Carefree Path of Dreams 36

Now you are reading Carefree Path of Dreams Chapter 36 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เจ้ามีทักษะวิทยายุทธ์ที่ค่อนข้างดี แต่สภาพจิตใจนั้นไม่แข็งแกร่ง เหมือนดอกไม้ในเรือนเพาะชํา หญิงสาวบอบบางผู้หนึ่ง…”

 

“เจ้ามีความเกี่ยวข้องกับตําหนักสี่ทะเล และตําหนักสี่ทะเลก็สามารถเข้าถึงพืชวิญญาณจํานวนมาก ดังนั้นเจ้าต้องเป็นคนสําคัญ

 

ฟางหยวนเป็นคนฉลาดผู้หนึ่ง และความคิดที่เป็นระบบก็ทําให้เขาได้ข้อสรุป “สํานักกุยหลิง?”

 

แม่นางผู้นี้มีวิทยายุทธ์ระดับสูงและอยู่ในระดับเดียวกันกับซ่งอวี้เจว๋ ดังนั้นนางย่อมต้องเป็นศิษย์ระดับสูงของสํานักกุยหลิง

 

ถ้าเขาฆ่านาง ย่อมเป็นการสร้างศัตรูเพิ่ม

 

และแน่นอนว่า นางมีความตั้งใจเพียงแค่สะกดรอยตามเขาเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ถึงกับสมควรตาย

 

“เจ้าต้องการอะไร! อย่าเข้ามาใกล้ข้านะ!”

 

เสียวฉิงมองฟางหยวนแล้วรู้สึกไม่ดี นางคิดถึงเรื่องเล่ามากมายในยุทธภพที่ผู้อื่นถูกบังคับขืนใจต่าง ๆ นานาแล้วก็กลัวแทบตาย “ถ้าเจ้าแตะต้องข้า ข้าจะ…”

 

“ถ้าเจ้ากล้าบอกว่าเบื้องหลังของเจ้าเป็นผู้ใด ข้าอาจจะต้องสังหารเจ้าทิ้งนะ!”

 

ฟางหยวนยื่นปลายนิ้วชี้ของเขาออกไปปาดลงบนผิวของนายน้อยผู้นี้ ถึงตอนนี้ แม่นางน้อยก็กลั้นหายใจและหยุดร้อง

 

“นั่นแหละ ดีขึ้นเยอะ!”

 

เขาตบแก้มนางเบา ๆ

 

“ผิวของ “แม่นางน้อย” ผู้นี้นั้นเรียบลื่นราวผ้าไหม เทียบกับขนของฮวาหูเดียวแล้ว… เพ้ย นี่ข้าคิดอะไรอยู่?”

 

ฟางหยวนสะบัดหัวแรง ๆ ก่อนพูดด้วยเสียงต่ำ ๆ “ลอบสะกดรอยตามข้าเช่นนี้ เจ้าเตรียมจะชดใช้ให้ข้าอย่างไร?”

 

“ชดใช้?”

 

นายน้อยชุดเขียวรู้สึกสับสน

 

เจ้าคนลามกนี้ไม่ได้คิดทําอะไรไม่ดีใช่ไหม? ทําไมถึงเปลี่ยนสีเร็วเช่นนี้?

 

หลังจากวิตกอยู่ครู่หนึ่ง นางก็ใจเย็นลงและพยายามคิดหาเหตุผล หรือเป็นเพราะว่าข้าไม่งามพอ… และแม้แต่เจ้าคนลามกนี้ก็ถึงกับไม่ต้องการข้า!?”

 

นางมองฟางหยวนและรู้สึกว่าสายตาของฟางหยวนสามารถฆ่าคนได้เพียงแค่เหลือบมอง

 

“เจ้ามองอะไร? หรืออยากให้ข้าค้นตัวเจ้า?”

 

ฟางหยวนประเมินนายน้อยฉิงผู้นี้ แม้ว่านางจะมีความสามารถเชิงยุทธ์ไม่เท่าไหร่ รูปร่างของนางก็ไม่เลวทีเดียว

 

แต่เพราะไม่มีลูกกระเดือกที่ลําคอ จึงได้เปิดเผยเพศที่แท้จริ งออกมา

 

“ไม่! ไม่!”

 

นายน้อยฉิงกระวนกระวายจนเกือบจะได้รับบาดเจ็บภายใน “อะไรก็ตามที่เจ้าต้องการ ข้า… ข้าจะมอบให้เจ้า!” 

 

“ข้าไม่ได้ต้องการตํารายุทธ์ใด!”

 

เขานึกถึง “ตําราฝึกจิตของสํานักกุยหลิง” ฉบับไม่สมบูรณ์ที่ยึดมาจากซ่งอวี้เจว๋แล้วก็รู้สึกเช่นนี้ เขารับของที่นายน้อยฉิงส่งมาให้

 

เขาเปิดกล่องรูปร่างคล้ายเปลือกหอยออก มองที่วัตถุสีแดงสดด้านในแล้วให้รู้สึกพูดไม่ออก

 

“นี่เป็นกํายานสีม่วงที่ดีที่สุดในมณฑลนี้ มีค่าถึง 10 ตําลึงนะ!” นายน้อยฉิงตอบเสียงอ่อย

 

“คนรวยเช่นพวกเจ้ารู้จักแกล้งโง่จริง ๆ!”

