Doombringer the 5th 12

Now you are reading Doombringer the 5th Chapter 12 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Ch.12 – เออเธมีล

Translator : YoyoTanya / Author

Chapter.12

เออเธมีล

 

Part 1

 

นี่เป็นเรื่องราวเมื่อประมาณหนึ่งร้อยปีก่อน

คาน่อน อาร์กัส นักผจญภัยหนุ่ม ได้ออกเดินทางไปทั่วทุกดินแดนเพื่อแสวงหาเกียรติยศและชื่อเสียงตามประสาคนหนุ่มทั่วไปในยุคนั้น

เพียงแค่ในวัยยี่สิบกลาง ๆ เขาก็ได้เป็นนักผจญภัยระดับ S และออกผจญภัยไปเกือบครบทุกทวีป ตั้งแต่โดมินาเรียทวีปบ้านเกิดที่อยู่ทางตะวันออก ไปจนถึงทวีปเทอร่าทางตอนใต้ สุดท้ายเขาก็เดินทางมาถึงทวีปจูริส

ที่นั่น เขาได้พบกับนักผจญภัยสาวคนหนึ่งในเขตดันเจียนของอาณาจักรเอ็นซิส ด้วยฝีมืออันแกร่งฉกาจและรูปโฉมอันงดงามของเธอ โดยเฉพาะดวงตาสีน้ำเงินครามอันน่าหลงใหลนั้น ทำให้คาน่อนรู้สึกชอบนักผจญภัยสาวตั้งแต่แรกพบ

ทั้งสองคนถูกชะตากันและตัดสินใจเดินทางออกผจญภัยร่วมกัน และยิ่งเวลาผ่านไป คาน่อนก็ยิ่งหลงใหลในตัวหญิงสาวมากขึ้นเรื่อย ๆ

ในที่สุดคาน่อนก็สารภาพรักกับหญิงสาว แต่เรื่องราวกลับไม่เป็นไปดังที่เขาหวัง หญิงสาวไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกับคาน่อน เธอเพียงชอบเขาในฐานะเพื่อนสนิทเท่านั้น

แม้จะถูกปฏิเสธ แต่คาน่อนก็ยังไม่ยอมตัดใจ เขายังคงพยายามหาทางเอาชนะใจหญิงสาวไปเรื่อย ๆ ในระหว่างที่ทั้งคู่เดินทางร่วมกัน

หญิงสาวรู้สึกอึดอัดกับการกระทำของคาน่อนเพราะไม่ว่าเหตุผลใด ๆ ก็ไม่สามารถทำให้เขาตัดใจได้ ในที่สุดเธอจึงเผยร่างจริงของเผ่ามังกรออกมาเพื่อบอกกับเขาว่าเธอไม่ต้องการจะใช้ชีวิตร่วมกับมนุษย์  เพราะเผ่ามังกรนั้นมีอายุยืนยาว ส่วนมนุษย์นั้นมีอายุสั้น ท้ายที่สุดก็ต้องแยกจากกันในเวลาไม่นานอยู่ดี

คาน่อนไม่รู้จะหาเหตุผลใด ๆ มาโต้แย้งเรื่องนี้ได้ เขาจึงยอมจากไป

ทว่าแม้จะแยกจากหญิงสาวมาแล้ว คาน่อนก็ยังคงไม่ยอมตัดใจ เขาออกเดินทางเพื่อเสาะแสวงหาวิธีที่จะทำให้ตนเองมีชีวิตเป็นอมตะ เพื่อที่จะอยู่ร่วมกับเธอได้

วิธีได้ชีวิตอมตะที่ใกล้เคียงที่สุดที่เขาพอจะหาได้คือการเป็นลิช แต่ว่าร่างของลิชในยุคนั้นแทบไม่มีสัมผัสใด ๆ ของมนุษย์เหลืออยู่เลย

หากไม่ได้เห็นดวงตาสีน้ำเงินครามอันงดงามนั้นอีกครั้ง หรือไม่ได้สัมผัสไออุ่นจากกายเธอ ให้มีชีวิตอมตะไปก็ไร้ประโยชน์ เขาจึงเฝ้าค้นหาต่อไป

ทว่าแม้จะเที่ยวค้นหาอยู่หลายปีแต่ก็ดูจะไม่มีหนทางใด ๆ เลยที่มนุษย์จะครอบครองความเป็นอมตะได้ ในระหว่างที่คาน่อนกำลังจะหมดหวังอยู่นั้นเอง เขาก็ได้พบกับคน ๆ หนึ่งในระหว่างการเดินทาง

นักผจญภัยหญิงนามว่าคาซาเดียซึ่งอ้างตัวว่าเป็นผู้ศึกษาศาสตร์มืดได้บอกกับคาน่อนว่า เธอมีของที่จะทำให้ความปรารถนาของเขาเป็นจริง แลกกับการที่เขาต้องมาเข้าร่วมกับผู้ใช้ศาสตร์มืด

ของคาซาเดียมอบให้กับคาน่อนก็คือดาบหนึ่งเล่ม

มันคือดาบมารที่ชื่อว่า ‘โซลดีโวเรอร์’ (Soul Devourer) มีความสามารถในการกลืนกินวิญญาณผู้คน หากใช้ดาบเล่มนี้ในการฆ่ามนุษย์ ผู้ใช้จะได้อายุขัยที่เหลืออยู่ของผู้ถูกฆ่าเป็นสิ่งตอบแทน

คาน่อนเป็นนักผจญภัยที่ยึดถือความถูกต้องและคุณธรรมนำหน้า เขาจึงกล่าวปฏิเสธวิธีการนอกรีตแบบนี้ในทันที ทว่าคาซาเดียก็ไม่รับคำปฏิเสธนั้น และหายตัวไปโดยทิ้งดาบโซลดีโวเรอร์ไว้ แม้คาน่อนจะรู้ว่าเขาควรทิ้งดาบเล่มนั้นไปซะ แต่เพราะความหวังอันริบหรี่ของการค้นหาชีวิตอมตะทำให้เขาเกิดความลังเล

‘หากโลกนี้ไม่มีวิธีการอื่นที่จะทำให้มีชีวิตเป็นอมตะแล้วล่ะ?’ คำถามนี้ได้สั่นคลอนจิตใจของเขาทำให้เกิดความคิดขัดแย้งอยู่เป็นเวลานาน ในที่สุดเขาก็ตัดตัดสินใจเก็บดาบนั้นเอาไว้เป็นทางเลือกสุดท้าย ก่อนจะเดินทางต่อไป

เขายังคงค้นหาวิธีการเป็นอมตะวิธีอื่นไปเรื่อย ๆ อยู่เกือบปี โดยไม่ได้ใช้ดาบนั้น แต่ยิ่งค้นหาเท่าไหร่ ความหวังก็ยิ่งเลือนลาง ทว่าคาน่อนก็ยังไม่ยอมตัดใจ

แต่แล้ววันหนึ่ง ในขณะที่กำลังเดินทางอยู่ คาน่อนก็มาพบกับกลุ่มโจรกลุ่มใหญ่เข้า

พวกโจรกลุ่มนี้มีท่าทีแปลก ๆ ทั้งมีแววตาอันดุดันผิดปกติ และไร้ซึ่งความหวาดกลัว ขนาดเห็นเพื่อนพ้องถูกสังหารไปต่อหน้าคนแล้วคนเล่าพวกมันก็ยังกรูกันเข้ามาโจมตีเขาอย่างไม่หวาดหวั่นต่อความตาย

แม้กลุ่มโจรจะมีเป็นจำนวนมาก แต่ด้วยฝีมือของคาน่อนก็ทำให้เขารับมือพวกมันได้อย่างสบาย

ทว่าจู่ ๆ ก็มีโจรคนหนึ่งที่สวมผ้าคลุมอันมิดชิดโผล่ออกมาจากมุมอับสายตาและใช้แส้ตวัดเข้าโจมตีคาน่อนในทีเผลอ แม้จะปัดป้องการโจมตีนั้นได้ แต่ดาบในมือของเขาก็ถูกแส้เกี่ยวกระชากจนหลุดมือไป เมื่อเห็นว่าเขาไม่มีอาวุธ พวกโจรจึงกรูกันเข้ามารุมโจมตีคาน่อนในทันที

เพราะไม่มีทางเลือก คาน่อนจึงต้องนำดาบมารที่พกติดตัวไว้ออกมาใช้ ทว่าเมื่อใช้มันสังหารโจรคนแรกก็ทำให้เขารู้สึกถึงอะไรบางอย่าง

ทันทีที่คร่าชีวิตโจรด้วยดาบนั้น คาน่อนก็สัมผัสได้ถึงพลังชีวิตที่ถ่ายทอดมาสู่ตัวเขา พร้อม ๆ กับคลื่นโทสะและความเกลียดชังที่ไหลเข้ามาในจิตใจ

แม้จะยังคงสับสน แต่เพราะถูกแวดล้อมไปด้วยกลุ่มโจรนับสิบ ทำให้เขาไม่มีเวลามาลังเล

คาน่อนฟาดฟันกลุ่มโจรต่อไปเรื่อย ๆ ด้วยดาบนั้น ทุกครั้งที่ปลิดชีวิตพวกโจรได้เขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามีพลังเพิ่มมากขึ้น แต่เหตุผล ความคิด และจิตสำนึกของเขากลับค่อย ๆ เลือนลางลง

มันถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ความเกลียดชัง และความคลุ้มคลั่ง ยิ่งฆ่าก็ยิ่งรู้สึกเหมือนเสียความเป็นมนุษย์ไป และยิ่งเสียความเป็นมนุษย์ก็ยิ่งคลุ้มคลั่ง ในที่สุดเขาก็ฆ่าโจรกว่าสามสิบคนนั้นจนหมดไม่มีเหลือ

หลังจากฆ่าโจรคนสุดท้ายแล้ว ชายหนุ่มก็ลืมเป้าหมายและเจตนาทุกอย่างไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงความโกรธและความเกลียดชังที่มีต่อโลกเท่านั้น

แท้จริงแล้ว ‘โซลดีโวเรอร์’ เป็นดาบปิศาจที่จะกลืนกินวิญญาณผู้ใช้ด้วย

ผู้ที่โดนสังหารด้วยดาบนี้จะถูกช่วงชิงพลังและวิญญาณมาให้กับผู้ครอบครองดาบ แต่ก็จะได้รับจิตด้านมืดของวิญญาณมาด้วย ส่วนผู้ครอบครองดาบก็จะสูญเสียวิญญาณบางส่วนไปและถูกแทนที่ด้วยวิญญาณด้านมืดนั้น จนในที่สุดก็กลายเป็นวิญญาณที่มืดสนิท และตกอยู่ใต้การควบคุมของเหล่าปิศาจ

เมื่อทุกอย่างสำเร็จไปตามแผน โจรในผ้าคลุมก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งและถอดผ้าคลุมออก เผยให้เห็นว่าเธอก็คือคาซาเดีย ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นปิศาจจากนรกที่ลอบขึ้นมาบนโลกเพื่อหาทางครอบงำคาน่อนนั่นเอง

แม้จะเปลี่ยนแปลงกฎของโลกไปมากมาย แต่การครอบงำมนุษย์ก็ยังไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเหล่าปิศาจ สิ่งที่ยากจริง ๆ คือการค้นหาและครอบงำผู้ที่มีคุณสมบัติพิเศษในการเปิดประตูนรกที่เรียกว่า ‘โฮสท์’ (Host)

ถึงจะบอกว่าเป็นคุณสมบัติในการเปิดประตูนรก แต่จริง ๆ มันเป็นคุณสมบัติที่สามารถ ‘อนุญาต’ ให้นรกเปิดประตูมิติขึ้นมายังโลกได้ต่างหาก เหมือนการที่เจ้าบ้าน (Host) อนุญาตให้คนนอกเข้ามาในบ้านได้นั่นเอง ในมนุษย์หนึ่งล้านคนจะมีผู้มีคุณสมบัติของ ‘โฮสท์’ แค่ไม่กี่คน ซึ่งคาน่อนก็เป็นหนึ่งในนั้น

ยังคงเป็นปริศนาว่าคุณสมบัติที่ว่านี้มีเงื่อนไขการครอบครองอย่างไร บ้างก็ว่าเพราะเป็นผู้ที่สืบสายเลือดจากปิศาจ บ้างก็ว่าเป็นความบิดเบี้ยวของธรรมชาติ แต่สำหรับพวกปิศาจแล้วเหตุผลของเรื่องนี้คงไม่สำคัญเท่าไหร่นัก

หลังจากครอบงำคาน่อนสำเร็จแล้ว คาซาเดียก็ให้เขาเปิดประตูเชื่อมต่อกับนรกขึ้นที่ตอนใต้ของอาณาจักรเอ็นซิส เป็นการเปิดฉากการรุกรานครั้งที่สาม ซึ่งทันทีที่ประตูเปิดออก อสูรนรกจำนวนมหาศาลก็แห่ทะลักกันออกมา และผลาญทำลายอาณาจักรเอ็นซิสไปเกือบครึ่งภายในเวลาไม่ถึงสองวัน

เอเรียล (Ariel) ทูตสวรรค์ผู้คอยพิทักษ์ดินแดนเอ็นซิสอยู่ ณ เวลานั้นเห็นว่า กว่าทัพของสวรรค์และมนุษย์จะเดินทางมาถึง เอ็นซิสก็อาจถูกทำลายไปทั้งอาณาจักรแล้ว จึงตัดสินใจใช้พลังทั้งหมดตวัดดาบเทวทูตเพื่อสกัดกั้นทัพนรก

ความรุนแรงของมันสามารถทำลายทัพหน้าของกองทัพนรกได้จนหมดเกลี้ยง แต่ก็ทำให้อาณาจักรเอ็นซิสถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน

แม้จะหยุดการรุกคืบของกองทัพนรกได้แต่เรื่องนี้ก็ทำให้ฝ่ายมนุษย์ไม่พอใจนัก และเป็นชนวนให้ฝ่ายมนุษย์เกิดการกระทบกระทั่งกับสวรรค์ในเวลาต่อมา (ภายหลังเอเรียลก็ถูกลงโทษด้วย ฐานทำเกินกว่าเหตุ)

อย่างไรก็ตามเมื่อการรุกคืบถูกชะลอลงอย่างมาก ทำให้กองทัพพันธมิตรจากหลากหลายอาณาจักรเดินทางมารวมตัวกันได้เป็นผลสำเร็จ พวกเขาจึงบุกไปยังดินแดนเอ็นซิสส่วนล่างเพื่อยึดแผ่นดินของมนุษย์คืนในทันที โดยที่ไม่ได้รอทัพสวรรค์

ทว่าผู้สร้างหายนะคนที่สาม คาน่อน อาร์กัส ซึ่งเฝ้าดินแดนนั้นอยู่กลับเป็นศัตรูที่แกร่งฉกาจ ทั้งผู้กล้าและนักผจญภัยระดับสูงที่ไปเผชิญหน้าด้วยต่างก็ถูกสังหารจนสิ้น แถมคาน่อนยังดูดกลืนวิญญาณของพวกเขาไปด้วยดาบโซลดีโวเรอร์ทำให้ยิ่งมีพลังมากขึ้นด้วย

ในระหว่างที่ทัพของมนุษย์กำลังระส่ำระสาย คาน่อนก็บุกทะลวงฝ่ากองทัพเข้ามาจนถึงหัวหาดที่ใช้ทำการยกพลขึ้นบก ทำให้เหล่าผู้กล้าและนักผจญภัยถูกฆ่าตายเป็นใบไม้ร่วง แต่ในระหว่างที่กำลังจะสังหารนักผจญภัยคนหนึ่งอยู่นั้นเอง คาน่อนก็สังเกตเห็นใบหน้าของคนที่เขากำลังจะปลิดชีวิต

เธอคือนักผจญภัยสาวผู้มีดวงตาสีน้ำเงินครามราวกับน้ำทะเล เป็นเป้าหมายและสาเหตุที่ทำให้เขาค้นหาและไขว่คว้าชีวิตอมตะตั้งแต่อดีตจนถึงบัดนี้ เป้าหมายที่เขาได้หลงลืมไปแล้ว แต่เมื่อเธอมาปรากฏตัวตรงหน้าอีกครั้งก็ทำให้คาน่อนฟื้นคืนสติ แม้จะเพียงแค่บางส่วนก็ตาม

ความสับสนทำให้คาน่อนหยุดชะงักและเริ่มคลุ้มคลั่งเพราะความขัดแย้งในจิตใจ เป็นเวลาเดียวกับที่ทัพสวรรค์ได้เดินทางมาถึง เหล่าทูตสวรรค์และมนุษย์จึงรวมพลังกันเข้าต่อสู้ ส่วนคาน่อนที่อยู่ในสภาพสับสนและคลุ้มคลั่งก็เป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ จนดาบ ‘โซลดีโวเรอร์’ ถูกทำลายไป

คาซาเดีย พาร่างที่บาดเจ็บสาหัสของคาน่อนหนีกลับไปยังนรก ส่วนทัพของสวรรค์และมนุษย์ก็ทำการกวาดล้างเหล่าอสูรที่เหลืออยู่ทั้งหมดในดินแดนเอ็นซิสส่วนล่างจนหมดสิ้น ทำให้ยุติการรุกรานได้เป็นผลสำเร็จ

แม้จะกวาดล้างเหล่าอสูรนรกจนหมดแล้ว แต่ประตูนรกก็ไม่สามารถถูกปิดอย่างถาวรได้ เหล่ามนุษย์จึงได้สร้างป้อมปราการขึ้นมาล้อมรอยแยกซึ่งเป็นจุดเชื่อมระหว่างโลกเอาไว้ และเปลี่ยนชื่ออาณาจักรเอ็นซิสตอนล่างที่ถูกแยกออกมาเป็นอาณาจักรโครซิสแทน

หลังจากเหตุการณ์สงบลงก็มีการประชุมร่วมของผู้นำอาณาจักรต่าง ๆ เพื่อหาทางรับมือกับเหตุการณ์เช่นนี้ในอนาคต ที่สุดแล้วจึงมีความเห็นว่าควรก่อตั้งองค์กรกลางสำหรับรับมือต่อการคุกคามโลกขึ้นมา ด้วยเหตุนี้ องค์กรรักษาสันติภาพ ‘พีชคีปเปอร์’ (The Peace Keeper) จึงถือกำเนิดขึ้น

หลังจากก่อตั้งองค์กรเสร็จสิ้นก็ได้มีการสอบสวนหาสาเหตุที่คาน่อน นักผจญภัยหนุ่มได้ถูกครอบงำจนกลายเป็นผู้สร้างหายนะ ซึ่งก็พบว่าสาเหตุมาจากความรักที่มีต่อหญิงสาวเผ่ามังกร ทำให้เขาพยายามไขว่คว้าหาชีวิตอมตะ จนถูกปิศาจล่อลวงเอาได้

แม้ทางองค์กรจะไม่ได้คิดว่าหญิงสาวคนนั้นมีความผิดอะไร แต่เมื่อเรื่องแพร่ออกไปก็ทำให้ผู้นำของเผ่ามังกรมองว่านี่เป็นการสร้างความอัปยศต่อเผ่าพันธุ์ และหญิงสาวคนนั้นสมควรจะได้รับการลงโทษ

หญิงสาวถูกนำตัวกลับมายังบ้านเกิดในอคาทอชและถูกพิพากษาว่ามีความผิดฐานเป็นต้นเหตุให้เกิดผู้สร้างหายนะ จึงถูกยึดนามของมังกร และให้เรียกแทนตัวว่า ‘เออเธมีล’ ซึ่งแปลว่าต้นกำเนิดแห่งความชั่วร้าย

ในเมื่อเขาหลงใหลในดวงตาสีน้ำเงินของเธอ เธอจึงถูกถอดดวงตาออกเพื่อไม่ให้ใช้มันในการยั่วยวนใครอีก และความรักในการท่องเที่ยวและการผจญภัยของเธอก็ถือเป็นสาเหตุให้ไปพบกับชายหนุ่ม เธอจึงถูกกักบริเวณให้เป็นผู้เฝ้าทางฝั่งตะวันตกแห่งอคาทอช ต้องคอยป้องกันเหล่ามังกรป่าและมอนสเตอร์ที่จะเข้ามาโจมตีเมืองอยู่ที่นั่นเพียงลำพังไปตลอดกาล

 

———————————————————————————————————-

 

Part 2

 

“…นั่นก็คือเรื่องราวทั้งหมด เท่าที่ฉันเคยอ่านมา…”

แซนโดรเล่าเรื่องเกี่ยวกับผู้สร้างหายนะคนที่สามให้ซาลฟังไปด้วยในระหว่างที่กำลังใช้เหล่าสมุนซึ่งมีทั้งสเกลตัน, สเกลตันเมจ, และเดรดไนท์ เคลียร์พื้นที่ดันเจียนของอคาทอชไปเรื่อย ๆ

“เห? แบบนั้นมันถูกต้องแล้วเหรอ? ผมไม่เห็นว่าผู้หญิงคนนั้นเขาจะทำผิดอะไรเลยนี่นา”

“…ในสายตาของเผ่ามังกรแล้ว เธอไม่ควรจะไปข้องแวะกับมนุษย์แต่แรก …มันก็เหมือนกับการเชือดไก่ให้ลิงดู …จะได้ไม่มีใครกล้าไปยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์อีก…”

เมื่อได้ยินแบบนี้ ซาลที่รู้สึกเห็นใจหญิงสาวเผ่ามังกรอยู่แล้วก็เลยมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นไปอีก

“พี่สาวคนนั้น… เป็นคนเดียวกับในเรื่องที่แซนโดรอ่านมาจริง ๆ น่ะเหรอ?”

“…ทั้งที่บอกว่าไม่มีดวงตา แถมยังให้เรียกว่า ‘เออเธมีล’ แบบนั้น ไม่น่าจะมีคนอื่นอีกแล้วล่ะ …ฉันเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่าเธอจะยังมีชีวิตอยู่…”

“เอ๋? ทำไมล่ะ? เรื่องมันก็เพิ่งผ่านมาร้อยกว่าปีเอง เผ่ามังกรน่ะมีอายุยืนยาวนับพันปีไม่ใช่เหรอ?”

“…การป้องกันเส้นทางไม่ใช่หน้าที่ที่คน ๆ เดียวจะทำได้หรอกนะ …โดยเฉพาะเส้นทางของดันเจียนระดับสูงอย่างอคาทอชฝั่งเหนือด้วยแล้ว  …ทั้งมอนสเตอร์และมังกรที่บุกมาทางนั้นอย่างต่ำสุดก็คงเป็นระดับ 7 และบางทีอาจมีถึงระดับ 9 แถมพวกมันอาจมากันเป็นฝูง …ต่อให้เป็นนักผจญภัยระดับ 10 ก็ใช่ว่าจะรับมือกับพวกนั้นตามลำพังได้…”

“อ้าว แล้วทำไมพวกเผ่ามังกรถึงให้เธอไปเฝ้าคนเดียวล่ะ?”

“…จริงๆมันก็คือการสั่งให้ไปตายนั่นแหละ …พวกนั้นไม่ได้คิดจะให้เธอทำหน้าที่เฝ้ายามอะไรหรอก …แค่ไม่อยากมือเปื้อนเลือดก็เลยส่งเธอไปที่นั่นแล้วรอให้ตายไปเองเท่านั้น…”

ซาลรู้สึกถึงความโกรธที่กำลังคุกรุ่นอยู่ในจิตใจอย่างบอกไม่ถูก มันเป็นความรู้สึกเจ็บแค้นและเกลียดชังต่อความอยุติธรรม ไม่ต่างจากตอนที่ได้รู้ความจริงเรื่องโรงเรียนอีจิสเลย

“ที่ว่าถอดดวงตาเนี่ย… มันก็คือควักดวงตาออกใช่รึเปล่า?”

“…ก็ต่างกันอยู่หน่อย …มันเป็นการแยกอวัยวะออกมาด้วยเวทมนตร์ …ให้ดวงตาของเธอคงอยู่เป็นเอกเทศได้โดยไม่เกี่ยวข้องกับร่าง …รู้สึกว่าดวงตาของเธอจะถูกเอาไปเก็บไว้เป็นอนุสรณ์เตือนใจเผ่ามังกรรุ่นหลัง…”

ซาลขบริมฝีปากแน่นด้วยความขุ่นแค้น แต่เขาก็พยายามระงับโทสะเอาไว้ไม่ให้แสดงออกมา

“นี่มัน… แย่ที่สุดเลย… ทำไมต้องทำกันขนาดนั้นด้วย…”

แซนโดรเข้าใจความรู้สึกของซาลดี แต่เพราะกลัวว่าเขาจะเอาตัวเข้าไปพัวพันกับเรื่องยุ่งยากโดยใช่เหตุจึงไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมอีก

“คราวที่แล้วแซนโดรไม่ได้เจอกับพี่สาวคนนั้นเหรอ?”

“…ฉันไม่เคยใช้เส้นทางสายบนในการเข้าพื้นที่ดันเจียนหรอกนะ …คราวที่แล้วก็เข้ามาตามเส้นทางสายล่าง  …ที่รู้เรื่องเส้นทางนั้นเพราะเคยอ่านเจอในบันทึกเท่านั้นเอง …ซึ่งคนเขียนบันทึกก็ไม่ได้กล่าวถึงเธอคนนั้นเอาไว้ด้วย…”

ซาลนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยคำพูดที่แซนโดรกำลังหวั่นใจออกมา

“พอจะมีทางไหนช่วยให้พี่สาวคนนั้นเป็นอิสระได้บ้างรึเปล่า?”

และแล้วความกังวลของแซนโดรก็เป็นจริง ตอนนี้เธอเริ่มรู้สึกว่าไม่น่าเล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟังเลย

“…ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ถูกจองจำด้วยโทษหรืออะไรหรอกนะ …เธอเองมีอิสระที่จะไปจากที่นี่เมื่อไหร่ก็ได้ถ้าคิดจะไป …สิ่งที่เหนี่ยวรั้งเธอไว้คงมีแค่ความรู้สึกผิดเท่านั้น…”

คำพูดของแซนโดรทำให้ซาลเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย

“ความรู้สึกผิดเหรอ? ทำไมล่ะ?”

“…ผู้หญิงคนนั้นคงโทษตัวเองว่าเป็นต้นเหตุให้คาน่อนกลายเป็นผู้สร้างหายนะเหมือนกัน …เพราะฉะนั้นจึงยอมรับโทษอันไม่ยุติธรรมทั้งหมดนี้  …เพื่อเป็นการชดเชยความรู้สึกผิดที่มีต่อเขาและผู้คนที่ตายไป …ตราบใดที่ผู้หญิงคนนั้นยังไม่ยอมให้อภัยตัวเอง เธอก็คงจะไม่ไปไหนหรอก…”

“เข้าใจล่ะ แค่ทำให้เธอยอมให้อภัยตัวเองก็พอสินะ”

แซนโดรรู้สึกขัดใจกับคำพูดนั้นเล็กน้อย เพราะไม่แน่ใจว่าซาลเข้าใจในสิ่งที่เธอพูดรึเปล่า และยิ่งไม่แน่ใจว่าเขาพยายามจะทำอะไร แต่เธอคิดว่าอย่างมากซาลก็คงจะพยายามไปพูดคุยกับผู้หญิงคนนั้นดู ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าห่วงอะไรนัก จึงไม่ได้คิดจะห้ามปรามหรือกำชับอะไรเป็นพิเศษ

 

แซนโดรเคลียร์พื้นที่ดันเจียนไปเรื่อย ๆ ในขณะที่ซาลรับหน้าที่สอดแนมโดยการส่งแมลงอัญเชิญออกไปดูต้นทางให้แน่ใจว่าไม่มีนักผจญภัยคนอื่นอยู่ในพื้นที่รอบ ๆ เพราะพวกเขาไม่ต้องการให้ใครพบ เนื่องจากอาจถูกสงสัยว่าเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยเฉพาะในระหว่างสร้างดันเจียนมิติแบบเปิดทับพื้นที่เดิมนั้นต้องไม่ให้ใครอยู่ในพื้นที่ ไม่เช่นนั้นอาจมีคนสัมผัสถึงความผิดปกติได้

เพราะต้องคอยหลบเลี่ยงและรอนักผจญภัยออกจากพื้นที่ไปด้วย ทำให้วันนี้พวกเขาวางดันเจียนทับพื้นที่เดิมได้แค่สองจุดเท่านั้น

เนื่องจากใกล้เวลาเย็นแล้ว แซนโดรเลยตัดสินใจกลับไปที่เมืองก่อนแล้ววันพรุ่งนี้ค่อยมาวางดันเจียนในจุดอื่นต่อ และเพื่อไม่ให้ถูกพบเห็นจึงต้องย้อนกลับไปที่ทางสายบนด้วย

เมื่อทั้งสองเดินกลับมาถึงลำธาร ก็ยังพบกับหญิงสาวเผ่ามังกรนั่งอยู่ที่โขดหินแถวริมลำธารนั่นเอง

“กลับมาแล้วเหรอคะ? ปลอดภัยกันทั้งคู่เลย ดีใจจัง”

หญิงสาวยังคงทักทายทั้งสองคนด้วยท่าทางร่าเริงเช่นเดิม แต่รอยยิ้มนั้นกลับทำให้ซาลรู้สึกสะท้อนใจมากขึ้น หลังจากที่เขาได้ฟังเรื่องของเธอมาแล้ว

“พี่สาวเองก็… อยู่ที่นี่ตลอดเลยเหรอครับ?”

“มันเป็นหน้าที่ของฉันนี่คะ ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ”

เธอยังคงตอบกลับมาด้วยท่าทีสบาย ๆ ตามเคย ส่วนซาลนั้นมีเรื่องที่อยากจะพูดกับอีกฝ่ายมากมาย แต่เพราะกลัวจะเก็บกลั้นอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่ จึงพยายามสงบใจและไม่พูดออกไป

แซนโดรพาซาลเดินผ่านหญิงสาวมาและมุ่งหน้าเพื่อตรงเข้าไปในเมือง เมื่อเห็นเช่นนั้นหญิงสาวจึงเอ่ยทักขึ้น

“เอ่อ จะกลับไปทางนั้นเหรอคะ? ไม่ค่อยดีหรอกมั้งคะ ถึงเมื่อกลางวันจะผ่านมาได้ แต่ตอนเย็นน่าจะมีคนตื่นกันเยอะแล้ว อาจถูกใครพบเอาก็ได้ค่ะ”

“ตื่นเหรอ?”

ซาลไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่หญิงสาวพูดจึงหันไปถามแซนโดร

“…เผ่ามังกรน้ำแข็งมักจะนอนตอนกลางวันแล้วตื่นตอนกลางคืนน่ะ …เพราะฉะนั้นเมื่อกลางวันเลยมีคนน้อยไงล่ะ…”

“งั้นทำไงดีล่ะ?”

“จริง ๆ แล้วถ้าเดินเลียบลำธารลงไปอีกหน่อยจะมีทางสัตว์ป่าเชื่อมไปถึงเส้นทางสายล่างได้นะคะ อาจจะอ้อมสักหน่อย แต่ถ้าต้องเข้าไปวนในเมือง ระยะทางก็คงไม่ต่างกันมาก แถมยังปลอดภัยแน่นอนค่ะ ถ้ายังไงเดี๋ยวฉันจะช่วยนำทางไปให้นะคะ”

หญิงสาวเผ่ามังกรเสนอทางเลือกให้กับทั้งสองคน ก่อนจะนำทางพวกเขาเดินเลียบตามลำธารมาจนถึงแมกไม้จุดหนึ่งซึ่งมีหญ้าขึ้นหนาทึบ แต่เมื่อแหวกหญ้าออกก็พบเส้นทางที่ใช้เดินต่อไปได้

“ตรงนี้แหละค่ะ เส้นทางอาจคดเคี้ยวนิดหน่อยแต่ก็ไม่มีทางแยกอะไร พยายามเดินตามจุดที่เป็นรอยสัตว์ย่ำเข้าไว้ ถ้าเดินตามทางไปเรื่อย ๆ ก็จะไปโผล่ที่ทางสายล่างได้แน่นอนค่ะ”

“…อืม …ขอบคุณมากนะ…”

“ขอบคุณครับพี่สาว”

ระหว่างที่กำลังร่ำลากันนั้น  ทั้งสามก็ได้ยินเสียงฟ้าคำรามดังมาแต่ไกล หญิงสาวจึงมีท่าทีร้อนรนขึ้นมาในทันที

“เอ่อ! รู้สึกว่าฉันต้องรีบไปแล้วล่ะค่ะ! ขอตัวก่อนนะคะ!”

ไม่ทันที่ทั้งสองจะพูดอะไร หญิงสาวก็กางปีกขนาดใหญ่ออกมาจากแผ่นหลัง แล้วบินกลับไปอย่างรวดเร็ว ซาลแอบเห็นหางของเธอโผล่ออกมาจากชายกระโปรงนั้นด้วย

“แซนโดร?”

“…อืม …นั่นเป็นเสียงของมังกรน่ะ …คงจะมีมังกรป่าบุกมาที่ทางสายบน…”

“พี่สาวคนนั้นเขาจะเป็นอะไรรึเปล่า?”

“…เธอเฝ้าเส้นทางนั้นมาได้เป็นร้อยปีแล้วนะ …ถ้าสู้ไม่ไหวก็คงจะตายไปนานแล้วล่ะ…”

เมื่อพูดจบ แซนโดรก็เดินต่อไปทันที แม้ซาลจะยังรู้สึกกังวลอยู่บ้าง แต่คำพูดของเธอก็ฟังดูมีเหตุผล และนี่ไม่ใช่เรื่องที่เขาสามารถทำอะไรได้ จึงเดินตามแซนโดรไปในที่สุด

 

ทั้งสองคนเดินตามทางอันคดเคี้ยวมาได้พักใหญ่ก็ออกมาโผล่ที่เนินแห่งหนึ่ง ซึ่งด้านล่างของเนินนั้นก็คือถนนที่เชื่อมระหว่างทางเข้าพื้นที่ดันเจียนส่วนล่างกับเมืองสคูลดาฟน์นั่นเอง

ทั้งคู่เดินเข้าเมืองและตรงกลับไปยังโรงแรมที่พักเพื่อรับประทานอาหารเย็น จากนั้นจึงขึ้นไปยังห้องพักที่จองเอาไว้เพื่อเตรียมตัวสำหรับการวางดันเจียนในวันพรุ่งนี้ โรงแรมในอาณาจักรตอนเหนือนี่ไม่ค่อยมีการแบ่งห้องเล็กสำหรับผู้เข้าพักสักเท่าไหร่ ห้องที่แซนโดรจองไว้จึงเป็นห้องนอนรวมขนาดใหญ่ที่มีเตียงสองเตียงแยกกัน

ซาลโดดขึ้นไปนั่งบนเตียงก่อนจะเรียกดูดันเจียนที่เพิ่งวางไปเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อย

โครงสร้างดันเจียนฉายภาพของพื้นที่ภูเขาส่วนหนึ่งออกมา มันเป็นพื้นที่เปิดโล่งที่มีความสลับซับซ้อนเล็กน้อยเพราะโขดหินและแท่นผาต่าง ๆ ที่แต่งแต้มจนเป็นดันเจียนตามธรรมชาติ มีขนาดประมาณเศษหนึ่งส่วนสี่ตารางกิโลเมตร ซึ่งเล็กกว่าที่เขาคาดไว้

“หินเวทมนตร์ที่ใช้นี่ก็มีขนาดเท่ากับที่ใช้สร้างดันเจียนคราวที่แล้วสินะ? พอเป็นดันเจียนแบบเปิดแล้วพื้นที่มันหดลงขนาดนี้เลยเหรอ? ลดลงเกือบครึ่งแน่ะ”

“…ก็แบบนี้แหละ เพราะขนาดที่สร้างได้มันขึ้นกับความจุของพื้นที่ไงล่ะ …ดันเจียนแบบปิดจะมีรูปร่างเป็นห้องกับทางเดินเล็ก ๆ ปริมาตรจริง ๆ ก็เลยไม่เยอะ …แต่ดันเจียนแบบเปิดก็เหมือนกับการสร้างห้องขนาดใหญ่มาก ๆ ขึ้นมาครอบทั้งบริเวณ ทำให้กินความจุมากตามไปด้วย…”

“แบบนี้อาจต้องวางดันเจียนเพิ่มอีกหลายจุดเลยนะเนี่ย”

“…ไม่ต้องห่วง ยังไงเราก็มีเวลาเหลือเฟืออยู่แล้ว …ค่อย ๆ วางดันเจียนไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็ได้พื้นที่ครบตามต้องการเอง …และหลังจากวางดันเจียนในพื้นที่เขตล่างเสร็จแล้ว ฉันก็อยากจะให้เธอไปวางดันเจียนในพื้นที่เขตบนด้วย พอสมุนของเธอพัฒนาถึงระดับสูง ๆ จะได้เอาไปปล่อยไว้ที่นั่นต่อได้เลยไงล่ะ…”

ซาลพยักหน้าเห็นด้วยกับข้อเสนอของแซนโดร

เมื่อวางกำหนดการสำหรับวันพรุ่งนี้เรียบร้อยแล้วทั้งสองคนก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน

 

———————————————————————————————————-

 

Part 3

 

วันต่อมา ทั้งสองคนก็ใช้เส้นทางลับที่รู้จากหญิงสาวเผ่ามังกรในการกลับไปยังทางสายบน

เมื่อไปถึงจุดที่เธออยู่ ซาลก็ต้องตกตะลึงกับทิวทัศน์โดยรอบ

พื้นที่แถบนั้นเต็มไปด้วยคราบเลือดและร่องรอยการต่อสู้ราวกับเป็นสนามรบ มีรอยเลือดเปรอะเปื้อนอยู่ทั่ว ทั้งตามต้นไม้ใบหญ้าและโขดหิน ต้นไม้หลายต้นก็หักโค่นลงมา มีหลุมที่เกิดจากการระเบิดหรือรอยกรงเล็บกระจายอยู่ทั่วไป แต่หญิงสาวยังคงนั่งอยู่ที่ริมลำธารด้วยชุดสีขาวสะอาดไร้รอยสกปรกราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ซาลเพียงมองดูสภาพพื้นที่รอบ ๆ โดยไม่ได้สังเกตชุดของเธอ จึงรีบเดินเข้าไปถามด้วยความเป็นห่วง

“พี่สาว… ไม่เป็นไรใช่มั้ยครับ?

“เห? ทำไมเหรอคะ?”

“ก็ ร่องรอยพวกนี้น่ะ?…”

“เอ๋? ตายจริง ลืมทำความสะอาดเหรอเนี่ย? ก็คิดอยู่ว่าทำไมกลิ่นเลือดมันไม่จางไปซะทีนะ แหะ ๆ อ่า… ช่วยขึ้นไปยืนรอกันบนสะพานก่อนนะคะ”

หญิงสาวบอกกล่าวทั้งสองด้วยท่าทางเขินอายนิด ๆ เมื่อแซนโดรกับซาลขึ้นไปยืนบนสะพานแล้ว เธอจึงเริ่มร่ายเวท พลันก็มีพลังงานสีเขียวเอ่อล้นออกมาจากมือของเธอและค่อย ๆ ไหลรินลงไปยังพื้นดินเบื้องล่าง

ทันใดนั้นผืนดินโดยรอบก็เริ่มสั่นไหว ราวกับต้นไม้ใบหญ้าโดยรอบได้รับการเติมพลังชีวิต ร่องรอยจากการต่อสู้ตามจุดต่าง ๆ ค่อย ๆ เลือนหายไปด้วยการเคลื่อนไหวของพืชพรรณโดยรอบ ทั้งรอยเลือดที่ค่อย ๆ ถูกใบหญ้าดูดซึมไป ผืนดินที่เป็นหลุมเป็นบ่อก็ค่อย ๆ ก่อตัวกลับมาและถูกปกคลุมด้วยหญ้าอันเขียวชอุ่ม ต้นไม้ที่หักโค่นก็ฟื้นคืนกลับมายืนต้นตรงอีกครั้ง

ที่แห่งนั้นกลายเป็นสวนอันงดงามดังเดิมราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน

ซาลมองดูทิวทัศน์โดยรอบด้วยตากลมโตเพราะความทึ่ง แม้แต่แซนโดรเองก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาเล็กน้อยเช่นกัน

“…เวทของพวกดรูอิด (Druid) งั้นเหรอ? …แปลกนะที่มังกรน้ำแข็งจะเรียนเวทธาตุดินที่เป็นคู่ตรงข้ามแบบนี้น่ะ…”

“ฉันชื่นชอบธรรมชาติน่ะค่ะ โดยเฉพาะสีเขียวของพืชพรรณเนี่ย มันให้ความรู้สึกสดชื่นดีนะคะ ถึงตอนนี้จะมองไม่เห็นแล้ว แต่แค่กลิ่นก็ทำให้จิตใจสงบได้แล้วค่ะ”

ยิ่งเห็นความร่าเริงและท่าทีสบาย ๆ ของเธอ ซาลก็ยิ่งรู้สึกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก เขาเก็บความรู้สึกนั้นเอาไว้ก่อนจะเดินเข้าไปหาเธอและยื่นห่ออาหารห่อหนึ่งให้

“นี่เป็นอาหารจากในเมืองครับ ผมคิดว่าพี่สาวอาจจะอยากกิน ก็เลยซื้อมาฝากด้วย”

“เอ๋!? ให้ฉันเหรอคะ! จะดีเหรอคะ? ขะ.. ขอบคุณมากนะคะ! ขอทานเลยได้มั้ยคะเนี่ย?”

หญิงสาวมีท่าทางดีใจจนออกนอกหน้า เหมือนเธอจะพยายามปฏิเสธนิดหน่อยเพื่อรักษามารยาท แต่ยังไม่ทันเว้นช่วงให้อีกฝ่ายได้ตอบ เธอก็รับห่ออาหารจากมือของเขาไป และเดินไปนั่งลงบนโขดหินใกล้ ๆ เพื่อเปิดห่อดูทันที

ของที่ซาลซื้อมาฝากคือมีทบอล, เนื้อย่าง, และใส้กรอกอีกนิดหน่อย แม้หญิงสาวจะไม่รู้ว่ามันคืออะไรบ้าง แต่เพียงสูดกลิ่นของมันเข้าไปจนเต็มปอดครั้งหนึ่งเธอก็แสดงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความยินดีออกมาราวกับได้เจอขุมทรัพย์ เธอหันมาพยักหน้าขอบคุณเขาอีกครั้งก่อนจะตั้งหน้าตั้งตากินอาหารในห่ออย่างเอร็ดอร่อย เมื่อรู้ตัวอีกทีเธอก็กินจนหมดเกลี้ยงแล้ว หญิงสาวจึงหันมาขอบคุณซาลเป็นรอบที่สามด้วยท่าทางเขินอาย

“หุ ๆ ขอโทษที่เสียมารยาทนะคะ พอดีไม่ได้กินของอร่อย ๆ แบบนี้มานานแล้วน่ะค่ะ”

“พี่สาวไม่เคยเข้าไปในเมืองเลยเหรอครับ? แล้วปกติกินอะไรบ้างเนี่ย?”

“ปกติก็กินเนื้อของพวกมอนสเตอร์หรือมังกรป่าที่ผ่านทางมา แล้วก็พวกผลไม้ที่หาได้แถว ๆ นี้แหละค่ะ ความจริงรสชาติก็ไม่เลวนะคะ! แต่เพราะไม่มีเครื่องเทศก็เลยยังรู้สึกว่ามันขาดอะไรไปบางอย่าง”

เรื่องนี้เป็นไปดังที่ซาลคาด เขาคิดไว้แล้วว่าหญิงสาวคงต้องใช้ชีวิตอย่างยากแค้นน่าดู จึงได้ตั้งใจซื้ออาหารมาฝากด้วย

“รับของมาฟรี ๆ แบบนี้รู้สึกไม่ค่อยดีเลยค่ะ… จริงสิ! ฉันมีพวกวัตถุดิบที่สะสมได้จากมอนสเตอร์เก็บไว้เพียบเลยนะคะ ถ้ายังไงช่วยรับของพวกนี้ไว้เป็นค่าตอบแทนก็แล้วกันค่ะ”

หญิงสาวส่งวัตถุดิบหายากให้กับซาลเป็นจำนวนมาก ทั้งกระดูก, เกล็ด, เล็บ, และเขี้ยวมังกร แถมยังมีวัตถุดิบอื่น ๆ อีกมากมาย แม้ซาลจะพยายามปฏิเสธแต่เธอก็คะยั้นคะยอและทำให้เขารับมาจนได้

เมื่อพูดคุยและร่ำลากันเสร็จแล้ว ซาลกับแซนโดรก็มุ่งหน้าไปยังเขตดันเจียนเพื่อสร้างดันเจียนตามแผนการ

ในวันนั้นพวกเขาสร้างดันเจียนเพิ่มได้อีกสามแห่งก็เป็นเวลาบ่ายแก่ ๆ พอดี ซาลจึงขอแซนโดรให้กลับเร็วกว่าปกติหน่อย จะได้แวะคุยกับหญิงสาวด้วย ซึ่งแซนโดรก็อนุญาต

 

ทุก ๆ วันซาลจะซื้ออาหารไปฝากหญิงสาวเผ่ามังกรและแวะนั่งคุยกับเธอทั้งขาไปและขากลับ ทางหญิงสาวเองก็ดูมีความสุขมากที่มีคนมาคุยด้วย

ผ่านไปเกือบสัปดาห์ ซาลก็วางดันเจียนไว้ในพื้นที่ดันเจียนของอคาทอชส่วนล่างได้กว่ายี่สิบแห่ง แซนโดรจึงขยับขึ้นไปยังส่วนบนดูบ้าง ซึ่งก็ไม่มีปัญหาอะไรนัก เพียงวันเดียวก็สามารถวางดันเจียนได้ถึงสามแห่งเช่นกัน

วันนี้ซาลก็แวะคุยกับหญิงสาวเหมือนเช่นเคย ส่วนแซนโดรนั้นล่วงหน้ากลับเมืองไปก่อน เพราะอยากจะไปดู (กิน) เทศกาลอาหารท้องถิ่นที่จัดขึ้นในเมือง

ทั้งสองคนนั่งคุยกันอย่างสนิทสนม ส่วนใหญ่แล้วหญิงสาวจะเป็นคนเล่าเรื่องราวสมัยที่เธอยังเป็นนักผจญภัยและออกท่องเที่ยวไปยังดินแดนต่าง ๆ ส่วนซาลก็นั่งฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ

แต่ยิ่งได้สนิทสนมคุ้นเคยกับเธอ เขาก็ยิ่งสลัดความคิดที่จะช่วยเธอออกไปจากที่นี่ไม่ได้ ในที่สุดวันนี้เขาก็ตัดสินใจที่จะพูดเรื่องนี้กับเธอ

“นี่… พี่สาวน่ะ ความจริงแล้วชื่ออะไรเหรอ?”

คำถามนั้นทำให้หญิงสาวนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง แต่สุดท้ายเธอก็ตอบออกมาด้วยคำตอบเดิมเช่นเดียวกับครั้งแรก

“…เรียกฉันว่า ‘เออเธมีล’ เถอะค่ะ”

“ไม่เอาชื่อนั้นสิ ผมอยากรู้ชื่อจริง ๆ ของพี่สาวน่ะ”

“…คงได้ยินเรื่องเกี่ยวกับฉันมาแล้วสินะคะ”

หญิงสาวนิ่งเงียบไปอีกเป็นเวลานาน ส่วนซาลในเมื่อเปิดประเด็นขึ้นมาแล้ว ยังไงวันนี้เขาก็อยากจะพูดเรื่องที่อยากพูดออกมาให้หมด

“ผมน่ะไม่เห็นว่าพี่สาวจะมีความผิดตรงไหนเลย”

คำพูดที่เอ่ยขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยนั้นทำให้หญิงสาวอึ้งไปเล็กน้อย แต่เธอก็ตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มจาง ๆ

“…ผิดสิคะ ถ้าไม่เพราะฉัน เรื่องทั้งหมดก็คงไม่เกิดขึ้น…”

“มันเป็นแผนชั่วของพวกปิศาจต่างหาก! ความจริงเรื่องแบบนี้อาจเกิดกับใครก็ได้ พี่ชายคนนั้นเขาแค่ถูกหลอก ส่วนพี่สาวเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเป็นแบบนี้ซะหน่อย!

“คำว่าไม่ได้ตั้งใจมันใช้เป็นข้ออ้างไม่ได้หรอกนะคะ… ยังไงฉันก็เป็นคนทำให้คาน่อนเลือกทางนั้น… ถ้าฉันไม่ใช้เรื่องอายุขัยมาเป็นข้ออ้างละก็ เขาคงไม่พยายามไขว่คว้าชีวิตอมตะจนไปถูกพวกปิศาจหลอกใช้เอาหรอกค่ะ…”

“พี่สาวก็แค่พยายามถนอมน้ำใจของเขาเท่านั้นเอง เรื่องแบบนี้ปกติก็ไม่มีใครพูดสลัดรักอีกฝ่ายอย่างไร้เยื่อใยอยู่แล้ว สิ่งที่พี่สาวทำน่ะไม่ผิดหรอก”

“ผิดสิคะ… เพราะฉันน่ะ… ไม่ได้บอกความจริงทั้งหมดกับคาน่อน… ทำให้เขาคิดว่ายังคงมีหวัง และไล่ตามความหวังนั้นไปจนกระทั่งหลงทาง… ถ้าฉันบอกความจริงกับเขาไปตั้งแต่แรกละก็…”

คำพูดของหญิงสาวทำให้ซาลรู้สึกงุนงงขึ้นมา เพราะเขาไม่แน่ใจว่าเธอหมายถึงเรื่องอะไร

“ความจริง? ความจริงอะไรเหรอครับ?”

หญิงสาวเบือนหน้าหลบสายตาของซาลไปทางอื่นและครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งด้วยใบหน้าอันเศร้าหมอง ก่อนจะหันมาพูดกับเขาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบาซึ่งเจือปนไปด้วยความรู้สึกผิด

“ความจริงแล้ว… ฉันไม่มีความรู้สึกแบบนั้นกับมนุษย์หรอกค่ะ ถึงแม้จะรู้สึกรักชอบได้ในฐานะมิตรสหาย แต่ยังไงสำหรับฉันแล้วมนุษย์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตคนละประเภทกัน ไม่มีทางมองเป็นคนรักได้หรอกค่ะ…”

เมื่อได้ฟังเหตุผลของหญิงสาว ในทีแรกซาลก็ยังไม่เข้าใจ แต่เมื่อลองทบทวนดูดี ๆ และมองในมุมมองของเธอ เขาก็พอจะเข้าใจในสิ่งที่เธอพยายามจะสื่อออกมา

เพราะตอนนี้เธอมีร่างเป็นมนุษย์ ตอนที่พบกับคาน่อนก็เช่นกัน สำหรับมนุษย์แล้วหญิงสาวคนนี้ก็เป็นมนุษย์อีกคนหนึ่ง ไม่ได้ต่างจากหญิงสาวทั่วไปเลย การจะเกิดความรู้สึกรักใคร่ชอบพอกัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลก

แต่ถ้าหากเธอไม่ได้อยู่ในร่างมนุษย์ แต่อยู่ในร่างมังกรตลอดเวลาล่ะ? มนุษย์เพศชายอย่างคาน่อนจะยังคงคิดกับเธอในเชิงชู้สาวรึเปล่า? ซาลแน่ใจว่าคำตอบเกือบร้อยทั้งร้อยก็คือ ‘ไม่’ ถึงจะพูดคุยกันรู้เรื่อง คบหากันเป็นเพื่อนได้ แต่จะให้มนุษย์เกิดจิตพิศวาส อยากแต่งงานกับมังกร มอนสเตอร์ระดับสูงที่มีรูปลักษณ์เหมือนกับสัตว์เลื้อยคลานนั้น คงจะเป็นเรื่องยาก (เว้นแต่จะเป็นพวกที่มีรสนิยมพิสดารจริง ๆ )

หากมนุษย์ไม่มีทางเกิดจิตพิศวาสกับมังกรที่มีรูปลักษณ์เป็นมังกรได้ ทางฝั่งมังกรก็คงไม่ต่างกัน

แม้หญิงสาวจะอยู่ในรูปลักษณ์ของมนุษย์ แต่จิตใจของเธอก็ยังคงเป็นมังกร ในสายตาของเธอแล้วมนุษย์ก็ยังคงเป็นสัตว์อีกประเภทหนึ่ง ไม่ใช่มังกรเช่นเดียวกับเธอ เธอจึงไม่อาจเกิดความรู้สึกรักใคร่ฉันชู้สาวกับมนุษย์ได้

“เพราะฉันไม่อยากให้ใครรู้เรื่องนี้… ไม่อยากให้คนอื่นคิดว่าฉันถือดีว่าเป็นเผ่ามังกรจึงเหยียดเผ่าพันธุ์อื่น ๆ เลยไม่ยอมบอกเหตุผลที่แท้จริงกับคาน่อนไป… ถ้าฉันบอกความจริงกับเขาแต่แรก ให้เขาตัดใจซะ… ทั้งชีวิตของคาน่อน และชีวิตของผู้คนอีกมากมายก็คงไม่ต้องมาถูกทำลายเพราะความเห็นแก่ตัวของฉัน…”

ซาลคิดว่าต่อให้หญิงสาวบอกเรื่องนี้กับคาน่อน ผลลัพธ์ก็คงไม่ต่างกันเท่าไหร่ เพราะคาน่อนก็คงจะไปหาวิธีทำให้ตัวเองกลายเป็นมังกรแทน แต่ถึงบอกความคิดนี้ออกไปก็คงไม่ช่วยให้เธอรู้สึกสบายใจขึ้นสักเท่าไหร่ เผลอ ๆ เธอจะโทษตัวเองมากขึ้นกว่าเดิมซะอีกที่ดันไปคบหากับเขาตั้งแต่แรก ซาลจึงไม่ได้พูดความคิดนี้ออกมา และหาทางอื่นในการเกลี้ยกล่อมเธอแทน

“แต่ถึงพี่สาวจะรับโทษนี้ต่อไปมันก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อยู่ดี ความจริงพี่สาวน่ะได้รับโทษจนเกินความผิดที่ไม่ได้ก่อไปเยอะแล้วด้วย”

“คนที่ตายในการรุกรานครั้งนั้นมีนับแสนคนเลยนะคะ ชีวิตผู้บริสุทธิ์มากมายต้องถูกทำลายไปก็เพราะฉัน ดังนั้นให้รับโทษแค่ไหนก็ไม่สาสมหรอกค่ะ…”

“แล้วการยอมถูกจองจำอยู่ที่นี่มันจะชดเชยอะไรได้เหรอ! ใช่ว่าทำให้คนที่ตายไปแล้วฟื้นกลับมาได้ซะหน่อย!”

