Divine King of All Directions 1368

Now you are reading Divine King of All Directions Chapter 1368 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ประกายแสงสีม่วงรายล้อมเจดีย์นี้เอาไว้พร้อมๆกับอักขระมากมายที่ส่องประกายออกมาด้วยกลิ่นอายที่ไม่ธรรมดาส่งผลให้ผู้คนรู้สึกได้ถึงแรงกดดันอันมหาศาล
หลินเทียนรู้สึกพึงพอใจกับมันมากๆเพราะเขาเชื่อว่าด้วยอาวุธชิ้นนี้แล้วเส้นทางการบ่มเพาะของเขาจะต้องยิ่งสุดยอดขึ้นไปอีก
“ยินดีด้วยค่ะท่านอาจารย์ ! ”
เซียนเซียนที่เห็นเช่นนั้นจึงได้ส่งเสียงออกมาพลางรีบเหาะเข้ามาใกล้
นางได้แต่มองไปยังเจดีย์เหนือศีรษะของหลินเทียนด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย
มันเป็นเพราะว่าเจดีย์เก้าชั้นนี้มันให้ความรู้สึกที่น่าเกรงขามอย่างมาก
พยัคฆ์ขาวที่กำลังเหาะเข้ามาเองก็ได้แต่มองไปทางมันพร้อมทั้งอดส่งเสียงชื่นชมออกมาไม่ได้
ณ ตอนนี้มันรู้สึกได้ว่าหัวใจของตัวเองกำลังเต้นระรัว
“น่ากลัวจริงๆ แม้ว่าจะเป็นอาวุธสวรรค์เท่านั้นแต่พลังทำลายของมันเทียบได้พอๆกับอาวุธบรรพบุรุษของจักรพรรดิว่างเปล่าเลยด้วยซ้ำ ! ”
ดวงตาของมันส่องประกายออกมา
หลังจากอาวุธระดับจ้าวสวรรค์ขึ้นไปแล้วยังมีอาวุธระดับบรรพบุรุษ อาวุธวิญญาณสมบัติ อาวุธอนันตกาล อาวุธนิรันดร์ที่แท้จริง อาวุธนิรันดร์ทองคำ อาวุธนิรันดร์ล้ำลึก อาวุธนิรันดร์สวรรค์ อาวุธราชาแห่งนิรันดร์ก่อนที่จะเป็นอาวุธเทวะที่แท้จริงอาวุธบรรพบุรุษเทวะ อาวุธปราชญ์เทวะและอาวุธจักรพรรดิเทวะซึ่งแบ่งออกตามเขตแดนต่างๆ
ตอนนี้แม้เจดีย์ของเขาจะอยู่ในระดับอาวุธสวรรค์ก็จริงทว่าพลังทำลายของมันก้าวข้ามระดับของมันเองแล้วทำให้สามารถต่อกรกับอาวุธบรรพบุรุษได้อย่างแน่นอน
“ถึงอย่างไรมันก็หลอมขึ้นมาจากคริสตัลโกลาหลบรรพกาล ดังนั้นก็ถือเป็นเรื่องปกตินั่นแหละ ”
หลินเทียนพูดออกมา
เพราะด้วยพลังทำลายที่รายล้อมไปด้วยกลิ่นอายอันทรงพลังนี้แถมยังควบคุมได้ดั่งใจนึกนั้นทำให้เขาชื่นชอบมันอย่างมาก
เซียนเซียนที่อยู่ข้างๆเองก็ได้แต่มองไปทางมันด้วยดวงตาที่เปล่งประกายเสมือนว่าต้องการจะคว้ามันไปเล่น
“ท่านอาจารย์จะตั้งชื่อมันว่าอะไรรึคะ ? ”
นางถามออกไป
หลินเทียนตอบกลับว่า
“เจดีย์ราชันอมตะ ”
“เป็นชื่อที่น่าเกรงขามมากๆแต่นี่มันสร้างขึ้นจากคริสตัลโกลาหลบรรพกาลไม่ใช่หรือไง ทำไมถึงได้ตั้งชื่อนี้ ? ”
พยัคฆ์ขาวถามออกมา
เซียนเซียนเองก็แสดงสีหน้าที่ประหลาดใจออกมาเช่นกันเพราะตอนที่นางกำลังถามชื่อออกไปนี้ในสมองของนางก็ปรากฏชื่อเจดีย์บรรพกาลขึ้นมาเช่นกันแต่ไม่คิดเลยว่าหลินเทียนจะตั้งชื่ออื่น
หลินเทียนหันมองไปยังใบหน้าที่สงสัยของพวกเขาทำให้อดเผยรอยยิ้มออกมาไม่ได้พลางตอบกลับไปว่า
“ข้ายังไม่ได้บอกพวกเจ้าหรือไงว่าข้าเป็นจ้าวสำนักนิรันดร์มีสถานที่เป็นราชันอมตะดังนั้นอาวุธวิญญาณของข้าถึงได้ชื่อเจดีย์ราชันอมตะไง ”
“อะไรนะ ?! ”
พยัคฆ์ขาวและเซียนเซียนต่างพากันแสดงสีหน้าที่ตกตะลึงออกมา
“จ้าวสำนักนิรันดร์ ? ราชันอมตะ ? ”
เซียนเซียนได้แสดงสีหน้าที่สงสัยออกมาพร้อมกับพึมพำออกมาว่า
“ดูเหมือนโลกนี้จะไม่มีขุมพลังชื่อนี้อยู่นะ ”
“ในอดีตเองก็ไม่เคยมี ”
ทั้งสองคนส่งเสียงออกมา
“ไม่ได้อยู่ในโลกนี้ ”
หลินเทียนตอบกลับด้วยรอยยิ้มพลางพูดต่อว่า
“มันตั้งอยู่บนดวงดาวเก่าแก่ที่อยู่ห่างไกลออกไปจากสถานที่แห่งนี้มากๆ ”
“ว่าไงนะ ?! ”
ทั้งสองคนยิ่งตกตะลึงเข้าไปอีก
“ท่าน…อาจารย์……ท่านหมายความว่า…..ท่านเคยออกจากดาวดวงนี้ไปยังดาวดวงอื่นในห้วงจักรวาลแล้วก่อตั้งขุมพลังขึ้นที่นั่น ?! ”
เซียนเซียนที่เป็นเด็กมีไหวพริบได้เข้าใจความหมายของเขาโดยทันที
“ก็เกือบทั้งหมดล่ะนะ ”
หลินเทียนตอบกลับ
เมื่อได้ยินคำยืนยันเช่นนี้แล้วทั้งสองก็อดสั่นสะท้านไปด้วยดวงตาที่เบิกกว้างขึ้นไม่ได้…….หลินเทียนเคยออกจากโลกใบนี้แล้วแถมยังก่อตั้งขุมพลังที่แข็งแกร่งแล้วยังเป็นราชันอมตะของคนเหล่านั้น !
“นี่มัน……”
พวกเขาได้แต่แข็งค้างไป
เป็นเพราะด้วยระดับพลังของหลินเทียนนั้นการจะออกจากโลกใบนี้ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรมากนักแต่การที่ได้ยินเรื่องที่เขาสามารถก่อตั้งขุมพลังได้นี่ก็ยังรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย
หลังจากที่ผ่านไปได้สักพักอาการของพวกเขาก็ดีขึ้นก่อนที่จะรู้สึกตื่นเต้นไปกับมันพร้อมทั้งถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของดาวสวรรค์สิบชั้นด้วยความรู้สึกสนใจอย่างมาก
“แบ่งออกเป็นสวรรค์สิบชั้น ทุกชั้นล้วนเป็นโลกอันกว้างใหญ่และหลังจากที่ตัดผ่านสวรรค์ชั้นที่ 10 ไปได้แล้วก็จะออกมาจากโลกใบนั้นได้ ”
หลินเทียนไม่ได้ปิดบังอะไรพร้อมทั้งอธิบายเกี่ยวกับดาวสวรรค์สิบชั้นทั้งหมดพลางพูดต่อว่า
“มันเป็นโลกแห่งผู้บ่มเพาะอย่างแท้จริงที่เต็มไปด้วยขุมพลังอันยิ่งใหญ่มากมายส่งผลให้การต่อสู้ดุเดือนและเข้มข้นมากๆ ”
“สวรรค์สิบชั้น โลกของผู้บ่มเพาะนี่มัน…….”
ทั้งสองคนต่างมีดวงตาเปล่งประกายออกมา
แม้ว่าคำพูดของหลินเทียนจะไม่ได้ลงรายละเอียดขนาดนั้นแต่ก็ยังทำให้พวกเขาตระหนักได้ถึงความไม่ธรรมดาของมัน
“แล้วขุมพลังของท่านอาจารย์แข็งแกร่งขนาดไหนกัน ? ”
เซียนเซียนได้ถามออกมาด้วยความรู้สึกสนใจ
“ก็งั้นๆแหละ ขุมพลังที่แข็งแกร่งที่สุด…..”
หลินเทียนตอบกลับด้วยรอยยิ้มพร้อมทั้งอธิบายเกี่ยวกับขุมพลังของตัวเอง
นี่ทำให้ร่างกายของทั้งสองคนอดสั่นสะท้านไปไม่ได้
“กองกำลังกว่าล้านและกายราชันอีกมากมายนี่มัน……….”
พยัคฆ์ขาวได้แต่สูดหายใจเข้าลึกเพราะว่าขุมพลังระดับนี้มันสามารถครองโลกได้เลย ?!
“ขะ……แข็งแกร่งเกินไปแล้ว ! ”
เซียนเซียนได้แต่โง่งมไปก่อนที่จะพูดออกมาด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้นว่า
“ท่านอาจารย์รีบก่อสร้างสำนักนิรันดร์ในโลกนี้เร็วๆเลย ! ”
เป็นเพราะว่าเมื่อได้ยินคำอธิบายเกี่ยวกับสวรรค์สิบชั้นแล้วมันทำให้นางรู้สึกโหยหามันอย่างมากดังนั้นถึงได้แต่กำหมัดเอาไว้ด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย
หลินเทียนพยักหน้าของเขาพร้อมกับพูดว่า
“ได้ ”
เป็นเพราะเขาเองก็ตั้งใจเอาไว้ก่อนแล้วว่าจะก่อตั้งขุมพลังและเผยแพร่คำสอนเพื่อเพิ่มผู้ศรัทธาสำหรับเก็บเกี่ยวพลังแห่งความเชื่อ
เขาเก็บเอาเจดีย์ราชันอมตะกลับไปก่อนที่จะหันไปพูดกับทั้งสองคนแล้วเหาะจากไป
เป็นเพราะการจะก่อตั้งขุมพลังก็จำเป็นต้องเลือกสถานที่ตั้งที่เหมาะสม
เขาได้นำทั้งสองคนไปจนถึงสถานที่ๆอยู่ห่างออกไปไม่ไกลมาก
เมื่อมองดูดีๆแล้วมันจะพบว่าสถานที่แห่งนี้แห้งแล้งอย่างมากถึงขั้นไม่สามารถมองเห็นต้นไม้สีเขียวชอุ่มได้เลยด้วยซ้ำ
“ท่านจะเลือกที่นี่ ? ”
เซียนเซียนถามออกมา
“ใช่ ”
หลินเทียนพยักหน้าของเขา
เป็นเพราะสภาพทางภูมิศาสตร์ของมันนั้นตั้งอยู่ในทิศเหนือของดินแดนศูนย์กลางซึ่งแม้ว่ามันจะดูรกร้างทว่ามันก็เคยเป็นสถานที่ๆเต็มไปด้วยอารยธรรมมาก่อน
“ที่นี่มันดูไม่เหมาะเลยไหมคะ ? มันรกร้างเกินไปพลังฉีก็แทบไม่มีแล้วศิษย์จะบ่มเพาะกันอย่างไรล่ะคะ ? ”
เซียนเซียนถามออกมาพลางพูดต่อว่า
“ยิ่งไปกว่านั้นท่านคิดจะก่อตั้งมันอย่างโจ่งแจ้งโดยที่ไม่คิดจะสร้างมันไว้ในดินแดนลับ ? ”
พยัคฆ์ขาวที่อยู่ข้างๆเองก็หันมองมาทางเขาด้วยสีหน้าแปลกๆเหมือนกัน
เป็นเพราะมันเองก็มีความคิดแบบๆเดียวกันกับเซียนเซียน
หลินเทียนยังคงแสดงสีหน้าที่ราบเรียบออกมาพลางพูดว่า
“ไม่เป็นไร ต่อให้มันรกร้างแต่วางเส้นชีพจรเทวะลงไปเดี๋ยวมันก็ดีเอง ”
หลังจากที่พูดจบแล้วก็คว้าเอาเส้นชีพจรเทวะที่ชิงเอามาจากสวรรค์สิบชั้นที่เหลืออยู่สามเส้นสุดท้านออกมาทำให้พลังฉีเข้มข้นขึ้นอย่างมากพร้อมพูดต่อว่า
“ส่วนเรื่องบังหน้าก็ไม่จำเป็นเพราะว่าการที่เราจะก่อตั้งขุมพลังก็ควรจะเปิดเผยต่อโลกใบนี้ ”
นี่ทำให้ร่างกายของทั้งสองคนอดสั่นไปไม่ได้ก่อนที่จะแสดงสีหน้าที่ประหลาดใจออกมา
“เส้นชีพจรเทวะ ?! สามเส้น ?! ”
เซียนเซียนแข็งค้างไปทันที
“นี่มัน………”
พยัคฆ์ขาวเองก็มีอาการที่ไม่ได้ต่างกันมากนัก
เป็นเพราะว่าในมือของหลินเทียนกลับมีสิ่งของที่ล้ำค่าอยู่ขนาดนี้
หลินเทียนได้เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมทั้งหมุนวนทักษะฝังมังกรพลางฉีกพื้นดินออกแล้วฝังมันลงไป
ทันใดนั้นเองที่พลังฉีอันเข้มข้นได้พวยพุ่งออกมาไม่หยุดหย่อนทำให้สถานที่แห่งนี้ถูกปกคลุมไปด้วยพลังฉีที่หนาแน่นโดยทันที
มันส่งผลให้ต้นไม้ที่เหี่ยวเฉากลับมามีชีวิตชีวาและเขียวชอุ่มขึ้นอีกครั้ง
ทั้งสองคนได้แต่มองออกไปด้วยสีหน้าที่โง่งมอย่างมากเพราะสถานที่แห่งนี้ได้แปรเปลี่ยนกลายเป็นสรวงสวรรค์ภายในชั่วพริบตาโดยที่ไม่มีสถานที่ไหนในโลกนี้สามารถเทียบเคียงได้
หลินเทียนเผยรอยยิ้มจางๆออกมาพร้อมทั้งโบกมือเรียกเอาสมบัติทั้งหลายที่ได้รับจากการทำลายขุมพลังต่างๆในสวรรค์สิบชั้นออกมาพลางวางสิ่งก่อสร้างลงไปไม่ว่าจะเป็นลานฝึกหรือตำหนักอื่นๆพร้อมทั้งวางข่ายอาคมสังหารออกไปรอบทิศทางโดยที่รับประกันได้ว่าหากไม่ใช่เขตแดนจักรพรรดิว่างเปล่าแล้วก็ไม่มีใครสามารถแตะต้องมันได้
ท้ายที่สุดเขาก็ได้สลักป้ายอักษรเอาไว้หน้าประตูทางเข้าว่า
“สำนักนิรันดร์ ”
“เรียบร้อย ”
เขาพูดออกมา
เมื่อมองออกไปแล้วจะพบได้ว่าสถานที่ๆเคยรกร้างได้แปรเปลี่ยนกลายเป็นสถานที่ๆอัดแน่นไปด้วยพลังฉีอันเข้มข้นขณะที่ต้นไม้มากมายเจริญเติบโตอย่างเต็มที่พร้อมๆกับกลิ่นอายพลังชีวิตที่แผดไปทั่วทิศทาง
สำนักนิรันดร์ได้ก่อตั้งขึ้นภายในดวงดาวที่เคยได้ชื่อว่าเป็นดาวจักรพรรดิทางช้างเผือกแล้ว !

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด