Doombringer the 5th 116

Now you are reading Doombringer the 5th Chapter 116 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Ch.116 – เหยื่อที่หายไป

Translator : YoyoTanya / Author

Ch. 112

เหยื่อที่หายไป

 

Part 1

 

ปกติแล้วสมุนอัญเชิญจะไม่ตอบสนองต่อสิ่งรอบตัวมากนัก เพราะพวกมันเปรียบเสมือนหุ่นเชิดที่ไร้ชีวิตและจิตใจซึ่งคอยทำตามคำสั่งของผู้อัญเชิญแต่เพียงอย่างเดียว อีกทั้งร่างอัญเชิญควรจะมีความสามารถพื้นฐานตามร่างต้นฉบับของมัน สมุนอัญเชิญที่มีร่างเป็นหมาป่าจึงไม่ควรจะพูดภาษามนุษย์ได้เลย แต่หมาป่าของซาลกลับตอบสนองต่อการกระทำของคุโระในทันที ทั้งยังพูดออกมาเป็นภาษามนุษย์อีกด้วย

สิ่งนี้ทำให้เขาตกตะลึงจนได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อโดยที่มือยังคงยกค้างอยู่ในท่าที่กำลังจะเอื้อมไปลูบหัวมัน

คุโระหันไปมองซาลเพื่อจะฟังคำอธิบายในเรื่องนี้ ทว่าซาลก็เอาแต่หลบสายตาไปทางอื่นด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน ทำให้บรรยากาศยิ่งอึมครึมเข้าไปอีก

หมาป่าทั้งสามนั้นถูกสร้างขึ้นด้วยจิตสังเคราะห์ที่ได้รับการปรับแต่งมาเป็นพิเศษ ทำให้มีสติปัญญา, ความคิดอ่าน, และอุปนิสัยคล้ายคลึงกับมนุษย์ ทั้งยังสามารถพูดภาษามนุษย์ได้ด้วย

สำหรับหมาป่าที่หลุดคำพูดออกมาก็คือเซอร์บีรัส หรือเซอร์บี้ ซึ่งมีนิสัยค่อนข้างทะนงตัว นอกเหนือจากผู้เป็นนายอย่างซาลแล้วเซอร์บี้จึงไม่ค่อยชอบให้ใครมาแสดงความเอ็นดูเหมือนกับเป็นสัตว์เลี้ยงนัก แต่ทันทีที่หลุดปากออกไปมันก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ในทันทีว่าเผลอทำสิ่งที่ไม่ควรทำไปซะแล้ว จึงพยายามหาทางแก้ไขอย่างอับจนปัญญา

“เอ่อ… ฉันหมายถึง… ‘โฮ่ง ๆ ‘ น่ะ”

เมื่อได้ยินคำพูดของเซอร์บี้เป็นครั้งที่สอง คุโระที่ได้ยินถ้อยคำเหล่านั้นอย่างชัดเจนก็ตาโตด้วยความตกใจมากยิ่งขึ้นกว่าเก่า ในทีแรกเขายังไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นฝ่ายหูแว่วหรือฟังผิดไปเองรึเปล่า แต่คราวนี้เขามั่นใจว่าฟังไม่ผิดแน่นอน

ซาลหลับตาลงและมีสีหน้าเหมือนกับกำลังปลงชีวิต เพราะเห็นว่าคราวนี้คงหมดทางแก้ตัวแล้ว ส่วนทาร์ท่า หมาป่าอีกตัวที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ เซอร์บี้ก็เก็บความหงุดหงิดเอาไว้ไม่อยู่จนต้องระเบิดอารมณ์ออกมา

“กลบเกลื่อนแบบนั้นมันจะช่วยอะไรได้เล่าเจ้าบ้า! มีสมองรึเปล่าเนี่ย!?”

“อ๊าก!”

“ยังจะร้องเหมือนคนอีก!”

“โอ๊ย ๆ ๆ ”

ด้วยความโมโห ทาร์ท่าจึงเอาเท้าหน้าตบใส่ศีรษะของเซอร์บี้ไม่หยุด ซึ่งอีกฝ่ายก็ได้แต่ก้มหน้ารับด้วยท่าทางสำนึกผิด ส่วนเอเร่ที่ยืนอยู่อีกฝั่งก็ได้แต่ทอดถอนใจด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย

“เฮ้อ… ที่เธอทำมันก็ไม่ต่างกันหรอกทาร์ท่า แบบนี้ความก็แตกหมดแล้วล่ะ”

เมื่อเห็นการกระทำและคำพูดของหมาป่าทั้งสามตัว คุโระก็ได้แต่ยืนอึ้งไปเพราะจนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็นและได้ยิน เขาจึงพยายามรวบรวมสติและหันไปถามซาลอีกครั้งอย่างช้า ๆ

“เอ่อ… คุณซาลครับ… นี่มัน…”

“อ่า… เนี่ยน่ะเหรอ… ก็… ก็… ไม่มีอะไรนี่! นายเห็นอะไรผิดปกติงั้นเหรอ!?”

เพราะไม่รู้จะแก้ตัวยังไงแล้ว ซาลจึงด้านหน้าเอาสีข้างเข้าถูเต็มพิกัดเผื่อว่าจะหลุดพ้นจากสถานการณ์นี้ไปได้ ด้วยการปฏิเสธความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง

“…เอ๋? ก็หมาป่าพวกนี้น่ะ… ทำไมมันถึงพูดได้ด้วยล่ะครับ?”

“หืม? นายได้ยินพวกมันพูดด้วยเหรอ? ฉันได้ยินแค่เสียง ‘โฮ่ง ๆ ‘ เองนะ”

“อ้าว?”

คุโระขมวดคิ้วด้วยความสับสนที่ทับถมกันมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ส่วนเหล่าหมาป่าที่อยู่ด้านหลังก็เข้าใจในเจตนาของซาลทันที จึงรีบทำตัวสงบเสงี่ยมและไม่พูดอะไรอีก

ท่าทีของเหล่าหมาป่าที่แปรเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันนี้ทำให้คุโระรู้สึกข้องใจมากยิ่งขึ้น เขาจึงเดินเข้าไปดูหมาป่าทั้งสามใกล้ ๆ อีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยคำถามออกมา

“คุณซาล… ไม่ได้ยินที่หมาป่าพวกนี้พูดเมื่อตะกี้จริง ๆ เหรอครับ?”

“กะ.. ก็ใช่น่ะสิ! ฉันได้ยินแค่เสียงเห่าธรรมดาเอง! คุโระ นายหูแว่วไปเองรึเปล่า?”

คุโระซึ่งทั้งได้เห็นและได้ยินการกระทำของเหล่าหมาป่าอย่างชัดเจนย่อมไม่คล้อยตามคำพูดนั้นง่าย ๆ อีกทั้งซาลยังมีท่าทีลุกลี้ลุกลนผิดปกติด้วย ทำให้ความสงสัยของเขายิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ

“แล้วที่พวกมันตบตีกันเมื่อสักครู่นี้ล่ะครับ ได้เห็นรึเปล่า?”

“เอ่อ… นั่นมันก็… เป็นการหยอกล้อกันตามประสาของหมาป่าทั่วไปไงล่ะ! เพราะนี่เป็นสมุนอัญเชิญที่เหมือนจริงมาก ก็เลยมีนิสัยแบบนี้ด้วย!”

แม้ซาลจะพยายามพูดด้วยสีหน้าจริงจัง แต่เหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ที่ผุดออกมาตามหน้าผากของเขาก็ไม่ช่วยให้คำพูดนั้นน่าเชื่อถือสักเท่าไหร่นัก คุโระจึงหรี่ตาจ้องและถามเขาอีกครั้ง

“แต่สมุนอัญเชิญน่ะเปรียบเสมือนหุ่นเชิดที่ไร้จิตใจไม่ใช่เหรอครับ? ทำไมถึงมีการแสดงออกแบบนี้ได้ล่ะครับ?”

“อ่า… คือ… ตะกี้ฉันให้พวกมันปล่อยตัวตามสบายก็เลยแสดงท่าทางตามธรรมชาติออกมาไงล่ะ!”

“อ้อ… งั้นถ้าให้พวกมันอยู่ในสภาพเตรียมพร้อม มันก็จะไม่เคลื่อนไหวตามใจชอบสินะครับ?”

“ชะ.. ใช่แล้วล่ะ!”

“งั้นคุณซาลช่วยให้พวกมันอยู่ในสภาพเตรียมพร้อมหน่อยสิครับ ผมจะได้ทดสอบดูเพื่อความแน่ใจ”

“เอ๋? ระ… เรื่องนั้น… แน่นอน! ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว! เอ้า พวกนาย! จงอยู่ในสภาพเตรียมพร้อมซะ!”

ซาลสั่งการกับหมาป่าทั้งสามด้วยคำพูด ทำให้คุโระยิ่งรู้สึกว่ามีพิรุธมากขึ้น แต่การสั่งการด้วยเสียงก็ยังไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกอะไรนัก เขาจึงปล่อยผ่านประเด็นนี้ไปและหันเหความสนใจไปที่หมาป่าทั้งสามซึ่งกำลังนั่งตัวตรงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยแทน

คุโระจำคำพูดของหมาป่าแต่ละตัวได้อย่างชัดเจน จึงจำชื่อของพวกมันได้ด้วย หมาป่าตัวที่อยู่ตรงกลางชื่อเซอร์บี้ เป็นตัวที่หลุดปากพูดออกมาเป็นคนแรก ฟังจากน้ำเสียงแล้วน่าจะเป็นเพศชาย ส่วนหมาป่าอีกตัวที่อยู่ทางขวามือคือตัวที่ตบตีเซอร์บี้ด้วยความไม่พอใจนั้นมีเสียงเหมือนกับเป็นเพศหญิง มันถูกหมาป่าตัวที่สามเรียกว่าทาร์ท่า ดังนั้นหมาป่าตัวที่สามก็น่าจะเป็นเอเร่ ซึ่งฟังจากน้ำเสียงที่คุโระได้ยินแล้ว เอเร่ก็น่าจะเป็นเพศหญิงเช่นกัน

คุโระเอามือวางลงไปบนหัวของเซอร์บี้อย่างช้า ๆ ทันทีที่มือของเขาสัมผัสลงไปแววตาของเซอร์บี้ก็สั่นไหวเล็กน้อย แต่มันก็พยายามจ้องมองตรงไปข้างหน้าโดยไม่สบตากับคุโระ เหมือนเป็นการแสดงตัวให้ดูไร้ชีวิตจิตใจมากที่สุด ทว่านั่นก็เป็นท่าทางที่ดูฝืน ๆ และจงใจเกินไปสักหน่อย

คุโระลูบมือไปมาบนหัวของเซอร์บี้อยู่พักหนึ่ง แต่ก็ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใด ๆ จากมัน เขาจึงละมือแล้วเปลี่ยนเป้าหมายไปที่ทาร์ท่าแทน

ทางด้านทาร์ท่าก็กำลังนั่งนิ่งและจ้องเขม็งไปด้านหน้าอย่างไร้ชีวิตจิตใจเช่นกัน แต่จากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ทำให้คุโระพอจะเดาอุปนิสัยของทาร์ท่าออก จึงลองใช้วิธีการที่เสี่ยงอันตรายสักหน่อยในการตรวจสอบ

