Carefree Path of Dreams 33

Now you are reading Carefree Path of Dreams Chapter 33 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ฟุบ! ฟุบ!”

 

นกพิราบสื่อสารสีขาวธรรมดา ๆ ตัวหนึ่งบินตรงไปที่ตึกใหญ่หลังหนึ่ง

 

ตึกหลังนี้กินพื้นที่มุมหนึ่งของมณฑลชิงเหอ ย่อมต้องมีบางคนที่มีความสําคัญมากอาศัยอยู่เป็นแน่

 

คนที่เดินผ่านตึกนี้ไปมา มีทั้งอิจฉาริษยาหรือก้มศีรษะลงต่ํา ไม่มีใครกล้าไม่เชื่อฟัง

 

นี่เป็นสถานที่อยู่ของผู้ยิ่งใหญ่ในมณฑลชิงเหอ เจ้าสํานักกุยหลิง

 

“กรู้”

 

นกพิราบบินเข้าไปในสวนที่เงียบและสงบและมือขาวนวลราวหยกขาวข้างหนึ่งก็ยื่นออกมารับตัวมันไว้

 

“อาจารย์! รายงานด่วนจากเมืองชิงเย่!”

 

เจ้าของมือข้างนั้นแกะกระดาษข้อความออกจากขาของนกพิราบ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนสีไปเมื่อเห็นแม่นางผู้หนึ่งที่ส่วนหนึ่งของใบหน้ามีผ้าคลุมปิดไว้ปรากฏกายขึ้นที่ด้านข้างเขา

 

แม่นางผู้นี้อายุราว ๆ 30-40 ปี นางมีท่าที่นุ่มนวล ดวงตาเป็นประกายราวดวงดาว จนสามารถคิดภาพออกได้อย่างง่ายดายว่านางจะงดงามเพียงไหนเมื่อยามเยาว์วัยกว่านี้

 

แม่นางผู้นี้คือเจ้าสํานักกุยหลิงและเป็นอู่จงเพียงผู้เดียวของมณฑลชิงเหอ ชื่อของนางคือ สีออกง

 

มีข่าวลือว่านางพาลูกศิษย์ไปเยี่ยมเยือนสหายที่เมืองไกล แต่ ณ ขณะนี้แม้ทุกคนจะประหลาดใจแต่นางก็อยู่ที่นี่แล้ว

 

เสืออวี้ถงรับกระดาษข้อความมา คิ้วของนางขมวดขณะพูดด้วยน้ําเสียงเข้มขรึม 

“ซ่งจงทําเกินไปแล้ว!”

 

นางรู้ว่าซ่งจงเพิ่งสูญเสียบุตรชายอันเป็นที่รักไป และนั่นก็ไม่แปลกใจที่เขาจะทําเรื่องล้ําเส้น

 

มันจะไม่เป็นอะไรเลยถ้าเขาแค่จัดการกับคนไม่กี่คน แต่การฆ่าผู้ดูแลของสํานักนั้นเป็นการทําเกินกว่าเหตุไปมาก 

 

“อาจารย์!”

 

แม่นางน้อยที่ด้านข้างสืออวี้ถงพูด “ท่านพ่อของข้า”

 

“ไม่ต้องห่วง ข้าสั่งให้คนของข้าไปรับตัวผู้ดูแลหลินมากจากเมืองชิงเยู่แล้ว อีกไม่นานเจ้าก็จะได้พบกับเขาที่ในมณฑลนี้!”

 

สืออวี้ถงยิ้ม

 

แม่นางน้อยผู้นี้คือบุตรสาวของผู้ดูแลหลินและเป็นอดีตคู่หมั้นของฟางหยวน ชื่อของนางคือหลินเหลยเยว่

 

สืออวี้ถงวิเคราะห์สถานการณ์ของแต่ละฝ่ายภายในสํานักอย่างใจเย็น เพราะนางต้องการให้หลินเหลยเยว่เข้าใจสถานการณ์โดยเร็วที่สุด “ด้วยสภาพของซ่งจงเช่นนี้ ฟากผู้อาวุโสเบี้ยน ย่อมไม่กล้าทําเรื่องวุ่นวายอะไรขึ้นอีกตามที่ข้ารู้ ตระกูลโจวม ได้ถูกกําจัดสิ้น ข้าแค่ต้องรอให้เขายกเรื่องนี้ขึ้นมาก่อนข้าจึงจะมอบความยุติธรรมให้ได้”

 

“แต่ว่านั้น”

 

หลินเหลยเยว่ดูท่าที่ลังเล

 

“เจ้าคิดว่าข้าไม่มีเหตุผลใช่หรือไม่?”

 

สืออวี้ถงหัวเราะ นางเหลือบมองเหลยเยว่ราวกับรู้ว่านางกําลังคิดอะไรอยู่

 

“เหลยเยว่มิกล้า!”

 

หลินเหลยเยว่รีบโค้งตัวลงขออภัย

 

“นี่คือสิ่งที่ข้าจะสอนเจ้าวันนี้ สมดุล!”

 

น้ําเสียงของสืออวี้ถงเปลี่ยนเป็นจริงจัง “ในฐานะเจ้าสํานัก มันเป็นเรื่องสําคัญที่ต้องเข้าใจและคงสมดุลอํานาจและตํา แหน่งของทุกคนที่อยู่ใต้อาณัติลงไป! ก่อนหน้านี้ ฝ่ายผู้อาวุโสเบี้ยนนั้นเป็นพวกหัวแข็ง พวกเราสามารถใช้สถานการณ์ตอนนี้ฆ่านกสองตัวด้วยหินก้อนเดียว พวกเราจะใช้กําลังเอาชนะกําลังและช่วยผู้อาวุโสชั่น เช่นนั้น ข้าก็จะเป็นคนไกล่เกลี่ยและรวบอํานาจเข้ามา นี่เป็นสิ่งสําคัญที่สุด เจ้าเข้าใจไหมว่าข้ากําลังพูดถึงอะไร?”

 

“ท่านอาจารย์กําลังบอกว่าเราจะไม่เลือกข้างและทําตัวเป็นคนกลาง เช่นนั้นหรือ?”

 

หลินเหลยเยว่กะพริบตา

 

“ไม่เลว!”

 

สืออวี้ถงพยักหน้า “เด็กโง่ เจ้านี่ฉลาดจริง ๆ เจ้าจําเป็นต้องเข้าใจว่า ในสํานักใหญ่เช่นนี้ ย่อมมีการแย่งชิงกันระหว่างแต่ละฝ่ายในฐานะเจ้าสํานัก เจ้าจําต้องคงสม ดุลและเป็นกลางเข้าไว้ให้แต่ละฝ่ายจําต้องพึ่งพิงเรา เช่นนั้น ก็จะง่ายต่อการสั่งการแต่ละฝ่าย…”

 

ถ้าเหลยเยว่เป็นแค่ลูกศิษย์ทั่วไป สืออวี้ถงคงไม่ต้องพูดกับนางมากมายเช่นนี้ แต่สืออวี้ถงฝึกเหลยเยว่เพื่อให้ขึ้นเป็นเจ้าสํานักคนต่อไป และเพราะเช่นนั้น จึงไม่ปิดบังเรื่องใดต่อนาง

 

“ขอบคุณอาจารย์ที่ช่วยชี้แนะ!”

 

หลินเหลยเยว่เข้าใจดีว่า สําหรับอาจารย์ของนาง ตระกูลโจวไม่นับเป็นอะไรได้ ถ้าคนผู้นั้นมีโชคก็อาจจะพอให้มาถึงที่มณฑลนี้ได้ แต่ถ้ามาไม่ถึง ก็หมายถึงว่าผู้นั้นไว้โชค

 

เพราะว่าสืออวี้ถงตัดสินใจจะลงมือแล้ว ซ่งจงย่อมไม่มีจุดจบที่ดี

 

ในฐานะอู่จงของสํานักกุยหลิง สืออวี้ถงจึงมีศักดิ์และความมั่นใจเช่นนั้น

 

“เหอ ๆ… ช่างน่าขําที่ลูกชายของซ่งจง ซ่งอวี้เจว๋ ยังคงอยากแต่งงานกับเจ้า? นั่นละโมบและล้ําเส้นเกินไปแล้ว”

 

สืออวี้ถงเหลือบมองหลินเหลยเยว่และเอ่ยล้อเลียน “เยว่เอ้อของเรางดงามถึงเพียงนี้ มีชายหนุ่มตั้งเท่าไหร่ที่พร้อมจะตกหลุมรักเจ้าในอนาคต?”

 

“อาจารย์!”

 

หลินเหลยเยว่หน้าแดงก่ํากระทืบเท้าเบา ๆ “แม้แต่ท่านก็ ล้อข้า!”

 

“เจ้าเข้าใจเสมอว่าเจ้ามีความสําคัญแค่ไหน ข้าไม่เคยกังวลเรื่องเจ้าเลย!”

 

สืออวี้ถงพูดอย่างจริงจังแต่ก็นุ่มนวล

 

หลินเหลยเยว่นั้นฝึกวิชากําลังภายในระดับสูงที่ต้องมีธาตุหยินบริสุทธ์กับนาง นางมีผู้สืบทอดตั้งมากทั้งในและนอกสํานัก แต่คนพวกนั้นก็แค่อยากเพิ่มสถานะทางสังคมของตัวเอง ทั้งอาจารย์และศิษย์ล้วนเข้าใจเหตุผลเบื้องหลังดี

 

“โลกนี้กว้างใหญ่! สิ่งที่เจ้าเห็นก่อนนี้อาจจะเป็นเพียงแค่เนินเขาเล็ก ๆ จากทะเลขุนเขามากมาย…”

 

สืออวี้ถงพูดด้วยน้ําเสียงเรียบ ๆ “เหลยเยว่ เจ้าเกิดมาพร้อมจุดชีพจรเปิด รวมกับร่างจันทราศักดิ์สิทธิ์ของเจ้า ทําให้เจ้าเหมาะสมกับ “เคล็ดจันทร์กระจ่าง” ของข้าที่สุด เจ้ามีความสามารถที่จะไปได้ไกลกว่าข้า และอาจจะเข้าถึง โลกแห่งการฝึกตนที่แท้จริงได้”

 

“โลกแห่งการฝึกตนที่แท้จริง!”

 

หลินเหลยเยว่พึมพํา ดวงตาเปล่งประกายปรารถนา 

 

เพื่อนของอาจารย์ของนาง ซึ่งเป็นเจ้าแห่งการเล่นแร่แปรธาตุ ที่พวกนางไปเยี่ยมเยือนนั้นเปิดโลกใหม่ให้แก่นาง 

 

เจ้าแห่งการเล่นแร่แปรธาตุที่ร่ําลือกันว่าหายากยิ่งกว่า นักรบศักดิ์สิทธิ์และนักรบเวทย์ ครอบครองวิชาชุดหนึ่งที่ทําให้ สามารถใช้เปลวไฟแห่งธาตุภายในร่างกายของตนร่วม กับวัตถุดิบที่มีพลังวิญญาณสร้างเม็ดยาแห่งวิญญาณที่มีประสิทธิภาพอันน่าอัศจรรย์

 

เม็ดยาแห่งวิญญาณเหล่านี้ไม่มีผลข้างเคียงเลวร้ายและประสิทธิภาพยังเป็นที่น่ามหัศจรรย์ใจ นั่นทําให้ยาแต่ละชนิดนั้นเป็นที่ต้องการของผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหลายจนกระทั่งต่อสู้แย่งชิงเพื่อให้ได้มา

 

ตัวอย่างเช่น ยาเม็ดจันทร์ยะเยือก” อาจารย์ของนางหามา ให้นางนั้นเหมาะสมกับร่างกายของนาง และยังช่วยให้นางเพิ่มพูนระดับการฝึกยุทธ์ได้อย่างก้าวกระโดด มันช่วยเพิ่มโอกาส ให้นางทะลวงผ่าน 3 ประตูวิกฤติสําเร็จได้!

 

ก่อนที่จะพบเจอสิ่งนี้ด้วยสองตาของนางเอง หลินเหลยเยว่ไม่เคยคิดเลยว่าของเช่นนี้จะมีอยู่จริง!

 

จึงเป็นธรรมดาที่เจ้าแห่งการเล่นแร่แปรธาตุจะเป็นสมาชิกที่มีอํานาจในกลุ่มที่พวกเขาสังกัดอยู่ด้วยความสามารถนี้ ไม่มีใครกล้าทําให้พวกเขาระคายเคืองแม้แต่นิด

 

อย่างเช่นเจ้าแห่งการเล่นแร่แปรธาตุที่นางไปเยือนมานั้นมีอู่ จงผู้หนึ่งทําหน้าที่เป็นผู้คุ้มครอง หากไม่ใช่มิตรภาพระหว่างเจ้าแห่งการเล่นแร่แปรธาตุผู้นั้นกับสืออวี้ถง เจ้าแห่งการเล่น แร่แปรธาตุผู้นั้นคงไม่ยื่นมือมาช่วยเหลือหลินเหลยเยว่

 

เจ้าแห่งการเล่นแร่แปรธาตุนี้เป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ส่วนหนึ่งของโลกแห่งการฝึกตนระดับสูง

 

หลินเหลยเยว่หวั่นไหวเมื่อคิดถึงเรื่องนี้

 

แม้ว่านางจะเป็นผู้หญิง แต่นางก็มีความฝันจะเป็นผู้เยี่ยม ยุทธ์

 

“ข้าจะไม่ทําให้อาจารย์ผิดหวัง!”

 

หลินเหลยเยว่คารวะด้วยท่าทางตัดสินใจแน่วแน่แล้ว 

 

“ฮ่าฮ่า.. ดีมาก!”

 

สืออวี้ถงประคองนางขึ้นด้วยสองมือก่อนพูด “ตอนนี้เจ้าจําต้องฝึกฝนให้มาก ด้วยความช่วยเหลือจากเม็ดยา เจ้าควรจะผ่านประตูที่หกและเพิ่มพลังภายในได้อย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นข้าจะให้เจ้าขึ้นเป็นผู้สืบทอดสํานัก ย่อมไม่มีใครกล้าพูดอะไรเป็นแน่!”

 

“พี่ฟาง….”

 

เมื่อได้ยิน หลินเหลยเยว่ก็คิดถึงเด็กหนุ่มธรรมดาที่อาศัยอยู่ในหุบเขาสันโดษขึ้นมา

 

ในตอนนั้น อาจารย์ของนางยกเลิกสัญญาหมั้นหมายโดยไม่เข้าใจรายละเอียดเบื้องหลัง และหลินเหลยเยว่เองก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะแย้งได้

 

ถ้านางมีโอกาสอีกครั้งนางจะลองขัดขวางการตัดสินใจนั้น หรือเปล่านะ?

 

หัวใจของหลินเหลยเยว่พลันยุ่งเหยิง นี่เป็นครั้งแรกที่นางรู้ สึกสับสนขึ้นมา

 

“ พวกเรามาถึงมณฑลชิงเหอแล้ว!”

 

ไม่ไกลนัก เกวียนขนาดวัวตัวเดียวลากก็ขยับใกล้เข้าไป ฟางหยวนมองกําแพงเมืองแล้วยิ้มออกมา

 

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้มาเมืองใหญ่เช่นนี้ เขารู้สึกตื่นเต้น 

 

“แค่ก แค่ก….”

 

โจวเหวินอู่ แม้จะมีความช่วยเหลือจากฟางหยวนในเรื่องอาการบาดเจ็บ ใบหน้าเขาก็ยังเป็นสีแดงอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “เมื่อเราไปถึงเขตปกครองของสํานักแล้ว แม้แต่ซ่งจงเองก็ไม่สามารถทําอะไรได้ แต่ว่ามันก็คงจะจัดคนมาจัดการหยุดข้าที่ประตูเมืองเป็นแน่…”

 

การเดินทางมานั้นมีหลายเส้นทางที่ใช้ได้ ถ้ายอมเดินทางอ้อมสักนิด ก็หลบเลี่ยงการค้นหาของซ่งจงได้อย่างง่ายดายยกเว้นซ่งจงจะเป็นเจ้าสํานักกุยหลิงนั่นแหละ

 

แต่ถ้ามันคาดว่าโจวเหวินอู่จะตรงมาที่มณฑลชิงเหอ มันก็ไม่ยากที่จะรอเขาที่นี่

 

“พี่ฟาง ท่านมีความคิดอะไรไหม?”

 

โจวเหวินอู่มองที่ฟางหยวนอย่างคาดหวัง

 

ฟางหยวนคงไม่สามารถให้ใคร ๆ เรียกเขาว่า “อาจารย์” มาได้ตลอดทางเพราะนั่นจะดึงดูดความสนใจมากเกินไป 

 

อีกอย่าง อายุของเขาก็เท่า ๆ กันกับโจวเหวินอู่ และหลังจากได้พูดคุยกันเล็กน้อย ทั้งสองก็สนิทกันมากขึ้นและ ถือโอกาสเปลี่ยนวิธีการเรียกหาอีกฝ่าย

 

“ข้าไม่มีแผน แต่มีความคิดโง่ ๆ ประการหนึ่ง!”

 

ริมฝีปากของฟางหยวนบิดเป็นรอยยิ้ม “พวกเราก็แค่ เลือกสักประตูแล้วก็โผล่พรวดเข้าไป ง่าย ๆ แบบนั้น!”

 

“เข้าใจแล้ว”

 

โจวเหวินอู่ไม่คิดเลยว่าความคิดของฟางหยวนจะง่าย ๆ เพียงแค่ใช้กําลังบุกเข้าไป

 

“ปัญหานี้เกิดจากตัวซ่งจงเอง หรือว่าเขาจะอยากทําผิดอย่างโง่ ๆ และส่งคนมาหยุดพวกเรา?”

 

ฟางหยวนกางแขนออก “มณฑลนี้มีทั้งหมดสี่ประตู ตราบเท่าที่เราไม่โชคร้ายเกินไป พวกเรามีโอกาสที่จะเจอมันต่ํามากยกเว้นมันจะแยกร่างได้…”

 

เขาสามารถจัดการกับการปิดถนนโดยศิษย์ของซ่งจงได้ด้วยมือเดียวด้วยซ้ํา

 

“แล้วถ้า..”

 

โจวเหวินอู่ลังเล เขาไม่ต้องการทําให้แผนการแก้แค้นล้มเหลวในตอนที่มันอยู่แค่เอื้อม

 

“ถ้าพวกเราเจอเข้ากับซ่งจง พวกเราก็ทําได้แค่ประลองกับมัน สมาชิกของสํานักกุยหลิงก็จะต้องมาดูถ้ามันเกิดความวุ่นวายขึ้นถูกต้องไหม?”

 

ฟางหยวนเหลือบมองโจวเหวินอู่

 

ถ้าเขาไม่รู้กระทั่งการฉวยโอกาสดี ๆ เช่นนี้ ซ่งจงก็คงทําลายฝ่ายโจวตงหมดสิ้นได้จริง ๆ นั้นแหละ

 

“ถูกต้อง! พวกเราทําอย่างที่ท่านบอก!”

 

โจวเหวินอู่กัดฟัน

 

เขาไม่มีอะไรให้ต้องกลัวในเมื่อคนนอกอย่างฟางหยวนยังกล้าทําเช่นนี้

 

แต่เขาไม่รู้สักนิดเลยว่าที่ฟางหยวนกล้าทําก็เพราะว่าเขามี วิทยายุทธ์อยู่ในระดับสูง

 

ในกรณีที่เจอเข้ากับซ่งจง เขาก็แค่ใช้โจวเหวินอู่เป็นโล่แล้วหนี

 

ซ่งจงไม่รู้เสียหน่อยว่าเขาเป็นฆาตกร ย่อมไม่ตามล่าเขาเป็นหมาบ้า

 

นอกจากนี้ ถ้าโจวเหวินอู่ถูกซ่งจงฆ่าต่อหน้าทุกคน มันก็ยิ่งเป็นการประกาศความผิดของซ่งจงเอง!

 

“มันคงจะดีกว่าถ้าคนนอกอย่างข้าจะไม่เข้าไป ยุ่งเกี่ยวการต่อสู้ระหว่างแต่ละฝ่ายในสํานัก… ถ้าข้าเข้าไปมีเอี่ยวและไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ดีพอ ข้าย่อม ถูกจู่โจมจากทั้งสองฝ่ายหรือถูกพวกมันใช้เป็นเหยื่อ!”

 

ด้วยประสบการณ์จากโลกอื่น ความคิดของฟางหยวนกระจ่างราวกระจก “ไม่ว่าจะกรณีไหนถ้ามันเกิดขึ้นแล้ว ข้าต้องรีบหนีและไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทําได้”

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Carefree Path of Dreams 33

Now you are reading Carefree Path of Dreams Chapter 33 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ฟุบ! ฟุบ!”

 

นกพิราบสื่อสารสีขาวธรรมดา ๆ ตัวหนึ่งบินตรงไปที่ตึกใหญ่หลังหนึ่ง

 

ตึกหลังนี้กินพื้นที่มุมหนึ่งของมณฑลชิงเหอ ย่อมต้องมีบางคนที่มีความสําคัญมากอาศัยอยู่เป็นแน่

 

คนที่เดินผ่านตึกนี้ไปมา มีทั้งอิจฉาริษยาหรือก้มศีรษะลงต่ํา ไม่มีใครกล้าไม่เชื่อฟัง

 

นี่เป็นสถานที่อยู่ของผู้ยิ่งใหญ่ในมณฑลชิงเหอ เจ้าสํานักกุยหลิง

 

“กรู้”

 

นกพิราบบินเข้าไปในสวนที่เงียบและสงบและมือขาวนวลราวหยกขาวข้างหนึ่งก็ยื่นออกมารับตัวมันไว้

 

“อาจารย์! รายงานด่วนจากเมืองชิงเย่!”

 

เจ้าของมือข้างนั้นแกะกระดาษข้อความออกจากขาของนกพิราบ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนสีไปเมื่อเห็นแม่นางผู้หนึ่งที่ส่วนหนึ่งของใบหน้ามีผ้าคลุมปิดไว้ปรากฏกายขึ้นที่ด้านข้างเขา

 

แม่นางผู้นี้อายุราว ๆ 30-40 ปี นางมีท่าที่นุ่มนวล ดวงตาเป็นประกายราวดวงดาว จนสามารถคิดภาพออกได้อย่างง่ายดายว่านางจะงดงามเพียงไหนเมื่อยามเยาว์วัยกว่านี้

 

แม่นางผู้นี้คือเจ้าสํานักกุยหลิงและเป็นอู่จงเพียงผู้เดียวของมณฑลชิงเหอ ชื่อของนางคือ สีออกง

 

มีข่าวลือว่านางพาลูกศิษย์ไปเยี่ยมเยือนสหายที่เมืองไกล แต่ ณ ขณะนี้แม้ทุกคนจะประหลาดใจแต่นางก็อยู่ที่นี่แล้ว

 

เสืออวี้ถงรับกระดาษข้อความมา คิ้วของนางขมวดขณะพูดด้วยน้ําเสียงเข้มขรึม 

“ซ่งจงทําเกินไปแล้ว!”

 

นางรู้ว่าซ่งจงเพิ่งสูญเสียบุตรชายอันเป็นที่รักไป และนั่นก็ไม่แปลกใจที่เขาจะทําเรื่องล้ําเส้น

 

มันจะไม่เป็นอะไรเลยถ้าเขาแค่จัดการกับคนไม่กี่คน แต่การฆ่าผู้ดูแลของสํานักนั้นเป็นการทําเกินกว่าเหตุไปมาก 

 

“อาจารย์!”

 

แม่นางน้อยที่ด้านข้างสืออวี้ถงพูด “ท่านพ่อของข้า”

 

“ไม่ต้องห่วง ข้าสั่งให้คนของข้าไปรับตัวผู้ดูแลหลินมากจากเมืองชิงเยู่แล้ว อีกไม่นานเจ้าก็จะได้พบกับเขาที่ในมณฑลนี้!”

 

สืออวี้ถงยิ้ม

 

แม่นางน้อยผู้นี้คือบุตรสาวของผู้ดูแลหลินและเป็นอดีตคู่หมั้นของฟางหยวน ชื่อของนางคือหลินเหลยเยว่

 

สืออวี้ถงวิเคราะห์สถานการณ์ของแต่ละฝ่ายภายในสํานักอย่างใจเย็น เพราะนางต้องการให้หลินเหลยเยว่เข้าใจสถานการณ์โดยเร็วที่สุด “ด้วยสภาพของซ่งจงเช่นนี้ ฟากผู้อาวุโสเบี้ยน ย่อมไม่กล้าทําเรื่องวุ่นวายอะไรขึ้นอีกตามที่ข้ารู้ ตระกูลโจวม ได้ถูกกําจัดสิ้น ข้าแค่ต้องรอให้เขายกเรื่องนี้ขึ้นมาก่อนข้าจึงจะมอบความยุติธรรมให้ได้”

 

“แต่ว่านั้น”

 

หลินเหลยเยว่ดูท่าที่ลังเล

 

“เจ้าคิดว่าข้าไม่มีเหตุผลใช่หรือไม่?”

 

สืออวี้ถงหัวเราะ นางเหลือบมองเหลยเยว่ราวกับรู้ว่านางกําลังคิดอะไรอยู่

 

“เหลยเยว่มิกล้า!”

 

หลินเหลยเยว่รีบโค้งตัวลงขออภัย

 

“นี่คือสิ่งที่ข้าจะสอนเจ้าวันนี้ สมดุล!”

 

น้ําเสียงของสืออวี้ถงเปลี่ยนเป็นจริงจัง “ในฐานะเจ้าสํานัก มันเป็นเรื่องสําคัญที่ต้องเข้าใจและคงสมดุลอํานาจและตํา แหน่งของทุกคนที่อยู่ใต้อาณัติลงไป! ก่อนหน้านี้ ฝ่ายผู้อาวุโสเบี้ยนนั้นเป็นพวกหัวแข็ง พวกเราสามารถใช้สถานการณ์ตอนนี้ฆ่านกสองตัวด้วยหินก้อนเดียว พวกเราจะใช้กําลังเอาชนะกําลังและช่วยผู้อาวุโสชั่น เช่นนั้น ข้าก็จะเป็นคนไกล่เกลี่ยและรวบอํานาจเข้ามา นี่เป็นสิ่งสําคัญที่สุด เจ้าเข้าใจไหมว่าข้ากําลังพูดถึงอะไร?”

 

“ท่านอาจารย์กําลังบอกว่าเราจะไม่เลือกข้างและทําตัวเป็นคนกลาง เช่นนั้นหรือ?”

 

หลินเหลยเยว่กะพริบตา

 

“ไม่เลว!”

 

สืออวี้ถงพยักหน้า “เด็กโง่ เจ้านี่ฉลาดจริง ๆ เจ้าจําเป็นต้องเข้าใจว่า ในสํานักใหญ่เช่นนี้ ย่อมมีการแย่งชิงกันระหว่างแต่ละฝ่ายในฐานะเจ้าสํานัก เจ้าจําต้องคงสม ดุลและเป็นกลางเข้าไว้ให้แต่ละฝ่ายจําต้องพึ่งพิงเรา เช่นนั้น ก็จะง่ายต่อการสั่งการแต่ละฝ่าย…”

 

ถ้าเหลยเยว่เป็นแค่ลูกศิษย์ทั่วไป สืออวี้ถงคงไม่ต้องพูดกับนางมากมายเช่นนี้ แต่สืออวี้ถงฝึกเหลยเยว่เพื่อให้ขึ้นเป็นเจ้าสํานักคนต่อไป และเพราะเช่นนั้น จึงไม่ปิดบังเรื่องใดต่อนาง

 

“ขอบคุณอาจารย์ที่ช่วยชี้แนะ!”

 

หลินเหลยเยว่เข้าใจดีว่า สําหรับอาจารย์ของนาง ตระกูลโจวไม่นับเป็นอะไรได้ ถ้าคนผู้นั้นมีโชคก็อาจจะพอให้มาถึงที่มณฑลนี้ได้ แต่ถ้ามาไม่ถึง ก็หมายถึงว่าผู้นั้นไว้โชค

 

เพราะว่าสืออวี้ถงตัดสินใจจะลงมือแล้ว ซ่งจงย่อมไม่มีจุดจบที่ดี

 

ในฐานะอู่จงของสํานักกุยหลิง สืออวี้ถงจึงมีศักดิ์และความมั่นใจเช่นนั้น

 

“เหอ ๆ… ช่างน่าขําที่ลูกชายของซ่งจง ซ่งอวี้เจว๋ ยังคงอยากแต่งงานกับเจ้า? นั่นละโมบและล้ําเส้นเกินไปแล้ว”

 

สืออวี้ถงเหลือบมองหลินเหลยเยว่และเอ่ยล้อเลียน “เยว่เอ้อของเรางดงามถึงเพียงนี้ มีชายหนุ่มตั้งเท่าไหร่ที่พร้อมจะตกหลุมรักเจ้าในอนาคต?”

 

“อาจารย์!”

 

หลินเหลยเยว่หน้าแดงก่ํากระทืบเท้าเบา ๆ “แม้แต่ท่านก็ ล้อข้า!”

 

“เจ้าเข้าใจเสมอว่าเจ้ามีความสําคัญแค่ไหน ข้าไม่เคยกังวลเรื่องเจ้าเลย!”

 

สืออวี้ถงพูดอย่างจริงจังแต่ก็นุ่มนวล

 

หลินเหลยเยว่นั้นฝึกวิชากําลังภายในระดับสูงที่ต้องมีธาตุหยินบริสุทธ์กับนาง นางมีผู้สืบทอดตั้งมากทั้งในและนอกสํานัก แต่คนพวกนั้นก็แค่อยากเพิ่มสถานะทางสังคมของตัวเอง ทั้งอาจารย์และศิษย์ล้วนเข้าใจเหตุผลเบื้องหลังดี

 

“โลกนี้กว้างใหญ่! สิ่งที่เจ้าเห็นก่อนนี้อาจจะเป็นเพียงแค่เนินเขาเล็ก ๆ จากทะเลขุนเขามากมาย…”

 

สืออวี้ถงพูดด้วยน้ําเสียงเรียบ ๆ “เหลยเยว่ เจ้าเกิดมาพร้อมจุดชีพจรเปิด รวมกับร่างจันทราศักดิ์สิทธิ์ของเจ้า ทําให้เจ้าเหมาะสมกับ “เคล็ดจันทร์กระจ่าง” ของข้าที่สุด เจ้ามีความสามารถที่จะไปได้ไกลกว่าข้า และอาจจะเข้าถึง โลกแห่งการฝึกตนที่แท้จริงได้”

 

“โลกแห่งการฝึกตนที่แท้จริง!”

 

หลินเหลยเยว่พึมพํา ดวงตาเปล่งประกายปรารถนา 

 

เพื่อนของอาจารย์ของนาง ซึ่งเป็นเจ้าแห่งการเล่นแร่แปรธาตุ ที่พวกนางไปเยี่ยมเยือนนั้นเปิดโลกใหม่ให้แก่นาง 

 

เจ้าแห่งการเล่นแร่แปรธาตุที่ร่ําลือกันว่าหายากยิ่งกว่า นักรบศักดิ์สิทธิ์และนักรบเวทย์ ครอบครองวิชาชุดหนึ่งที่ทําให้ สามารถใช้เปลวไฟแห่งธาตุภายในร่างกายของตนร่วม กับวัตถุดิบที่มีพลังวิญญาณสร้างเม็ดยาแห่งวิญญาณที่มีประสิทธิภาพอันน่าอัศจรรย์

 

เม็ดยาแห่งวิญญาณเหล่านี้ไม่มีผลข้างเคียงเลวร้ายและประสิทธิภาพยังเป็นที่น่ามหัศจรรย์ใจ นั่นทําให้ยาแต่ละชนิดนั้นเป็นที่ต้องการของผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหลายจนกระทั่งต่อสู้แย่งชิงเพื่อให้ได้มา

 

ตัวอย่างเช่น ยาเม็ดจันทร์ยะเยือก” อาจารย์ของนางหามา ให้นางนั้นเหมาะสมกับร่างกายของนาง และยังช่วยให้นางเพิ่มพูนระดับการฝึกยุทธ์ได้อย่างก้าวกระโดด มันช่วยเพิ่มโอกาส ให้นางทะลวงผ่าน 3 ประตูวิกฤติสําเร็จได้!

 

ก่อนที่จะพบเจอสิ่งนี้ด้วยสองตาของนางเอง หลินเหลยเยว่ไม่เคยคิดเลยว่าของเช่นนี้จะมีอยู่จริง!

 

จึงเป็นธรรมดาที่เจ้าแห่งการเล่นแร่แปรธาตุจะเป็นสมาชิกที่มีอํานาจในกลุ่มที่พวกเขาสังกัดอยู่ด้วยความสามารถนี้ ไม่มีใครกล้าทําให้พวกเขาระคายเคืองแม้แต่นิด

 

อย่างเช่นเจ้าแห่งการเล่นแร่แปรธาตุที่นางไปเยือนมานั้นมีอู่ จงผู้หนึ่งทําหน้าที่เป็นผู้คุ้มครอง หากไม่ใช่มิตรภาพระหว่างเจ้าแห่งการเล่นแร่แปรธาตุผู้นั้นกับสืออวี้ถง เจ้าแห่งการเล่น แร่แปรธาตุผู้นั้นคงไม่ยื่นมือมาช่วยเหลือหลินเหลยเยว่

 

เจ้าแห่งการเล่นแร่แปรธาตุนี้เป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ส่วนหนึ่งของโลกแห่งการฝึกตนระดับสูง

 

หลินเหลยเยว่หวั่นไหวเมื่อคิดถึงเรื่องนี้

 

แม้ว่านางจะเป็นผู้หญิง แต่นางก็มีความฝันจะเป็นผู้เยี่ยม ยุทธ์

 

“ข้าจะไม่ทําให้อาจารย์ผิดหวัง!”

 

หลินเหลยเยว่คารวะด้วยท่าทางตัดสินใจแน่วแน่แล้ว 

 

“ฮ่าฮ่า.. ดีมาก!”

 

สืออวี้ถงประคองนางขึ้นด้วยสองมือก่อนพูด “ตอนนี้เจ้าจําต้องฝึกฝนให้มาก ด้วยความช่วยเหลือจากเม็ดยา เจ้าควรจะผ่านประตูที่หกและเพิ่มพลังภายในได้อย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นข้าจะให้เจ้าขึ้นเป็นผู้สืบทอดสํานัก ย่อมไม่มีใครกล้าพูดอะไรเป็นแน่!”

 

“พี่ฟาง….”

 

เมื่อได้ยิน หลินเหลยเยว่ก็คิดถึงเด็กหนุ่มธรรมดาที่อาศัยอยู่ในหุบเขาสันโดษขึ้นมา

 

ในตอนนั้น อาจารย์ของนางยกเลิกสัญญาหมั้นหมายโดยไม่เข้าใจรายละเอียดเบื้องหลัง และหลินเหลยเยว่เองก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะแย้งได้

 

ถ้านางมีโอกาสอีกครั้งนางจะลองขัดขวางการตัดสินใจนั้น หรือเปล่านะ?

 

หัวใจของหลินเหลยเยว่พลันยุ่งเหยิง นี่เป็นครั้งแรกที่นางรู้ สึกสับสนขึ้นมา

 

“ พวกเรามาถึงมณฑลชิงเหอแล้ว!”

 

ไม่ไกลนัก เกวียนขนาดวัวตัวเดียวลากก็ขยับใกล้เข้าไป ฟางหยวนมองกําแพงเมืองแล้วยิ้มออกมา

 

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้มาเมืองใหญ่เช่นนี้ เขารู้สึกตื่นเต้น 

 

“แค่ก แค่ก….”

 

โจวเหวินอู่ แม้จะมีความช่วยเหลือจากฟางหยวนในเรื่องอาการบาดเจ็บ ใบหน้าเขาก็ยังเป็นสีแดงอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “เมื่อเราไปถึงเขตปกครองของสํานักแล้ว แม้แต่ซ่งจงเองก็ไม่สามารถทําอะไรได้ แต่ว่ามันก็คงจะจัดคนมาจัดการหยุดข้าที่ประตูเมืองเป็นแน่…”

 

การเดินทางมานั้นมีหลายเส้นทางที่ใช้ได้ ถ้ายอมเดินทางอ้อมสักนิด ก็หลบเลี่ยงการค้นหาของซ่งจงได้อย่างง่ายดายยกเว้นซ่งจงจะเป็นเจ้าสํานักกุยหลิงนั่นแหละ

 

แต่ถ้ามันคาดว่าโจวเหวินอู่จะตรงมาที่มณฑลชิงเหอ มันก็ไม่ยากที่จะรอเขาที่นี่

 

“พี่ฟาง ท่านมีความคิดอะไรไหม?”

 

โจวเหวินอู่มองที่ฟางหยวนอย่างคาดหวัง

 

ฟางหยวนคงไม่สามารถให้ใคร ๆ เรียกเขาว่า “อาจารย์” มาได้ตลอดทางเพราะนั่นจะดึงดูดความสนใจมากเกินไป 

 

อีกอย่าง อายุของเขาก็เท่า ๆ กันกับโจวเหวินอู่ และหลังจากได้พูดคุยกันเล็กน้อย ทั้งสองก็สนิทกันมากขึ้นและ ถือโอกาสเปลี่ยนวิธีการเรียกหาอีกฝ่าย

 

“ข้าไม่มีแผน แต่มีความคิดโง่ ๆ ประการหนึ่ง!”

 

ริมฝีปากของฟางหยวนบิดเป็นรอยยิ้ม “พวกเราก็แค่ เลือกสักประตูแล้วก็โผล่พรวดเข้าไป ง่าย ๆ แบบนั้น!”

 

“เข้าใจแล้ว”

 

โจวเหวินอู่ไม่คิดเลยว่าความคิดของฟางหยวนจะง่าย ๆ เพียงแค่ใช้กําลังบุกเข้าไป

 

“ปัญหานี้เกิดจากตัวซ่งจงเอง หรือว่าเขาจะอยากทําผิดอย่างโง่ ๆ และส่งคนมาหยุดพวกเรา?”

 

ฟางหยวนกางแขนออก “มณฑลนี้มีทั้งหมดสี่ประตู ตราบเท่าที่เราไม่โชคร้ายเกินไป พวกเรามีโอกาสที่จะเจอมันต่ํามากยกเว้นมันจะแยกร่างได้…”

 

เขาสามารถจัดการกับการปิดถนนโดยศิษย์ของซ่งจงได้ด้วยมือเดียวด้วยซ้ํา

 

“แล้วถ้า..”

 

โจวเหวินอู่ลังเล เขาไม่ต้องการทําให้แผนการแก้แค้นล้มเหลวในตอนที่มันอยู่แค่เอื้อม

 

“ถ้าพวกเราเจอเข้ากับซ่งจง พวกเราก็ทําได้แค่ประลองกับมัน สมาชิกของสํานักกุยหลิงก็จะต้องมาดูถ้ามันเกิดความวุ่นวายขึ้นถูกต้องไหม?”

 

ฟางหยวนเหลือบมองโจวเหวินอู่

 

ถ้าเขาไม่รู้กระทั่งการฉวยโอกาสดี ๆ เช่นนี้ ซ่งจงก็คงทําลายฝ่ายโจวตงหมดสิ้นได้จริง ๆ นั้นแหละ

 

“ถูกต้อง! พวกเราทําอย่างที่ท่านบอก!”

 

โจวเหวินอู่กัดฟัน

 

เขาไม่มีอะไรให้ต้องกลัวในเมื่อคนนอกอย่างฟางหยวนยังกล้าทําเช่นนี้

 

แต่เขาไม่รู้สักนิดเลยว่าที่ฟางหยวนกล้าทําก็เพราะว่าเขามี วิทยายุทธ์อยู่ในระดับสูง

 

ในกรณีที่เจอเข้ากับซ่งจง เขาก็แค่ใช้โจวเหวินอู่เป็นโล่แล้วหนี

 

ซ่งจงไม่รู้เสียหน่อยว่าเขาเป็นฆาตกร ย่อมไม่ตามล่าเขาเป็นหมาบ้า

 

นอกจากนี้ ถ้าโจวเหวินอู่ถูกซ่งจงฆ่าต่อหน้าทุกคน มันก็ยิ่งเป็นการประกาศความผิดของซ่งจงเอง!

 

“มันคงจะดีกว่าถ้าคนนอกอย่างข้าจะไม่เข้าไป ยุ่งเกี่ยวการต่อสู้ระหว่างแต่ละฝ่ายในสํานัก… ถ้าข้าเข้าไปมีเอี่ยวและไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ดีพอ ข้าย่อม ถูกจู่โจมจากทั้งสองฝ่ายหรือถูกพวกมันใช้เป็นเหยื่อ!”

 

ด้วยประสบการณ์จากโลกอื่น ความคิดของฟางหยวนกระจ่างราวกระจก “ไม่ว่าจะกรณีไหนถ้ามันเกิดขึ้นแล้ว ข้าต้องรีบหนีและไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทําได้”

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+