Carefree Path of Dreams 53: เรื่องเร่งด่วน

Now you are reading Carefree Path of Dreams Chapter 53: เรื่องเร่งด่วน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

นิยาย Carefree Path of Dreams

 

Chapter 53: เรื่องเร่งด่วน

 

ฤดูใบไม้ร่วงผ่านไปช้า ๆ เข้าสู่ฤดูหนาวที่หนาวจับใจ

 

หิมะปุยใหญ่ราวขนห่านปลิวลงมาจากฟ้า ครอบคลุมทั้งหุบเขาสันโดษในไม่ช้า

 

ฟางหยวนเปิดหน้าต่างและพ่นลมหายใจสีขาวออกมา

 

ในฐานะที่เขาเป็นผู้มีกําลังภายใน อุณหภูมิภายนอกจึงมีผลต่อร่างกายเขาเพียงเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะสวมเสื้อผ้าบาง ๆ เพียงชั้นเดียว เขาก็ไม่รู้สึกหนาวเลย

 

“แกร็ก! แก๊ก!”

 

อินทรีดําหางเหล็กร้องออกมาที่กลางอากาศก่อนจะร่อนลงมายืนอยู่บนหิมะ ในกรงเล็บที่ยึดไว้แน่นมีซากกวางวัยเยาว์ มองตรงไปที่ฟางหยวน

 

อินทรีดําหางเหล็กตอนนี้นั้นถูกฟางหยวนปรนเปรอด้วย ของวิเศษและอาหารอื่นทุกวัน จนเหมือนว่าแม้ฟางหยวนจะไล่ มันก็คงไม่ยอมกลับไปใช้ชีวิตลําบากในป่าอีกต่อไปแล้ว

 

“กิกิ๊”

 

เมื่อเห็นอาหารชั้นดี ฮวาหูเตียวก็พุ่งตรงเข้ามา เหลือเพียงรอยเท้าบนหิมะที่ดูราวกับกลีบดอกท้อ

 

อินทรีดําหางเหล็กร้องออกมาเมื่อมันเห็นฟางหยวนเดินออกมา ข้อความที่มันสื่อออกมานั้นชัดเจน

 

“โอ้? มีคนรู้จักกําลังมา?”

 

เมื่อได้ทําความรู้จักกันไปบ้าง ฟางหยวนก็เริ่มจับใจความคําพื้น ๆ ที่สัตว์วิญญาณเหล่านี้ใช้ได้ แต่ก็ยังไม่ได้เชี่ยวชาญนัก แต่อย่างน้อยเขาก็มั่นใจได้กับคําง่าย ๆ บางคําที่ใช้สื่อสารกับอินทรีดําหางเหล็ก

 

“งั้นก็หลบให้พ้นจากสายตาหน่อยนะ…”

 

ขณะที่เขาหันไปจัดการกับกวางตัวน้อยเพื่อเป็นอาหารมื้อต่อไป เขาก็บอกกับอินทรีดําหางเหล็กโดยไม่หันหน้าไปหา “ใจเย็นได้ มีข้าววิญญาณและเนื้อย่างส่วนของเจ้าแน่นอนวันนี้…”

 

“แกว๊ก แกว๊ก…”

 

เมื่อฟางหยวนรับรองอีกรอบ อินทรีดําหางเหล็กก็บินจากไปอย่างไม่เต็มใจนัก และกลายเป็นจุดดําเล็ก ๆ หายไปบนท้องฟ้าในเวลาไม่นาน

 

นี่เป็นอาวุธลับของฟางหยวน เขาย่อมไม่อยากเปิดเผยให้ใครรู้โดยง่าย

 

ส่วนการมีอยู่ของฮวาหูเตียว มันไม่ได้เป็นความลับต่อผู้คนที่รู้จักใกล้ชิดเขาอีกต่อไปแล้ว ตรงกันข้าม เมื่อรู้ว่ามีมันอยู่กลับทําให้พวกเขารู้สึกกลัว

 

“โจวเหวินอู่ขอเข้าพบขอรับ นายท่าน!”

 

ไม่นานนัก ฟางหยวนก็เดินไปที่กระท่อมน้อยตามเสียงเรียก ที่นั่น เขาเห็นโจวเหวินอู่ที่ห่มหนังหมาป่าผืนหนาใหญ่ไว้รอบตัวยืนรออยู่เพียงผู้เดียว

 

“ข้าน้อยขอคารวะ!”

 

เห็นฟางหยวนปรากฏตัวขึ้น ดวงตาของโจวเหวินอู่ก็เป็นประกายขณะก้าวมาข้างหน้าและโค้งตัวคารวะ

 

“อืม… เจ้าก็ไม่ใช่คนอื่นไกล ตามข้าเข้าไปข้างใน!”

 

ความซื่อสัตย์และจงรักภักดีของชายผู้นี้นั้นเชื่อถือได้ในระดับหนึ่ง อันที่จริง พวกเขาเคยถูกทดสอบมาก่อนแล้ว พวกเขาถูกฟางหยวนชักใยอยู่เบื้องหลังแบบลับ ๆ และฟางหยวนก็ปฏิบัติกับพวกเขาต่างไปจากผู้อื่น

 

“เจ้าหากองกําลังลึกลับเบื้องหลังตระกูลกั๋วพบหรือยัง?”

 

ฟางหยวนปัดหิมะที่ตกลงบนร่างเขาออก ถามโจวเหวินอู่ด้วยท่าทางเรื่อย ๆ

 

เห็นฟางหยวนไม่รู้สึกสะทกสะท้านกับความเย็นเลยแม้แต่นิด โจวเหวินอู่ก็ยิ่งประทับใจและอิจฉา เขาตอบ “ข้าหาพบแล้ว และก็มาที่นี่เพื่อรายงานนายท่านขอรับ!”

 

“ดีมาก เข้าไปคุยกันข้างในหุบเขา มาได้เวลาดีนัก ข้าววิญญาณหุงสุกพร้อมแล้วด้วย!”

 

ฟางหยวนมองเข้าไปในดวงตาของโจวเหวินอู่ แม้ว่าโจวเหวินอู่จะดูชื่อและบริสุทธิ์ ฟางหยวนยังรู้สึกได้ว่าโจวเหวินอู่มอง เขาอย่างคาดหวัง เมื่อรู้ เขาก็บอก “ด้วยความสามารถเชิงยุทธ์ของเจ้า เจ้าถึงประตูทองที่ห้าแล้วที่เจ้าต้องทําตอนนี้ก็ คือปรับรากฐานและเตรียมทะลายประตูชาง!”

 

“ยิ่งเจ้ามีพื้นฐานแน่นและมั่นคง ก็จะยิ่งมีโอกาสเข้าสู่สามประตูวิกฤติได้มากขึ้น แม้ว่าจะล้มเหลว ผลเสียก็จะไม่รุนแรง ข้าวหยกแดงที่มอบให้เมื่อครั้งสุดท้ายเจ้ากินหมดหรือยัง? คราวนี้ก็เอาไปด้วยอีกสักนิดก็แล้วกัน!”

 

“ขอบพระคุณขอรับนายท่าน!”

 

โจวเหวินอู่หน้าบานขึ้นทันที

 

อย่างไร การได้กินข้าววิญญาณในทุกวันเพื่อเพิ่มความสามารถเชิงยุทธ์นั้นก็เป็นสิทธิพิเศษที่แม้แต่ลูกศิษย์สายตรงของสํานักกุยหลิงยังไม่มี

 

เขาคงโง่มากถ้าเลือกหักหลังฟางหยวน แล้วฟางหยวนยังวางกับดักหนึ่งเอาไว้ในร่างของเขาเพื่อป้องกันล่วงหน้า

 

แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดออกมาอย่างชัดเจน ฟางหยวนก็สมกับที่มีชื่อว่าเป็นหมอเทวดา ความสงสัยใดที่โจวเหวินอู่มีล้วนถูกลบไปในทันที

 

แม้ว่าฟางหยวนจะสั่งให้เขาไปสู้กับสํานักกุยหลิง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะยังทําตามที่ฟางหยวนบอก

 

ถึงอย่างนี้แล้ว ฟางหยวนก็ยังคงระแวงเขาอยู่ส่วนหนึ่ง

 

อย่างน้อยเขาก็ยังเก็บเรื่องชาวิญญาณและอินทรีดําหางเหล็กเอาไว้เป็นความลับ

 

“คารวะท่านหนูเตียว!”

 

หลังจากก้าวเข้ามาในหุบเขาและเห็นฮวาหูเตียว เขาก็กลายเป็นยิ่งนอบน้อม

 

ถึงตอนนี้ เขารู้แล้วว่าฮวาหูเตียวเป็นสัตว์วิญญาณอารักษ์ของหุบเขาและยังมีหน้าที่ในการดูแลข้าวหยกแดง

 

ความลับระดับนี้คู่ควรให้สัตว์วิญญาณอารักษ์เป็นผู้ดูแลจริง ๆ นั่นแหละ

 

นึกถึงครั้งแรกที่เขาได้พบฮวาหูเตียว มันไม่สนใจเขาเลย มันกอดชามกระเบื้องใบใหญ่เอาไว้แล้วสนใจเพียงกินข้าววิญญาณในนั้นอย่างตะกละตะกราม ภาพนั้นทําให้โจวเหวินอู่รู้ สึกไม่สบายใจมาก

 

มันน่าอายและรับไม่ได้!

 

ไม่เพียงแต่เขาจะพ่ายแพ้ต่อสัตว์เลี้ยงระดับวิญญาณของฟางหยวน แม้แต่อาหารการกินของเขาก็ยังไม่สู้เจ้าสัตว์เลี้ยงนี้ เขาช่างน่าสงสารและลําเค็ญถึงเพียงไหนกันนะ?

 

“อย่างน้อยนี้ก็ไม่เลวร้ายเกินไป… ฟางหยวนยังคงมอบข้าววิญญาณให้ข้าอยู่บ้าง แม้ว่าจะไม่มากเท่าให้หนูเตียว…”

 

ถึงตรงนี้ โจวเหวินอู่ก็รู้สึกสบายใจขึ้นนิดหน่อยว่าอย่างน้อยฟางหยวนก็ปฏิบัติกับเขาดีเท่า ๆ กับสัตว์เลี้ยงของเขา แต่ที่โจวเหวินอู่ไม่รู้ก็คือ ฟางหยวนไม่ได้ให้ค่าข้าวหยกแดงสูงอย่างเขา

 

“นั่งสิ!”

 

เข้าไปในกระท่อม ฟางหยวนหยิบเบาะรองนั่งและเทน้ําชาใสแจ๋วถ้วยหนึ่ง แม้ว่านี่จะเป็นชาธรรมดา โจวเหวินอู่ก็รู้สึกว่าได้รับการดูแลดีกว่าที่คิดและรู้สึกพูดไม่ออก

 

“เจ้าพบผู้อยู่เบื้องหลังตระกูลกั๋วแล้ว?”

 

ฟางหยวนปัดหิมะบนร่างออกก่อนจะนั่งลง

“ขอรับ..”

 

ขณะที่โจวเหวินอู่พูดถึงเรื่องนี้ เขาก็ต้องรู้สึกเสียหน้านัก

 

แม้จะมีคําเตือนล่วงหน้าของฟางหยวนและยาช่วยรักษาชีวิตของเขาเอาไว้ แต่เขาก็เกือบจะตายตกภายใต้เงื้อมมือของตระกูลกั๋ว

 

“เพราะความล้มเหลวเมื่อครั้งก่อน สํานักของเราจึงกระจายกลุ่มคนนําโดยผู้อาวุโสไปลงมือกับกลุ่มคนเบื้องหลัง ตระกูลกั๋วอีกครั้ง หลังจากการประมือรุนแรงหลายครั้ง ในที่ สุดพวกเขาก็พบว่ากองกําลังเบื้องหลังตระกูลคิ้วคือสํานักห้าผี!”

 

โจวเหวินอู่พูดอย่างโมโห

 

“สํานักห้าผี?!”

 

ฟางหยวนยนคิ้ว ดูเหมือนกับว่าเขาไม่รู้สถานการณ์รอบด้านอย่างที่เขาคิดว่าเขารู้

 

“สํานักนี้เก็บตัวและลึกลับอย่างที่สุด พวกมันมักจะทําการอยู่ในมณฑลเลี่ยหยาง พวกเราเพิ่งพบว่าบรรพบุรุษของตระกูลกั๋วนั้นเป็นลูกศิษย์ที่มีชื่อเสียงของสํานักห้าผี…”

 

โจวเหวินอู่ถอนหายใจก่อนจะพูดต่อ “สํานักห้าผีนั้นเป็นสํานักหนึ่งที่มีอํานาจสูงมากที่อีกด้านของเทือกเขานี้ มีอํานาจเกือบเท่ากับสํานักกุยหลิง พวกมันยังลึกลับและโหดเหี้ยมกว่าสํานักกุยหลิงด้วย ที่มันส่งตระกูลถั่วเข้ามาและยังส่งผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงมาด้วยคราวนี้ มันดูเหมือนว่ากําลังตามหาอะไรบางอย่าง…”

 

“โอ้? พวกมันตามหาอะไรรึ?”

 

หัวใจของฟางหยวนเต้นผิดจังหวะไปนิดหนึ่ง และรีบถามทันที

 

“ข้าเองก็ไม่มั่นใจนัก แต่มันต้องเป็นสมบัติชิ้นหนึ่งแน่นอน! มันถูกขโมยออกมาโดยคนทรยศผู้หนึ่ง แต่ก็ผ่านมานานแล้วตั้งแต่นั้น ข้าเกรงว่ามันคงจะหายไปแล้ว…”

 

โจวเหวินอู่ส่ายหน้า และพูดต่ออีกว่า “สํานักกุยหลิงยังต้อง สูญเสียครั้งใหญ่ด้วย ข้ายังได้ยินมาว่าช่วงนี้ตระกูลถั่วก็สูญเสี ยอย่างหนัก และยังปรากฏว่าระดับสูงจากสํานักห้าผีก็พบว่า พวกมันไม่ได้ประโยชน์ใดนักจากในบริเวณนี้และเริ่มถอนตัว…”

 

“ถอนตัว”

 

ฟางหยวนพยักหน้าแล้วถาม “เป็นเพราะสํานักกุยหลิงหรือ?”

 

“ถูกต้อง!”

 

โจวเหวินอู่พยักหนาและตอบด้วยน้ําเสียงภาคภูมิใจเล็ก ๆ “ปฏิกิริยาของพวกมันทําให้เจ้าสํานักของเราตกตะลึง พวกเขาเตรียมจะส่งผู้อาวุโสฮั่นลงมา ไม่ว่าสํานักห้าผีจะกล้าหาญหรือหยิ่งทระนงเพียงใด เมืองชิงเย่ก็เป็นเขตของพวกเราสํานักกุยหลิง! เพียงแต่ว่า…”

 

โจวเหวินอู่ดูลังเลและเริ่มตะกุกตะกัก “การถอนตัวของสํานักห้าผีดูจะเป็นเพราะพวกมันต้องรวมกําลังไปจัดการกับบางเรื่องที่สํานักของมัน… เจ้าสํานักของเราสั่งให้ทํา การสืบสวนและการเผชิญหน้ากันของพวกเรากับมันก็ยังคงดําเนินต่อ!”

 

“อ้อ เป็นเช่นนั้นนั่นเอง…”

 

หลังจากฟังเรื่อง ฟางหยวนก็เงียบไปครู่หนึ่ง

 

เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่สานักกุยหลิงลงมือทําตอนนี้นั้นก็ช่วยให้เขาพ้นเคราะห์ไปด้วย

 

แม้ว่าสํานักกุยหลิงจะดึงดูดความสนใจเกือบทั้งหมดของสํานักห้าผีไปอยู่กับตัวแล้ว สํานักห้าผีก็ยังมุ่งหน้าตรงมาที่หุบเขานี้อยู่ดี

 

ฟางหยวนนั้นสงสัยในการตัดสินใจถอนกําลังของพวกมันตอนนี้จริง ๆ

 

เมืองชิงเย่เป็นเขตปกครองของสํานักกุยหลิงและยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาได้รับการสนับสนุนจากอู่จง

 

มันดูมีเหตุผลที่พวกเขาจะถอนตัวเมื่อถูกสืออองเพ่งเล็ง แต่จากที่โจวเหวินอู่เล่ามา กลายเป็นว่าพวกมันมีจุดประสงค์แอบแฝง

 

“ดูเหมือนว่า…ข้าคงต้องออกจากหุบเขานี่จริง ๆ แล้ว!”

 

ฟางหยวนโบกมือเป็นการบอกให้โจวเหวินอู่กลับไปก่อน หลังจากตรึกตรองอย่างหนักในที่สุดเขาก็ตัดสินใจ

 

ฟางหยวนเริ่มสงสัยในแผนที่สมบัติที่ไม่สมบูรณ์ที่ได้รับความสนใจจากสํานักห้าผี น่าจะต้องมีอะไรมากกว่านี้

 

….

 

ตระกูลกั๋ว

 

รถม้าหลายคันจอดเรียงรายเป็นระเบียบในลักษณะพร้อมออกเดินทาง สมาชิกของตระกูลกั๋วดูกระวนกระวาย ผู้หญิงหลายคนสะอึกสะอื้น อย่างไรเสีย พวกเขาก็กําลังจะทิ้งบ้านเรือนไปและยังไม่รู้ว่าจะได้กลับมาอีกเมื่อไหร่

 

“ฮึม ทั้งหมดที่พวกเจ้ารู้ก็คือวิธีร้องไห้หรือ! รู้จักแต่จะเป็นภาระ!”

 

ที่ด้านข้าง คนชุดสีดําบนหลังม้าตัวโตที่มีท่าทางเคร่งขรึมตะโกนลงมาอย่างโมโห “หยุดกิริยาเช่นนั้นซะแล้วลงมือให้เร็วกว่านี้”

 

“อาจารย์ ทําไมพวกเราต้องช่วยตระกูลนี้ด้วย? ยังไงเสีย นอกจากผู้อาวุโสของตระกูลกั๋วแล้ว คนธรรมดาพวกนี้ก็หาได้มีประโยชน์กับสํานักเราไม่?”

 

หนึ่งในลูกศิษย์ที่มีรอยปักรูปกะโหลกประดับอยู่ด้านหน้า ชุดคลุมบ่นกับผู้อาวุโสที่อยู่ข้างกัน

 

“เจ้างั่ง!”

 

ผู้อาวุโสฉุนเฉียวขึ้นมาอย่างไม่คาดคิดและพูด “ผู้อาวุโสจากตระกูลกั๋วเสียสละชีวิตตัวเองเพื่อสํานักของเราแล้วตอนนี้ในสถานการณ์เช่นนี้ พวกเรายังเป็นเหตุให้พวกเขาสูญเสียชีวิตคนในตระกูลมากขึ้น ถ้าพวกเราทิ้งพวกเขาไว้เช่นนั้น ศิษย์อื่น ๆ ของเราย่อมสูญเสียความหวังและความมั่นใจในตัวพวกเรา เจ้าต้องเข้าใจนะว่าอันที่จริงแล้วคนธรรมดาเช่นนี้แหละที่เป็นรากฐานของสํานักของเรา…”

 

“ฮึ่ม สำนักกุยหลิง…”

 

ผู้ฝึกยุทธ์รุ่นเยาว์ผู้หนึ่งเสียดสีขึ้น “แล้วจําเป็นถึงขนาดต้องให้ระดับประตูทองที่เจ็ดหรือแปดเข้าร่วมภารกิจนี้ด้วยหรือ?”

 

“เหอเหอ ก็เป็นเพราะจอมยุทธ์ระดับกําลังภายในเข้ามาร่วมด้วยเรื่องถึงได้ง่าย…”

 

ผู้อาวุโสส่ายหน้าก่อนพูด “เพราะว่าข้าได้ยินข่าวว่าผู้อาวุโสฮั่นจะเดินทางมาพร้อมกับกําลังเสริมของสํานักกุยหลิง เขารวมหยินหยางสําเร็จตั้งแต่เมื่อยี่สิบปีก่อน และเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับ 4 ประตูสวรรค์…. ข้าเองก็ไม่อยากจะพูด แต่ว่าข้าก็ต้องยอมรับว่าเขาเหนือกว่าข้า!”

 

“การเดินทางมาเมืองชิงเย่คราวนี้ไม่ดีเลยจริง ๆ”

 

เมื่อถูกเขาฟาดเข้าด้วยข่าวร้าย ผู้ฝึกยุทธ์รุ่นเยาว์ตอนนี้กลับมีท่าทางกระวนกระวายและพูด “คราวนี้พวกเราสูญเสียไปมาก ขณะที่ศิษย์สานักกุยหลิง แม้จะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ก็ยังสามารถฟื้นฟูความแข็งแกร่งกลับมาได้อย่างง่ายดาย และรวดเร็ว…”

 

“ใช่ ข้าได้ยินมาว่ามีหมอเทวดาอยู่ในพื้นที่นี่ เห็นว่าเขาสามารถปลุกคนตายให้ฟื้นคืนชีพได้ข่าวยังบอกว่าเขาเก่งกาจราวเทพเจ้า ซึ่งฟังดูน่าขํา แต่เท่าที่เห็นดูเหมือนว่าข่าวลือจะเป็นจริง ถ้ามีโอกาส ข้าก็อยากจะพบคนผู้นี้สักครั้ง…”

 

ผู้อาวุโสดึงบังเหียนม้าแล้วออกเดินทางโดยไม่หันกลับมาพูดขึ้นว่า “ส่วนตอนนี้ ไม่มีอะไรสําคัญไปกว่างานของสํานักของเรา เมื่อพวกเจ้าออกจากมณฑลชิงเหอแล้ว ก็พาคนกลุ่มนี้ไปที่มณฑลเลี่ยหยางพร้อมกับศิษย์พี่ที่เหลือของพวกเจ้า ข้าจะล่วงหน้าไปก่อนแล้ว!”

 

หลังจากพูดจบประโยค เขาก็เร่งฝีเท้าม้าเต็มความเร็วแล้ว หายลับไปในเวลาไม่นานโดยไม่หันกลับมา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Carefree Path of Dreams 53: เรื่องเร่งด่วน

Now you are reading Carefree Path of Dreams Chapter 53: เรื่องเร่งด่วน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

นิยาย Carefree Path of Dreams

 

Chapter 53: เรื่องเร่งด่วน

 

ฤดูใบไม้ร่วงผ่านไปช้า ๆ เข้าสู่ฤดูหนาวที่หนาวจับใจ

 

หิมะปุยใหญ่ราวขนห่านปลิวลงมาจากฟ้า ครอบคลุมทั้งหุบเขาสันโดษในไม่ช้า

 

ฟางหยวนเปิดหน้าต่างและพ่นลมหายใจสีขาวออกมา

 

ในฐานะที่เขาเป็นผู้มีกําลังภายใน อุณหภูมิภายนอกจึงมีผลต่อร่างกายเขาเพียงเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะสวมเสื้อผ้าบาง ๆ เพียงชั้นเดียว เขาก็ไม่รู้สึกหนาวเลย

 

“แกร็ก! แก๊ก!”

 

อินทรีดําหางเหล็กร้องออกมาที่กลางอากาศก่อนจะร่อนลงมายืนอยู่บนหิมะ ในกรงเล็บที่ยึดไว้แน่นมีซากกวางวัยเยาว์ มองตรงไปที่ฟางหยวน

 

อินทรีดําหางเหล็กตอนนี้นั้นถูกฟางหยวนปรนเปรอด้วย ของวิเศษและอาหารอื่นทุกวัน จนเหมือนว่าแม้ฟางหยวนจะไล่ มันก็คงไม่ยอมกลับไปใช้ชีวิตลําบากในป่าอีกต่อไปแล้ว

 

“กิกิ๊”

 

เมื่อเห็นอาหารชั้นดี ฮวาหูเตียวก็พุ่งตรงเข้ามา เหลือเพียงรอยเท้าบนหิมะที่ดูราวกับกลีบดอกท้อ

 

อินทรีดําหางเหล็กร้องออกมาเมื่อมันเห็นฟางหยวนเดินออกมา ข้อความที่มันสื่อออกมานั้นชัดเจน

 

“โอ้? มีคนรู้จักกําลังมา?”

 

เมื่อได้ทําความรู้จักกันไปบ้าง ฟางหยวนก็เริ่มจับใจความคําพื้น ๆ ที่สัตว์วิญญาณเหล่านี้ใช้ได้ แต่ก็ยังไม่ได้เชี่ยวชาญนัก แต่อย่างน้อยเขาก็มั่นใจได้กับคําง่าย ๆ บางคําที่ใช้สื่อสารกับอินทรีดําหางเหล็ก

 

“งั้นก็หลบให้พ้นจากสายตาหน่อยนะ…”

 

ขณะที่เขาหันไปจัดการกับกวางตัวน้อยเพื่อเป็นอาหารมื้อต่อไป เขาก็บอกกับอินทรีดําหางเหล็กโดยไม่หันหน้าไปหา “ใจเย็นได้ มีข้าววิญญาณและเนื้อย่างส่วนของเจ้าแน่นอนวันนี้…”

 

“แกว๊ก แกว๊ก…”

 

เมื่อฟางหยวนรับรองอีกรอบ อินทรีดําหางเหล็กก็บินจากไปอย่างไม่เต็มใจนัก และกลายเป็นจุดดําเล็ก ๆ หายไปบนท้องฟ้าในเวลาไม่นาน

 

นี่เป็นอาวุธลับของฟางหยวน เขาย่อมไม่อยากเปิดเผยให้ใครรู้โดยง่าย

 

ส่วนการมีอยู่ของฮวาหูเตียว มันไม่ได้เป็นความลับต่อผู้คนที่รู้จักใกล้ชิดเขาอีกต่อไปแล้ว ตรงกันข้าม เมื่อรู้ว่ามีมันอยู่กลับทําให้พวกเขารู้สึกกลัว

 

“โจวเหวินอู่ขอเข้าพบขอรับ นายท่าน!”

 

ไม่นานนัก ฟางหยวนก็เดินไปที่กระท่อมน้อยตามเสียงเรียก ที่นั่น เขาเห็นโจวเหวินอู่ที่ห่มหนังหมาป่าผืนหนาใหญ่ไว้รอบตัวยืนรออยู่เพียงผู้เดียว

 

“ข้าน้อยขอคารวะ!”

 

เห็นฟางหยวนปรากฏตัวขึ้น ดวงตาของโจวเหวินอู่ก็เป็นประกายขณะก้าวมาข้างหน้าและโค้งตัวคารวะ

 

“อืม… เจ้าก็ไม่ใช่คนอื่นไกล ตามข้าเข้าไปข้างใน!”

 

ความซื่อสัตย์และจงรักภักดีของชายผู้นี้นั้นเชื่อถือได้ในระดับหนึ่ง อันที่จริง พวกเขาเคยถูกทดสอบมาก่อนแล้ว พวกเขาถูกฟางหยวนชักใยอยู่เบื้องหลังแบบลับ ๆ และฟางหยวนก็ปฏิบัติกับพวกเขาต่างไปจากผู้อื่น

 

“เจ้าหากองกําลังลึกลับเบื้องหลังตระกูลกั๋วพบหรือยัง?”

 

ฟางหยวนปัดหิมะที่ตกลงบนร่างเขาออก ถามโจวเหวินอู่ด้วยท่าทางเรื่อย ๆ

 

เห็นฟางหยวนไม่รู้สึกสะทกสะท้านกับความเย็นเลยแม้แต่นิด โจวเหวินอู่ก็ยิ่งประทับใจและอิจฉา เขาตอบ “ข้าหาพบแล้ว และก็มาที่นี่เพื่อรายงานนายท่านขอรับ!”

 

“ดีมาก เข้าไปคุยกันข้างในหุบเขา มาได้เวลาดีนัก ข้าววิญญาณหุงสุกพร้อมแล้วด้วย!”

 

ฟางหยวนมองเข้าไปในดวงตาของโจวเหวินอู่ แม้ว่าโจวเหวินอู่จะดูชื่อและบริสุทธิ์ ฟางหยวนยังรู้สึกได้ว่าโจวเหวินอู่มอง เขาอย่างคาดหวัง เมื่อรู้ เขาก็บอก “ด้วยความสามารถเชิงยุทธ์ของเจ้า เจ้าถึงประตูทองที่ห้าแล้วที่เจ้าต้องทําตอนนี้ก็ คือปรับรากฐานและเตรียมทะลายประตูชาง!”

 

“ยิ่งเจ้ามีพื้นฐานแน่นและมั่นคง ก็จะยิ่งมีโอกาสเข้าสู่สามประตูวิกฤติได้มากขึ้น แม้ว่าจะล้มเหลว ผลเสียก็จะไม่รุนแรง ข้าวหยกแดงที่มอบให้เมื่อครั้งสุดท้ายเจ้ากินหมดหรือยัง? คราวนี้ก็เอาไปด้วยอีกสักนิดก็แล้วกัน!”

 

“ขอบพระคุณขอรับนายท่าน!”

 

โจวเหวินอู่หน้าบานขึ้นทันที

 

อย่างไร การได้กินข้าววิญญาณในทุกวันเพื่อเพิ่มความสามารถเชิงยุทธ์นั้นก็เป็นสิทธิพิเศษที่แม้แต่ลูกศิษย์สายตรงของสํานักกุยหลิงยังไม่มี

 

เขาคงโง่มากถ้าเลือกหักหลังฟางหยวน แล้วฟางหยวนยังวางกับดักหนึ่งเอาไว้ในร่างของเขาเพื่อป้องกันล่วงหน้า

 

แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดออกมาอย่างชัดเจน ฟางหยวนก็สมกับที่มีชื่อว่าเป็นหมอเทวดา ความสงสัยใดที่โจวเหวินอู่มีล้วนถูกลบไปในทันที

 

แม้ว่าฟางหยวนจะสั่งให้เขาไปสู้กับสํานักกุยหลิง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะยังทําตามที่ฟางหยวนบอก

 

ถึงอย่างนี้แล้ว ฟางหยวนก็ยังคงระแวงเขาอยู่ส่วนหนึ่ง

 

อย่างน้อยเขาก็ยังเก็บเรื่องชาวิญญาณและอินทรีดําหางเหล็กเอาไว้เป็นความลับ

 

“คารวะท่านหนูเตียว!”

 

หลังจากก้าวเข้ามาในหุบเขาและเห็นฮวาหูเตียว เขาก็กลายเป็นยิ่งนอบน้อม

 

ถึงตอนนี้ เขารู้แล้วว่าฮวาหูเตียวเป็นสัตว์วิญญาณอารักษ์ของหุบเขาและยังมีหน้าที่ในการดูแลข้าวหยกแดง

 

ความลับระดับนี้คู่ควรให้สัตว์วิญญาณอารักษ์เป็นผู้ดูแลจริง ๆ นั่นแหละ

 

นึกถึงครั้งแรกที่เขาได้พบฮวาหูเตียว มันไม่สนใจเขาเลย มันกอดชามกระเบื้องใบใหญ่เอาไว้แล้วสนใจเพียงกินข้าววิญญาณในนั้นอย่างตะกละตะกราม ภาพนั้นทําให้โจวเหวินอู่รู้ สึกไม่สบายใจมาก

 

มันน่าอายและรับไม่ได้!

 

ไม่เพียงแต่เขาจะพ่ายแพ้ต่อสัตว์เลี้ยงระดับวิญญาณของฟางหยวน แม้แต่อาหารการกินของเขาก็ยังไม่สู้เจ้าสัตว์เลี้ยงนี้ เขาช่างน่าสงสารและลําเค็ญถึงเพียงไหนกันนะ?

 

“อย่างน้อยนี้ก็ไม่เลวร้ายเกินไป… ฟางหยวนยังคงมอบข้าววิญญาณให้ข้าอยู่บ้าง แม้ว่าจะไม่มากเท่าให้หนูเตียว…”

 

ถึงตรงนี้ โจวเหวินอู่ก็รู้สึกสบายใจขึ้นนิดหน่อยว่าอย่างน้อยฟางหยวนก็ปฏิบัติกับเขาดีเท่า ๆ กับสัตว์เลี้ยงของเขา แต่ที่โจวเหวินอู่ไม่รู้ก็คือ ฟางหยวนไม่ได้ให้ค่าข้าวหยกแดงสูงอย่างเขา

 

“นั่งสิ!”

 

เข้าไปในกระท่อม ฟางหยวนหยิบเบาะรองนั่งและเทน้ําชาใสแจ๋วถ้วยหนึ่ง แม้ว่านี่จะเป็นชาธรรมดา โจวเหวินอู่ก็รู้สึกว่าได้รับการดูแลดีกว่าที่คิดและรู้สึกพูดไม่ออก

 

“เจ้าพบผู้อยู่เบื้องหลังตระกูลกั๋วแล้ว?”

 

ฟางหยวนปัดหิมะบนร่างออกก่อนจะนั่งลง

“ขอรับ..”

 

ขณะที่โจวเหวินอู่พูดถึงเรื่องนี้ เขาก็ต้องรู้สึกเสียหน้านัก

 

แม้จะมีคําเตือนล่วงหน้าของฟางหยวนและยาช่วยรักษาชีวิตของเขาเอาไว้ แต่เขาก็เกือบจะตายตกภายใต้เงื้อมมือของตระกูลกั๋ว

 

“เพราะความล้มเหลวเมื่อครั้งก่อน สํานักของเราจึงกระจายกลุ่มคนนําโดยผู้อาวุโสไปลงมือกับกลุ่มคนเบื้องหลัง ตระกูลกั๋วอีกครั้ง หลังจากการประมือรุนแรงหลายครั้ง ในที่ สุดพวกเขาก็พบว่ากองกําลังเบื้องหลังตระกูลคิ้วคือสํานักห้าผี!”

 

โจวเหวินอู่พูดอย่างโมโห

 

“สํานักห้าผี?!”

 

ฟางหยวนยนคิ้ว ดูเหมือนกับว่าเขาไม่รู้สถานการณ์รอบด้านอย่างที่เขาคิดว่าเขารู้

 

“สํานักนี้เก็บตัวและลึกลับอย่างที่สุด พวกมันมักจะทําการอยู่ในมณฑลเลี่ยหยาง พวกเราเพิ่งพบว่าบรรพบุรุษของตระกูลกั๋วนั้นเป็นลูกศิษย์ที่มีชื่อเสียงของสํานักห้าผี…”

 

โจวเหวินอู่ถอนหายใจก่อนจะพูดต่อ “สํานักห้าผีนั้นเป็นสํานักหนึ่งที่มีอํานาจสูงมากที่อีกด้านของเทือกเขานี้ มีอํานาจเกือบเท่ากับสํานักกุยหลิง พวกมันยังลึกลับและโหดเหี้ยมกว่าสํานักกุยหลิงด้วย ที่มันส่งตระกูลถั่วเข้ามาและยังส่งผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงมาด้วยคราวนี้ มันดูเหมือนว่ากําลังตามหาอะไรบางอย่าง…”

 

“โอ้? พวกมันตามหาอะไรรึ?”

 

หัวใจของฟางหยวนเต้นผิดจังหวะไปนิดหนึ่ง และรีบถามทันที

 

“ข้าเองก็ไม่มั่นใจนัก แต่มันต้องเป็นสมบัติชิ้นหนึ่งแน่นอน! มันถูกขโมยออกมาโดยคนทรยศผู้หนึ่ง แต่ก็ผ่านมานานแล้วตั้งแต่นั้น ข้าเกรงว่ามันคงจะหายไปแล้ว…”

 

โจวเหวินอู่ส่ายหน้า และพูดต่ออีกว่า “สํานักกุยหลิงยังต้อง สูญเสียครั้งใหญ่ด้วย ข้ายังได้ยินมาว่าช่วงนี้ตระกูลถั่วก็สูญเสี ยอย่างหนัก และยังปรากฏว่าระดับสูงจากสํานักห้าผีก็พบว่า พวกมันไม่ได้ประโยชน์ใดนักจากในบริเวณนี้และเริ่มถอนตัว…”

 

“ถอนตัว”

 

ฟางหยวนพยักหน้าแล้วถาม “เป็นเพราะสํานักกุยหลิงหรือ?”

 

“ถูกต้อง!”

 

โจวเหวินอู่พยักหนาและตอบด้วยน้ําเสียงภาคภูมิใจเล็ก ๆ “ปฏิกิริยาของพวกมันทําให้เจ้าสํานักของเราตกตะลึง พวกเขาเตรียมจะส่งผู้อาวุโสฮั่นลงมา ไม่ว่าสํานักห้าผีจะกล้าหาญหรือหยิ่งทระนงเพียงใด เมืองชิงเย่ก็เป็นเขตของพวกเราสํานักกุยหลิง! เพียงแต่ว่า…”

 

โจวเหวินอู่ดูลังเลและเริ่มตะกุกตะกัก “การถอนตัวของสํานักห้าผีดูจะเป็นเพราะพวกมันต้องรวมกําลังไปจัดการกับบางเรื่องที่สํานักของมัน… เจ้าสํานักของเราสั่งให้ทํา การสืบสวนและการเผชิญหน้ากันของพวกเรากับมันก็ยังคงดําเนินต่อ!”

 

“อ้อ เป็นเช่นนั้นนั่นเอง…”

 

หลังจากฟังเรื่อง ฟางหยวนก็เงียบไปครู่หนึ่ง

 

เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่สานักกุยหลิงลงมือทําตอนนี้นั้นก็ช่วยให้เขาพ้นเคราะห์ไปด้วย

 

แม้ว่าสํานักกุยหลิงจะดึงดูดความสนใจเกือบทั้งหมดของสํานักห้าผีไปอยู่กับตัวแล้ว สํานักห้าผีก็ยังมุ่งหน้าตรงมาที่หุบเขานี้อยู่ดี

 

ฟางหยวนนั้นสงสัยในการตัดสินใจถอนกําลังของพวกมันตอนนี้จริง ๆ

 

เมืองชิงเย่เป็นเขตปกครองของสํานักกุยหลิงและยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาได้รับการสนับสนุนจากอู่จง

 

มันดูมีเหตุผลที่พวกเขาจะถอนตัวเมื่อถูกสืออองเพ่งเล็ง แต่จากที่โจวเหวินอู่เล่ามา กลายเป็นว่าพวกมันมีจุดประสงค์แอบแฝง

 

“ดูเหมือนว่า…ข้าคงต้องออกจากหุบเขานี่จริง ๆ แล้ว!”

 

ฟางหยวนโบกมือเป็นการบอกให้โจวเหวินอู่กลับไปก่อน หลังจากตรึกตรองอย่างหนักในที่สุดเขาก็ตัดสินใจ

 

ฟางหยวนเริ่มสงสัยในแผนที่สมบัติที่ไม่สมบูรณ์ที่ได้รับความสนใจจากสํานักห้าผี น่าจะต้องมีอะไรมากกว่านี้

 

….

 

ตระกูลกั๋ว

 

รถม้าหลายคันจอดเรียงรายเป็นระเบียบในลักษณะพร้อมออกเดินทาง สมาชิกของตระกูลกั๋วดูกระวนกระวาย ผู้หญิงหลายคนสะอึกสะอื้น อย่างไรเสีย พวกเขาก็กําลังจะทิ้งบ้านเรือนไปและยังไม่รู้ว่าจะได้กลับมาอีกเมื่อไหร่

 

“ฮึม ทั้งหมดที่พวกเจ้ารู้ก็คือวิธีร้องไห้หรือ! รู้จักแต่จะเป็นภาระ!”

 

ที่ด้านข้าง คนชุดสีดําบนหลังม้าตัวโตที่มีท่าทางเคร่งขรึมตะโกนลงมาอย่างโมโห “หยุดกิริยาเช่นนั้นซะแล้วลงมือให้เร็วกว่านี้”

 

“อาจารย์ ทําไมพวกเราต้องช่วยตระกูลนี้ด้วย? ยังไงเสีย นอกจากผู้อาวุโสของตระกูลกั๋วแล้ว คนธรรมดาพวกนี้ก็หาได้มีประโยชน์กับสํานักเราไม่?”

 

หนึ่งในลูกศิษย์ที่มีรอยปักรูปกะโหลกประดับอยู่ด้านหน้า ชุดคลุมบ่นกับผู้อาวุโสที่อยู่ข้างกัน

 

“เจ้างั่ง!”

 

ผู้อาวุโสฉุนเฉียวขึ้นมาอย่างไม่คาดคิดและพูด “ผู้อาวุโสจากตระกูลกั๋วเสียสละชีวิตตัวเองเพื่อสํานักของเราแล้วตอนนี้ในสถานการณ์เช่นนี้ พวกเรายังเป็นเหตุให้พวกเขาสูญเสียชีวิตคนในตระกูลมากขึ้น ถ้าพวกเราทิ้งพวกเขาไว้เช่นนั้น ศิษย์อื่น ๆ ของเราย่อมสูญเสียความหวังและความมั่นใจในตัวพวกเรา เจ้าต้องเข้าใจนะว่าอันที่จริงแล้วคนธรรมดาเช่นนี้แหละที่เป็นรากฐานของสํานักของเรา…”

 

“ฮึ่ม สำนักกุยหลิง…”

 

ผู้ฝึกยุทธ์รุ่นเยาว์ผู้หนึ่งเสียดสีขึ้น “แล้วจําเป็นถึงขนาดต้องให้ระดับประตูทองที่เจ็ดหรือแปดเข้าร่วมภารกิจนี้ด้วยหรือ?”

 

“เหอเหอ ก็เป็นเพราะจอมยุทธ์ระดับกําลังภายในเข้ามาร่วมด้วยเรื่องถึงได้ง่าย…”

 

ผู้อาวุโสส่ายหน้าก่อนพูด “เพราะว่าข้าได้ยินข่าวว่าผู้อาวุโสฮั่นจะเดินทางมาพร้อมกับกําลังเสริมของสํานักกุยหลิง เขารวมหยินหยางสําเร็จตั้งแต่เมื่อยี่สิบปีก่อน และเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับ 4 ประตูสวรรค์…. ข้าเองก็ไม่อยากจะพูด แต่ว่าข้าก็ต้องยอมรับว่าเขาเหนือกว่าข้า!”

 

“การเดินทางมาเมืองชิงเย่คราวนี้ไม่ดีเลยจริง ๆ”

 

เมื่อถูกเขาฟาดเข้าด้วยข่าวร้าย ผู้ฝึกยุทธ์รุ่นเยาว์ตอนนี้กลับมีท่าทางกระวนกระวายและพูด “คราวนี้พวกเราสูญเสียไปมาก ขณะที่ศิษย์สานักกุยหลิง แม้จะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ก็ยังสามารถฟื้นฟูความแข็งแกร่งกลับมาได้อย่างง่ายดาย และรวดเร็ว…”

 

“ใช่ ข้าได้ยินมาว่ามีหมอเทวดาอยู่ในพื้นที่นี่ เห็นว่าเขาสามารถปลุกคนตายให้ฟื้นคืนชีพได้ข่าวยังบอกว่าเขาเก่งกาจราวเทพเจ้า ซึ่งฟังดูน่าขํา แต่เท่าที่เห็นดูเหมือนว่าข่าวลือจะเป็นจริง ถ้ามีโอกาส ข้าก็อยากจะพบคนผู้นี้สักครั้ง…”

 

ผู้อาวุโสดึงบังเหียนม้าแล้วออกเดินทางโดยไม่หันกลับมาพูดขึ้นว่า “ส่วนตอนนี้ ไม่มีอะไรสําคัญไปกว่างานของสํานักของเรา เมื่อพวกเจ้าออกจากมณฑลชิงเหอแล้ว ก็พาคนกลุ่มนี้ไปที่มณฑลเลี่ยหยางพร้อมกับศิษย์พี่ที่เหลือของพวกเจ้า ข้าจะล่วงหน้าไปก่อนแล้ว!”

 

หลังจากพูดจบประโยค เขาก็เร่งฝีเท้าม้าเต็มความเร็วแล้ว หายลับไปในเวลาไม่นานโดยไม่หันกลับมา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+