลายไปพร้อมกับชีวิตของเจ้า”

เสียงของเฟอัสก์ดังกังวานไปทั่ววิหารศักดิ์สิทธิ์ เหล่าผู้แสวงบุญที่ได้ยินเสียงของเทพเจ้าได้หันมาหมอบกราบที่หน้าแท่นบูชาด้วยกำลังใจที่เต็มเปี่ยมอีกครั้งก่อนจะจากไป

เด็กหนุ่มเดินออกมาจากหลังแท่นบูชาแต่สายตาจับจ้องไปที่เฟอัสก์ตลอดเวลา ร่างกายที่ผ่านการชำระจนสะอาด โกนหนวดโกนเคราเรียบร้อยแล้วเผยให้เห็นถึงใบหน้าคมเข้มแต่เรียบนิ่ง แม้หน้าตาของเด็กหนุ่มจะไม่เข้าขั้นหล่อเหลาแบบพิมพ์นิยมในสายตาสาวๆ แต่ก็ถือว่าหนุ่มน้อยผู้นี้หน้าตาดีกว่าผู้ชายทั่วไป หากแต่แววตาของเขาค่อนข้างจะลึกและเลื่อนลอยคล้ายเบื่อโลก ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาจึงทำให้เขาดูไม่ต่างอะไรกับนักรบเดนตาย

‘นี่เทพเจ้า…จริงๆเหรอ’ ความคิดที่อยู่ในใจเด็กหนุ่มถูกเฟอัสก์อ่านออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ก่อนเขาจะตอบมาพูดขึ้นว่า “ใช่ข้านี่แหละ ‘เฟอัสก์’ เทพเจ้าผู้คุ้มครองดินแดนลีซเนปแห่งนี้ ข้าจะแสดงตัวกับใครหรือจะพูดให้ใครได้ยินตอนไหนเมื่อไรก็ได้ ไม่ต้องแปลกใจหรอกเจ้าหนู มีเพียงแกเท่านั้นที่มองเห็นและได้ยินเสียงของข้าจนถึงเมื่อครู่นี้”

เมื่อหายสงสัยในสิ่งแรกคำถามมากมายได้ผุดเข้ามาในหัวของเด็กหนุ่มทันที

“ลุงอยู่ที่นี่มานานแค่ไหน แล้วไอ้เมื่อกี้มันคืออะไร แล้วลุงต้องทำบ่อยมั้ย คนพวกนั้นมาขออะไรบ้าง”

คำถามมากมายที่อยู่ในหัวแต่เด็กหนุ่มกลับถามออกมาได้เพียงเท่านี้ เฟอัสก์หัวเราะพลางส่ายหน้าเบาๆ ในความใสซื่อของเด็กหนุ่มก่อนจะเริ่มตอบคำถาม

“เฮ้อ…เด็กน้อยเอ้ย…ตั้งใจฟังให้ดี ข้าอยู่ที่นี่มาหลายพันปีแล้ว ตอนนี้ลีซเนปแห่งนี้กำลังทำสงครามยืดเยื้อกับสโจรกาดดินแดนที่พี่สาวของข้าคอยพิทักษ์อยู่”

เขาหยุดถอนใจเล็กน้อยก่อนจะเล่าเรื่องราวต่อ

“เรื่องราวมันเริ่มต้นจากอะไรข้าเองก็จำไม่ค่อยได้หรอก แถมยังรบกันมาหลายสิบปีแล้วด้วย ทุกครั้งที่ผู้ถูกเลือกตายก็จะผู้ถูกเลือกคนใหม่มาสวดภาวนาขอของวิเศษ เพราะไอ้ของวิเศษพวกนั้นมันจะสลายไปทุกครั้งที่เจ้าของมันตายล่ะนะ พี่สาวของข้าเองก็คงต้องอึดอัดอะไรแบบเดียวกันนี้อยู่เหมือนกันนั่นแหละ”

“แล้วทำไมลุงไม่ไปคุยกับพี่สาวของลุงล่ะว่าเบื่อเรื่องพวกนี้แล้ว”

“ก็คุยแล้ว เราพี่น้องยังไปมาหาสู่กันเป็นประจำอยู่แล้ว…เพียงแต่หน้าที่ก็ต้องเป็นหน้าที่นั่นล่ะ”

“แล้ว…ถ้ารบกันเอง…ลุงกับพี่สาวใครเก่งกว่ากัน”

“นั่นสินะ ข้าเองไม่เคยคิดเรื่องนี้เหมือนกันแฮะ…อ่าา…ว่าแต่แกเถอะถ้าได้เป็นผู้ถูกเลือกจะขออะไรข้า”

เด็กหนุ่มตอบกลับทันทีแบบไม่ต้องใช้เวลาสักเสี้ยวอึดใจคิด

“ไม่เอาหรอก แค่เอาชีวิตรอดไปวันๆ ก็เจ็บปวดมากอยู่แล้ว จะให้ไปรบด้วยของพวกนั้นน่ะเหรอ ฆ่าตัวตายชัดๆ”