ดูจากปฏิกิริยาที่เขาเห็นก่อนหน้านี้แล้ว หมาป่าพวกนี้น่าจะมีความคิดความอ่านใกล้เคียงกับมนุษย์พอสมควร โดยเฉพาะทาร์ท่าที่ดูจะเป็นคน(?)ใจร้อน ถ้าถูกล่วงเกินละก็คงไม่ยอมอยู่เฉยแน่ คุโระจึงเอามือสัมผัสที่ใบหูของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา ทันใดนั้นสีหน้าของทาร์ท่าก็เกิดอาการกระตุกขึ้นมา

เมื่อเห็นเช่นนั้นคุโระก็ยิ่งมั่นใจว่าวิธีการนี้น่าจะได้ผล เขาจึงเอามือลูบคลึงใบหูทั้งสองข้างของทาร์ท่าอย่างทะนุถนอม ทำให้อีกฝ่ายมีสีหน้าที่บิดเบี้ยวมากขึ้นเรื่อย ๆ ดวงตาที่พยายามจ้องเขม็งไปทางอื่นนั้นมีอาการสั่นกระตุกและเต็มไปด้วยโทสะ เส้นขนทั้งร่างก็ลุกชูจนเหมือนกับตัวพองขึ้นมา

แค่เพียงครู่เดียว ความอดทนของทาร์ท่าก็หมดไป

“จะลูบคลำไปถึงไหน!? ไอ้โรคจิต!”

“ว๊ากกก”

ทาร์ท่าที่ฟิวส์ขาดใช้ขาหน้าชกเข้าไปที่หน้าท้องของคุโระจนลอยกระเด็นและกลิ้งไปกับพื้นอีกหลายตลบ

ซาลหลับตาลงและมีสีหน้าปลงตกอีกครั้ง ในขณะที่เซอร์บี้ได้แต่ยิ้มเจื่อน ๆ ส่วนเอเร่ก็ยกขาหน้าขึ้นมากุมขมับเพราะความรู้สึกเหนื่อยใจ

เพราะในที่สุดพวกเขาก็ไม่สามารถเก็บความลับเรื่องสมุนอัญเชิญที่มีจิตสังเคราะห์เอาไว้ได้

 

——————————————————————————–

 

Part 2

 

หลังจากร่ายเวทรักษาเพื่อปฐมพยาบาลให้กับคุโระเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซาลก็ทำการแนะนำหมาป่าทั้งสามให้คุโระได้ทำความรู้จักอย่างเป็นทางการด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย เพราะความล้มเหลวในการปกปิดเรื่องนี้

“ก็… ตรงกลางนั่นคือเซอร์บีรัส ฝั่งขวาคือทาร์ทารัส และฝั่งซ้ายคือเอเรบัส ชื่อเล่นก็คือเซอร์บี้, ทาร์ท่า, และเอเร่ ตามลำดับ ทุกคนเป็นสมุนอัญเชิญที่มีความคิดและจิตใจ อย่างที่เห็นนั่นแหละ…”

คุโระจ้องมองซาลด้วยสายตาที่เหมือนจะงอนอยู่นิดหน่อยที่อีกฝ่ายพยายามจะหลอกด้วยวิธีลวก ๆ แต่เขาก็ไม่ได้ติดใจอะไรในประเด็นนี้นัก เพราะตอนนี้มีเรื่องอื่นที่น่าสนใจมากกว่า

“แหม… คุณซาลไม่เห็นต้องพยายามปิดบังเลยนี่ครับ ความจริงแล้วนี่น่ะเป็นเรื่องที่สุดยอดออกจะตายไป สมุนอัญเชิญที่มีจิตใจเลยนะครับ!”

“เพราะแบบนั้นนั่นแหละถึงต้องพยายามปิดบัง ความจริงแล้วนี่น่ะเป็นวิทยาการที่เข้าข่ายวิชาต้องห้ามอย่างหนึ่งก็ว่าได้ ถ้าคนอื่นรู้เข้าละก็อาจต้องข้อกล่าวหาว่าเป็นพวกนอกรีตและถูกตุลาการของพีสคีปเปอร์จับไปไต่สวนเลยก็ได้”

“เอ๋!? ระ.. ร้ายแรงขนาดนั้นเชียวเหรอครับ?”

“ใช่ เพราะงั้นฉันเลยไม่อยากให้นายต้องแบกรับภาระในการปกปิดเรื่องนี้สักเท่าไหร่ แต่ในเมื่อรู้แล้วก็ช่วยไม่ได้ ห้ามเอาเรื่องนี้ไปบอกใครเด็ดขาดเลยนะ”

“ไม่ต้องห่วงครับ ในเมื่อมันเป็นเรื่องสำคัญของคุณซาล ผมก็จะไม่บอกกับใครแน่นอน”

เมื่อเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญถึงขั้นคอขาดบาดตาย คุโระจึงรับปากกับซาลอย่างหนักแน่นด้วยสีหน้าจริงจัง ซึ่งซาลก็มั่นใจว่าคุโระคงไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปเช่นกัน หรือต่อให้ความลับในเรื่องนี้รั่วไหลออกไปจริง ๆ เขาก็ยังพอมีวิธีที่จะรับมืออยู่

แม้ซาลกับคุโระจะพูดคุยเข้าใจกันแล้ว แต่ก็มีคนที่ยังไม่พอใจกับเรื่องนี้อยู่

คน(?) ๆ นั้นก็คือทาร์ท่านั่นเอง

“เจ้าบ้ากามนี่จะไว้ใจได้แน่เหรอคะบอส? ฉันว่าเราควรจะฆ่ามันปิดปากไปเลยจะดีกว่าค่ะ ให้ฉันเป็นคนลงมือเอง ทำทีเป็นว่าถูกมอนสเตอร์ดักทำร้ายแล้วกัดกินจนเหลือแต่ซาก ในพื้นที่ดันเจี้ยนแบบนี้ไม่มีใครสงสัยหรอกค่ะ”

คำพูดที่กล่าวออกมาพร้อมกับแววตาอันคมกริบที่เปี่ยมไปด้วยจิตสังหารนั้นทำให้คุโระถึงกับสะดุ้งเฮือก ส่วนซาลก็ยิ้มแห้ง ๆ ก่อนจะตอบกลับไป

“ไม่เอาน่าทาร์ท่า อย่าคิดเล็กคิดน้อยสิ ตะกี้นี้เราเป็นฝ่ายผิดที่พยายามไปหลอกเขาเองนี่นา อีกอย่างคือคุโระเป็นคนที่ไว้ใจได้อยู่แล้วล่ะ ไม่ต้องห่วงหรอก”

แม้ซาลจะพูดเช่นนั้น ทาร์ท่าก็ยังจ้องมองคุโระด้วยสายตาอันเป็นปฏิปักษ์อยู่ตลอดเวลา เขาจึงต้องเอ่ยปากขอโทษด้วยตัวเอง

“เอ่อ… เมื่อกี้ผมต้องขอโทษด้วยนะครับที่เสียมารยาทไป… คือไม่รู้ว่าตรงไหนควรจับและตรงไหนไม่ควรจับน่ะครับ…”

“ยังไงก็ไม่ควรเป็นหูไม่ใช่เรอะ!? แบบนี้มันจงใจชัด ๆ ! บอสคะ! คนที่โกหกปลิ้นปล้อนได้หน้าตาเฉยแบบนี้น่ะปล่อยเอาไว้ไม่ได้หรอกค่ะ! ต้องเจี๋ยนมันซะ!”

ทาร์ท่าขู่คำรามและแยกเขี้ยวออกมาด้วยความเกรี้ยวกราดทำให้ดูน่ากลัวเป็นพิเศษ จนคุโระถึงกับผงะและต้องถอยออกมา ซาลซึ่งเห็นคุโระที่ถูกข่มขู่ให้กลัวจนตัวสั่นด้วยรูปลักษณ์ของหมาป่านั้นจึงคิดว่าควรทำอะไรกับเรื่องนี้ก่อน

“ในสภาพแบบนี้คงจะคุยกันลำบากสินะ เอ้า พวกเธอน่ะทำการ ‘จำแลง’ ร่างซิ จะได้คุยกันง่ายหน่อย”

คุโระไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ซาลพูดนั้นหมายถึงอะไร แต่ในระหว่างนั้นก็เกิดความเปลี่ยนแปลงกับหมาป่าทั้งสาม จนเขาต้องหันกลับไปมอง

ร่างของเซอร์บี้, ทาร์ท่า, และเอเร่ ต่างก็เปล่งแสงออกมา แล้วค่อย ๆ เปลี่ยนรูปลักษณ์ไป จากร่างอันใหญ่โตของหมาป่าขนาดยักษ์ ก็กลายเป็นร่างกายเพรียวบางของมนุษย์แทน

ทันทีที่แสงสว่างซึ่งปกคลุมร่างกายของทั้งสามอยู่จางลง ก็ปรากฏร่างของมนุษย์สามคนที่มีหูและหางของสุนัขยืนอยู่ตรงนั้น

(ยืมรูปชาวบ้านมาอีกแล้ว ล่วงเกินตัวละครโปรดของใครไปต้องขออภัยด้วยนะ)

เซอร์บี้กลายเป็นชายหนุ่มรูปงามที่มีดวงตาอันคมกริบและดูหยิ่งทะนง ทาร์ท่ากลายเป็นสาวน้อยน่ารักท่าทางร่าเริงและกระฉับกระเฉง ส่วนเอเร่ก็กลายเป็นหญิงสาวที่ดูสงบเสงี่ยมแต่แฝงความแข็งกร้าวอยู่ภายใน

ทั้งสามคนนี้มีศักดิ์เป็นพี่น้องกัน โดยมีเซอร์บี้เป็นพี่คนโต ทาร์ท่าเป็นคนรอง และเอเร่เป็นคนเล็ก (ลำดับตามการสร้างครั้งแรกสุด) แต่ลำดับฐานะนี้ก็ไม่ค่อยมีความสำคัญเท่าไหร่นัก เพราะทุกคนสนิทสนมกันมากจนเหมือนกับเป็นเพื่อนกันมากกว่า

เมื่อได้เห็นรูปลักษณ์ใหม่ของหมาป่าทั้งสาม คุโระก็ถึงกับตกตะลึงไปอีกครั้ง

“นะ.. นี่มัน!? คะ.. คุณซาลครับ?”

“อ้อ นี่เป็นความสามารถในการจำแลงร่างน่ะ คล้าย ๆ กับที่เผ่าเวอร์บีสสามารถกลายร่างเป็นกึ่งสัตว์กึ่งมนุษย์ได้ สัตว์เวทมนตร์หรือมอนสเตอร์บางชนิดก็มีความสามารถในการกลายร่างเป็นกึ่งมนุษย์กึ่งสัตว์เช่นกัน และฉันก็นำความสามารถนั้นมาใส่เอาไว้ในโครงสร้างวงเวทอัญเชิญของทั้งสามคนนี้ด้วย ทำให้พวกเขาสามารถจำแลงร่างเป็นมนุษย์ได้ไงล่ะ แบบนี้น่าจะคุยกันง่ายกว่านะ”

แม้ซาลจะอธิบายด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ และสีหน้าสบาย ๆ แต่คุโระก็ไม่สามารถคลายความตกตะลึงลงไปได้ เพราะนี่เป็นอะไรที่อยู่เหนือความคาดคิดของเขาไปมาก จนเริ่มรู้สึกว่าความสามารถในด้านเวทอัญเชิญของซาลนั้นเปรียบเสมือนมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ที่ยากจะหยั่งถึง และเขาเพิ่งได้รู้จักกับมันเพียงแค่ผิวเผินเท่านั้น

ในระหว่างที่คุโระได้แต่ยืนอึ้งอยู่ เซอร์บี้ก็เดินเข้ามาใกล้เพื่อแนะนำตัวอย่างเป็นทางการอีกครั้ง

“ฉันเซอร์บีรัส ยินดีที่ได้รู้จัก… นอกจากบอสแล้วฉันไม่ค่อยชอบให้ใครมาลูบหัวสักเท่าไหร่ เพราะงั้นอย่าถือสากันเลยนะ”

“คะ.. ครับ…”

แม้จะพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่แววตาอันทระนงของเซอร์บี้ก็ยังให้ความรู้สึกเหมือนกับดูถูกฝ่ายตรงข้ามอยู่ในที ทำให้คุโระรู้สึกเหมือนถูกข่มอยู่เล็กน้อย

“ส่วนฉัน เอเรบัส ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน ความจริงคือนอกจากบอสแล้วพวกเราทุกคนก็ไม่ชอบให้ใครมาปฏิบัติด้วยเหมือนกับเป็นสัตว์เลี้ยงทั้งนั้นแหละ แต่เมื่อครู่นี้เราก็ไม่ได้อยู่ในร่างมนุษย์เหมือนกัน การจะถูกเข้าใจผิดก็คงไม่แปลก ดังนั้นมันก็ไม่ใช่ความผิดของเธอไปซะทั้งหมดหรอกนะ ไม่ต้องคิดมาก”

“ครับ…”

คุโระตอบรับการแนะนำตัวอันเป็นมิตรของเอเร่ ซึ่งคำอธิบายของเธอทำให้เขาเข้าใจในเรื่องต่าง ๆ มากขึ้น แต่ก็ยังรู้สึกแปลก ๆ กับการสนทนานี้อยู่ดี เพราะยังสลัดภาพของทุกคนที่อยู่ในร่างหมาป่ามาตลอดจนถึงเมื่อสักครู่นี้ไปไม่พ้น

ทางด้านทาร์ท่าเอาแต่เชิดหน้ามองไปทางอื่นด้วยท่าทางแง่งอนโดยไม่ยอมหันมามองหรือแนะนำตัวกับคุโระ แต่เพราะอยู่ในร่างของสาวน้อยแบบนี้ทำให้บรรยากาศอันคุกคามลดลงไปมาก คุโระจึงไม่รู้สึกกดดันเท่ากับตอนแรก และพยายามเข้าไปขอโทษอีกครั้ง

“ผมต้องขอโทษอีกครั้งนะครับ… คุณทาร์ท่า…”

“อย่ามาทำตัวสนิทสนมนะ! นอกจากบอสแล้วห้ามใครเรียกชื่อนี้ทั้งนั้น! จงเรียกฉันว่าทาร์ทารัสซะ!”

“เอ่อ.. ขอโทษครับคุณทาร์ทารัส”

“ฮึ!”

แม้จะรู้สึกตะขิดตะขวงใจที่ต้องกล่าวคำขอโทษสมุนอัญเชิญ (ที่เคยมีร่างเป็นหมาป่า) ด้วยวาจาอันสุภาพ แต่เพราะทั้งรูปลักษณ์และการแสดงออกของอีกฝ่ายในตอนนี้เหมือนกับคนจริง ๆ ไม่มีผิดเพี้ยน คุโระจึงพยายามปฏิบัติตัวอย่างให้เกียรติเช่นกัน แต่ดูเหมือนทาร์ท่าจะยังไม่หายโกรธอยู่ดี เพราะเธอเพียงแต่ทำเสียง ฮึ ออกมาทางจมูกก่อนจะเชิดหน้าหลบไปทางอื่น โดยไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้นอีก

ซาลที่เห็นว่าทาร์ท่าก็เป็นคนนิสัยแบบนี้อยู่แล้ว และคงต้องใช้เวลาสักหน่อยในการปรับความเข้าใจกัน จึงจบการสนทนาเอาไว้แค่นั้นเพื่อที่จะได้ทำภารกิจต่อ

“เอาล่ะ พวกเรารีบไปทำภารกิจกันต่อดีกว่า ส่วนพวกเธอ ขอบใจมากนะที่มาช่วย”

“พวกเรายินดีรับใช้บอสทุกเมื่อทุกเวลาอยู่แล้วครับ”

เซอร์บี้ตอบรับคำพูดของซาลด้วยท่าทีนอบน้อม ส่วนทาร์ท่ากับเอเร่ก็ก้มหัวลงในเชิงแสดงความเคารพเช่นกัน ก่อนที่จะมีวงเวทปรากฏขึ้นมาใต้เท้าของทั้งสามและมีแสงเปล่งออกมาห่อหุ้มร่างของพวกเขาเอาไว้ ไม่นานนักร่างของทั้งสามคนก็ถูกแสงนั้นกลืนหายเข้าวงเวทไป

คุโระยังคงจ้องมองพื้นดินอันว่างเปล่าที่สมุนทั้งสามเคยยืนอยู่อีกครั้งด้วยความรู้สึกอันซับซ้อน นี่เป็นอีกวันที่เขาคงยากจะลืมได้ ทุกวันที่อยู่กับซาลล้วนแล้วแต่มีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน ขนาดเขาคิดว่าตัวเองเริ่มชินกับเรื่องพิสดารที่ซาลพาไปพบเจอแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังมีเรื่องเหนือคาดกว่าเดิมมาทำให้ตกใจอยู่ดี

คุโระสูดลมหายใจเข้าอีกครั้งเพื่อรวบรวมสติ ก่อนจะยิ้มออกมาเพราะความรู้สึกสนุกกับเรื่องเหล่านี้โดยไม่รู้ตัว

 

——————————————————————————–

 

Part 3

 

เมื่อส่งสมุนทั้งสามกลับไปแล้ว ซาลก็เปิดแผนที่สามมิติของป่าสนธยาขึ้นมา เพราะเขาเพิ่งนึกวิธีดี ๆ ในการใช้แผนที่ดันเจี้ยนโดยไม่ถูกสงสัยได้ นั่นก็คือปิดการแสดงตำแหน่งของมอนสเตอร์ทั้งหมดในพื้นที่ และให้แสดงเฉพาะตำแหน่งของบาร์คสกินพูม่าเท่านั้น แบบนี้ก็จะสามารถอ้างได้ว่านี่เป็นแผนที่ซึ่งได้มาจากการสำรวจครั้งแรก ส่วนตำแหน่งของบาร์คสกินพูม่าก็ได้มาจากการใช้สมุนอัญเชิญในการค้นหา

พอเห็นซาลนำแผนที่ออกมา คุโระก็นึกถึงเรื่องของเพื่อน ๆ ในห้องขึ้นมาได้

“คุณซาลครับ เรื่องเพื่อน ๆ กลุ่มเมื่อสักครู่นี้น่ะ… ถึงพวกเขาจะทำเกินไปหน่อย แต่ผมก็พอจะเข้าใจเหตุผลอยู่บ้าง เพราะบาร์คสกินพูม่าน่ะเป็นมอนสเตอร์ที่หาตัวยากและจัดการให้อยู่หมัดไม่ได้ง่าย ๆ หลายคนคงรู้สึกสิ้นหวังจริง ๆ ถึงได้เลือกใช้วิธีนี้ คุณซาลคงไม่ถือโทษพวกเขาหรอกใช่มั้ยครับ?”

เพราะหลายคนในนั้นก็เป็นคนที่คุโระพอจะรู้จักหรือเห็นหน้าค่าตามาบ้าง และเขาพอจะเข้าใจเรื่องความยากในการล่าบาร์คสกินพูม่า คุโระจึงรู้สึกเห็นใจนักเรียนกลุ่มนั้นอยู่เล็กน้อย แม้ก่อนหน้านี้จะรู้สึกโกรธที่อีกฝ่ายทำเรื่องที่เห็นแก่ตัวและไร้เหตุผลก็ตาม

ซาลก็พอจะเข้าใจเรื่องนี้ดีและไม่ได้รังเกียจนิสัยแบบนี้ของคุโระนัก ความจริงคือเพราะคุโระมีนิสัยแบบนี้ต่างหากเขาถึงรู้สึกวางใจและอยากคบหาด้วย จึงตอบกลับไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันเข้าใจ ความจริงคือถ้ามาพูดขอร้องกันดี ๆ ฉันก็ไม่ปฏิเสธความช่วยเหลือหรอก แต่คงเพราะที่ผ่านมาพวกเขาแสดงท่าทีกีดกันฉันมาโดยตลอด จู่ ๆ จะให้มาก้มหัวขอร้องกันมันก็คงเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยากแหละ พวกเขาถึงได้เลือกใช้วิธีแบบนี้แทนไงล่ะ”

คุโระรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่ซาลยอมยกโทษให้กับคนเหล่านั้นง่าย ๆ เพราะเขาคิดว่าต่อให้เป็นคนใจกว้างแค่ไหนแต่เมื่อถูกอีกฝ่ายล้ำเส้นขนาดนี้ก็ควรจะรู้สึกขุ่นเคืองบ้าง แต่นี่ซาลกลับไม่แสดงอาการผูกใจเจ็บออกมาเลย แถมยังพูดเหมือนกับเปิดทางให้อีกฝ่ายด้วย ทำให้เขายิ่งรู้สึกนับถือซาลมากขึ้นอีก

“ทะ.. ถ้างั้น หมายความว่า?”

“อืม หลังจากเราทำการล่าเสร็จแล้ว นายก็ลองไปคุยกับพวกเพื่อน ๆ ในห้องดูก็แล้วกัน ถ้าพวกเขามีปัญหาในการทำภารกิจ ไม่สามารถหาตัวบาร์คสกินพูม่าได้จริง ๆ นายก็แสร้งแนะนำให้พวกเขามาขอความช่วยเหลือจากฉัน อย่าให้ฟังดูเหมือนว่าฉันยินดีจะช่วย แต่ให้พวกเขาเข้าใจว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสำหรับฉันและถ้ามาขอร้องดี ๆ ฉันอาจช่วยก็ได้ ประมาณนี้น่ะ”

“ความจริงคุณซาลน่าจะเสนอตัวช่วยพวกเขาไปเลยก็ได้นี่ครับ จะได้ถือโอกาสนี้ปรับความเข้าใจกับทุกคนด้วยไงล่ะครับ!”

คุโระเสนอความคิดด้วยท่าทางตื่นเต้นดีใจเพราะคิดว่าเป็นโอกาสที่ซาลจะได้หลุดพ้นสภาพอันน่าอึดอัดนี้ แต่อีกฝ่ายก็ส่ายหน้าก่อนจะกล่าวต่อ

“มันไม่ง่ายแบบนั้นหรอกนะคุโระ การที่จู่ ๆ คนไม่ดีหันมารับใช้สังคมและทำงานเพื่อการกุศลขึ้นมาน่ะมันจะทำให้ผู้คนสงสัยซะเปล่า ๆ นอกจากจะไม่ทำให้พวกเขาปรับมุมมองที่มีต่อฉันแล้ว ยังทำให้เกิดการหวาดระแวงว่ามีเจตนาอะไรกันแน่ด้วย หรือในอีกกรณีก็อาจมองว่าเป็นการอ่อนข้อเพราะการข่มขู่ของคนกลุ่มก่อนหน้านี้ได้ผล มันจะไม่ใช่การกลับตัวแต่เป็นการยอมศิโรราบ ซึ่งไม่ทำให้ผู้คนมองฉันในแง่ดีขึ้นมาได้หรอก

สำหรับคนไม่ดีที่จู่ ๆ ก็หันมาทำความดี ผู้คนจะมองว่าเป็นแผนการชั่วร้าย แต่ในทางกลับกัน หากคน ๆ นั้นแอบให้ความช่วยเหลือผู้อื่นเป็นครั้งคราวแบบเสียมิได้ คนจะเริ่มคิดว่า ‘เอ๊ะ จริง ๆ หมอนี่ก็ไม่ใช่คนเลวร้ายนี่นา’ หรือไม่ก็ ‘จริง ๆ แล้วเขาก็มีส่วนดีอยู่เหมือนกันนะเนี่ย’ อย่างที่โลกเก่าเรียกว่า ‘ซึนเดเระ’ ไงล่ะ แบบนี้ทัศนคติของพวกเขาที่มีต่อฉันถึงจะค่อย ๆ เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น พอถึงวันนึงพวกเขาก็จะคิดว่าตัวตนที่ดูชั่วร้ายนั้นเป็นแค่เปลือกนอก แต่เนื้อแท้แล้วฉันก็เป็นคนดีคนหนึ่งไปในที่สุด!”

ซาลกล่าวออกมาด้วยแววตาอันมุ่งมั่นที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ส่วนคุโระก็รู้สึกทึ่งกับสิ่งที่ได้ยินเช่นกัน

“รึว่า… นี่คือแผนฟื้นฟูศรัทธาประชาชนที่คุณซาลเคยบอกเอาไว้งั้นเหรอครับ!? ยะ.. ยอดไปเลย!”

แม้จะเข้าใจในแผนการอันอ้อมค้อมและซับซ้อนนั้นแค่บางส่วน แต่เพราะความเชื่อมั่นที่มีต่อตัวซาลทำให้คุโระเชื่ออย่างหมดใจว่ามันจะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน ส่วนซาลก็กระหยิ่มยิ้มย่องด้วยท่าทีภาคภูมิใจ

“หึหึหึ นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งของแผนการเท่านั้นเอง แต่จังหวะตอนนี้ค่อนข้างเหมาะสม ดังนั้นจะเริ่มทำในส่วนนี้เลยก็ไม่เสียหาย ถึงงั้นก็เถอะ การตัดสินใจช่วยเหลือคนอื่นเพราะแค่ได้รับการขอร้องก็ยังดูง่ายไปหน่อย ที่สำคัญคือครั้งแรกนี่แหละจะเป็นบรรทัดฐานของครั้งต่อ ๆ ไป ดังนั้นควรตั้งเงื่อนไขที่เหมาะสมซะแต่ตอนนี้จะดีกว่า อืม… ถ้าขอ ‘เหรียญสมาคม’ สักจำนวนหนึ่งเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนก็น่าจะทำให้ดูสมเหตุสมผลมากขึ้นและช่วยตัดทอนความยุ่งยากในอนาคตไปได้นะ”

“เอ๋? เหรียญสมาคมเหรอครับ?”

‘เหรียญสมาคม’ (Guild Token) คือของมีค่าอีกอย่างหนึ่งซึ่งได้รับจากการทำกิจกรรมกับสมาคมต่าง ๆ

ในการทำภารกิจกับทางสมาคม ไม่ว่าจะเป็นสมาคมนักผจญภัยทั่วไปหรือสมาคมประจำคลาส นอกเหนือจากสิ่งตอบแทนที่เป็นรางวัลภารกิจแล้ว ทางสมาคมจะมอบเหรียญของสมาคมให้เป็นของสมนาคุณอีกอย่างหนึ่งด้วย โดยเหรียญสมาคมนี้สามารถนำมาใช้แลกเป็นสิ่งของหรือสิทธิพิเศษได้มากมาย ตั้งแต่การขอซื้อข่าวสาร, การแลกโควต้าในการเข้าพื้นที่ดันเจี้ยน, การจองภารกิจ, การแลกซื้ออุปกรณ์พิเศษทั้งกับทางสมาคมและร้านค้าในสังกัด, และอื่น ๆ อีกมากมาย พูดง่าย ๆ ว่าเหมือนกับเป็นแต้มสะสมเพื่อจูงใจให้คนมาทำภารกิจกับทางสมาคมมากขึ้นนั่นเอง

เพราะในปัจจุบันนี้มีสมาคมนักผจญภัยเกิดขึ้นมากมายโดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ๆ ทำให้เกิดการแข่งขันกันในการแย่งตัวนักผจญภัยมาทำภารกิจให้กับสมาคม อีกอย่างคือนักผจญภัยหลาย ๆ คนเมื่อถึงจุดอิ่มตัวหรือมีของที่ต้องการครบแล้วก็มักจะไม่ค่อยสนใจภารกิจที่มีรางวัลเป็นเงินแค่เพียงอย่างเดียวนัก การเพิ่มรางวัลเป็นของที่ต้องแลกด้วยเหรียญสมาคมเท่านั้นจึงเป็นการเพิ่มแรงจูงใจในการทำภารกิจให้กับนักผจญภัยกลุ่มนี้ได้มาก

สำหรับซาล ความจริงแล้วการจะรวบรวมเหรียญสมาคมด้วยตนเองก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร แต่มันก็เป็นอะไรที่เสียเวลาพอสมควรต่อให้ใช้สมุนอัญเชิญไปทำภารกิจก็ตาม เพราะในแต่ละภารกิจทางสมาคมจะให้เหรียญเป็นของสมนาคุณแค่หนึ่งเหรียญต่อหนึ่งคน อาจมีบางภารกิจที่หาคนทำไม่ได้จริง ๆ จึงมีการเพิ่มรางวัลมากกว่าหนึ่งเหรียญแต่นั่นก็เป็นกรณีที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก

ซาลต้องการเหรียญสมาคมเพื่อนำมาใช้ซื้อข้อมูลข่าวสารจากสมาคมต่าง ๆ จะได้เป็นการเพิ่มช่องทางในการรวบรวมข้อมูลและเข้าถึงข่าวสารที่ไม่สามารถหาได้จากวิธีทั่ว ๆ ไป ซึ่งในเมื่อเขาคิดว่าควรให้เหล่านักเรียนในห้องหาอะไรมาแลกเปลี่ยนบ้างอยู่แล้ว วิธีนี้จึงนับว่าเหมาะสมที่สุด

“นี่ก็เข้าสัปดาห์ที่สามแล้ว ในสองสัปดาห์ที่ผ่านมา นักเรียนคนอื่น ๆ น่าจะเคยไปทำภารกิจกับทางสมาคมกันมาบ้างสักสัปดาห์ละครั้งสองครั้ง ถ้าขอค่าตอบแทนเป็นเหรียญสมาคมสัก 15-20 เหรียญก็ไม่น่าจะมีปัญหานะ กลุ่มนึงมีกันตั้งห้าคนนี่นา”

“ครับ รู้สึกว่าในการเข้าร่วมสมาคมเป็นครั้งแรกทางสมาคมจะให้เหรียญกับผู้เป็นสมาชิกมาคนละ 2-3 เหรียญด้วย ดังนั้นต่อให้เป็นคนที่ไม่ได้ออกทำภารกิจก็น่าจะพอมีเหรียญสมาคมติดตัวอยู่บ้างครับ”

“จริงเหรอ!? แล้วทำไมเราถึงไม่เห็นได้เหรียญจากสมาคมนักเวทสีเทาเลยล่ะเนี่ย?”

“เอ่อ… รุ่นพี่โลรินเขาคงจะลืมล่ะมั้งครับ วันแรกที่เราเข้าสมาคมก็เป็นวันที่ค่อนข้างยุ่งเลยนี่นา”

พอมาทบทวนดูแล้ว ซาลก็นึกขึ้นได้ว่าโลรินดูจะเป็นคนที่ขี้ลืมจริง ๆ แค่เส้นทางในหอคอยซึ่งเป็นที่ทำการสมาคมของตัวเองเธอยังจำไม่ค่อยได้เลย บางครั้งถึงกับหลงทางอยู่ในนั้นก็มี ดังนั้นถ้าเธอจะลืมเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

“เอาเถอะ ไว้เดี๋ยวค่อยไปทวงถามเอาอีกทีละกัน อืม… เอ๋?”

ซาลที่หันกลับมากวาดสายตามองแผนที่สามมิติเพื่อหาตำแหน่งของบาร์คสกินพูม่ากลับแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา ทำให้คุโระที่เห็นความผิดปกตินี้ต้องเอ่ยถาม

“หืม? มีอะไรเหรอครับคุณซาล”

โดยไม่ได้ตอบคำถามนั้น ซาลยังคงปรับรายละเอียดการแสดงผลของแผนที่ดันเจี้ยนเพื่อตรวจสอบข้อมูลอีกหลายครั้ง จนในที่สุดเขาก็เอ่ยคำพูดออกมาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความข้องใจ

“ที่นี่… ไม่มีบาร์คสกินพูม่าอยู่เลย… ไม่มีแม้แต่ตัวเดียว”

“เอ๋?”

คุโระที่ได้ยินคำพูดนั้นก็เริ่มมีสีหน้างุนงงและตกอยู่ในอาการสับสน จึงได้แต่จ้องมองซาลอย่างเงียบงัน

แต่ในเวลาเดียวกันนั้น สีหน้าของซาลก็เริ่มแปรเปลี่ยนไป

ใบหน้าของเขาที่เคยอยู่ในอาการแปลกใจ ตอนนี้กลับเผยรอยยิ้มออกมาพร้อมกับประกายตาของความอยากรู้อยากเห็น

“น่าสนใจดีนี่นา”

ซาลเหลือบตากลับมาพูดกับคุโระด้วยสีหน้าตื่นเต้นเหมือนกับกำลังได้เจอเรื่องสนุก ทำให้คุโระได้แต่นิ่งเงียบไปอีกครั้ง

คุโระแอบคิดในใจว่า ยิ่งได้คบกับซาลนานเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งเข้าใจในตัวคนผู้นี้น้อยลงเรื่อย ๆ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด