Carefree Path of Dreams 6: ผู้บุกรุก

Now you are reading Carefree Path of Dreams Chapter 6: ผู้บุกรุก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“พวกเขาเป็นใคร?”

ฟางหยวนถามคำถามนั้นขณะจัดการกับผงหรดาลแดงชั้นเยี่ยม มองสองพี่น้องที่เดินออกไป

“พวกเขามาจากตระกูลโจว เจ้าโชคดีมากนะวันนี้ที่ได้เจอคุณชายรองของตระกูลโจว ลองคิดดูนะว่าถ้าเจอแค่ลูกสาวร้ายกาจของตระกูลโจวเท่านั้นละก็นะ…”

หนึ่งในเจ้าของร้านที่น่าจะรู้จักกับตระกูลโจวตอบ แล้วส่ายหน้าไปมา

“แล้วพวกเขากำลังพยายามรักษาใครด้วยโสมแดงเหรอ? นายผู้เฒ่าแซ่โจวป่วยเหรอ?”

“มันไม่ใช่เรื่องง่ายแบบนั้นสิ ตระกูลโจวเป็นส่วนหนึ่งของสำนักกุยหลิง นายผู้เฒ่าแซ่โจวที่เป็นผู้ดูแลได้รับบาดเจ็บภายใน นั่นทำให้เขาต้องการยารักษาอย่างเร่งด่วนเพื่อให้ดีขึ้น โชคร้าย โสมแดงของเจ้าไม่ได้มีอายุสักห้าสิบปี ไม่อย่างนั้น นี่จะเป็นโอกาสของเจ้าที่จะมีคุณสมบัติตรงตามในประกาศ!”

“ประกาศอันใด?”

ฟางหยวนแสดงความสนใจและพูดกับเจ้าของร้านผู้นั้น “บอกข้าหน่อยสิ”

“ประกาศอันใด? นี่เจ้าไม่เห็นประกาศของตระกูลโจวหรือไร? พวกเขากำลังตามหาหมอที่สามารถรักษาการป่วยของนายผู้เฒ่าแซ่โจวได้! ตระกูลโจวรับปากจะให้ทุกอย่างที่หมอต้องการถ้าหมอผู้นั้นสามารถรักษาการป่วยของนายผู้เฒ่าโจวได้…”

เจ้าของร้านถอนหายใจ ทำท่าเหมือนว่านายผู้เฒ่าแซ่โจวคงจะไม่สามารถรักษาได้แล้ว

ฟางหยวนรับฟังก่อนจะมองไปที่ค่าสถานะของตนเองอย่างไม่รู้ตัว ระดับการแพทย์ของเขานั้นบันทึกอยู่ในหน้าต่างสถานะ

หากว่าระบบสถานะมีระบุเอาไว้นั่นหมายความว่าความสามารถของเขานั้นอยู่ในระดับมาตรฐาน

แม้ว่าฟางหยวนจะเรียนรู้วิชามาไม่มาก แต่วิชาทางการแพทย์และการดูแลพืชซึ่งได้รับการสั่งสอนจากอาจารย์เวิ่นซินนั้นล้วนได้รับการยอมรับ

ดังนั้น ฟางหยวนจึงประเมินตนเองว่าน่าจะเทียบเท่ากับหมอผู้ชำนาญเมื่อเทียบกับหมอทั่วไป

สิ่งเดียวก็คือฟางหยวนนั้นเป็นคนคร้านโดยธรรมชาติ และเขาไม่ค่อยชอบนิสัยใจคอของคุณหนูโจว ดังนั้น เขาจึงไม่อาสาช่วยนาง

‘แต่ว่าตระกูลโจวเป็นส่วนหนึ่งของสำนักกุยหลิง บางทีข้าอาจจะหยิบยืมวิชายุทธ์จากพวกเขา… แต่มันก็ดูอันตรายเกินไป บางทีข้าควรจะลืมเรื่องนี้ไปเสีย…’

แม้ว่าพี่น้องแซ่โจวจะค่อนข้างหยาบคาย แต่พวกเขาก็ใจกว้างมากเรื่องเงินรางวัล รางวัลที่อาจจะให้ฟางหยวนสามารถซื้อหาผงหรดาลแดงได้จำนวนมากและยังเหลือเงินด้วยซ้ำ

หลังจากออกจากร้าน ฟางหยวนก็ซื้อของต่ออย่างมีความสุข

‘เรื่องนั้น คนผู้นั้นจากสำนักกุยหลิงคงจะตัดสินใจโดยไม่ปรึกษาผู้อื่น ยิ่งทำให้เรื่องนั้นไร้ความน่าเชื่อถือ’

ในตอนบ่าย ฟางหยวนนั่งอยู่ที่มุมหนึ่ง คิดเรื่องประกาศนั่นพลางกินข้าวปั้นที่นำมาด้วย

นี่นับว่าเป็นข่าวดี เพราะมันหมายถึงว่าเขาจะไม่ถูกบังคับให้จากบ้านเกิดไป

ถ้าตระกูลโจวตั้งใจจะตัดแหล่งเสบียงของเขาผ่านทางเหล่าเถียน พวกเขาก็คงจะไม่บังคับให้เขาจากไป แต่ก็พูดได้ยากว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นอีก

‘หรือว่า…ข้าควรไปเรียนรู้และฝึกวิทยายุทธ์จากสำนักกุยหลิง? ว่ากันว่าสำนักกุยหลิงนั้นปกครองโดยอู่จง อู่จงคืออะไรกัน? มันมีอำนาจมากเลยเหรอ? แต่ข้าไม่แน่ใจว่าระบบจะยอมรับวิชายุทธ์…’

ข้าวปั้นที่ทำจากข้าวหยกมุกและใส่ไส้บ๊วยดองนั้นส่งกลิ่นหอมนัก

ขอทานบางคนเดินเกร่อยู่รอบ ๆ ฟางหยวน ดวงตาเป็นประกาย น้ำลายสอ ท่าทางจะถูกดึงดูดโดยกลิ่นหอมของข้าวปั้น

โชคดีที่บนถนนมีคนมากนัก ไม่เช่นนั้น ขอทานรอบ ๆ ก็คงกรูกันเข้ามาแย่งชิงข้าวปั้นไป

“ฮ่าฮ่า…เจ้าอยู่ที่นี่เองรึ ขอทานน้อย?”

ในตอนที่ฟางหยวนถูกล้อมรอบด้วยสายตาน่าสงสารและเกือบจะยอมยกข้าวปั้นบางส่วนของเขาให้ไป ก็มีเสียงคุ้นเคยดังขึ้น

เขาเงยหน้าขึ้นและเห็นคุณหนูโจวมองเขาด้วยท่าทางยโส

“ข้า? ข้าเป็นขอทานรึ?”

ฟางหยวนอึ้งไปขณะชี้มือที่ตนเอง

“เจ้าอยู่กับขอทานพวกนี้ ถ้าเจ้าไม่ใช่ขอทาน แล้วเจ้าจะเป็นอะไร?”

คุณหนูโจวยิ้มกว้างและหยิบกระเป๋าที่ปักลายด้วยด้ายเงินและทองขึ้นมา “ถ้าอย่างไรข้าให้เงินขอทานอย่างเจ้าสักสองสามเหรียญเพื่อไปกินอาหารดี ๆ ในร้านสักมื้อไหม?”

ฟางหยวนมองตัวเองแล้วรู้สึกพูดไม่ออก

โดยปกติ ชาวบ้านที่เข้าเมืองมาก็จะแต่งตัวเช่นนี้ทำให้ฟางหยวนไม่มีทางเลือกนอกจากแต่งแบบเดียวกัน

เขากลอกตาและเมินคุณหนูโจว จากนั้นเขาก็กินข้าวปั้นของตัวเองต่อ

“ฮ่าฮ่า…ชาวบ้านแบบเจ้าปฏิบัติกับข้าวปั้นราวกับมันเป็นสมบัติล้ำค่า ข้าเพิ่งออกมาจากร้านอาหาร… นั่นกลิ่นอะไร?”

คุณหนูโจวได้กลิ่นและพบว่ากลิ่นหอมนั่นมาจากข้าวปั้นของฟางหยวน

ข้าวหยกมุกแต่ละเม็ดนั้นใสราวกับผลึกและเข้ากันได้ดีกับบ๊วยดอง ข้าวปั้นแบบนี้ดูไม่เหมือนกับที่ชาวบ้านมักทานกัน

แน่นอนว่าแรงดึงดูดหลักก็คือกลิ่นของข้าวปั้นนั่นเอง

นางเพิ่งทานข้าวแนแบบเดียวกันจากร้านอาหาร แต่กลิ่นของข้าวปั้นนี้…ช่างล่อลวงยิ่งนัก…

น่าโมโหนัก คุณหนูโจวเริ่มรู้สึกว่ากระเพาะของนางส่งเสียงร้องแม้ว่านางจะเพิ่งทานอาหารมา

นี่ไม่ใช่เพราะว่านางหิว แต่เพราะความน่ากินของข้าวปั้นนั้นยั่วยวนนางนัก!

คุณหนูโจวเริ่มรู้สึกว่า ข้าวปั้นที่ฟางหยวนกำลังกินนั้นเป็นหลุมดำที่ดึงดูดความสนใจของนางอย่างรุนแรง

ถ้านางยังคอยเหลือบมองอยู่เช่นนี้ นางจะต้องน้ำลายไหลเป็นแน่!

คุณหนูโจวตัดสินใจอย่างชาญฉลาดด้วยการหันหลังกลับแล้วเดินออกไป

“เจ้า..อยากได้นี่ใช่ไหม?”

ฟางหยวนสบตาคุณหนูโจวและรู้สึกว่านางน่าสงสาร ดังนั้น เขาจึงยอมสละข้าวปั้นก้อนสุดท้าย “ข้ายกชิ้นสุดท้ายนี่ให้เจ้า!”

คุณหนูโจวกลืนน้ำลาย หน้าเริ่มแดง นิ้วของนางสั่นนิด ๆ เกือบจะเอื้อมไปหาข้าวปั้น แต่ที่สุดนางก็ตะโกนออกมา “น่าขำนัก… ข้า โจวเหวินซินจากตระกูลโจวอันมีชื่อเสียง เรื่องเช่นนี้…”

เท้าของนางพานางเข้าใกล้ข้าวปั้นมากขึ้นขณะตะโกน

“โอ้ ข้าเห็นแล้วว่าเจ้าไม่ต้องการข้าวปั้นนี่!”

ฟางหยวนเข้าใจนางและยกข้าวปั้นก้อนสุดท้ายให้ขอทานผู้หนึ่งแทน “รับไปสิ!”

“ขอบพระคุณท่าน ขอบคุณท่าน!”

ขอทานผู้นั้นนั่งน้ำลายไหลต่อหน้าฟางหยวนมาก่อนแล้ว เขาซาบซึ้งมากจนกล่าวคำขอบคุณไม่หยุดขณะกินข้าวปั้นลงไป

ขอทานผู้นั้นถือข้าวปั้นไว้ด้วยแรงพอเหมาะ ขณะที่โจวเวิ่นซินดูจะกรีดร้องออกมาเมื่อไหร่ก็ได้

“อู้ว…นี่มันอร่อยมาก!”

ขอทานผู้นั้นเขมือบข้าวปั้นลงไปภายในไม่กี่วินาทีแล้วเริ่มเลียนิ้วหลังจากกลืนลงไปหมด

“เจ้า…”

ใบหน้าของโจวเวิ่นซินเจื่อนไปและค่อย ๆ แดงขึ้น ทันใดนั้น นางก็ร้องไห้ออกมาเสียงดัง “เจ้ารังแกข้า!”

ไม่รู้ว่าเหตุใดนางจึงรู้สึกเช่นนั้น นางหมุนตัวกลับและวิ่งหนีไป

ผู้คนที่รู้จักโจวเหวินซินขยับเข้ามามุงรอบ ๆ ฟางหยวนและชื่นชมสิ่งที่เขาทำ

คนผู้นี้สามารถจัดการกับคุณหนูโจวผู้ก้าวร้าวและทำให้นางร้องไห้จากไป ต่อไปคนผู้นี้คงสามารถทำอะไรได้สำเร็จทุกอย่างแล้ว!

“นี่…”

ฟางหยวนเกาศีรษะตนเองและคิดว่าเขาเป็นผู้บริสุทธ์ ไม่ใช่ความผิดของเขาเสียหน่อยที่คุณหนูโจวร้องไห้ บางครั้งมันคงจะดีกว่าที่จะแก้ไขเรื่องความเข้าใจผิดใด ๆ ที่เกิดจากผู้อื่น แต่ถึงจะฉลาดแค่ไหนก็ไม่เท่ามีวุฒิภาวะ

แต่เขาก็รู้ดีว่าวุฒิภาวะของตัวเขาเองนั้นต่ำกว่าปกติ และเขารู้ว่าถ้าเขาไม่หนีตอนนี้ เขาก็จะเจอปัญหาใหญ่เมื่อคนคุ้มกันของคุณหนูโจวมาถึง

เขาหมุนตัวกลับและหายลับไปที่มุมถนน

การคาดเดาของฟางหยวนแม่นยำนัก

คนคุ้มกันของคุณหนูโจวดูโมโหมาก วิ่งมาถึงนั่นในเวลาไม่นาน โชคดีที่พวกมันยังไม่ทันเริ่มปิดประตูเมืองทั้งหมด

โชคดีที่ฟางหยวนออกจากเมืองมาแล้ว และกำลังกลับหุบเขา

มีคนในเมืองไม่กี่คนที่จำหน้าตาของฟางหยวนได้ แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาอาศัยอยู่ที่ไหน

โจวเหวินซินโกรธมากที่ไม่รู้ชื่อของฟางหยวนและทำได้เพียงทำเป็นลืมเรื่องนี้ไปเสีย ข่าวที่ฟางหยวนทำให้โจวเหวินซินร้องไห้กระจายไปทั่วเมืองยิ่งทำให้คุณหนูโจวรู้สึกอับอายกับเรื่องที่เกิดขึ้นมาก แล้วยังมีผู้เห็นเหตุการณ์หลายคนซึ่งกระตุ้นความเกรี้ยวกราดของนาง โชคร้ายที่นางก็ไม่รู้ว่าจะเอาความโมโหนี้ไปลงที่ไหน

“ฮืม.. เช่นนั้นอู่จงก็คือระดับการฝึกฝนที่ผู้ฝึกวิทยายุทธ์สามารถไปถึงได้ อู่จงหนึ่งคนน่าจะมีพลังในระดับที่สามารถเอาชนะคนจำนวนมากได้ ตลอดทั้งสำนักกุยหลิงยังมีผู้ฝึกวิทยายุทธ์ระดับนั้นเพียงผู้เดียว…”

ฟางหยวนซื้อหนังสือเล่มหนึ่งมาจากร้านใกล้ ๆ ด้วยเหรียญทองแดงไม่กี่เหรียญและเพลิดเพลินไปกับเนื้อหาด้านใน

หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นโดยบัณฑิตผู้หนึ่ง เนื้อหาด้านในหลักแล้วเป็นบันทึกส่วนตัว และเหมือนกับว่าผู้เขียนนั้นรักการท่องเที่ยวนัก เนื้อหายังได้พูดถึงบางอย่างเกี่ยวกับอู่จงซึ่งดึงดูดความสนใจของฟางหยวน

“แล้วนี่ก็คือเทือกเขาชิงหลิง ส่วนนี่ก็มณฑลชิงเหอ และเมืองตรงนั้นตอนนี้ก็คือเมืองชิงเย่…”

สิ่งที่ทำให้ฟางหยวนสนใจในหนังสือก็คือเขาสามารถรู้ได้ว่าเขาอยู่ที่ไหนและรู้จักสถานที่รอบ ๆ จากในหนังสือ

“แผ่นดินใหญ่นั้นกว้างมาก มณฑลที่ข้าอยู่ตอนนี้ช่างเล็กเหลือเกินเมื่อเทียบกับแผ่นดินใหญ่ แต่บางคนคงคิดว่ามณฑลนี้กว้างใหญ่มากแล้ว…”

จากในหนังสือ ฟางหยวนได้รู้ว่าโลกนี้กว้างใหญ่แค่ไหน ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้น

“อู่จงเป็นที่รู้จักแค่ในแถบนี้เท่านั้น แสดงว่านอกจากผู้ฝึกยุทธ์แล้ว ต้องมีการฝึกฝนรูปแบบอื่นอีก…”

ฟางหยวนวางหนังสือกลับเข้าไปในตะกร้าไม้ไผ่ของเขาแล้วเดินทางต่อ

“โชคไม่ดีเลย คราวนี้ ข้าไม่สามารถหาตำรายุทธ์พื้นฐานได้เลยสักเล่ม แล้วข้าก็ไม่ได้คิดถึงตำราอื่นเสียด้วย…”

เมื่อกลับเข้ามาในหุบเขา ฟางหยวนก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้น

“มันก็ยังรู้สึกสบายใจมากกว่าเมื่ออยู่บ้าน…”

แม้ว่าเขาจะไม่ได้จากบ้านไปนานขนาดนั้น ฟางหยวนก็รู้สึกคิดถึงบ้านไปแล้ว

หลังจากวางของลง เขาก็เดินเข้าบริเวณสวนทันที

“เอ๋?”

เพียงถึงทางเข้า เขาก็ต้องตกใจกับรอยเท้าสัตว์ที่ปรากฏขึ้น “สัตว์รบกวน?”

ทำไร่ทำสวนบนภูเขานั้นย่อมดึงดูดนกและสัตว์ทุกชนิด แต่โชคดีที่อาจารย์เวิ่นซินมีวิธีป้องกันการบุกรุกของสัตว์พวกนี้เข้าในบริเวณเพาะปลูก

เสือ หมาป่า หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นมักจะใช้ปัสสาวะเป็นเครื่องหมายแสดงอาณาเขตของพวกมัน สัตว์ชนิดอื่นจะไม่กล้าเข้ามาในอาณาเขตที่มีกลิ่นปัสสาวะนั่น ซึ่งจริง ๆ แล้ว พืชบางชนิดสามารถคั้นน้ำออกมาเทราดรอบ ๆ พื้นที่ หลอกให้สัตว์อื่นเข้าใจว่าพื้นที่นั้น ๆ มีเจ้าของและทำให้ไม่กล้าบุกเข้าไป

และหากวิธีนี้ใช้ไม่ได้ผล กับดักก็สามารถแก้ปัญหาผู้บุกรุกอื่น ๆ ได้เช่นกัน

แต่ว่า กับดักที่ทำไว้ในแปลงเพาะปลูกนั้นล้วนถูกทำลาย เหยื่อที่วางไว้ล้วนหายไปราวกับว่าผู้บุกรุกนั้นกำลังแอบหัวเราะเยาะเงียบ ๆ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Carefree Path of Dreams 6: ผู้บุกรุก

Now you are reading Carefree Path of Dreams Chapter 6: ผู้บุกรุก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“พวกเขาเป็นใคร?”

ฟางหยวนถามคำถามนั้นขณะจัดการกับผงหรดาลแดงชั้นเยี่ยม มองสองพี่น้องที่เดินออกไป

“พวกเขามาจากตระกูลโจว เจ้าโชคดีมากนะวันนี้ที่ได้เจอคุณชายรองของตระกูลโจว ลองคิดดูนะว่าถ้าเจอแค่ลูกสาวร้ายกาจของตระกูลโจวเท่านั้นละก็นะ…”

หนึ่งในเจ้าของร้านที่น่าจะรู้จักกับตระกูลโจวตอบ แล้วส่ายหน้าไปมา

“แล้วพวกเขากำลังพยายามรักษาใครด้วยโสมแดงเหรอ? นายผู้เฒ่าแซ่โจวป่วยเหรอ?”

“มันไม่ใช่เรื่องง่ายแบบนั้นสิ ตระกูลโจวเป็นส่วนหนึ่งของสำนักกุยหลิง นายผู้เฒ่าแซ่โจวที่เป็นผู้ดูแลได้รับบาดเจ็บภายใน นั่นทำให้เขาต้องการยารักษาอย่างเร่งด่วนเพื่อให้ดีขึ้น โชคร้าย โสมแดงของเจ้าไม่ได้มีอายุสักห้าสิบปี ไม่อย่างนั้น นี่จะเป็นโอกาสของเจ้าที่จะมีคุณสมบัติตรงตามในประกาศ!”

“ประกาศอันใด?”

ฟางหยวนแสดงความสนใจและพูดกับเจ้าของร้านผู้นั้น “บอกข้าหน่อยสิ”

“ประกาศอันใด? นี่เจ้าไม่เห็นประกาศของตระกูลโจวหรือไร? พวกเขากำลังตามหาหมอที่สามารถรักษาการป่วยของนายผู้เฒ่าแซ่โจวได้! ตระกูลโจวรับปากจะให้ทุกอย่างที่หมอต้องการถ้าหมอผู้นั้นสามารถรักษาการป่วยของนายผู้เฒ่าโจวได้…”

เจ้าของร้านถอนหายใจ ทำท่าเหมือนว่านายผู้เฒ่าแซ่โจวคงจะไม่สามารถรักษาได้แล้ว

ฟางหยวนรับฟังก่อนจะมองไปที่ค่าสถานะของตนเองอย่างไม่รู้ตัว ระดับการแพทย์ของเขานั้นบันทึกอยู่ในหน้าต่างสถานะ

หากว่าระบบสถานะมีระบุเอาไว้นั่นหมายความว่าความสามารถของเขานั้นอยู่ในระดับมาตรฐาน

แม้ว่าฟางหยวนจะเรียนรู้วิชามาไม่มาก แต่วิชาทางการแพทย์และการดูแลพืชซึ่งได้รับการสั่งสอนจากอาจารย์เวิ่นซินนั้นล้วนได้รับการยอมรับ

ดังนั้น ฟางหยวนจึงประเมินตนเองว่าน่าจะเทียบเท่ากับหมอผู้ชำนาญเมื่อเทียบกับหมอทั่วไป

สิ่งเดียวก็คือฟางหยวนนั้นเป็นคนคร้านโดยธรรมชาติ และเขาไม่ค่อยชอบนิสัยใจคอของคุณหนูโจว ดังนั้น เขาจึงไม่อาสาช่วยนาง

‘แต่ว่าตระกูลโจวเป็นส่วนหนึ่งของสำนักกุยหลิง บางทีข้าอาจจะหยิบยืมวิชายุทธ์จากพวกเขา… แต่มันก็ดูอันตรายเกินไป บางทีข้าควรจะลืมเรื่องนี้ไปเสีย…’

แม้ว่าพี่น้องแซ่โจวจะค่อนข้างหยาบคาย แต่พวกเขาก็ใจกว้างมากเรื่องเงินรางวัล รางวัลที่อาจจะให้ฟางหยวนสามารถซื้อหาผงหรดาลแดงได้จำนวนมากและยังเหลือเงินด้วยซ้ำ

หลังจากออกจากร้าน ฟางหยวนก็ซื้อของต่ออย่างมีความสุข

‘เรื่องนั้น คนผู้นั้นจากสำนักกุยหลิงคงจะตัดสินใจโดยไม่ปรึกษาผู้อื่น ยิ่งทำให้เรื่องนั้นไร้ความน่าเชื่อถือ’

ในตอนบ่าย ฟางหยวนนั่งอยู่ที่มุมหนึ่ง คิดเรื่องประกาศนั่นพลางกินข้าวปั้นที่นำมาด้วย

นี่นับว่าเป็นข่าวดี เพราะมันหมายถึงว่าเขาจะไม่ถูกบังคับให้จากบ้านเกิดไป

ถ้าตระกูลโจวตั้งใจจะตัดแหล่งเสบียงของเขาผ่านทางเหล่าเถียน พวกเขาก็คงจะไม่บังคับให้เขาจากไป แต่ก็พูดได้ยากว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นอีก

‘หรือว่า…ข้าควรไปเรียนรู้และฝึกวิทยายุทธ์จากสำนักกุยหลิง? ว่ากันว่าสำนักกุยหลิงนั้นปกครองโดยอู่จง อู่จงคืออะไรกัน? มันมีอำนาจมากเลยเหรอ? แต่ข้าไม่แน่ใจว่าระบบจะยอมรับวิชายุทธ์…’

ข้าวปั้นที่ทำจากข้าวหยกมุกและใส่ไส้บ๊วยดองนั้นส่งกลิ่นหอมนัก

ขอทานบางคนเดินเกร่อยู่รอบ ๆ ฟางหยวน ดวงตาเป็นประกาย น้ำลายสอ ท่าทางจะถูกดึงดูดโดยกลิ่นหอมของข้าวปั้น

โชคดีที่บนถนนมีคนมากนัก ไม่เช่นนั้น ขอทานรอบ ๆ ก็คงกรูกันเข้ามาแย่งชิงข้าวปั้นไป

“ฮ่าฮ่า…เจ้าอยู่ที่นี่เองรึ ขอทานน้อย?”

ในตอนที่ฟางหยวนถูกล้อมรอบด้วยสายตาน่าสงสารและเกือบจะยอมยกข้าวปั้นบางส่วนของเขาให้ไป ก็มีเสียงคุ้นเคยดังขึ้น

เขาเงยหน้าขึ้นและเห็นคุณหนูโจวมองเขาด้วยท่าทางยโส

“ข้า? ข้าเป็นขอทานรึ?”

ฟางหยวนอึ้งไปขณะชี้มือที่ตนเอง

“เจ้าอยู่กับขอทานพวกนี้ ถ้าเจ้าไม่ใช่ขอทาน แล้วเจ้าจะเป็นอะไร?”

คุณหนูโจวยิ้มกว้างและหยิบกระเป๋าที่ปักลายด้วยด้ายเงินและทองขึ้นมา “ถ้าอย่างไรข้าให้เงินขอทานอย่างเจ้าสักสองสามเหรียญเพื่อไปกินอาหารดี ๆ ในร้านสักมื้อไหม?”

ฟางหยวนมองตัวเองแล้วรู้สึกพูดไม่ออก

โดยปกติ ชาวบ้านที่เข้าเมืองมาก็จะแต่งตัวเช่นนี้ทำให้ฟางหยวนไม่มีทางเลือกนอกจากแต่งแบบเดียวกัน

เขากลอกตาและเมินคุณหนูโจว จากนั้นเขาก็กินข้าวปั้นของตัวเองต่อ

“ฮ่าฮ่า…ชาวบ้านแบบเจ้าปฏิบัติกับข้าวปั้นราวกับมันเป็นสมบัติล้ำค่า ข้าเพิ่งออกมาจากร้านอาหาร… นั่นกลิ่นอะไร?”

คุณหนูโจวได้กลิ่นและพบว่ากลิ่นหอมนั่นมาจากข้าวปั้นของฟางหยวน

ข้าวหยกมุกแต่ละเม็ดนั้นใสราวกับผลึกและเข้ากันได้ดีกับบ๊วยดอง ข้าวปั้นแบบนี้ดูไม่เหมือนกับที่ชาวบ้านมักทานกัน

แน่นอนว่าแรงดึงดูดหลักก็คือกลิ่นของข้าวปั้นนั่นเอง

นางเพิ่งทานข้าวแนแบบเดียวกันจากร้านอาหาร แต่กลิ่นของข้าวปั้นนี้…ช่างล่อลวงยิ่งนัก…

น่าโมโหนัก คุณหนูโจวเริ่มรู้สึกว่ากระเพาะของนางส่งเสียงร้องแม้ว่านางจะเพิ่งทานอาหารมา

นี่ไม่ใช่เพราะว่านางหิว แต่เพราะความน่ากินของข้าวปั้นนั้นยั่วยวนนางนัก!

คุณหนูโจวเริ่มรู้สึกว่า ข้าวปั้นที่ฟางหยวนกำลังกินนั้นเป็นหลุมดำที่ดึงดูดความสนใจของนางอย่างรุนแรง

ถ้านางยังคอยเหลือบมองอยู่เช่นนี้ นางจะต้องน้ำลายไหลเป็นแน่!

คุณหนูโจวตัดสินใจอย่างชาญฉลาดด้วยการหันหลังกลับแล้วเดินออกไป

“เจ้า..อยากได้นี่ใช่ไหม?”

ฟางหยวนสบตาคุณหนูโจวและรู้สึกว่านางน่าสงสาร ดังนั้น เขาจึงยอมสละข้าวปั้นก้อนสุดท้าย “ข้ายกชิ้นสุดท้ายนี่ให้เจ้า!”

คุณหนูโจวกลืนน้ำลาย หน้าเริ่มแดง นิ้วของนางสั่นนิด ๆ เกือบจะเอื้อมไปหาข้าวปั้น แต่ที่สุดนางก็ตะโกนออกมา “น่าขำนัก… ข้า โจวเหวินซินจากตระกูลโจวอันมีชื่อเสียง เรื่องเช่นนี้…”

เท้าของนางพานางเข้าใกล้ข้าวปั้นมากขึ้นขณะตะโกน

“โอ้ ข้าเห็นแล้วว่าเจ้าไม่ต้องการข้าวปั้นนี่!”

ฟางหยวนเข้าใจนางและยกข้าวปั้นก้อนสุดท้ายให้ขอทานผู้หนึ่งแทน “รับไปสิ!”

“ขอบพระคุณท่าน ขอบคุณท่าน!”

ขอทานผู้นั้นนั่งน้ำลายไหลต่อหน้าฟางหยวนมาก่อนแล้ว เขาซาบซึ้งมากจนกล่าวคำขอบคุณไม่หยุดขณะกินข้าวปั้นลงไป

ขอทานผู้นั้นถือข้าวปั้นไว้ด้วยแรงพอเหมาะ ขณะที่โจวเวิ่นซินดูจะกรีดร้องออกมาเมื่อไหร่ก็ได้

“อู้ว…นี่มันอร่อยมาก!”

ขอทานผู้นั้นเขมือบข้าวปั้นลงไปภายในไม่กี่วินาทีแล้วเริ่มเลียนิ้วหลังจากกลืนลงไปหมด

“เจ้า…”

ใบหน้าของโจวเวิ่นซินเจื่อนไปและค่อย ๆ แดงขึ้น ทันใดนั้น นางก็ร้องไห้ออกมาเสียงดัง “เจ้ารังแกข้า!”

ไม่รู้ว่าเหตุใดนางจึงรู้สึกเช่นนั้น นางหมุนตัวกลับและวิ่งหนีไป

ผู้คนที่รู้จักโจวเหวินซินขยับเข้ามามุงรอบ ๆ ฟางหยวนและชื่นชมสิ่งที่เขาทำ

คนผู้นี้สามารถจัดการกับคุณหนูโจวผู้ก้าวร้าวและทำให้นางร้องไห้จากไป ต่อไปคนผู้นี้คงสามารถทำอะไรได้สำเร็จทุกอย่างแล้ว!

“นี่…”

ฟางหยวนเกาศีรษะตนเองและคิดว่าเขาเป็นผู้บริสุทธ์ ไม่ใช่ความผิดของเขาเสียหน่อยที่คุณหนูโจวร้องไห้ บางครั้งมันคงจะดีกว่าที่จะแก้ไขเรื่องความเข้าใจผิดใด ๆ ที่เกิดจากผู้อื่น แต่ถึงจะฉลาดแค่ไหนก็ไม่เท่ามีวุฒิภาวะ

แต่เขาก็รู้ดีว่าวุฒิภาวะของตัวเขาเองนั้นต่ำกว่าปกติ และเขารู้ว่าถ้าเขาไม่หนีตอนนี้ เขาก็จะเจอปัญหาใหญ่เมื่อคนคุ้มกันของคุณหนูโจวมาถึง

เขาหมุนตัวกลับและหายลับไปที่มุมถนน

การคาดเดาของฟางหยวนแม่นยำนัก

คนคุ้มกันของคุณหนูโจวดูโมโหมาก วิ่งมาถึงนั่นในเวลาไม่นาน โชคดีที่พวกมันยังไม่ทันเริ่มปิดประตูเมืองทั้งหมด

โชคดีที่ฟางหยวนออกจากเมืองมาแล้ว และกำลังกลับหุบเขา

มีคนในเมืองไม่กี่คนที่จำหน้าตาของฟางหยวนได้ แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาอาศัยอยู่ที่ไหน

โจวเหวินซินโกรธมากที่ไม่รู้ชื่อของฟางหยวนและทำได้เพียงทำเป็นลืมเรื่องนี้ไปเสีย ข่าวที่ฟางหยวนทำให้โจวเหวินซินร้องไห้กระจายไปทั่วเมืองยิ่งทำให้คุณหนูโจวรู้สึกอับอายกับเรื่องที่เกิดขึ้นมาก แล้วยังมีผู้เห็นเหตุการณ์หลายคนซึ่งกระตุ้นความเกรี้ยวกราดของนาง โชคร้ายที่นางก็ไม่รู้ว่าจะเอาความโมโหนี้ไปลงที่ไหน

“ฮืม.. เช่นนั้นอู่จงก็คือระดับการฝึกฝนที่ผู้ฝึกวิทยายุทธ์สามารถไปถึงได้ อู่จงหนึ่งคนน่าจะมีพลังในระดับที่สามารถเอาชนะคนจำนวนมากได้ ตลอดทั้งสำนักกุยหลิงยังมีผู้ฝึกวิทยายุทธ์ระดับนั้นเพียงผู้เดียว…”

ฟางหยวนซื้อหนังสือเล่มหนึ่งมาจากร้านใกล้ ๆ ด้วยเหรียญทองแดงไม่กี่เหรียญและเพลิดเพลินไปกับเนื้อหาด้านใน

หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นโดยบัณฑิตผู้หนึ่ง เนื้อหาด้านในหลักแล้วเป็นบันทึกส่วนตัว และเหมือนกับว่าผู้เขียนนั้นรักการท่องเที่ยวนัก เนื้อหายังได้พูดถึงบางอย่างเกี่ยวกับอู่จงซึ่งดึงดูดความสนใจของฟางหยวน

“แล้วนี่ก็คือเทือกเขาชิงหลิง ส่วนนี่ก็มณฑลชิงเหอ และเมืองตรงนั้นตอนนี้ก็คือเมืองชิงเย่…”

สิ่งที่ทำให้ฟางหยวนสนใจในหนังสือก็คือเขาสามารถรู้ได้ว่าเขาอยู่ที่ไหนและรู้จักสถานที่รอบ ๆ จากในหนังสือ

“แผ่นดินใหญ่นั้นกว้างมาก มณฑลที่ข้าอยู่ตอนนี้ช่างเล็กเหลือเกินเมื่อเทียบกับแผ่นดินใหญ่ แต่บางคนคงคิดว่ามณฑลนี้กว้างใหญ่มากแล้ว…”

จากในหนังสือ ฟางหยวนได้รู้ว่าโลกนี้กว้างใหญ่แค่ไหน ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้น

“อู่จงเป็นที่รู้จักแค่ในแถบนี้เท่านั้น แสดงว่านอกจากผู้ฝึกยุทธ์แล้ว ต้องมีการฝึกฝนรูปแบบอื่นอีก…”

ฟางหยวนวางหนังสือกลับเข้าไปในตะกร้าไม้ไผ่ของเขาแล้วเดินทางต่อ

“โชคไม่ดีเลย คราวนี้ ข้าไม่สามารถหาตำรายุทธ์พื้นฐานได้เลยสักเล่ม แล้วข้าก็ไม่ได้คิดถึงตำราอื่นเสียด้วย…”

เมื่อกลับเข้ามาในหุบเขา ฟางหยวนก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้น

“มันก็ยังรู้สึกสบายใจมากกว่าเมื่ออยู่บ้าน…”

แม้ว่าเขาจะไม่ได้จากบ้านไปนานขนาดนั้น ฟางหยวนก็รู้สึกคิดถึงบ้านไปแล้ว

หลังจากวางของลง เขาก็เดินเข้าบริเวณสวนทันที

“เอ๋?”

เพียงถึงทางเข้า เขาก็ต้องตกใจกับรอยเท้าสัตว์ที่ปรากฏขึ้น “สัตว์รบกวน?”

ทำไร่ทำสวนบนภูเขานั้นย่อมดึงดูดนกและสัตว์ทุกชนิด แต่โชคดีที่อาจารย์เวิ่นซินมีวิธีป้องกันการบุกรุกของสัตว์พวกนี้เข้าในบริเวณเพาะปลูก

เสือ หมาป่า หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นมักจะใช้ปัสสาวะเป็นเครื่องหมายแสดงอาณาเขตของพวกมัน สัตว์ชนิดอื่นจะไม่กล้าเข้ามาในอาณาเขตที่มีกลิ่นปัสสาวะนั่น ซึ่งจริง ๆ แล้ว พืชบางชนิดสามารถคั้นน้ำออกมาเทราดรอบ ๆ พื้นที่ หลอกให้สัตว์อื่นเข้าใจว่าพื้นที่นั้น ๆ มีเจ้าของและทำให้ไม่กล้าบุกเข้าไป

และหากวิธีนี้ใช้ไม่ได้ผล กับดักก็สามารถแก้ปัญหาผู้บุกรุกอื่น ๆ ได้เช่นกัน

แต่ว่า กับดักที่ทำไว้ในแปลงเพาะปลูกนั้นล้วนถูกทำลาย เหยื่อที่วางไว้ล้วนหายไปราวกับว่าผู้บุกรุกนั้นกำลังแอบหัวเราะเยาะเงียบ ๆ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+