Blessing Cursed พรวิเศษต้องสาป 3: พี่สาวผู้เอาแต่ใจ

Now you are reading Blessing Cursed พรวิเศษต้องสาป Chapter 3: พี่สาวผู้เอาแต่ใจ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมื่อยามรุ่งสาง ไลฟ์ตื่นขึ้นท่ามกลางธรรมชาติอันน่าอภิรมย์ เขาลืมตาขึ้นและนอนนิ่งดื่มด่ำกับบรรยากาศอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะย้ายร่างกายที่ฟื้นฟูสภาพขึ้นมาพอสมควรลงจากเตียง จัดแจงแต่งตัวพร้อมเริ่มทำหน้าที่ผู้ดูแลวิหาร เขาเดินไปที่วิหารท่ามกลางความเงียบสงบ ไม่ปรากฏร่างของนายกองผู้ชักชวนเขาไปร่วมรบอีกแล้ว หากแต่เป็นหญิงสาวรูปร่างสูงโปร่งมีน้ำมีนวล ทรวดทรงสมส่วน ใบหน้างดงาม แววตาสดใส เส้นผมยาวสีน้ำตาลเข้มถูกถักเป็นเปียและรวบจัดทรงเอาไว้อย่างดี คาดว่าหญิงสาวผู้นี้อายุไม่น่าจะเกินยี่สิบปี แต่น่าแปลกที่นางไม่มีลักษณะคล้ายนักรบแต่กลับเหน็บดาบเล่มโตเอาไว้ที่บั้นเอว ในมือของนางถือลูกแพร์ยืนชื่นชมความงามของธรรมชาติอยู่ที่ฝั่งตะวันออกของวิหาร

เดิมทีผู้ดูแลวิหารหนุ่มก็มีนิสัยที่ไม่ชอบสุงสิงกับใครหากไม่มีเหตุจำเป็นอยู่แล้ว ถึงแม้จะสงสัยในท่าทีที่ดูจะคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างดี แต่ตัวเขาเองก็ไม่มีเหตุผลให้เข้าไปวุ่นวายอะไรกับนาง จึงสืบเท้าเข้าไปเก็บรวบรวมของกินออกจากแทนบูชาอย่างเงียบๆ หญิงสาวที่รับรู้ถึงการปรากฏตัวของผู้ดูแลวิหารจึงหันมาจ้องมองเขาด้วยความสงสัย

ผู้ดูแลวิหารหนุ่มเองก็รับรู้ถึงสายตาของหญิงสาวที่จ้องมองมาอย่างไม่ละสายตา เวลาแห่งความอึดอัดนี้ช่างแสนยาวนานในความรู้สึกของเขา แต่แท้จริงแล้วเวลาเพิ่งจะผ่านไปเพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้น จะอย่างไรเขาก็ยังจัดการกับงานที่อยู่ตรงหน้าต่อไป

ตัวหญิงสาวผู้มาเยือนเองก็มีทีท่าจะไต่ถามความเป็นมาของผู้ดูแลวิหารหน้าใหม่คนนี้ หากแต่น้ำเสียงทุ้มต่ำและนุ่มนวลของเจ้าวิหารแห่งนี้ดังขึ้นมาขัดโอกาสของหญิงสาวเสียก่อน

“ธรรมชาติที่สโจรกาดไม่น่าอภิรมย์แล้วรึไง ถึงได้มายืนชมธรรมชาติที่นี่ตั้งแต่เช้าน่ะ”

เสียงของเฟอัสก์ดึงความสนใจของเด็กหนุ่มได้อย่างน่าประหลาด ไลฟ์หันไปมองที่ต้นเสียงก็พบคุณลุงกล้ามโตหอบเสื้อผ้าชุดเก่าที่สวมเมื่อวานเอาไว้ในมือพร้อมเส้นผมสีน้ำตาลแดงที่เปียกชุ่มเดินเข้ามาภายในวิหารขณะที่มองตรงมาที่เขา

“คุณทหารเมื่อคืนกลับไปแล้วล่ะ ลงเนินไปตั้งแต่ยังไม่รุ่งสางแล้ว”

ไลฟ์พยักหน้าตอบรับคำบอกกล่าวของเทพเจ้าผู้อ่อนโยน พลางมองไปยังหญิงสาวที่ดูจะคุ้นเคยกับเทพเฟอัสก์เป็นอย่างดี แล้วเมื่อครู่ถ้าเขาได้ยินไม่ผิดนางเป็นคนของอาณาจักรสโจรกาดเหรอ แต่เมื่อสบตากับหญิงสาวเขาเองกลับแสดงท่าทีสนใจในตัวหญิงสาวคนนี้อย่างชัดเจน เพราะอะไรตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงอยากรู้จักความเป็นมาเกี่ยวกับนางขึ้นมาได้ที่ที่เขาเองก็ที่ไม่ชอบสุงสิงกับใคร ที่แน่ๆ คือความรู้สึกรักหรือถูกชะตานั้นไม่ใช่แน่ๆ เพราะที่ผ่านมาเขาเองก็ได้พบเจอและมีโอกาสใกล้ชิดกับผู้หญิงมาบ้างแต่ความรู้สึกแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้น หรือจะเป็นสัญชาตญาณเตือนให้เขาต้องระวังตัว…ผู้หญิงคนนี้…อันตราย

เสียงที่อันสดใสสมวัยของหญิงสาวดังขึ้นฉุดให้ผู้ดูแลวิหารหลุดจากห้วงแห่งความคิด “จ้องกันแบบนี้ มีปัญหารึไง”

ผู้ดูแลวิหารถอนหายใจออกมาแรงๆชัดๆ แสดงความยียวนให้ผู้มาเยือนได้รับรู้ ก่อนจะหันไปรินไวน์สองแก้วและนำไปเสิร์ฟให้กับเฟอัสก์และผู้มาเยือน จากนั้นเดินกลับมาแบกถุงอาหารขึ้นบ่า ขณะที่กำลังจะก้าวเท้านำอาหารไปเก็บในที่พักของตน เทพเจ้าวิหารก็ชวนให้เขาอยู่ต่อพร้อมแนะนำหญิงสาวผู้มาเยือนให้ได้รู้จัก

“เออนี่ไลฟ์ อย่าเพิ่งไป ฉันจะแนะนำให้รู้จักนะ นี่คือฟาโนราห์ พี่สาวของชั้นเอง”

ผู้ดูแลวิหารชะงักด้วยความคาดไม่ถึงว่าเทพเจ้าแห่งสโจรกาดจะมีรสนิยมใช้ร่างจำแลงในรูปลักษณ์นี้ ต่างจากเทพเฟอัสก์ที่ดูแล้วยังเป็นเทพเจ้าที่น่าเชื่อถือกว่ามาก ไม่แน่ว่ารูปลักษณ์ของร่างจำแลงอาจแสดงถึงอุปนิสัยของเทพแต่ละองค์ก็เป็นได้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เด็กหนุ่มเพียงก็แค่หยักหน้าตอบรับแล้วก็หันไปทำหน้าที่ของตนต่อ

ขณะกำลังดูแลความสะอาดวิหารเสียงที่เขาได้ยินก็มีแต่เสียงบ่นของเทพแห่งสโจรกาดเกี่ยวกับสงครามน่าเบื่อที่ยืดเยื้อจนนางเริ่มหมดสนุกกับโลกใบนี้เสียแล้ว

“ไอ้มนุษย์งี่เง่าพวกนั้นทำไมมันสู้กันไม่จบไม่สิ้นซะที นี่เฟเธอว่า…พี่ใช้พลังถล่มทั้งสองอาณาจักรทิ้งซะตอนนี้เลยดีรึเปล่า”

“ไม่เอาน่าพี่ อย่างอแงนักสิ ไม่ใช่ว่าข้าจะไม่เบื่อหน่ายกับสงครามนี้หรอก แต่พี่จะใช้อำนาจในทางที่ผิดไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้วนะ เราทำได้แค่ประทานพร มอบของวิเศษกับคอยคุ้มครองอาณาจักรเท่านั้น”

“อันนี้พี่ก็รู้แต่…เมื่อไรมันจะสิ้นสุดซะทีเล่า พี่มาที่นี่ก็หวังว่าจะมีคนเก่งของทางฝั่งนี้ให้เห็นบ้าง ไอ้คนที่มีฝีมือมากพอจะจบสงครามบ้าๆนี่ได้ แต่……”

“แล้วคนของพี่ล่ะ หวังอะไรไม่ได้เลยรึไง”

“ไม่มีหรอก มีแต่พวกบ้าใช้กำลังทั้งนั้น ไม่มีสมองกันเลยสักคน แล้วคนของทางนี้ล่ะ”

“เอาจริงๆ ทางนี้ก็พอมีอยู่หรอก แต่ว่าดันเป็นคนที่ไม่อยากมีส่วนร่วมกับสงครามน่ะสิ”

ดูเหมือนฟาโนราห์จะเดาออกว่าคนที่น้องชายพูดถึงนั้นคือใคร นางมองไปยังเด็กหนุ่มที่กำลังทำความสะอาดวิหารหลังจากเขานำอาหารที่รวบรวมไว้ไปเก็บยังที่พักของตนแล้ว ก่อนจะหันมาสอบถามที่มาที่ไปของเขากับน้องชาย

“หนุ่มน้อยคนนี้เขาเป็นใคร พี่จะขอตัวเขาได้รึเปล่า”

เฟอัสก์ได้แต่ยิ้มด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายกับความเอาแต่ใจของพี่สาว

“นี่พี่ ยังไม่เข็ดอีกใช่มั้ย ไม่ใช่เพราะพี่ให้พรแบบไม่คิดให้รอบคอบรึไง สงครามมันถึงไม่จบไม่สิ้นซะทีแบบนี้น่ะ”

“แล้วเขาเป็นใคร!!” เสียงอันแข็งกร้าวของฟาโนราห์แสดงออกถึงความโมโหที่ไม่ได้คำตอบตามที่ต้องการจากน้องชายดังขึ้นทันทีที่น้องชายทำท่าจะบ่ายเบี่ยง

เฟอัสก์แอบถอนใจเบาๆ “เจ้าหนูนี่เป็นคนพเนจร เพิ่งหอบสังขารมาล้มฟุบที่นี่เมื่อวานนี้ เห็นว่าเดินทางข้ามเขตสงครามมา คราบเลือดเขรอะทั่วตัวแต่คงไม่ใช่เลือดเขาเองหรอก เพราะเท่าที่เห็นบนร่างกายเขาไม่มีแผลสด ที่รอดมาจนถึงที่นี่พร้อมคราบเลือดเต็มตัวก็คงเพราะฆ่าพวกทหารที่กำลังสู้กันอยู่มาหลายคนเลยมั้ง”

ฟาโนราห์จ้องไปยังเด็กหนุ่มพินิจรูปร่างของเขาก็ชวนให้สงสัยว่าหนุ่มน้อยคนนี้มีฝีมือพอจะสังหารนักรบที่ผ่านการฝึกมาได้จริง หรือเพียงแค่นำเสื้อผ้าจากศพมาใส่เพื่อให้เดินทางสะดวกขึ้น ไม่ต้องปะทะกับใครกันแน่

ขณะเดียวกันผู้ดูแลวิหารหนุ่มได้ยินทุกถ้อยคำในบทสนทนาของเทพสองพี่น้องอย่างชัดเจน และคำพูดของเทพเฟอัสก์เรื่องความเอาแต่ใจของเทพแห่งสโจรกาดก็สะกิดต่อมสงสัยใจตัวเขาอยู่เช่นกัน

“หนุ่มน้อย เข้ามาใกล้ๆ”

ฟาโนราห์ตัดสินใจที่จะสอบถามเด็กหนุ่มด้วยตัวเอง

“ก่อนมาถึงที่นี่เธอเจออะไรมาบ้าง”

ดูเหมือนไลฟ์จะไม่เข้าใจกับคำว่า ‘ก่อนหน้านี้’ ที่ฟาโนราห์ถามเขานั้นหมายถึงช่วงเวลาไหนกันแน่ ทำได้เพียงยืนนิ่งเลิกคิ้วอยู่อย่างนั้น

“เธอบอกน้องชายฉันว่าเธอเดินทางข้ามสนามรบมาจนถึงที่นี่ใช่มั้ย ได้สู้กับใครรึเปล่า”

“ก็มีบ้าง ไม่รู้ว่าใครเป็นใครหรอก ใครเข้ามาโจมตีก็ต้องป้องกันตัว”

ฟาโนราห์จ้องมองเด็กหนุ่มอีกครั้ง ในเมื่อนางไม่พูดอะไร เด็กหนุ่มจึงสอบถามถึงสิ่งที่เขาข้องใจ

“นี่ลุงที่บอกว่าเพราะความเอาแต่ใจของป้าเขา สงครามเลยยืดเยื้อเนี่ย มันหมายความว่ายังไงเหรอ”

เฟอัสก์เหลือบมองพี่สาวว่าจะมีปฏิกิริยาอะไรกับคำเรียกที่เจ้าหนุ่มนี้ใช้บ้าง แต่ผิดคาดนางกลับนิ่งเงียบ คงเพราะมัวแต่ครุ่นคิดกับคำตอบของเด็กหนุ่มอยู่จึงไม่ทันได้ยินคำถามเมื่อครู่ เขาจึงหันไปตอบคำถามของผู้ดูแลวิหารคนใหม่

“เรื่องราวมันก็เป็นอย่างที่คุณทหารเล่าให้ฟังนั่นแหละ เพียงแต่ก่อนที่จะเริ่มเคลื่อนทัพราชาเมอร์มอนไปขอพรจากนาง ตอนนั้นข้าเองก็กำลังไปเที่ยวที่วิหารของนางพอดี”

เทพเฟอัสก์ส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะเริ่มเล่าต่อ

“ราชาเมอร์มอนขอพรว่ากองทัพของเขาจะไม่มีวันไม่แพ้ ตราบใดที่แม่ทัพคนสนิทของเขาไม่ตาย หนำซ้ำตัวแม่ทัพฮาร์ดิลก็ขอพรว่าเขาจะตายก็ต่อเมื่อมีผู้ไม่รู้ตายมาฆ่าเขา แต่ใครจะไปคิดว่ากองทัพของราชากิลเลียนจะแข็งแกร่งมากและต้านทานกองทัพจากแดนตะวันตกเฉียงเหนือได้นานถึงเพียงนี้”

“นี่ป้า ไม่คิดทบทวนก่อนสักนิดเลยเหรอว่าถ้าฝั่งตรงข้ามจะแข็งแกร่งจนต้องยืดเยื้อมานานถึงขนาดนี้น่ะ”

เสียงของเด็กหนุ่มปลุกให้ฟาร์โนราห์ตื่นจากภวังค์

“ก็ไม่คิดว่าราชากิลเลียนจะเก่งกาจถึงเพียงนี้ อีกอย่างกองทัพของสโจรกาดก็อาศัยการรบที่ดุดันคว้าชัยมาได้โดยตลอด คิดว่าไม่นานก็ทุกอย่างก็สงบ”

“แล้วพอไม่เป็นไปตามที่คิดก็ได้แต่หวังว่าน้องชายจะหาคนมาแก้ไขให้งั้นเหรอ”

น่าแปลกที่เทพเจ้าทิฐิสูงอย่างฟาร์โนราห์จะไม่ต่อปากต่อคำกับเด็กหนุ่มอย่างที่เคยถกเถียงกับน้องชายอย่างเอาเป็นเอาตายเกือบทุกครั้งที่เจอกัน อาจจะเพราะนางเบื่อหน่าย และหมดหวังกับสงครามของสองอาณาจักรนี้แล้วจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นดูเหมือนความเอาแต่ใจของนางจะยังไม่ลดลงเช่นเดียวกับความหวังที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นจากการได้พบกับเด็กหนุ่มคนนี้

“หนุ่มน้อย ถ้าเธอเป็นคนที่จะยุติสงครามนี้ได้ เธอจะทำยัง”

ไลฟ์ตอบกลับไปทันที “ไม่เอาด้วยหรอก ไม่ว่ายังไงข้าก็ไม่เอาชีวิตไปทิ้งกับความงี่เง่าของคนพวกนั้นหรอก”

ดูเหมือนคนที่เฟอัสก์พูดถึงจะเป็นหนุ่มน้อยคนนี้จริงๆ สินะ

“หนุ่มน้อย ฉันน่ะถูกใจเธอจริงๆ เอางี้มั้ยเธอมาเป็นคนดูแลวิหารของฉันดีกว่ามั้ย”

เด็กหนุ่มก็ยังคงตอบกลับแบบไม่เสียเวลาครุ่นคิดสักเสี้ยววินาทีอีกเช่นเคย

“ไม่เอาล่ะ พอร่างกายฟื้นฟูเต็มที่ รวมรวมอาหารได้มากพอก็จะเดินทางต่อแล้ว”

แม้คำตอบจะขัดใจนางอยู่มาก แต่ฟาร์โนราห์กลับเอื้อมมือทั้งสองไปจับที่ใบหน้าของเด็กหนุ่ม

“หลับตาซะสิ ฉันจะมอบพรวิเศษให้เธอ ต่อจากนี้เธอเดินทางอย่างราบรื่น ไม่ต้องลำบากอีกต่อไปแล้วล่ะ”

“เฮ้ยๆๆๆ เดี๋ยวก่อนพี่”

เฟอัสก์ส่งเสียงขัดขึ้นมาทันที ด้วยสุดจะคาดเดาว่าพี่สาวของตนจะก่อเรื่องอะไรขึ้นมาอีกบ้าง

ฟาโนราห์หันไปพูดกับน้องชายเบาๆ

“เอาน่า….หนุ่มน้อยคนนี้ถูกใจพี่จริงๆ แค่มอบพรวิเศษที่จะช่วยเขาเดินได้อย่างสะดวกขึ้นอีกสักหน่อยคงไม่มีปัญหาอะไรหรอกจริงมั้ย”

ฟาโนราห์หันมาหาเด็กหนุ่มอีกครั้ง

“เอาล่ะหนุ่มน้อย หลับตาลงซะสิ อย่าดื้อ”

เฟอัสก์ได้แต่ยืนกระพริบตาถี่ๆ ด้วยสุดจะคาดเดาว่าพี่สาวจอมเอาแต่ใจของเขาต้องการอะไร และนางอาจจะถูกชะตากับเด็กหนุ่มคนนี้จริงๆ ก็เป็นได้

ไลฟ์หลับตาลงอย่างว่าง่ายและไม่มีท่าทีขัดขืน แต่ทั้งผู้ดูแลและเทพเจ้าของวิหารต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อเทพแห่งสโจรกาดบรรจงจูบเด็กหนุ่มแบบไม่ทันตั้งตัว ที่น่าตื่นตะลึงกว่านั้นก็คือ ฟาโนราห์ดึงดาบที่บั้นเอวออกมาปักเข้าที่กลางอกของผู้ดูแลวิหารหนุ่มจนมิดด้าม ซ้ำยังดึงดาบออกจากอกของเด็กหนุ่มแล้วตวัดดาบตัดแขนซ้ายของเขาหลุดลอยจากร่างไปอย่างน่าสยดสยอง

ขณะเดียวกันเฟอัสก์ที่กระโจนเข้าใส่หมายจะยับยั้งการกระทำของพี่สาว แต่ด้วยเหตุสยองขวัญนี้เกิดขึ้นในชั่วพริบตา แม้เฟอัสก์จะเข้าถึงตัวพี่สาวและคว้าแขนและเอวนางเอาไว้ได้ แต่ร่างของผู้ดูแลวิหารหนุ่มก็ล้มลงจมกองเลือดไปเสียแล้ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Blessing Cursed พรวิเศษต้องสาป 3: พี่สาวผู้เอาแต่ใจ

Now you are reading Blessing Cursed พรวิเศษต้องสาป Chapter 3: พี่สาวผู้เอาแต่ใจ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมื่อยามรุ่งสาง ไลฟ์ตื่นขึ้นท่ามกลางธรรมชาติอันน่าอภิรมย์ เขาลืมตาขึ้นและนอนนิ่งดื่มด่ำกับบรรยากาศอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะย้ายร่างกายที่ฟื้นฟูสภาพขึ้นมาพอสมควรลงจากเตียง จัดแจงแต่งตัวพร้อมเริ่มทำหน้าที่ผู้ดูแลวิหาร เขาเดินไปที่วิหารท่ามกลางความเงียบสงบ ไม่ปรากฏร่างของนายกองผู้ชักชวนเขาไปร่วมรบอีกแล้ว หากแต่เป็นหญิงสาวรูปร่างสูงโปร่งมีน้ำมีนวล ทรวดทรงสมส่วน ใบหน้างดงาม แววตาสดใส เส้นผมยาวสีน้ำตาลเข้มถูกถักเป็นเปียและรวบจัดทรงเอาไว้อย่างดี คาดว่าหญิงสาวผู้นี้อายุไม่น่าจะเกินยี่สิบปี แต่น่าแปลกที่นางไม่มีลักษณะคล้ายนักรบแต่กลับเหน็บดาบเล่มโตเอาไว้ที่บั้นเอว ในมือของนางถือลูกแพร์ยืนชื่นชมความงามของธรรมชาติอยู่ที่ฝั่งตะวันออกของวิหาร

เดิมทีผู้ดูแลวิหารหนุ่มก็มีนิสัยที่ไม่ชอบสุงสิงกับใครหากไม่มีเหตุจำเป็นอยู่แล้ว ถึงแม้จะสงสัยในท่าทีที่ดูจะคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างดี แต่ตัวเขาเองก็ไม่มีเหตุผลให้เข้าไปวุ่นวายอะไรกับนาง จึงสืบเท้าเข้าไปเก็บรวบรวมของกินออกจากแทนบูชาอย่างเงียบๆ หญิงสาวที่รับรู้ถึงการปรากฏตัวของผู้ดูแลวิหารจึงหันมาจ้องมองเขาด้วยความสงสัย

ผู้ดูแลวิหารหนุ่มเองก็รับรู้ถึงสายตาของหญิงสาวที่จ้องมองมาอย่างไม่ละสายตา เวลาแห่งความอึดอัดนี้ช่างแสนยาวนานในความรู้สึกของเขา แต่แท้จริงแล้วเวลาเพิ่งจะผ่านไปเพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้น จะอย่างไรเขาก็ยังจัดการกับงานที่อยู่ตรงหน้าต่อไป

ตัวหญิงสาวผู้มาเยือนเองก็มีทีท่าจะไต่ถามความเป็นมาของผู้ดูแลวิหารหน้าใหม่คนนี้ หากแต่น้ำเสียงทุ้มต่ำและนุ่มนวลของเจ้าวิหารแห่งนี้ดังขึ้นมาขัดโอกาสของหญิงสาวเสียก่อน

“ธรรมชาติที่สโจรกาดไม่น่าอภิรมย์แล้วรึไง ถึงได้มายืนชมธรรมชาติที่นี่ตั้งแต่เช้าน่ะ”

เสียงของเฟอัสก์ดึงความสนใจของเด็กหนุ่มได้อย่างน่าประหลาด ไลฟ์หันไปมองที่ต้นเสียงก็พบคุณลุงกล้ามโตหอบเสื้อผ้าชุดเก่าที่สวมเมื่อวานเอาไว้ในมือพร้อมเส้นผมสีน้ำตาลแดงที่เปียกชุ่มเดินเข้ามาภายในวิหารขณะที่มองตรงมาที่เขา

“คุณทหารเมื่อคืนกลับไปแล้วล่ะ ลงเนินไปตั้งแต่ยังไม่รุ่งสางแล้ว”

ไลฟ์พยักหน้าตอบรับคำบอกกล่าวของเทพเจ้าผู้อ่อนโยน พลางมองไปยังหญิงสาวที่ดูจะคุ้นเคยกับเทพเฟอัสก์เป็นอย่างดี แล้วเมื่อครู่ถ้าเขาได้ยินไม่ผิดนางเป็นคนของอาณาจักรสโจรกาดเหรอ แต่เมื่อสบตากับหญิงสาวเขาเองกลับแสดงท่าทีสนใจในตัวหญิงสาวคนนี้อย่างชัดเจน เพราะอะไรตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงอยากรู้จักความเป็นมาเกี่ยวกับนางขึ้นมาได้ที่ที่เขาเองก็ที่ไม่ชอบสุงสิงกับใคร ที่แน่ๆ คือความรู้สึกรักหรือถูกชะตานั้นไม่ใช่แน่ๆ เพราะที่ผ่านมาเขาเองก็ได้พบเจอและมีโอกาสใกล้ชิดกับผู้หญิงมาบ้างแต่ความรู้สึกแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้น หรือจะเป็นสัญชาตญาณเตือนให้เขาต้องระวังตัว…ผู้หญิงคนนี้…อันตราย