 

ฟางหยวนรู้สึกอึ้งไปเล็กน้อย แต่เมื่อรู้แล้วว่าแม่นางน้อยผู้นี้มีเงิน ความคิดอยากลักพาตัวนางก็พุ่งขึ้นมาในใจ

 

แต่ว่าเขาก็ยังคํานึงถึงคนเบื้องหลังของนางที่ย่อมมีอิทธิพลไม่น้อยไปกว่าของซ่งอวี้เจว๋

 

ครั้งนี้แม้ว่านางจะแพ้ สูญเสียเงินทองเล็กน้อยนั้นไม่นับเป็นกระไรได้ แต่กลับทําให้นางตระหนักถึงอันตรายในยุทธภพนั้นเป็นบทเรียนที่ดีสําหรับนาง

 

ถ้าเขาอยากได้ตํารายุทธ์จริง ๆ หรืออยากลักพาตัวและรีดไถเอาจากนายน้อยชุดเขียวผู้นี้จําต้องคํานวณสถานการณ์ให้ดี อาจจะเกิดการปิดประตูเข้าออกมณฑลเพื่อตรวจค้นทั่วทั้งมณฑลก็ได้

 

เขารู้ว่าเขาไม่สามารถรับมือกับทั้งหมดนั่นได้ด้วยตัวเองคนเดียว

 

“เหอะ… เสี่ยวฉิง เจ้าก็ดูร่ำรวยดีนี่นา?”

 

ฟางหยวนจะรู้สึกพอใจขึ้นถ้าเกี่ยวเก็บสมบัติได้อีกสักเล็ก

น้อย

 

“ตั๋วแลกเงินของร้านแลกเงินชิงเหอ มีค่าร้อยตําลึง! แล้วก็เศษเงินเล็กน้อย ส่วนนี้ก็กําไลหยก แล้วยังปิ่นนี่ และก็มรกตตาแมวเม็ดนี้ ฮืมมม กําไร! กําไรแล้ว!”

 

ฟางหยวนนั้นคุ้นเคยกับการต้องมัธยัสถ์ เขาคว้าเอามรกตตาแมวจากนาง แล้วยิ้มกะเรียกะราดกับตัวเอง

 

ในสายตาของเขา เสี่ยวฉิงผู้นี้เป็นผู้ช่วยชีวิตเขาเลยทีเดียว

 

เพราะแม่นางน้อยผู้นี้ยอมมอบสมบัติออกมาอย่างใจกว้าง มันพอชดเชยค่าพืชวิญญาณที่เขาซื้อมาและยังเหลืออีกเล็กน้อยด้วย

 

“เจ้า เจ้า โฮ….”

 

น้ำตาเอ่อขึ้นมาในดวงตาทั้งคู่ของเสี่ยวฉิง ตั๋วเงินนั่นคือเงินเก็บที่นางแอบสะสมเอาไว้เลยนะ! นางเพิ่งไปแลกออกมาจากร้านเงินวันนี้แต่ก็ต้องยอมปล่อยตั๋วเงินนั่นไปเดี๋ยวนี้แล้ว

 

นางโชคดีมากแล้วที่ไม่พยายามคุกคามฟางหยวน

 

“ข้ารู้ เจ้าต้องไปตามผู้อื่นมาล้างแค้นเป็นแน่! ตราบใดที่ไม่ใช่เหล่าผู้อาวุโส ข้ายินดีรับการท้าทาย!”

 

ฟางหยวนพยักเพยิดด้วยท่าทางอวดดี “ในกลุ่มอายุเท่า ๆ พวกเรา ข้า จอมยุทธ์น้อยอู๋หมิง ไม่เกรงกลัวผู้ใดทั้งสิ้น!”

 

“ จอมยุทธ์น้อยอู๋หมิง!”

 

เสี่ยวฉิงทวนคําเหล่านี้ซ้ำ ๆ กับตัวเอง ราวกับต้องการจดจําเอาไว้ชั่วชีวิต

 

“อืม ไปซะ และจําไว้ว่าข้าอาศัยที่อยู่ สุดขอบแผ่นดิน” และยินดีต้อนรับเจ้าทุกเมื่อ!”

 

ฟางหยวนเก็บของทั้งหมด หมุนตัวเดินจากไป

 

หลังจากเล่นละครนั้นแล้ว เขาต้องวิ่งหนีเอาตัวรอดแล้ว! ตื่นเต้นอะไรอย่างนี้!

 

แน่นอนว่า ชื่อของเขาไม่ใช่อู๋หมิง ส่วนที่ว่าอาศัยอยู่ที่ “สุดขอบแผ่นดิน” นั่นเป็นชื่อของที่พักแรมใหญ่ที่สุดที่เขาเห็นระหว่างทางมาที่นี่เท่านั้น

 

เสี่ยวฉิงผู้น่าสงสารถูกหลอกเสียแล้ว และไม่ได้คิดระแวงเลย “จอมยุทธ์น้อยอู๋หมิง! สุดขอบแผ่นดิน! เจ้าจําเอาไว้ ข้าจะพาศิษย์พี่ในสํานักมาทวงแค้นให้ข้า!”

 

“ประกาศจากสํานักกุยหลิง: จากการสืบสวนกรณีกล่าวหาผู้อาวุโสซ่ง ว่าสังหารผู้บริสุทธิ์และทําร้ายสมาชิกสํานัก การดําเนินการทําได้ช้าเพราะคนผู้นั้นได้เสียสติไปหลังจากมีเหตุกระทบกระเทือนใจ และหลังจากการปรึกษากันระหว่างผู้อาวุโส มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ขับออกจากสํานักและประกาศจับในฐานะผู้ต้องหาก่อเหตุฆาตกรรม ผู้ใดที่สามารถจับตัวคนร้ายได้จะได้รับรางวัลหนึ่งพันตําลึง ตํารายุทธ์ หรือป้ายคําสั่งกุยหยวน!”

 

เวลาเคลื่อนคล้อยและหลายวันก็ผ่านไป ฝูงชนออกันอยู่ที่ด้านหน้าประตูทางเข้ามณฑล อ่านประกาศที่เพิ่งแปะใหม่ 

จากทางสํานักแล้วล้วนรู้สึกสับสน

 

“ซงจง ผู้อาวุโสข่ง? เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับประตูทองที่ 7! ทําไมถึงจบลงในสภาพนี้ได้?”

 

“ข้าได้ยินข่าวมาว่าลูกชายของเขาตาย นั่นทําให้เขาเสียสติ!”

 

“เขาเป็นคนที่ก่อหายนะล้างหมู่บ้านตระกูลโค่ว!”

 

“เหอ ๆ พวกเจ้าคิดหรือว่าสํานักจะรู้สึกกระไรกับแค่คนนอกไม่กี่คนถูกฆ่าตาย?”

 

ท่ามกลางการถกเถียงกัน คนผู้หนึ่งที่อ้างว่ามีข้อมูลเบื้องลึกหัวเราะ “สิ่งเดียวที่ทําให้เขาถูกลงโทษถึงชีวิตก็คือพรากชีวิตทั้งตระกูลของสมาชิกสํานักเดียวกัน ตระกูลโจว!”

 

“ตระกูลโจว? ตระกูลโจวจากเมืองชิงเย่?…”

 

“ใช่แล้ว ก่อนนี้ข้าเห็นคุณชายน้อยตระกูลโจวทําเรื่องร้องเรียน!”

 

“แล้วซ่งจงก็หนีไปได้?”

 

“นี่เป็นเรื่องภายในสํานักของพวกเขา ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดว่าทําไมพวกนั้นถึงต้องการประกาศให้ผู้อื่นช่วย?”

 

“ไม่ว่าจะอย่างไร นี่เป็นโอกาสของพวกเรา!”

 

เมื่อประกาศแพร่ออกไป ชาวยุทธ์ในยุทธภพหลายคนก็ถูกรางวัลที่จะได้จากการจับกุมซ่งจงล่อลวง

 

เงินและตํารายุทธ์ไม่ได้มีคุณค่าพิเศษใดนัก แต่ป้ายคําสั่งกุยหยวนนั้นไม่ใช่รางวัลเล็ก ๆ เลย ใครก็ตามที่ถือป้ายคําสั่งนี้จะได้รับความนับถือจากทุกคนในสํานักว่าเป็นแขกผู้ทรงเกียรติ และยังสามารถใช้แลกเปลี่ยนกับความช่วยเหลือจากสํานักได้

 

ซึ่งตามที่คิดกันนั้น สํานักจะยินยอมกับทุกการร้องขอที่สามารถกระทําได้เสียด้วย!

 

“ซ่งจง… ป้ายคําสั่งกุยหยวน?”

 

ที่นอกเมือง ในไร่แห่งหนึ่ง ฟางหยวนหยุดการฝึกฝนลงทันที่ที่ได้ยินข่าว

 

ในเมืองนั้นอันตรายเกินไป และยากจะหลบหนีหากเขาเผชิญเข้ากับปัญหาใด เขาจะสามารถหลบหนีได้ก็เมื่อมีสุดยอดวิชาตัวเบาเท่านั้น ไม่เช่นนั้นเขาก็คงถูกจับได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลย ดังนั้น เขาจึงออกจากเมืองมาแล้วขอเช่าที่พักจากชาวนา

 

เขาไม่ได้ต้องใช้เงินมากนัก เพียงแค่ไม่กี่ตําลึงก็มากพอที่จะให้ครอบครัวชาวนาพอใจและโน้มน้าวพวกเขาให้ยอมให้เขาเข้าพักด้วยแล้ว

 

เขาเหลือบมองเร็ว ๆ ผ่านหน้าต่างสถานะของตัวเอง 

 

“ชื่อ: ฟางหยวน

 

พลังกาย: 2.7

 

พลังลมปราณ: 2.6

 

พลังเวทย์: 1.5

 

อายุ: 18

 

ระดับการฝึกตน: [ผู้ฝึกยุทธ์ (ประตูทองที่ห้า)]

 

วิทยายุทธ์: [ฝ่ามือทรายดํา (ระดับ 5), [กรงเล็บอินทรีเหล็ก (ระดับ 5)]]

 

ทักษะ: [การแพทย์ (ระดับ 2)], [การดูแลพืช (ระดับ 3)” 

 

“ข้าเป็น [ผู้ฝึกยุทธ์ (ประตูทองที่ห้า)] และเคล็ดอินทรีเหล็กก็ถึงระดับห้าอย่างรวดเร็ว ในที่สุดข้าก็บรรลุตามเป้าหมาย…”

 

หลังจากทําความเข้าใจพื้นฐานได้ การฝึกวิชาอื่นก็ก ลายเป็นเรื่องง่าย และแม้แต่แอบบอกสถานะการฝึกฝนก็ลดระ ดับความยากลงมา ดังนั้นเขาจึงมีการพัฒนาไปได้ไวมากเป็นธร รมดา

 

เขาใช้คุณสมบัตินี้รีดไถเสี่ยวผิงเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา

 

อย่างไรเสีย ประตูชางก็เป็นหนึ่งใน 3 ประตูวิกฤต ถ้าเกิดอะไรขึ้น ผู้ฝึกอาจจะได้รับบาดเจ็บสาหัสไร้ความหวังที่จะฟื้นฟูได้อีก ดังนั้น ฟางหยวนจึงไม่มีทางเลือกนอกจากจริงจังกับมันมากขึ้น

 

“ตอนแรก ข้าคิดว่าข้าจะสามารถกลับบ้านได้เมื่อเรื่องเรียบร้อยแล้วและมุ่งฝึกฝน ใครจะคิดว่าสํานักกุยหลิงจะไร้สามารถคุมตัวซ่งจงไว้ไม่ได้ และยังถึงกับต้องการสรรหาความช่วยเหลือจากภายนอกเพื่อจับกุมมัน?”

 

ฟางหยวนไม่เข้าใจ

 

แน่นอนว่าเขาไม่รู้ว่าความขัดแย้งภายในสํานักกุยหลิงนั้นอยู่นอกเหนือการควบคุมแล้ว

 

เจ้าสํานักสืออวถงนั้นไม่เด็ดขาด และสองตระกูลที่อยู่ภายใต้ปกครองของผู้อาวุโสสองคน ผู้อาวุโสเอี๋ยนและผู้อาวุโสฮั่นนั้นก็ไม่ถูกกัน ทําให้เกิดเรื่องตามที่เป็นอยู่นี้

 

เจ้าสํานักเพียงแค่ต้องการความสงบในสํานักและสามารถควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดได้ และสําหรับซ่งจง นางไม่ได้สนใจว่าเขาจะเป็นหรือตาย

 

แน่นอนว่าฟางหยวนไม่รู้เรื่องนี้ แต่เขารู้อย่างหนึ่ง

 

เขาจะอยู่อย่างสุขสงบได้ก็ต่อเมื่อซ่งจงถูกฆ่าแล้วเท่านั้น!

 

แม้ว่าเขาจะจัดการปกปิดร่องรอยตัวเองแล้ว เขาก็ยังไม่แน่ใจว่าจะมีผู้ใดสามารถตามรอยเขาจนได้หรือไม่ ถึงตอนนั้น ถ้ามีผู้ฝึกยุทธ์ระดับ 3 ประตูวิกฤตสั่งให้เขาตาย เขาก็คงหนีไม่พ้นเงื้อมมือคนผู้นั้น

 

“ข้าต้องใช้โอกาสนี้กําจัดเขาเสีย ขณะที่สถานการณ์ยังเป็นใจ!”

 

ฟางหยวนตัดสินใจ สวมเสื้อผ้าแล้วออกวิ่งหายลับไปในไม่

 

การหาข้อมูลเกี่ยวกับช่งจงนั้นง่ายราวปอกกล้วย

 

ทั้งมณฑลกําลังตามล่าตัวเขา

 

ได้ยินว่าคนผู้นั้นฆ่าคนโดยไม่คํานึงถึงชีวิตของตนเองแล้ว เขาเปิดฉากสังหารตลอดทางที่ออกจากสํานัก และหนีหายไปในเขตภูเขาต้าชิง

 

ภูเขาลูกนี้เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาชิงหลิง และหลังจากปิดเส้นทางหลักบนเขาแล้ว ก็มีการจัดกลุ่มลาดตระเวน ผู้ฝึกยุทธ์จํานวนมากนําอาหารแห้งติดตัวตามเข้าไป หวังว่าไม่ช้าไม่นาน เขาก็คงจะถูกจับตัวได้

 

“โอ้! คนเยอะมากขนาดนี้?”

 

ที่ด้านนอกภูเขา ฟางหยวนมองไปเห็นพระอาทิตย์ส่องแสงจ้า และมองไปรอบ ๆ เห็นผู้ฝึกยุทธ์มากมาย เขาพูดไม่ออก “ข้าไม่ควรผลุนผลันเกินไป ข้าก็แค่ต้องตามคนพวกนี้ไปและดูซ่งจงตาย!”

 

แม้ว่าเขาต้าชิงจะมียอดเขาเดียวแต่มันก็ค่อนข้างกว้างใหญ่ภูเขาปกคลุมด้วยหญ้าและต้นไม้ และการจะหาจอมยุทธ์ สักคนที่ซ่อนตัวอยู่ไม่ใช่เรื่องง่าย

 

แต่ฟางหยวนก็ไม่ได้รีบ เขาค่อย ๆ สํารวจบริเวณรอบ ๆ และในเวลาเดียวกันก็ผูกมิตรกับผู้ฝึกยุทธ์คนอื่น ๆ และเริ่มแบ่งปันประสบการณ์กัน

 

จนวันหนึ่ง ในตอนบ่าย เขางีบหลับอยู่บนก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงนุ่มนวลสายหนึ่ง “ศิษย์พี่ นั่นเขา!”

