Carefree Path of Dreams 45: แทรกซึม

Now you are reading Carefree Path of Dreams Chapter 45: แทรกซึม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Chapter 45: แทรกซึม

 

ตอนเช้าตรู่ ฟางหยวนสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบเดินมุ่งไปทางสวนของเขาด้วยท่าทางเกียจคร้าน

ใคร ๆ ก็นึกไม่ถึงหรอกว่า ภายใต้สวนนี้ มีร่างของผู้ฝึกยุทธ์สองคนนอนเป็นปุ๋ยอยู่!

“ตระกูลถั่วนี้อะไรกัน?”

ฟางหยวนคิดขณะขุดหลุม

ผู้ชายทั้งสองคนไม่ใช่คู่มือเขาและสามารถเอาชนะได้อย่างง่ายดายหลังจากทุบตีอยู่อีกพักหนึ่งและใช้ยาข่มขู่พวกมันอีกเล็กน้อยทั้งสองคนก็พ่นทุกอย่างออกมา

 

ตระกูลถั่วนั้นต่างจากตระกูลจางที่เป็นที่รู้จักกันดีตระกูลถั่วนั้นนอกจากเป็นผู้ปกครองหมู่บ้านพื้น ๆ แห่งหนึ่งแล้วก็ไม่ได้มีชื่อเสียงอันใดพวกมันสามารถจัดการกับหลายคนจากตระกูลโจวได้ก็เพราะความเหี้ยมโหดและวิทยายุทธ์ของพวกมัน…

แม้แต่ตระกูลหลินเองยังไม่กล้าท้าทายตระกูลบ้าคลั่งเช่นนี้

 

ฟางหยวนไม่ชอบใจนัก

“บางที ข้าควรทําลายขวัญคนพวกนั้นที่กล้ามาหาเรื่องข้าไปเสีย”

 

ฟางหยวนคิด

 

ก่อนหน้านี้เขาเปล่งประกายเจิดจ้าเกินไป ตอนนี้ทุกคนในเมืองชิงเย่ล้วนรู้ว่าท่านหมอฟางมีความสามารถในการรักษาราวปาฏิหาริย์และยังมีวิทยายุทธ์สูงส่ง

ฟางหยวนสงสัยนักว่าเขาจะยังคงทําไร่ทําสวนต่อไปได้ไหมถ้าผู้อื่นยังคงมาเยี่ยมเยือนเขาเพื่อประโยชน์ของพวกมันในอนาคตเขาอาจจะไม่สามารถทําไร่ทําสวนของเขาต่อไปได้ถ้าตระกูลถั่วยังคงพยายามสอดแนมเขาเช่นนี้

 

ฟางหยวนไม่ได้สนใจตระกูลเล็ก ๆ แบบนั้นแม้ว่าพวกมันแต่ละคนจะมีวิทยายุทธ์สูง มันไม่ใช่เรื่องสําคัญอะไร

พวกมันไม่ได้ก่อปัญหามากมายใดตอนที่โจวตงยังอยู่นั่นบ่งบอกว่าพวกมันไม่มีอะไรให้ต้องเกรงกลัวแล้ว

ดังนั้น ฟางหยวนจึงรู้สึกว่ามันจะดีที่สุดที่จะพัฒนาตัวเองขึ้นไปจะได้มีความมั่นใจมากขึ้น

ฟางหยวนกะพริบตามองหน้าต่างสถานะที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า

“ชื่อ: ฟางหยวน

 

พลังกาย: 3.5

พลังลมปราณ: 3.4

 

พลังเวทย์: 2.2

อายุ: 18

 

ระดับการฝึกตน: ผู้ฝึกยุทธ์ (ประตูทองที่ 6]

วิทยายุทธ์: [ฝ่ามือทรายดํา (ระดับ 5)], [เคล็ดกรงเล็บอินทรีเหล็ก (ระดับ 6)

ความเชี่ยวชาญ: [การรักษา (ระดับ 2)], [การดูแลพืช (ระดับ 3)]

“ตั้งแต่ข้าได้รับพลังภายใน มันกระตุ้นพลังลมปราณและพลังกายของข้าให้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน อาจจะเพราะข้ามีพื้นฐาน แข็งแกร่งเป็นผลให้ค่าสถานะพวกนี้เพิ่มขึ้นครั้งละเยอะเช่นนี้?”

ฟางหยวนสงสัยมาก ผู้ฝึกยุทธ์ระดับประตูทองที่ 6 ทั่วไปคงไม่สามารถเพิ่มค่าสถานะได้มากเท่าเขา

ส่วนการเพิ่มขึ้นของพลังเวทย์ น่าจะเป็นผลจากชาชําระจิต

ฟางหยวนแบ่งชาให้ฮวาหูเตียววันละครั้ง แม้ว่าผลของชานั้นไม่ได้ดีเท่ากับครั้งแรกที่เขาได้ดื่ม แต่เขาก็ยังคงพอใจกับการ เพิ่มขึ้นของพลังเวทย์อย่างสม่ําเสมอ

การผ่านประตูที่พิง ประตูทองที่ 7 จาก 12 ประตูทองนั้นจะทดสอบระดับพลังเวทย์ของผู้ฝึกยุทธ์

 

ด้วยระดับของเขาตอนนี้ เขามีความมั่นใจหกถึงเจ็ดส่วนว่าจะสามารถผ่านประตูจิงไปได้ถ้าฝึกเคล็ดกรงเล็บอินทรีเหล็กของเขาให้ มากพอ!

แค่มีโอกาสสําเร็จเท่านี้ก็ทําให้ผู้อื่นที่ได้รู้ต้องตกตะลึงแล้วแม้แต่อู่จงอย่างสืออวถงก็คงพูดไม่ออก

 

“ฮวาหูเตียว ไปเอาไหทั่วเย่มา!”

หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฟางหยวนก็ไปเอากระบอกไม้ไผ่มาจํานวนหนึ่ง

 

ฮวาหูเตียวรับกระบอกไม้ไผ่มาก่อนจะหายตัววับไปราวกับควันมันแตกต่างจากเมื่อก่อนมากนัก

 

“พลังของฮวาหูเดียวก็เพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ เช่นกัน มันไม่กลัวผงหรดาลแดงแล้วตอนนี้”

 

ฟางหยวนรู้สึกประหลาดใจหลังเห็นภาพนั้น

ส่วนประกอบหลักของไหทั่วเย่คือผงหรดาลแดงซึ่งฮวาหูเตียวเคยไม่ชอบหลังจากฮวาหูเตียวได้รับการฝึกมาระยะหนึ่ง มันก็ไม่กลัวผงหรดาลแดงอีกต่อไปเหลือแค่ไม่ชอบกลิ่นเท่านั้น

 

หลังจากพบเช่นนี้ ฟางหยวนก็ทดสอบอีกหลายครั้งก่อนจะสรุปได้ว่าจุดอ่อนของฮวาหูเตียวนั้นค่อย ๆถูกกําจัดแล้ว

“ใช่แล้ว… สัตว์วิญญาณจําเป็นต้องมีการเติบโตและอาจจะเข้าสู่ขอบเขตแบบเดียวกับอู่จงจุดอ่อนใหญ่หลวงเช่นนี้จะยังคงอยู่ได้เยี่ยงไร?”

ฟางหยวนลูบคางตัวเองและเดาว่ามันอาจจะเป็นผลจากทั้งข้าวและชาวิญญาณทําให้การเติบโตของฮวาหูเตียวเปลี่ยนไปเป็นเช่น

มีข้อมูลไม่เพียงพอที่จะสรุปอะไรออกมา

 

“ก็เ”

ไม่นานนัก ฮวาหูเดียวก็กลับมา มันมองฟางหยวนด้วยสายตาคาดหวัง

“เจ้าเก่งขึ้นเรื่อย ๆ เลย… ข้ารู้แล้ว ข้ารู้แล้ว เจ้าจะได้ชาวิญญาณของเจ้าวันนี้…”

ฟางหยวนมองฮวาหูเตียวและความคิดที่ว่าวันหนึ่งฮวาหูเตียวตายจากไปก็ปรากฏขึ้นในใจ เขาก็อดรู้สึกเสียใจกับความคิดนั้นไม่

“ยังเหลืออีกอย่างหนึ่ง!”

เขาลูบหลังฮวาหูเตียว ดวงตาเย็นเยียบขึ้น “ข้าจะออกไปข้างนอกคืนนี้ ข้าต้องการให้เจ้าคอยดูแลบ้านเอาไว้ กําจัดทุกคนที่เจ้าเห็นเสีย!”

เมืองชิงเย่

 

เป็นค่ําคืนที่มืดสนิทและลมแรง ดวงจันทร์เสี้ยวถูกเมฆบดบัง ขอบฟ้าเป็นสีเทาและดูขมุกขมัว

“เป็นค่ําคืนที่เหมาะสมกับการลงมือสังหารคนอะไรเช่นนี้!

ฟางหยวนวิ่งออกไป ความเร็วของเขาเทียบได้กับม้าวิ่งไม่นานเขาก็มาถึงเมืองชิงเย่

ประตูเมืองปิดลงเรียบร้อยแล้ว ฟางหยวนอดหัวเราะไม่ได้ขณะมองดูกําแพงเมืองทึบสูง เขาหยิบเชือกยาวและตะปูออกมา ตรงไปที่มุมหนึ่งของกําแพงเมือง

 

“กรงเล็บอินทรี!

 

พลังพุ่งเข้าไปในมือทั้งสองข้างของเขาและแข็งแกร่งขึ้นมหาศาลเขาตะปบกําแพงหินและเริ่มต้นปืนปายขึ้นไป ตะปูเข้าในช่องแตกของกําแพงเป็นระยะตะปูพวกนี้จะทําหน้าที่เป็นที่วางเท้าให้เขาปืนต่อไป

เมื่อเขาขึ้นมาได้ครึ่งทาง ฟางหยวนก็เหวี่ยงเชือกขึ้นไปเชือกคล้องเข้ากับก้อนหินด้านบน

“ฝูบ!”

ดึงแรง ๆ ที่หนึ่งฟางหยวนลอยไปเหยียบลงเหนือกําแพงเมืองและหายไปในความมืดโดยไม่มีใครทันสังเกตเห็น

 

“เฮ้อ… ด้วยระดับวิชาของข้าตอนนี้ ข้ายังจําต้องใช้อุปกรณ์ช่วยถ้าข้าสําเร็จวิชาตัวเบา กําแพงเมืองแค่นี้คงไม่นับเป็นกระไรได้…”

 

ฟางหยวนคิดขณะที่ลงจากกําแพงเมืองอย่างรวดเร็ว

เขาสวมเสื้อผ้าสีดําที่กลมกลืนเข้ากับความมืด ดังนั้นเขาจึงไม่เป็นที่สังเกตจากเหล่าทหารเฝ้าประตูที่ง่วงซึมตรงหน้าประตู

“ตระกูลกั่วเอย… ตระกูลถั่ว…”

เขารู้ว่าบ้านตระกูลถั่วอยู่ที่ไหนตอนที่เข้าเมืองมาครั้งก่อน เขาลอบตรงไปที่แห่งนั้น

 

บ้านตระกูลถั่ว

ตระกูลถั่วเป็นตระกูลที่เพิ่งขยับฐานะขึ้นมา บ้านใหญ่นั้นยังคงลักษณะเดียวกับที่อยู่ในหมู่บ้านเอาไว้ มีคนรับใช้ร่างใหญ่เฝ้า ยามหนาแน่นแม้จะเป็นยามกลางคืนก็ยังมีการเดินลาดตระเวน พร้อมสุนัขยามไปรอบ ๆคฤหาสน์

 

ตระกูลถั่วนับเป็นอันดับหนึ่งในเมืองชิงเย์ในแง่กองกําลังและวิทยายุทธ์

ฟางหยวนไม่แน่ใจว่านี้เป็นปกติของตระกูลถั่วอยู่แล้วหรือว่าตระกูลถั่วมีศัตรูจํานวนมากจนต้องรักษาระดับการป้องกันไว้ถึงเพียงนี้

 

ไม่ว่าจะดูแลป้องกันตัวบ้านไว้ดีแค่ไหน กําแพงบ้านก็ยังต่ํากว่ากําแพงเมืองฟางหยวนมองหาโอกาสและกระโดดข้ามกําแพงเข้าไป

“แกร่บ!”

 

ด้านหลังกําแพงเป็นสวน ฟางหยวนกระโดดลงมาบนพื้นหญ้าที่ส่งเสียงเสียดสีกรอบแกรบ

เขาหมุนตัวและวิ่งตรงไปหลังหินก้อนใหญ่อย่างคล่องแคล่ว

“โฮ่ง โฮ่ง!”

คนรับใช้ร่างใหญ่สองคนที่เดินลาดตระเวนมาพร้อมสุนัขล่าเนื้อตัวใหญ่อยู่ไม่ไกลนัก

สุนัขล่าเนื้อนั่นมีขนสีดําเป็นเงาและดวงตาแดงก่ําฟันของมันขาวและคมมันหยุดเดิน มองมาทางที่ฟางหยวนกระโดดลงมาเมื่อครู่ก่อนจะหันไปมองก้อนหินใหญ่

 

“มีอะไรรึ เสี่ยวเฮย?”

หนึ่งในคนรับใช้สงสัย เขาผ่อนสายจูงและปล่อยให้สุนัขเดินไปข้างหน้า

 

สุนัขวิ่งไปถึงมุมหนึ่งของกําแพงและดม ๆ ที่พื้นก่อนจะวิ่งตรงไปที่ก้อนหิน

 

คนรับใช้ทั้งสองมองหน้ากัน ทั้งคู่เริ่มตื่นตัวขึ้นมา หนึ่งในนั้นเอี้อมมือไปที่เอวขณะที่อีกคนกํากระดิ่งเอาไว้ในมือ

“เจ้าสัตว์ตัวดี!”

 

ฟางหยวนเห็นสุนัขล่าเนื้อวิ่งตรงมาทางที่ซ่อนตัวของเขา เขาเพิ่งกําลังภายในไปที่ดวงตาและจ้องมองสุนัขล่าเนื้อสีดํานั่น

ในการเรียนวิทยายุทธ์ มีผู้กล่าวไว้ว่าผู้ที่มีวรยุทธ์สูงสามารถทําให้ศัตรูของตนตกอยู่ในความหวาดกลัวได้เพียงแค่มองโดยไม่ต้องยกนิ้วขึ้นด้วยซ้ํา

 

ด้วยระดับวิทยายุทธ์ตอนนี้ ฟางหยวนนั้นไม่ได้มีความสามารถใกล้เคียงกับคนในตํานานเหล่านั้น แต่ระดับพลังเวทย์ของเขานั้นสูงกว่าคนทั่วไปดังนั้นจึงเอาชนะสัตว์ที่มีจิตใจไม่ซับซ้อนได้โดยง่ายดังนั้นเขาจึงสามารถจัดการกับสุนัขล่าเนื้อนั่นได้

“บรู้ววว..”

สุนัขล่าเนื้อสีดําตัวสั่นรู้สึกหวาดกลัวคล้ายกับม้าที่อยู่โดดเดี่ยวกลางปามีผู้ล่าจับตามองอยู่

 

มันหอนก่อนจะหมุนตัวกลับวิ่งหนีให้ไกลออกมาจากก้อนหินนั่น

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

คนรับใช้ทั้งสองรู้สึกงงงวย

 

“ไอ้หมานี่มันยังหิวอยู่? หรือว่ามันหนวะ?”

คนรับใช้อีกคนผ่อนคลายลงและพูดติดตลก

 

“ในบ้าอะไร? นี่แกคิดว่าผู้อื่นจะเป็นเหมือนแกเหรอคอยแต่มองแม่สาวโคมแดงตามถนน… เสี่ยวเฮยของข้านะ…”

คนรับใช้อีกคนด่า เขาลูบหัวสุนัขสีดําก่อนพูด“ไปกันเถอะเกือบจะได้เวลาเปลี่ยนยามแล้ว กลับห้องของพวกเราดื่มเหล้ากินเนื้อเสียหน่อย…”

“ตกลง!”

คนรับใช้อีกคนพยักหน้า แล้วทั้งคู่ก็เดินออกไป

ฟางหยวนรอจนกระทั่งเสียงฝีเท้าหายไปก่อนจะขยับเข้าไปเขตชั้นในของคฤหาสน์

ลานกลางนั้นค่อนข้างกว้างและมีสิ่งก่อสร้างมากมายตัวคฤหาสน์ราวกับเขาวงกต ฟางหยวนสบถเงียบ ๆ กับตัวเองที่ที่มที่อจนไม่ได้ถามข้อมูลเกี่ยวกับตัวบ้านให้มากพอ

 

“บ้านส่วนใหญ่ก็เหมือน ๆ กันนั่นแหละ ถัดจากส่วนพักผ่อนก็จะเป็นห้องนอนหลัก…”

 

ฟางหยวนปีนกําแพงและยินดีเมื่อเห็นแสงไฟ

 

การจุดตะเกียงนั้นคิดเป็นเงินแล้วแพงมาก มีเพียงเจ้าของบ้านเท่านั้นแหละที่จะสามารถจุดตะเกียงพูดคุยยามค่ําคืน

ขณะที่ฟางหยวนเข้าไปใกล้ขึ้น เขาก็พบว่าการอารักขาในแถบนี้นั้นแน่นหนาขึ้นและรู้ได้ว่าเขามาถูกที่แล้ว

 

ไฟสีส้มถูกจุดขึ้นรอบ ๆ ส่องให้เห็นเงาของคนสองคนในห้อง

 

“ท่านพ่อ เป็นข้าไร้สามารถ เจ้าเจ็ดและเจ้าสิบแปดยังไม่กลับมาเลย!”

ในห้องหนังสือ หัวหน้าตระกูลถั่ว ถั่วจิงหมอบอยู่บนพื้น

ถ้าคนนอกมาเห็นภาพนี้ พวกมันคงจะตระหนกน่าดู

เมื่อไหร่กันที่เจ้าบ้านตระกูลถั่วที่หัวร้อนและไร้เหตุผลเปลี่ยนเป็นว่านอนสอนง่ายและตาขาวราวกระต่ายน้อยเช่นนี้?

“หม?!”

 

ที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเสื่อเป็นชายชราผมขาวดวงตาเป็นประกายผู้หนึ่งชายชราหันหน้ามาด้วยท่าทางสง่าแต่ทั้งห้องกลับราวกับถูกฟ้าผ่ากั่วจิงหดตัวหนีอย่างทนไม่ไหว

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Carefree Path of Dreams 45: แทรกซึม

Now you are reading Carefree Path of Dreams Chapter 45: แทรกซึม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Chapter 45: แทรกซึม

 

ตอนเช้าตรู่ ฟางหยวนสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบเดินมุ่งไปทางสวนของเขาด้วยท่าทางเกียจคร้าน

ใคร ๆ ก็นึกไม่ถึงหรอกว่า ภายใต้สวนนี้ มีร่างของผู้ฝึกยุทธ์สองคนนอนเป็นปุ๋ยอยู่!

“ตระกูลถั่วนี้อะไรกัน?”

ฟางหยวนคิดขณะขุดหลุม

ผู้ชายทั้งสองคนไม่ใช่คู่มือเขาและสามารถเอาชนะได้อย่างง่ายดายหลังจากทุบตีอยู่อีกพักหนึ่งและใช้ยาข่มขู่พวกมันอีกเล็กน้อยทั้งสองคนก็พ่นทุกอย่างออกมา

 

ตระกูลถั่วนั้นต่างจากตระกูลจางที่เป็นที่รู้จักกันดีตระกูลถั่วนั้นนอกจากเป็นผู้ปกครองหมู่บ้านพื้น ๆ แห่งหนึ่งแล้วก็ไม่ได้มีชื่อเสียงอันใดพวกมันสามารถจัดการกับหลายคนจากตระกูลโจวได้ก็เพราะความเหี้ยมโหดและวิทยายุทธ์ของพวกมัน…

แม้แต่ตระกูลหลินเองยังไม่กล้าท้าทายตระกูลบ้าคลั่งเช่นนี้

 

ฟางหยวนไม่ชอบใจนัก

“บางที ข้าควรทําลายขวัญคนพวกนั้นที่กล้ามาหาเรื่องข้าไปเสีย”

 

ฟางหยวนคิด

 

ก่อนหน้านี้เขาเปล่งประกายเจิดจ้าเกินไป ตอนนี้ทุกคนในเมืองชิงเย่ล้วนรู้ว่าท่านหมอฟางมีความสามารถในการรักษาราวปาฏิหาริย์และยังมีวิทยายุทธ์สูงส่ง

ฟางหยวนสงสัยนักว่าเขาจะยังคงทําไร่ทําสวนต่อไปได้ไหมถ้าผู้อื่นยังคงมาเยี่ยมเยือนเขาเพื่อประโยชน์ของพวกมันในอนาคตเขาอาจจะไม่สามารถทําไร่ทําสวนของเขาต่อไปได้ถ้าตระกูลถั่วยังคงพยายามสอดแนมเขาเช่นนี้

 

ฟางหยวนไม่ได้สนใจตระกูลเล็ก ๆ แบบนั้นแม้ว่าพวกมันแต่ละคนจะมีวิทยายุทธ์สูง มันไม่ใช่เรื่องสําคัญอะไร

พวกมันไม่ได้ก่อปัญหามากมายใดตอนที่โจวตงยังอยู่นั่นบ่งบอกว่าพวกมันไม่มีอะไรให้ต้องเกรงกลัวแล้ว

ดังนั้น ฟางหยวนจึงรู้สึกว่ามันจะดีที่สุดที่จะพัฒนาตัวเองขึ้นไปจะได้มีความมั่นใจมากขึ้น

ฟางหยวนกะพริบตามองหน้าต่างสถานะที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า

“ชื่อ: ฟางหยวน

 

พลังกาย: 3.5

พลังลมปราณ: 3.4

 

พลังเวทย์: 2.2

อายุ: 18

 

ระดับการฝึกตน: ผู้ฝึกยุทธ์ (ประตูทองที่ 6]

วิทยายุทธ์: [ฝ่ามือทรายดํา (ระดับ 5)], [เคล็ดกรงเล็บอินทรีเหล็ก (ระดับ 6)

ความเชี่ยวชาญ: [การรักษา (ระดับ 2)], [การดูแลพืช (ระดับ 3)]

“ตั้งแต่ข้าได้รับพลังภายใน มันกระตุ้นพลังลมปราณและพลังกายของข้าให้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน อาจจะเพราะข้ามีพื้นฐาน แข็งแกร่งเป็นผลให้ค่าสถานะพวกนี้เพิ่มขึ้นครั้งละเยอะเช่นนี้?”

ฟางหยวนสงสัยมาก ผู้ฝึกยุทธ์ระดับประตูทองที่ 6 ทั่วไปคงไม่สามารถเพิ่มค่าสถานะได้มากเท่าเขา

ส่วนการเพิ่มขึ้นของพลังเวทย์ น่าจะเป็นผลจากชาชําระจิต

ฟางหยวนแบ่งชาให้ฮวาหูเตียววันละครั้ง แม้ว่าผลของชานั้นไม่ได้ดีเท่ากับครั้งแรกที่เขาได้ดื่ม แต่เขาก็ยังคงพอใจกับการ เพิ่มขึ้นของพลังเวทย์อย่างสม่ําเสมอ

การผ่านประตูที่พิง ประตูทองที่ 7 จาก 12 ประตูทองนั้นจะทดสอบระดับพลังเวทย์ของผู้ฝึกยุทธ์

 

ด้วยระดับของเขาตอนนี้ เขามีความมั่นใจหกถึงเจ็ดส่วนว่าจะสามารถผ่านประตูจิงไปได้ถ้าฝึกเคล็ดกรงเล็บอินทรีเหล็กของเขาให้ มากพอ!

แค่มีโอกาสสําเร็จเท่านี้ก็ทําให้ผู้อื่นที่ได้รู้ต้องตกตะลึงแล้วแม้แต่อู่จงอย่างสืออวถงก็คงพูดไม่ออก

 

“ฮวาหูเตียว ไปเอาไหทั่วเย่มา!”

หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฟางหยวนก็ไปเอากระบอกไม้ไผ่มาจํานวนหนึ่ง

 

ฮวาหูเตียวรับกระบอกไม้ไผ่มาก่อนจะหายตัววับไปราวกับควันมันแตกต่างจากเมื่อก่อนมากนัก

 

“พลังของฮวาหูเดียวก็เพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ เช่นกัน มันไม่กลัวผงหรดาลแดงแล้วตอนนี้”

 

ฟางหยวนรู้สึกประหลาดใจหลังเห็นภาพนั้น

ส่วนประกอบหลักของไหทั่วเย่คือผงหรดาลแดงซึ่งฮวาหูเตียวเคยไม่ชอบหลังจากฮวาหูเตียวได้รับการฝึกมาระยะหนึ่ง มันก็ไม่กลัวผงหรดาลแดงอีกต่อไปเหลือแค่ไม่ชอบกลิ่นเท่านั้น

 

หลังจากพบเช่นนี้ ฟางหยวนก็ทดสอบอีกหลายครั้งก่อนจะสรุปได้ว่าจุดอ่อนของฮวาหูเตียวนั้นค่อย ๆถูกกําจัดแล้ว

“ใช่แล้ว… สัตว์วิญญาณจําเป็นต้องมีการเติบโตและอาจจะเข้าสู่ขอบเขตแบบเดียวกับอู่จงจุดอ่อนใหญ่หลวงเช่นนี้จะยังคงอยู่ได้เยี่ยงไร?”

ฟางหยวนลูบคางตัวเองและเดาว่ามันอาจจะเป็นผลจากทั้งข้าวและชาวิญญาณทําให้การเติบโตของฮวาหูเตียวเปลี่ยนไปเป็นเช่น

มีข้อมูลไม่เพียงพอที่จะสรุปอะไรออกมา

 

“ก็เ”

ไม่นานนัก ฮวาหูเดียวก็กลับมา มันมองฟางหยวนด้วยสายตาคาดหวัง

“เจ้าเก่งขึ้นเรื่อย ๆ เลย… ข้ารู้แล้ว ข้ารู้แล้ว เจ้าจะได้ชาวิญญาณของเจ้าวันนี้…”

ฟางหยวนมองฮวาหูเตียวและความคิดที่ว่าวันหนึ่งฮวาหูเตียวตายจากไปก็ปรากฏขึ้นในใจ เขาก็อดรู้สึกเสียใจกับความคิดนั้นไม่

“ยังเหลืออีกอย่างหนึ่ง!”

เขาลูบหลังฮวาหูเตียว ดวงตาเย็นเยียบขึ้น “ข้าจะออกไปข้างนอกคืนนี้ ข้าต้องการให้เจ้าคอยดูแลบ้านเอาไว้ กําจัดทุกคนที่เจ้าเห็นเสีย!”

เมืองชิงเย่

 

เป็นค่ําคืนที่มืดสนิทและลมแรง ดวงจันทร์เสี้ยวถูกเมฆบดบัง ขอบฟ้าเป็นสีเทาและดูขมุกขมัว

“เป็นค่ําคืนที่เหมาะสมกับการลงมือสังหารคนอะไรเช่นนี้!

ฟางหยวนวิ่งออกไป ความเร็วของเขาเทียบได้กับม้าวิ่งไม่นานเขาก็มาถึงเมืองชิงเย่

ประตูเมืองปิดลงเรียบร้อยแล้ว ฟางหยวนอดหัวเราะไม่ได้ขณะมองดูกําแพงเมืองทึบสูง เขาหยิบเชือกยาวและตะปูออกมา ตรงไปที่มุมหนึ่งของกําแพงเมือง

 

“กรงเล็บอินทรี!

 

พลังพุ่งเข้าไปในมือทั้งสองข้างของเขาและแข็งแกร่งขึ้นมหาศาลเขาตะปบกําแพงหินและเริ่มต้นปืนปายขึ้นไป ตะปูเข้าในช่องแตกของกําแพงเป็นระยะตะปูพวกนี้จะทําหน้าที่เป็นที่วางเท้าให้เขาปืนต่อไป

เมื่อเขาขึ้นมาได้ครึ่งทาง ฟางหยวนก็เหวี่ยงเชือกขึ้นไปเชือกคล้องเข้ากับก้อนหินด้านบน

“ฝูบ!”

ดึงแรง ๆ ที่หนึ่งฟางหยวนลอยไปเหยียบลงเหนือกําแพงเมืองและหายไปในความมืดโดยไม่มีใครทันสังเกตเห็น

 

“เฮ้อ… ด้วยระดับวิชาของข้าตอนนี้ ข้ายังจําต้องใช้อุปกรณ์ช่วยถ้าข้าสําเร็จวิชาตัวเบา กําแพงเมืองแค่นี้คงไม่นับเป็นกระไรได้…”

 

ฟางหยวนคิดขณะที่ลงจากกําแพงเมืองอย่างรวดเร็ว

เขาสวมเสื้อผ้าสีดําที่กลมกลืนเข้ากับความมืด ดังนั้นเขาจึงไม่เป็นที่สังเกตจากเหล่าทหารเฝ้าประตูที่ง่วงซึมตรงหน้าประตู

“ตระกูลกั่วเอย… ตระกูลถั่ว…”

เขารู้ว่าบ้านตระกูลถั่วอยู่ที่ไหนตอนที่เข้าเมืองมาครั้งก่อน เขาลอบตรงไปที่แห่งนั้น

 

บ้านตระกูลถั่ว

ตระกูลถั่วเป็นตระกูลที่เพิ่งขยับฐานะขึ้นมา บ้านใหญ่นั้นยังคงลักษณะเดียวกับที่อยู่ในหมู่บ้านเอาไว้ มีคนรับใช้ร่างใหญ่เฝ้า ยามหนาแน่นแม้จะเป็นยามกลางคืนก็ยังมีการเดินลาดตระเวน พร้อมสุนัขยามไปรอบ ๆคฤหาสน์

 

ตระกูลถั่วนับเป็นอันดับหนึ่งในเมืองชิงเย์ในแง่กองกําลังและวิทยายุทธ์

ฟางหยวนไม่แน่ใจว่านี้เป็นปกติของตระกูลถั่วอยู่แล้วหรือว่าตระกูลถั่วมีศัตรูจํานวนมากจนต้องรักษาระดับการป้องกันไว้ถึงเพียงนี้

 

ไม่ว่าจะดูแลป้องกันตัวบ้านไว้ดีแค่ไหน กําแพงบ้านก็ยังต่ํากว่ากําแพงเมืองฟางหยวนมองหาโอกาสและกระโดดข้ามกําแพงเข้าไป

“แกร่บ!”

 

ด้านหลังกําแพงเป็นสวน ฟางหยวนกระโดดลงมาบนพื้นหญ้าที่ส่งเสียงเสียดสีกรอบแกรบ

เขาหมุนตัวและวิ่งตรงไปหลังหินก้อนใหญ่อย่างคล่องแคล่ว

“โฮ่ง โฮ่ง!”

คนรับใช้ร่างใหญ่สองคนที่เดินลาดตระเวนมาพร้อมสุนัขล่าเนื้อตัวใหญ่อยู่ไม่ไกลนัก

สุนัขล่าเนื้อนั่นมีขนสีดําเป็นเงาและดวงตาแดงก่ําฟันของมันขาวและคมมันหยุดเดิน มองมาทางที่ฟางหยวนกระโดดลงมาเมื่อครู่ก่อนจะหันไปมองก้อนหินใหญ่

 

“มีอะไรรึ เสี่ยวเฮย?”

หนึ่งในคนรับใช้สงสัย เขาผ่อนสายจูงและปล่อยให้สุนัขเดินไปข้างหน้า

 

สุนัขวิ่งไปถึงมุมหนึ่งของกําแพงและดม ๆ ที่พื้นก่อนจะวิ่งตรงไปที่ก้อนหิน

 

คนรับใช้ทั้งสองมองหน้ากัน ทั้งคู่เริ่มตื่นตัวขึ้นมา หนึ่งในนั้นเอี้อมมือไปที่เอวขณะที่อีกคนกํากระดิ่งเอาไว้ในมือ

“เจ้าสัตว์ตัวดี!”

 

ฟางหยวนเห็นสุนัขล่าเนื้อวิ่งตรงมาทางที่ซ่อนตัวของเขา เขาเพิ่งกําลังภายในไปที่ดวงตาและจ้องมองสุนัขล่าเนื้อสีดํานั่น

ในการเรียนวิทยายุทธ์ มีผู้กล่าวไว้ว่าผู้ที่มีวรยุทธ์สูงสามารถทําให้ศัตรูของตนตกอยู่ในความหวาดกลัวได้เพียงแค่มองโดยไม่ต้องยกนิ้วขึ้นด้วยซ้ํา

 

ด้วยระดับวิทยายุทธ์ตอนนี้ ฟางหยวนนั้นไม่ได้มีความสามารถใกล้เคียงกับคนในตํานานเหล่านั้น แต่ระดับพลังเวทย์ของเขานั้นสูงกว่าคนทั่วไปดังนั้นจึงเอาชนะสัตว์ที่มีจิตใจไม่ซับซ้อนได้โดยง่ายดังนั้นเขาจึงสามารถจัดการกับสุนัขล่าเนื้อนั่นได้

“บรู้ววว..”

สุนัขล่าเนื้อสีดําตัวสั่นรู้สึกหวาดกลัวคล้ายกับม้าที่อยู่โดดเดี่ยวกลางปามีผู้ล่าจับตามองอยู่

 

มันหอนก่อนจะหมุนตัวกลับวิ่งหนีให้ไกลออกมาจากก้อนหินนั่น

 

“เกิดอะไรขึ้น?”

คนรับใช้ทั้งสองรู้สึกงงงวย

 

“ไอ้หมานี่มันยังหิวอยู่? หรือว่ามันหนวะ?”

คนรับใช้อีกคนผ่อนคลายลงและพูดติดตลก

 

“ในบ้าอะไร? นี่แกคิดว่าผู้อื่นจะเป็นเหมือนแกเหรอคอยแต่มองแม่สาวโคมแดงตามถนน… เสี่ยวเฮยของข้านะ…”

คนรับใช้อีกคนด่า เขาลูบหัวสุนัขสีดําก่อนพูด“ไปกันเถอะเกือบจะได้เวลาเปลี่ยนยามแล้ว กลับห้องของพวกเราดื่มเหล้ากินเนื้อเสียหน่อย…”

“ตกลง!”

คนรับใช้อีกคนพยักหน้า แล้วทั้งคู่ก็เดินออกไป

ฟางหยวนรอจนกระทั่งเสียงฝีเท้าหายไปก่อนจะขยับเข้าไปเขตชั้นในของคฤหาสน์

ลานกลางนั้นค่อนข้างกว้างและมีสิ่งก่อสร้างมากมายตัวคฤหาสน์ราวกับเขาวงกต ฟางหยวนสบถเงียบ ๆ กับตัวเองที่ที่มที่อจนไม่ได้ถามข้อมูลเกี่ยวกับตัวบ้านให้มากพอ

 

“บ้านส่วนใหญ่ก็เหมือน ๆ กันนั่นแหละ ถัดจากส่วนพักผ่อนก็จะเป็นห้องนอนหลัก…”

 

ฟางหยวนปีนกําแพงและยินดีเมื่อเห็นแสงไฟ

 

การจุดตะเกียงนั้นคิดเป็นเงินแล้วแพงมาก มีเพียงเจ้าของบ้านเท่านั้นแหละที่จะสามารถจุดตะเกียงพูดคุยยามค่ําคืน

ขณะที่ฟางหยวนเข้าไปใกล้ขึ้น เขาก็พบว่าการอารักขาในแถบนี้นั้นแน่นหนาขึ้นและรู้ได้ว่าเขามาถูกที่แล้ว

 

ไฟสีส้มถูกจุดขึ้นรอบ ๆ ส่องให้เห็นเงาของคนสองคนในห้อง

 

“ท่านพ่อ เป็นข้าไร้สามารถ เจ้าเจ็ดและเจ้าสิบแปดยังไม่กลับมาเลย!”

ในห้องหนังสือ หัวหน้าตระกูลถั่ว ถั่วจิงหมอบอยู่บนพื้น

ถ้าคนนอกมาเห็นภาพนี้ พวกมันคงจะตระหนกน่าดู

เมื่อไหร่กันที่เจ้าบ้านตระกูลถั่วที่หัวร้อนและไร้เหตุผลเปลี่ยนเป็นว่านอนสอนง่ายและตาขาวราวกระต่ายน้อยเช่นนี้?

“หม?!”

 

ที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเสื่อเป็นชายชราผมขาวดวงตาเป็นประกายผู้หนึ่งชายชราหันหน้ามาด้วยท่าทางสง่าแต่ทั้งห้องกลับราวกับถูกฟ้าผ่ากั่วจิงหดตัวหนีอย่างทนไม่ไหว

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+