เฟอัสก์จ้องมองเด็กหนุ่มด้วยความประหลาดใจกับสิ่งที่ได้ยิน

“ฆ่าตัวตายเหรอ…อืม…อาจจะเป็นแบบนั้นจริงๆ นั่นแหละนะ”

เทพเจ้าพึมพำกับตัวเอง ‘ไอ้เด็กนี่มันคิดเหมือนเราเลยเว้ย’ ห้วงความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาผ่านเข้ามาในหัวของเทพเจ้า ก่อนจะเอ่ยถามเด็กหนุ่มอีกครั้ง

“เออนี่ไอ้หนู…แกบอกว่ายังไม่มีชื่อใช่มั้ย…จากนี้ไป ข้าจะตั้งชื่อให้แกก็แล้วกันนะ”

เด็กหนุ่มหันไปมององค์เทพด้วยความรู้สึกบางอย่าง ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ประหลาดใจเหรอ แปลกใจหรือเปล่า หรือว่าดีใจที่จะได้ชื่อเสียที่คนอื่นจะได้เลิกเรียกเขาว่า ‘ไอ้หนู’ เสียทีแต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรมากกว่าการจ้องมองเทพเจ้าที่ยิ้มแย้มอยู่เสมอด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดาอยู่อย่างนั้น

“การมีชีวิตคือสิ่งที่มนุษย์ต่างใฝ่หา งั้นจากนี้ไปแกมีชื่อว่า ‘ไลฟ์’ ก็แล้วกันนะ” ก่อนที่เด็กหนุ่มจะแสดงท่าทีใดๆ เฟอัสก์ก็ได้ตั้งคำถามกับเด็กหนุ่มคาดหวังจะได้คำตอบที่เขาเองเคยคิดเอาไว้แต่กลับไม่มีใครนึกถึง

“ถ้าอย่างงั้น แกคิดว่าทำยังไงถึงจะหยุดสงครามได้ล่ะ”

“หยุดสงครามเหรอ…จะบ้ารึเปล่าลุง ถ้าไม่ใช่เทพเจ้าแบบลุงก็มีคนที่ตายไม่เป็น แขนขางอกกลับออกมาใหม่ หรือไม่ก็หยิบมาต่อคืนที่เดิมได้เท่านั้นแหละ คนธรรมดาแบกของวิเศษไปรบยังไงก็ตาย ต่อให้มีเวทมนต์วิเศษควบคุมธรรมชาติได้ก็เหอะไม่รอดหรอกลุง”

เทพเจ้าผู้คุ้มครองดินแดนลีซเนปหัวเราะออกมาด้วยถูกใจในคำตอบของไลฟ์ นี่แหละคือสิ่งที่เขาคิดอยู่เสมอ หากแต่หน้าที่ของเทพเจ้าอย่างเขาทำให้ไม่สามารถประทานพรหรือมอบของวิเศษให้กับผู้คนได้หากไร้การร้องขอ แม้รูปลักษณ์ของไลฟ์จะเป็นเพียงเด็กวัยรุ่นอายุเพียงสิบกว่าปี แต่ความคิดของเขากลับแสดงถึงประสบการณ์ชีวิตที่โหดร้าย

“ไลฟ์ เแกอายุเท่าไร”

“ไม่แน่ใจหรอกลุง ตั้งแต่จำความได้ข้าถูกพาตัวออกมาจากบ้านเด็กกำพร้า เหมือนกับว่าตอนนั้นข้าจะอายุสี่ปี”

“แล้วแกใช้ชีวิตเร่ร่อนแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วล่ะ”

ไลฟ์เริ่มเล่าความเป็นมาของเขาให้กับเทพเจ้าได้ฟัง

“หลังจากถูกพาออกจากบ้านเด็กกำพร้า มาอยู่ในไร่อะไรสักอย่างได้ 3 เดือนข้าก็หนีออกมากับพวกที่อายุเยอะกว่าข้าอีกสี่คน หนีออกมาได้ก็ใช้ชีวิตเร่ร่อนมาตลอด สี่ปีที่แล้วพวกเขาใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองแห่งหนึ่ง ส่วนข้างก็เร่ร่อนต่อมาเรื่อยๆ ผ่านมาก็ เกือบสิบสามปีแล้วมั้ง”

“งั้นตอนนี้แกก็อายุสิบหกงั้นเหรอ”

“คงงั้นแหละมั้ง…นี่ลุง ถ้าข้าจะอยู่ที่นี่สักพักใหญ่ๆ รวบรวมอาหารจะได้มั้ย”

เฟอัสก์ลุกขึ้นยืนพร้อมเดินออกไปข้างวิหาร “ตามข้ามาสิ” เด็กหนุ่มลุกขึ้นแล้วเดินตามเจ้าของวิหารแห่งนี้ออกไปข้างนอก

เฟอัสก์ยังไม่พูดอะไรสักคำนับตั้งแต่เดินออกมา กระทั่งมาถึงสวนฝั่งตะวันออกของวิหาร ทิวทัศน์เบื้องหน้าเป็นเมืองแห่งหนึ่ง หากอยู่ในช่วงเวลาปกติเมืองแห่งนี้สมควรเป็นสถานที่แห่งความมีชีวิตชีวา หากแต่ภาวะสงครามทำให้เมืองแห่งนี้อยู่ในสภาพที่ไม่น่าชื่นชมเท่าไรนัก

“ไลฟ์ แกลองมองดูเมืองที่อยู่ตรงนั้นสิ เห็นอะไรบ้าง”

“เมืองร้าง….เหรอ”

“ใช่แล้วเด็กน้อย เมืองแห่งนี้เคยมีความคึกคัก ทั้งการค้า เทศกาลเฉลิมฉลอง กระทั่งผู้คนค่อยๆ ถูกเกณฑ์ไปเป็นกำลังรบในสงครามที่ไร้สาระ เริ่มจากชายฉกรรจ์ ไล่ไปจนถึงเด็กหนุ่มวัยใกล้เคียงกับเแกนี่แหละ”

ไม่มีคำพูดใดที่เด็กหนุ่มสามารถพูดออกมาได้ ณ เวลานี้ เขาทำได้เพียงยืนมองซากเมืองที่แทบจะไร้ผู้คนแห่งนั้นอยู่เงียบๆ

“เอาเถอะ…ถ้าแกอยากจะอยู่ที่นี่หรือรวบรวมอาหารอะไรก็แล้วแต่นะ ถึงผู้คนจะเริ่มอพยพออกไปจากดินแดนแห่งนี้กันแล้ว แต่ก็ยังมีของกินมาถวายให้เทพเจ้าอยู่เรื่อยๆ นั่นแหละ ตราบใดที่ยังไม่มีบทสรุปของสงคราม” ก่อนจะหันหลังกลับพลางมุ่งหน้าสู่วิหารขอตน

เด็กหนุ่มหันไปมองเทพเจ้าแห่งลีซเนปถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะถามสิ่งที่อยู่ในใจของเขา เมื่อได้ยินคำพุดเมื่อครู่ของเฟอัสก์

“แล้วลุงล่ะ”

ทันทีที่เฟอัสก์หันกลับมามองเด็กหนุ่ม ไลฟ์ก็เริ่มอธิบายสิ่งที่เขากำลังสงสัยอยู่ “ก็ลุงบอกอยู่เมื้อกี้ไง อาหารยังมีมาบูชาลุงเรื่อยๆ ถ้าสงครามยังไม่จบใช่มั้ยล่ะ แล้วถ้าสงครามจบแล้วผู้คนเลิกมาถวายของกินรึเปล่า แล้วลุงจะหายไปมั้ย”

รอยยิ้มอ่อนโยนประดับบนดวงหน้าของเทพเจ้าอายุหลายร้อยปีแต่กลับมีรูปลักษณ์เป็นชายวัย 40 ต้นๆ ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกว่าคงเป็นเพราะความอ่อนโยนของไอ้ลุงล่ะมั้งที่ทำให้ผู้คนยังศรัทธาในเทพผู้ปกปักดินแดนแห่งนี้ และต่อให้สงครามจบลงแล้วก็คงไม่ใช่ปัญหาอะไร ผู้คนก็ยังคงมาสักการะเทพเจ้าองค์นี้อยู่ แต่ก็นะไอ้รอยยิ้มนั่นมันช่างขัดกับหน้าตาขึงขังแถมร่างกายสูงใหญ่กำยำดั่งนักรบผู้ไร้เทียมทานเสียจริง

“ข้าน่ะ…ตราบใดที่ผู้คนยังมีศรัทธาในเทพเจ้า ตัวตนของข้าก็จะไม่หายไปหรอกนะ แต่เอาเถอะ ข้าเริ่มจะถูกใจแกขึ้นมาแล้วล่ะเจ้าหนู จะอยู่เป็นผู้ดูแลวิหารแห่งนี้ไปตลอดเลยรึเปล่าก็ยังได้นะ”

“ไม่เอาหรอก พวกที่มาสักการะลุงเมื่อกี้น่ากลัวจะตาย ขออยู่จนกว่าจะเก็บเสบียงให้พอเดินทางได้หนึ่งเดือนก็น่าจะพอแล้วแหละ หนึ่งเดือนก็คงพ้นเขตสงครามแล้วล่ะ”

“เอาเถอะ ถ้าแกถูกเจอตัวก็บอกไปว่าเป็นคนดูแลวิหารแห่งนี้ก็แล้วกัน ที่วิหารสะอาดอยู่ตลอดเวลาก็คงจะทำให้ผู้เชื่อว่าแกอยู่ดูแลที่นี่ล่ะนะ”

“แล้วข้านอนที่ไหนได้บ้างล่ะลุง”

“ข้างหลังวิหารมีกระท่อมอยู่ เป็นของผู้ดูแลคนก่อน เขาถูกเกณฑ์ไปรบแล้วก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย แกใช้ที่นั่นเป็นที่พักก็แล้วกัน”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+