 

น้ำเสียงนุ่มนวลนั่นฟังดูคุ้นเคย

 

เขาหันหน้าไปหาแหล่งที่มาของเสียงแล้วก็อึ้งไป

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Carefree Path of Dreams 36

Now you are reading Carefree Path of Dreams Chapter 36 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เจ้ามีทักษะวิทยายุทธ์ที่ค่อนข้างดี แต่สภาพจิตใจนั้นไม่แข็งแกร่ง เหมือนดอกไม้ในเรือนเพาะชํา หญิงสาวบอบบางผู้หนึ่ง…”

 

“เจ้ามีความเกี่ยวข้องกับตําหนักสี่ทะเล และตําหนักสี่ทะเลก็สามารถเข้าถึงพืชวิญญาณจํานวนมาก ดังนั้นเจ้าต้องเป็นคนสําคัญ

 

ฟางหยวนเป็นคนฉลาดผู้หนึ่ง และความคิดที่เป็นระบบก็ทําให้เขาได้ข้อสรุป “สํานักกุยหลิง?”

 

แม่นางผู้นี้มีวิทยายุทธ์ระดับสูงและอยู่ในระดับเดียวกันกับซ่งอวี้เจว๋ ดังนั้นนางย่อมต้องเป็นศิษย์ระดับสูงของสํานักกุยหลิง

 

ถ้าเขาฆ่านาง ย่อมเป็นการสร้างศัตรูเพิ่ม

 

และแน่นอนว่า นางมีความตั้งใจเพียงแค่สะกดรอยตามเขาเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ถึงกับสมควรตาย

 

“เจ้าต้องการอะไร! อย่าเข้ามาใกล้ข้านะ!”

 

เสียวฉิงมองฟางหยวนแล้วรู้สึกไม่ดี นางคิดถึงเรื่องเล่ามากมายในยุทธภพที่ผู้อื่นถูกบังคับขืนใจต่าง ๆ นานาแล้วก็กลัวแทบตาย “ถ้าเจ้าแตะต้องข้า ข้าจะ…”

 

“ถ้าเจ้ากล้าบอกว่าเบื้องหลังของเจ้าเป็นผู้ใด ข้าอาจจะต้องสังหารเจ้าทิ้งนะ!”

 

ฟางหยวนยื่นปลายนิ้วชี้ของเขาออกไปปาดลงบนผิวของนายน้อยผู้นี้ ถึงตอนนี้ แม่นางน้อยก็กลั้นหายใจและหยุดร้อง

 

“นั่นแหละ ดีขึ้นเยอะ!”

 

เขาตบแก้มนางเบา ๆ

 

“ผิวของ “แม่นางน้อย” ผู้นี้นั้นเรียบลื่นราวผ้าไหม เทียบกับขนของฮวาหูเดียวแล้ว… เพ้ย นี่ข้าคิดอะไรอยู่?”

 

ฟางหยวนสะบัดหัวแรง ๆ ก่อนพูดด้วยเสียงต่ำ ๆ “ลอบสะกดรอยตามข้าเช่นนี้ เจ้าเตรียมจะชดใช้ให้ข้าอย่างไร?”

 

“ชดใช้?”

 

นายน้อยชุดเขียวรู้สึกสับสน

 

เจ้าคนลามกนี้ไม่ได้คิดทําอะไรไม่ดีใช่ไหม? ทําไมถึงเปลี่ยนสีเร็วเช่นนี้?

 

หลังจากวิตกอยู่ครู่หนึ่ง นางก็ใจเย็นลงและพยายามคิดหาเหตุผล หรือเป็นเพราะว่าข้าไม่งามพอ… และแม้แต่เจ้าคนลามกนี้ก็ถึงกับไม่ต้องการข้า!?”

 

นางมองฟางหยวนและรู้สึกว่าสายตาของฟางหยวนสามารถฆ่าคนได้เพียงแค่เหลือบมอง

 

“เจ้ามองอะไร? หรืออยากให้ข้าค้นตัวเจ้า?”

 

ฟางหยวนประเมินนายน้อยฉิงผู้นี้ แม้ว่านางจะมีความสามารถเชิงยุทธ์ไม่เท่าไหร่ รูปร่างของนางก็ไม่เลวทีเดียว

 

แต่เพราะไม่มีลูกกระเดือกที่ลําคอ จึงได้เปิดเผยเพศที่แท้จริ งออกมา

 

“ไม่! ไม่!”

 

นายน้อยฉิงกระวนกระวายจนเกือบจะได้รับบาดเจ็บภายใน “อะไรก็ตามที่เจ้าต้องการ ข้า… ข้าจะมอบให้เจ้า!” 

 

“ข้าไม่ได้ต้องการตํารายุทธ์ใด!”

 

เขานึกถึง “ตําราฝึกจิตของสํานักกุยหลิง” ฉบับไม่สมบูรณ์ที่ยึดมาจากซ่งอวี้เจว๋แล้วก็รู้สึกเช่นนี้ เขารับของที่นายน้อยฉิงส่งมาให้

 

เขาเปิดกล่องรูปร่างคล้ายเปลือกหอยออก มองที่วัตถุสีแดงสดด้านในแล้วให้รู้สึกพูดไม่ออก

 

“นี่เป็นกํายานสีม่วงที่ดีที่สุดในมณฑลนี้ มีค่าถึง 10 ตําลึงนะ!” นายน้อยฉิงตอบเสียงอ่อย

 

“คนรวยเช่นพวกเจ้ารู้จักแกล้งโง่จริง ๆ!”

 

ฟางหยวนรู้สึกอึ้งไปเล็กน้อย แต่เมื่อรู้แล้วว่าแม่นางน้อยผู้นี้มีเงิน ความคิดอยากลักพาตัวนางก็พุ่งขึ้นมาในใจ

 

แต่ว่าเขาก็ยังคํานึงถึงคนเบื้องหลังของนางที่ย่อมมีอิทธิพลไม่น้อยไปกว่าของซ่งอวี้เจว๋

 

ครั้งนี้แม้ว่านางจะแพ้ สูญเสียเงินทองเล็กน้อยนั้นไม่นับเป็นกระไรได้ แต่กลับทําให้นางตระหนักถึงอันตรายในยุทธภพนั้นเป็นบทเรียนที่ดีสําหรับนาง

 

ถ้าเขาอยากได้ตํารายุทธ์จริง ๆ หรืออยากลักพาตัวและรีดไถเอาจากนายน้อยชุดเขียวผู้นี้จําต้องคํานวณสถานการณ์ให้ดี อาจจะเกิดการปิดประตูเข้าออกมณฑลเพื่อตรวจค้นทั่วทั้งมณฑลก็ได้

 

เขารู้ว่าเขาไม่สามารถรับมือกับทั้งหมดนั่นได้ด้วยตัวเองคนเดียว

 

“เหอะ… เสี่ยวฉิง เจ้าก็ดูร่ำรวยดีนี่นา?”

 

ฟางหยวนจะรู้สึกพอใจขึ้นถ้าเกี่ยวเก็บสมบัติได้อีกสักเล็ก

น้อย

 

“ตั๋วแลกเงินของร้านแลกเงินชิงเหอ มีค่าร้อยตําลึง! แล้วก็เศษเงินเล็กน้อย ส่วนนี้ก็กําไลหยก แล้วยังปิ่นนี่ และก็มรกตตาแมวเม็ดนี้ ฮืมมม กําไร! กําไรแล้ว!”

 

ฟางหยวนนั้นคุ้นเคยกับการต้องมัธยัสถ์ เขาคว้าเอามรกตตาแมวจากนาง แล้วยิ้มกะเรียกะราดกับตัวเอง

 

ในสายตาของเขา เสี่ยวฉิงผู้นี้เป็นผู้ช่วยชีวิตเขาเลยทีเดียว

 

เพราะแม่นางน้อยผู้นี้ยอมมอบสมบัติออกมาอย่างใจกว้าง มันพอชดเชยค่าพืชวิญญาณที่เขาซื้อมาและยังเหลืออีกเล็กน้อยด้วย

 

“เจ้า เจ้า โฮ….”

 

น้ำตาเอ่อขึ้นมาในดวงตาทั้งคู่ของเสี่ยวฉิง ตั๋วเงินนั่นคือเงินเก็บที่นางแอบสะสมเอาไว้เลยนะ! นางเพิ่งไปแลกออกมาจากร้านเงินวันนี้แต่ก็ต้องยอมปล่อยตั๋วเงินนั่นไปเดี๋ยวนี้แล้ว

 

นางโชคดีมากแล้วที่ไม่พยายามคุกคามฟางหยวน

 

“ข้ารู้ เจ้าต้องไปตามผู้อื่นมาล้างแค้นเป็นแน่! ตราบใดที่ไม่ใช่เหล่าผู้อาวุโส ข้ายินดีรับการท้าทาย!”

 

ฟางหยวนพยักเพยิดด้วยท่าทางอวดดี “ในกลุ่มอายุเท่า ๆ พวกเรา ข้า จอมยุทธ์น้อยอู๋หมิง ไม่เกรงกลัวผู้ใดทั้งสิ้น!”

 

“ จอมยุทธ์น้อยอู๋หมิง!”

 

เสี่ยวฉิงทวนคําเหล่านี้ซ้ำ ๆ กับตัวเอง ราวกับต้องการจดจําเอาไว้ชั่วชีวิต

 

“อืม ไปซะ และจําไว้ว่าข้าอาศัยที่อยู่ สุดขอบแผ่นดิน” และยินดีต้อนรับเจ้าทุกเมื่อ!”

 

ฟางหยวนเก็บของทั้งหมด หมุนตัวเดินจากไป

 

หลังจากเล่นละครนั้นแล้ว เขาต้องวิ่งหนีเอาตัวรอดแล้ว! ตื่นเต้นอะไรอย่างนี้!

 

แน่นอนว่า ชื่อของเขาไม่ใช่อู๋หมิง ส่วนที่ว่าอาศัยอยู่ที่ “สุดขอบแผ่นดิน” นั่นเป็นชื่อของที่พักแรมใหญ่ที่สุดที่เขาเห็นระหว่างทางมาที่นี่เท่านั้น

 

เสี่ยวฉิงผู้น่าสงสารถูกหลอกเสียแล้ว และไม่ได้คิดระแวงเลย “จอมยุทธ์น้อยอู๋หมิง! สุดขอบแผ่นดิน! เจ้าจําเอาไว้ ข้าจะพาศิษย์พี่ในสํานักมาทวงแค้นให้ข้า!”