เสียงที่อันสดใสสมวัยของหญิงสาวดังขึ้นฉุดให้ผู้ดูแลวิหารหลุดจากห้วงแห่งความคิด “จ้องกันแบบนี้ มีปัญหารึไง”

ผู้ดูแลวิหารถอนหายใจออกมาแรงๆชัดๆ แสดงความยียวนให้ผู้มาเยือนได้รับรู้ ก่อนจะหันไปรินไวน์สองแก้วและนำไปเสิร์ฟให้กับเฟอัสก์และผู้มาเยือน จากนั้นเดินกลับมาแบกถุงอาหารขึ้นบ่า ขณะที่กำลังจะก้าวเท้านำอาหารไปเก็บในที่พักของตน เทพเจ้าวิหารก็ชวนให้เขาอยู่ต่อพร้อมแนะนำหญิงสาวผู้มาเยือนให้ได้รู้จัก

“เออนี่ไลฟ์ อย่าเพิ่งไป ฉันจะแนะนำให้รู้จักนะ นี่คือฟาโนราห์ พี่สาวของชั้นเอง”

ผู้ดูแลวิหารชะงักด้วยความคาดไม่ถึงว่าเทพเจ้าแห่งสโจรกาดจะมีรสนิยมใช้ร่างจำแลงในรูปลักษณ์นี้ ต่างจากเทพเฟอัสก์ที่ดูแล้วยังเป็นเทพเจ้าที่น่าเชื่อถือกว่ามาก ไม่แน่ว่ารูปลักษณ์ของร่างจำแลงอาจแสดงถึงอุปนิสัยของเทพแต่ละองค์ก็เป็นได้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เด็กหนุ่มเพียงก็แค่หยักหน้าตอบรับแล้วก็หันไปทำหน้าที่ของตนต่อ

ขณะกำลังดูแลความสะอาดวิหารเสียงที่เขาได้ยินก็มีแต่เสียงบ่นของเทพแห่งสโจรกาดเกี่ยวกับสงครามน่าเบื่อที่ยืดเยื้อจนนางเริ่มหมดสนุกกับโลกใบนี้เสียแล้ว

“ไอ้มนุษย์งี่เง่าพวกนั้นทำไมมันสู้กันไม่จบไม่สิ้นซะที นี่เฟเธอว่า…พี่ใช้พลังถล่มทั้งสองอาณาจักรทิ้งซะตอนนี้เลยดีรึเปล่า”

“ไม่เอาน่าพี่ อย่างอแงนักสิ ไม่ใช่ว่าข้าจะไม่เบื่อหน่ายกับสงครามนี้หรอก แต่พี่จะใช้อำนาจในทางที่ผิดไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้วนะ เราทำได้แค่ประทานพร มอบของวิเศษกับคอยคุ้มครองอาณาจักรเท่านั้น”

“อันนี้พี่ก็รู้แต่…เมื่อไรมันจะสิ้นสุดซะทีเล่า พี่มาที่นี่ก็หวังว่าจะมีคนเก่งของทางฝั่งนี้ให้เห็นบ้าง ไอ้คนที่มีฝีมือมากพอจะจบสงครามบ้าๆนี่ได้ แต่……”

“แล้วคนของพี่ล่ะ หวังอะไรไม่ได้เลยรึไง”

“ไม่มีหรอก มีแต่พวกบ้าใช้กำลังทั้งนั้น ไม่มีสมองกันเลยสักคน แล้วคนของทางนี้ล่ะ”

“เอาจริงๆ ทางนี้ก็พอมีอยู่หรอก แต่ว่าดันเป็นคนที่ไม่อยากมีส่วนร่วมกับสงครามน่ะสิ”

ดูเหมือนฟาโนราห์จะเดาออกว่าคนที่น้องชายพูดถึงนั้นคือใคร นางมองไปยังเด็กหนุ่มที่กำลังทำความสะอาดวิหารหลังจากเขานำอาหารที่รวบรวมไว้ไปเก็บยังที่พักของตนแล้ว ก่อนจะหันมาสอบถามที่มาที่ไปของเขากับน้องชาย

“หนุ่มน้อยคนนี้เขาเป็นใคร พี่จะขอตัวเขาได้รึเปล่า”

เฟอัสก์ได้แต่ยิ้มด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายกับความเอาแต่ใจของพี่สาว

“นี่พี่ ยังไม่เข็ดอีกใช่มั้ย ไม่ใช่เพราะพี่ให้พรแบบไม่คิดให้รอบคอบรึไง สงครามมันถึงไม่จบไม่สิ้นซะทีแบบนี้น่ะ”

“แล้วเขาเป็นใคร!!” เสียงอันแข็งกร้าวของฟาโนราห์แสดงออกถึงความโมโหที่ไม่ได้คำตอบตามที่ต้องการจากน้องชายดังขึ้นทันทีที่น้องชายทำท่าจะบ่ายเบี่ยง

เฟอัสก์แอบถอนใจเบาๆ “เจ้าหนูนี่เป็นคนพเนจร เพิ่งหอบสังขารมาล้มฟุบที่นี่เมื่อวานนี้ เห็นว่าเดินทางข้ามเขตสงครามมา คราบเลือดเขรอะทั่วตัวแต่คงไม่ใช่เลือดเขาเองหรอก เพราะเท่าที่เห็นบนร่างกายเขาไม่มีแผลสด ที่รอดมาจนถึงที่นี่พร้อมคราบเลือดเต็มตัวก็คงเพราะฆ่าพวกทหารที่กำลังสู้กันอยู่มาหลายคนเลยมั้ง”

ฟาโนราห์จ้องไปยังเด็กหนุ่มพินิจรูปร่างของเขาก็ชวนให้สงสัยว่าหนุ่มน้อยคนนี้มีฝีมือพอจะสังหารนักรบที่ผ่านการฝึกมาได้จริง หรือเพียงแค่นำเสื้อผ้าจากศพมาใส่เพื่อให้เดินทางสะดวกขึ้น ไม่ต้องปะทะกับใครกันแน่

ขณะเดียวกันผู้ดูแลวิหารหนุ่มได้ยินทุกถ้อยคำในบทสนทนาของเทพสองพี่น้องอย่างชัดเจน และคำพูดของเทพเฟอัสก์เรื่องความเอาแต่ใจของเทพแห่งสโจรกาดก็สะกิดต่อมสงสัยใจตัวเขาอยู่เช่นกัน

“หนุ่มน้อย เข้ามาใกล้ๆ”

ฟาโนราห์ตัดสินใจที่จะสอบถามเด็กหนุ่มด้วยตัวเอง

“ก่อนมาถึงที่นี่เธอเจออะไรมาบ้าง”

ดูเหมือนไลฟ์จะไม่เข้าใจกับคำว่า ‘ก่อนหน้านี้’ ที่ฟาโนราห์ถามเขานั้นหมายถึงช่วงเวลาไหนกันแน่ ทำได้เพียงยืนนิ่งเลิกคิ้วอยู่อย่างนั้น

“เธอบอกน้องชายฉันว่าเธอเดินทางข้ามสนามรบมาจนถึงที่นี่ใช่มั้ย ได้สู้กับใครรึเปล่า”

“ก็มีบ้าง ไม่รู้ว่าใครเป็นใครหรอก ใครเข้ามาโจมตีก็ต้องป้องกันตัว”

ฟาโนราห์จ้องมองเด็กหนุ่มอีกครั้ง ในเมื่อนางไม่พูดอะไร เด็กหนุ่มจึงสอบถามถึงสิ่งที่เขาข้องใจ

“นี่ลุงที่บอกว่าเพราะความเอาแต่ใจของป้าเขา สงครามเลยยืดเยื้อเนี่ย มันหมายความว่ายังไงเหรอ”

เฟอัสก์เหลือบมองพี่สาวว่าจะมีปฏิกิริยาอะไรกับคำเรียกที่เจ้าหนุ่มนี้ใช้บ้าง แต่ผิดคาดนางกลับนิ่งเงียบ คงเพราะมัวแต่ครุ่นคิดกับคำตอบของเด็กหนุ่มอยู่จึงไม่ทันได้ยินคำถามเมื่อครู่ เขาจึงหันไปตอบคำถามของผู้ดูแลวิหารคนใหม่

“เรื่องราวมันก็เป็นอย่างที่คุณทหารเล่าให้ฟังนั่นแหละ เพียงแต่ก่อนที่จะเริ่มเคลื่อนทัพราชาเมอร์มอนไปขอพรจากนาง ตอนนั้นข้าเองก็กำลังไปเที่ยวที่วิหารของนางพอดี”

เทพเฟอัสก์ส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะเริ่มเล่าต่อ

“ราชาเมอร์มอนขอพรว่ากองทัพของเขาจะไม่มีวันไม่แพ้ ตราบใดที่แม่ทัพคนสนิทของเขาไม่ตาย หนำซ้ำตัวแม่ทัพฮาร์ดิลก็ขอพรว่าเขาจะตายก็ต่อเมื่อมีผู้ไม่รู้ตายมาฆ่าเขา แต่ใครจะไปคิดว่ากองทัพของราชากิลเลียนจะแข็งแกร่งมากและต้านทานกองทัพจากแดนตะวันตกเฉียงเหนือได้นานถึงเพียงนี้”

“นี่ป้า ไม่คิดทบทวนก่อนสักนิดเลยเหรอว่าถ้าฝั่งตรงข้ามจะแข็งแกร่งจนต้องยืดเยื้อมานานถึงขนาดนี้น่ะ”

เสียงของเด็กหนุ่มปลุกให้ฟาร์โนราห์ตื่นจากภวังค์

“ก็ไม่คิดว่าราชากิลเลียนจะเก่งกาจถึงเพียงนี้ อีกอย่างกองทัพของสโจรกาดก็อาศัยการรบที่ดุดันคว้าชัยมาได้โดยตลอด คิดว่าไม่นานก็ทุกอย่างก็สงบ”

“แล้วพอไม่เป็นไปตามที่คิดก็ได้แต่หวังว่าน้องชายจะหาคนมาแก้ไขให้งั้นเหรอ”

น่าแปลกที่เทพเจ้าทิฐิสูงอย่างฟาร์โนราห์จะไม่ต่อปากต่อคำกับเด็กหนุ่มอย่างที่เคยถกเถียงกับน้องชายอย่างเอาเป็นเอาตายเกือบทุกครั้งที่เจอกัน อาจจะเพราะนางเบื่อหน่าย และหมดหวังกับสงครามของสองอาณาจักรนี้แล้วจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นดูเหมือนความเอาแต่ใจของนางจะยังไม่ลดลงเช่นเดียวกับความหวังที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นจากการได้พบกับเด็กหนุ่มคนนี้

“หนุ่มน้อย ถ้าเธอเป็นคนที่จะยุติสงครามนี้ได้ เธอจะทำยัง”

ไลฟ์ตอบกลับไปทันที “ไม่เอาด้วยหรอก ไม่ว่ายังไงข้าก็ไม่เอาชีวิตไปทิ้งกับความงี่เง่าของคนพวกนั้นหรอก”

ดูเหมือนคนที่เฟอัสก์พูดถึงจะเป็นหนุ่มน้อยคนนี้จริงๆ สินะ

“หนุ่มน้อย ฉันน่ะถูกใจเธอจริงๆ เอางี้มั้ยเธอมาเป็นคนดูแลวิหารของฉันดีกว่ามั้ย”

เด็กหนุ่มก็ยังคงตอบกลับแบบไม่เสียเวลาครุ่นคิดสักเสี้ยววินาทีอีกเช่นเคย

“ไม่เอาล่ะ พอร่างกายฟื้นฟูเต็มที่ รวมรวมอาหารได้มากพอก็จะเดินทางต่อแล้ว”

แม้คำตอบจะขัดใจนางอยู่มาก แต่ฟาร์โนราห์กลับเอื้อมมือทั้งสองไปจับที่ใบหน้าของเด็กหนุ่ม

“หลับตาซะสิ ฉันจะมอบพรวิเศษให้เธอ ต่อจากนี้เธอเดินทางอย่างราบรื่น ไม่ต้องลำบากอีกต่อไปแล้วล่ะ”

“เฮ้ยๆๆๆ เดี๋ยวก่อนพี่”

เฟอัสก์ส่งเสียงขัดขึ้นมาทันที ด้วยสุดจะคาดเดาว่าพี่สาวของตนจะก่อเรื่องอะไรขึ้นมาอีกบ้าง

ฟาโนราห์หันไปพูดกับน้องชายเบาๆ

“เอาน่า….หนุ่มน้อยคนนี้ถูกใจพี่จริงๆ แค่มอบพรวิเศษที่จะช่วยเขาเดินได้อย่างสะดวกขึ้นอีกสักหน่อยคงไม่มีปัญหาอะไรหรอกจริงมั้ย”

ฟาโนราห์หันมาหาเด็กหนุ่มอีกครั้ง

“เอาล่ะหนุ่มน้อย หลับตาลงซะสิ อย่าดื้อ”

เฟอัสก์ได้แต่ยืนกระพริบตาถี่ๆ ด้วยสุดจะคาดเดาว่าพี่สาวจอมเอาแต่ใจของเขาต้องการอะไร และนางอาจจะถูกชะตากับเด็กหนุ่มคนนี้จริงๆ ก็เป็นได้

ไลฟ์หลับตาลงอย่างว่าง่ายและไม่มีท่าทีขัดขืน แต่ทั้งผู้ดูแลและเทพเจ้าของวิหารต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อเทพแห่งสโจรกาดบรรจงจูบเด็กหนุ่มแบบไม่ทันตั้งตัว ที่น่าตื่นตะลึงกว่านั้นก็คือ ฟาโนราห์ดึงดาบที่บั้นเอวออกมาปักเข้าที่กลางอกของผู้ดูแลวิหารหนุ่มจนมิดด้าม ซ้ำยังดึงดาบออกจากอกของเด็กหนุ่มแล้วตวัดดาบตัดแขนซ้ายของเขาหลุดลอยจากร่างไปอย่างน่าสยดสยอง

ขณะเดียวกันเฟอัสก์ที่กระโจนเข้าใส่หมายจะยับยั้งการกระทำของพี่สาว แต่ด้วยเหตุสยองขวัญนี้เกิดขึ้นในชั่วพริบตา แม้เฟอัสก์จะเข้าถึงตัวพี่สาวและคว้าแขนและเอวนางเอาไว้ได้ แต่ร่างของผู้ดูแลวิหารหนุ่มก็ล้มลงจมกองเลือดไปเสียแล้ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+