 

“ประกาศจากสํานักกุยหลิง: จากการสืบสวนกรณีกล่าวหาผู้อาวุโสซ่ง ว่าสังหารผู้บริสุทธิ์และทําร้ายสมาชิกสํานัก การดําเนินการทําได้ช้าเพราะคนผู้นั้นได้เสียสติไปหลังจากมีเหตุกระทบกระเทือนใจ และหลังจากการปรึกษากันระหว่างผู้อาวุโส มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ขับออกจากสํานักและประกาศจับในฐานะผู้ต้องหาก่อเหตุฆาตกรรม ผู้ใดที่สามารถจับตัวคนร้ายได้จะได้รับรางวัลหนึ่งพันตําลึง ตํารายุทธ์ หรือป้ายคําสั่งกุยหยวน!”

 

เวลาเคลื่อนคล้อยและหลายวันก็ผ่านไป ฝูงชนออกันอยู่ที่ด้านหน้าประตูทางเข้ามณฑล อ่านประกาศที่เพิ่งแปะใหม่ 

จากทางสํานักแล้วล้วนรู้สึกสับสน

 

“ซงจง ผู้อาวุโสข่ง? เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับประตูทองที่ 7! ทําไมถึงจบลงในสภาพนี้ได้?”

 

“ข้าได้ยินข่าวมาว่าลูกชายของเขาตาย นั่นทําให้เขาเสียสติ!”

 

“เขาเป็นคนที่ก่อหายนะล้างหมู่บ้านตระกูลโค่ว!”

 

“เหอ ๆ พวกเจ้าคิดหรือว่าสํานักจะรู้สึกกระไรกับแค่คนนอกไม่กี่คนถูกฆ่าตาย?”

 

ท่ามกลางการถกเถียงกัน คนผู้หนึ่งที่อ้างว่ามีข้อมูลเบื้องลึกหัวเราะ “สิ่งเดียวที่ทําให้เขาถูกลงโทษถึงชีวิตก็คือพรากชีวิตทั้งตระกูลของสมาชิกสํานักเดียวกัน ตระกูลโจว!”

 

“ตระกูลโจว? ตระกูลโจวจากเมืองชิงเย่?…”

 

“ใช่แล้ว ก่อนนี้ข้าเห็นคุณชายน้อยตระกูลโจวทําเรื่องร้องเรียน!”

 

“แล้วซ่งจงก็หนีไปได้?”

 

“นี่เป็นเรื่องภายในสํานักของพวกเขา ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดว่าทําไมพวกนั้นถึงต้องการประกาศให้ผู้อื่นช่วย?”

 

“ไม่ว่าจะอย่างไร นี่เป็นโอกาสของพวกเรา!”

 

เมื่อประกาศแพร่ออกไป ชาวยุทธ์ในยุทธภพหลายคนก็ถูกรางวัลที่จะได้จากการจับกุมซ่งจงล่อลวง

 

เงินและตํารายุทธ์ไม่ได้มีคุณค่าพิเศษใดนัก แต่ป้ายคําสั่งกุยหยวนนั้นไม่ใช่รางวัลเล็ก ๆ เลย ใครก็ตามที่ถือป้ายคําสั่งนี้จะได้รับความนับถือจากทุกคนในสํานักว่าเป็นแขกผู้ทรงเกียรติ และยังสามารถใช้แลกเปลี่ยนกับความช่วยเหลือจากสํานักได้

 

ซึ่งตามที่คิดกันนั้น สํานักจะยินยอมกับทุกการร้องขอที่สามารถกระทําได้เสียด้วย!

 

“ซ่งจง… ป้ายคําสั่งกุยหยวน?”

 

ที่นอกเมือง ในไร่แห่งหนึ่ง ฟางหยวนหยุดการฝึกฝนลงทันที่ที่ได้ยินข่าว

 

ในเมืองนั้นอันตรายเกินไป และยากจะหลบหนีหากเขาเผชิญเข้ากับปัญหาใด เขาจะสามารถหลบหนีได้ก็เมื่อมีสุดยอดวิชาตัวเบาเท่านั้น ไม่เช่นนั้นเขาก็คงถูกจับได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลย ดังนั้น เขาจึงออกจากเมืองมาแล้วขอเช่าที่พักจากชาวนา

 

เขาไม่ได้ต้องใช้เงินมากนัก เพียงแค่ไม่กี่ตําลึงก็มากพอที่จะให้ครอบครัวชาวนาพอใจและโน้มน้าวพวกเขาให้ยอมให้เขาเข้าพักด้วยแล้ว

 

เขาเหลือบมองเร็ว ๆ ผ่านหน้าต่างสถานะของตัวเอง 

 

“ชื่อ: ฟางหยวน

 

พลังกาย: 2.7

 

พลังลมปราณ: 2.6

 

พลังเวทย์: 1.5

 

อายุ: 18

 

ระดับการฝึกตน: [ผู้ฝึกยุทธ์ (ประตูทองที่ห้า)]

 

วิทยายุทธ์: [ฝ่ามือทรายดํา (ระดับ 5), [กรงเล็บอินทรีเหล็ก (ระดับ 5)]]

 

ทักษะ: [การแพทย์ (ระดับ 2)], [การดูแลพืช (ระดับ 3)” 

 

“ข้าเป็น [ผู้ฝึกยุทธ์ (ประตูทองที่ห้า)] และเคล็ดอินทรีเหล็กก็ถึงระดับห้าอย่างรวดเร็ว ในที่สุดข้าก็บรรลุตามเป้าหมาย…”

 

หลังจากทําความเข้าใจพื้นฐานได้ การฝึกวิชาอื่นก็ก ลายเป็นเรื่องง่าย และแม้แต่แอบบอกสถานะการฝึกฝนก็ลดระ ดับความยากลงมา ดังนั้นเขาจึงมีการพัฒนาไปได้ไวมากเป็นธร รมดา

 

เขาใช้คุณสมบัตินี้รีดไถเสี่ยวผิงเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา

 

อย่างไรเสีย ประตูชางก็เป็นหนึ่งใน 3 ประตูวิกฤต ถ้าเกิดอะไรขึ้น ผู้ฝึกอาจจะได้รับบาดเจ็บสาหัสไร้ความหวังที่จะฟื้นฟูได้อีก ดังนั้น ฟางหยวนจึงไม่มีทางเลือกนอกจากจริงจังกับมันมากขึ้น

 

“ตอนแรก ข้าคิดว่าข้าจะสามารถกลับบ้านได้เมื่อเรื่องเรียบร้อยแล้วและมุ่งฝึกฝน ใครจะคิดว่าสํานักกุยหลิงจะไร้สามารถคุมตัวซ่งจงไว้ไม่ได้ และยังถึงกับต้องการสรรหาความช่วยเหลือจากภายนอกเพื่อจับกุมมัน?”

 

ฟางหยวนไม่เข้าใจ

 

แน่นอนว่าเขาไม่รู้ว่าความขัดแย้งภายในสํานักกุยหลิงนั้นอยู่นอกเหนือการควบคุมแล้ว

 

เจ้าสํานักสืออวถงนั้นไม่เด็ดขาด และสองตระกูลที่อยู่ภายใต้ปกครองของผู้อาวุโสสองคน ผู้อาวุโสเอี๋ยนและผู้อาวุโสฮั่นนั้นก็ไม่ถูกกัน ทําให้เกิดเรื่องตามที่เป็นอยู่นี้

 

เจ้าสํานักเพียงแค่ต้องการความสงบในสํานักและสามารถควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดได้ และสําหรับซ่งจง นางไม่ได้สนใจว่าเขาจะเป็นหรือตาย

 

แน่นอนว่าฟางหยวนไม่รู้เรื่องนี้ แต่เขารู้อย่างหนึ่ง

 

เขาจะอยู่อย่างสุขสงบได้ก็ต่อเมื่อซ่งจงถูกฆ่าแล้วเท่านั้น!

 

แม้ว่าเขาจะจัดการปกปิดร่องรอยตัวเองแล้ว เขาก็ยังไม่แน่ใจว่าจะมีผู้ใดสามารถตามรอยเขาจนได้หรือไม่ ถึงตอนนั้น ถ้ามีผู้ฝึกยุทธ์ระดับ 3 ประตูวิกฤตสั่งให้เขาตาย เขาก็คงหนีไม่พ้นเงื้อมมือคนผู้นั้น

 

“ข้าต้องใช้โอกาสนี้กําจัดเขาเสีย ขณะที่สถานการณ์ยังเป็นใจ!”

 

ฟางหยวนตัดสินใจ สวมเสื้อผ้าแล้วออกวิ่งหายลับไปในไม่

 

การหาข้อมูลเกี่ยวกับช่งจงนั้นง่ายราวปอกกล้วย

 

ทั้งมณฑลกําลังตามล่าตัวเขา

 

ได้ยินว่าคนผู้นั้นฆ่าคนโดยไม่คํานึงถึงชีวิตของตนเองแล้ว เขาเปิดฉากสังหารตลอดทางที่ออกจากสํานัก และหนีหายไปในเขตภูเขาต้าชิง

 

ภูเขาลูกนี้เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาชิงหลิง และหลังจากปิดเส้นทางหลักบนเขาแล้ว ก็มีการจัดกลุ่มลาดตระเวน ผู้ฝึกยุทธ์จํานวนมากนําอาหารแห้งติดตัวตามเข้าไป หวังว่าไม่ช้าไม่นาน เขาก็คงจะถูกจับตัวได้

 

“โอ้! คนเยอะมากขนาดนี้?”

 

ที่ด้านนอกภูเขา ฟางหยวนมองไปเห็นพระอาทิตย์ส่องแสงจ้า และมองไปรอบ ๆ เห็นผู้ฝึกยุทธ์มากมาย เขาพูดไม่ออก “ข้าไม่ควรผลุนผลันเกินไป ข้าก็แค่ต้องตามคนพวกนี้ไปและดูซ่งจงตาย!”

 

แม้ว่าเขาต้าชิงจะมียอดเขาเดียวแต่มันก็ค่อนข้างกว้างใหญ่ภูเขาปกคลุมด้วยหญ้าและต้นไม้ และการจะหาจอมยุทธ์ สักคนที่ซ่อนตัวอยู่ไม่ใช่เรื่องง่าย

 

แต่ฟางหยวนก็ไม่ได้รีบ เขาค่อย ๆ สํารวจบริเวณรอบ ๆ และในเวลาเดียวกันก็ผูกมิตรกับผู้ฝึกยุทธ์คนอื่น ๆ และเริ่มแบ่งปันประสบการณ์กัน

 

จนวันหนึ่ง ในตอนบ่าย เขางีบหลับอยู่บนก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงนุ่มนวลสายหนึ่ง “ศิษย์พี่ นั่นเขา!”

 

น้ำเสียงนุ่มนวลนั่นฟังดูคุ้นเคย

 

เขาหันหน้าไปหาแหล่งที่มาของเสียงแล้วก็อึ้งไป

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+