“อย่างน้อยฉันก็ได้สำนึกผิด… ได้ปกป้องบ้านเกิดจากพวกมอนสเตอร์และมังกรป่านะคะ มันไม่ใช่เรื่องที่ไร้ประโยชน์หรอกค่ะ…”

“จริง ๆ แล้วพวกเขาส่งพี่สาวมาเพื่อจะให้มาตายต่างหาก!”

“อืม… แรก ๆ ก็ลำบากอยู่เหมือนกันนะคะ เกือบตายก็ตั้งหลายทีแน่ะ แต่พอนาน ๆ เข้าก็เริ่มปรับตัวได้น่ะค่ะ เดี๋ยวนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้วล่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะคะ”

หญิงสาวลูบหัวของซาลอย่างอ่อนโยนพร้อมทั้งยิ้มให้กับเขา

มันเป็นร้อยยิ้มที่จริงใจไร้ซึ่งการเสแสร้ง แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกเศร้าที่แฝงอยู่ในรอยยิ้มนั้น

ยิ่งได้เห็นเธอเป็นแบบนี้ ซาลก็ยิ่งตัดใจไม่ได้

“พี่สาวน่ะ.. เสียใจกับทุกอย่างเลยจริง ๆ น่ะเหรอ?”

“คะ?”

“ทั้งเรื่องที่ได้ออกท่องโลกกว้าง ได้มาคบหากับมนุษย์ ได้พบกับพี่ชายคนนั้น และเรื่องที่ได้เป็นเพื่อนกัน พี่สาวน่ะรู้สึกเสียใจกับทุกอย่างนั้นด้วยงั้นเหรอ?”

“เรื่องนั้น…”

“พวกเผ่ามังกรน่ะเขาไม่ได้ลงโทษพี่สาวเพราะทำให้เกิดผู้สร้างหายนะหรอกนะ เขาลงโทษที่พี่สาวไปคบหากับมนุษย์ต่างหาก พวกนั้นไม่อยากให้เผ่ามังกรไปคบค้าสมาคมกับมนุษย์เลยลงโทษพี่สาวเพื่อไม่ให้ใครเอาเป็นเยี่ยงอย่าง หากพี่สาวยอมรับโทษนี้ต่อไป ก็เท่ากับยอมรับว่าพวกนั้นพูดถูก เผ่ามังกรไม่ควรคบค้ากับมนุษย์ และเท่ากับว่าพี่สาวเองก็ยอมรับว่าการได้พบพานกันทั้งหมดนั้นถือเป็นเรื่องผิดพลาด”

คำพูดของซาลทำให้หญิงสาวนิ่งเงียบไป เธอครุ่นคิดคำพูดของเขาด้วยสีหน้าที่เซื่องซึม ก่อนจะเอ่ยคำพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา

“มันก็.. อาจเป็นเรื่องที่ผิดพลาดจริง ๆ ก็ได้นะคะ…”

“งั้นทำไมถึงต้องแสดงท่าทีเป็นมิตรกับพวกเราด้วยล่ะ!? การเป็นมิตรกับมนุษย์มันเป็นเรื่องแย่ เป็นเรื่องผิดพลาดไม่ใช่เหรอ!? ถ้าคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ผิดจริง ๆ พี่สาวก็ควรจะหลีกหนีให้ไกลจากมนุษย์อย่างพวกเราไม่ใช่รึไง!?”

คำพูดของซาลเปรียบเสมือนกระแสลมกรรโชกที่พุ่งเข้าปะทะหัวใจของหญิงสาวจนเกิดการสั่นไหว เธอไม่รู้ว่าจะตอบโต้คำพูดนั้นกลับไปอย่างไรจึงได้แต่นิ่งเงียบโดยไม่เอ่ยคำพูดใด ๆ ออกมาอีก

ความเงียบครอบคลุมทั้งสองคนเป็นเวลานาน ทำให้มีเพียงเสียงธารน้ำไหลเท่านั้นที่ยังคงดังแว่วอยู่

ซาลแอบรู้สึกผิดอยู่เล็กน้อย เขาคิดว่าตัวเองอาจจะใช้คำพูดแรงเกินไป แต่หากไม่ทำแบบนี้คงไม่มีวิธีใดที่จะทำให้หญิงสาวยอมยกโทษให้กับตัวเองได้อีกแล้ว

“พี่สาวน่ะ พอใจกับสภาพที่เป็นอยู่ตอนนี้แล้วจริง ๆ น่ะเหรอ? ไม่นึกเสียดายอะไรมั่งรึไง?”

หญิงสาวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบคำถามนั้นด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยนเหมือนยามปกติ

“ความจริงแล้ว มันก็ไม่ได้แย่อะไรหรอกนะคะ การได้ใช้ชีวิตอย่างสงบท่ามกลางธรรมชาติอันงดงามก็เป็นชีวิตบั้นปลายที่ชั้นเคยใฝ่ฝันเอาไว้เหมือนกันค่ะ ถึงที่นี่จะไม่ค่อยสงบเท่าไหร่ก็เถอะนะคะ หุหุ แต่ถ้าจะมีอะไรที่ยังเสียดายอยู่ละก็…”

หญิงสาวลุกขึ้นและหันมองไปยังทิวทัศน์โดยรอบ แม้ดวงตาของเธอจะยังคงปิดสนิทอยู่ก็ตาม

“ถ้าจะมีเรื่องที่เสียดาย ก็คงเป็นการที่ไม่ได้เห็นภาพธรรมชาติอันงดงามเหล่านี้ด้วยตาตัวเองละมั้งคะ… ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะเห็นภาพจริง ๆ ที่ไม่ใช่ภาพเค้าร่างอันไร้รายละเอียดนี้อีกสักครั้งจัง…”

“งั้นเหรอ…”

ในเมื่อไม่รู้จะหาคำพูดอะไรมาเกลี้ยกล่อมหญิงสาวได้อีก ซาลจึงขอตัวกลับและเดินจากมา

หญิงสาวที่อยู่ตามลำพังก็ได้แต่ครุ่นคิดถึงคำพูดที่อีกฝ่ายพูดเอาไว้ แต่ท้ายที่สุดข้อสรุปของเธอก็ยังคงไม่ต่างไปจากเดิม

 

เช้าวันต่อมา แซนโดรเดินทางมายังลำธารเพียงลำพังทำให้หญิงสาวรู้สึกแปลกใจ ส่วนแซนโดรที่เห็นหญิงสาวอยู่ที่นั่นคนเดียวก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน

“เอ๋? วันนี้มาคนเดียวเหรอคะ?”

“…หือ? ซาลารัสยังมาไม่ถึงอีกเหรอ? ก็ออกมาก่อนนี่นา…”

“ยังไม่เห็นเลยนะคะ”

“…ให้ตายสิ …มัวไปเถลไถลอยู่ที่ไหนนะ…”

แซนโดรพยายามติดต่อซาลทางแหวนสื่อสารแต่ก็ไม่มีการตอบรับ จึงต้องร่ายเวทกางแผนที่ขึ้นมาดูเพื่อหาตำแหน่งของผู้สวมแหวนว่าอยู่ที่ไหนกันแน่

หญิงสาวรู้สึกกังวลเพราะคิดว่าซาลอาจไม่พอใจกับคำพูดของเธอเลยทำให้ไม่อยากมาเจอเธออีกก็ได้ แต่ในระหว่างที่คิดฟุ้งซ่านอยู่ เธอก็ได้ยินเสียงอุทานของแซนโดร

“…นี่มัน…”

เพราะตำแหน่งของซาลที่แสดงขึ้นมาบนแผนที่นั้นกลับอยู่แถวเมืองอคาทอชส่วนบน ซึ่งเป็นส่วนที่ไม่ควรเข้าไปใกล้อย่างยิ่ง ทำเอาสีหน้าของแซนโดรถึงกับแปรเปลี่ยนไปในทันที

“…เจ้าเด็กบ้านั่น …ไปทำอะไรตรงนั้นเนี่ย!?…”

“เอ๋!? ในเมืองส่วนบนเหรอคะ!? ไม่จริงน่ะ! รึว่า!?”

ไม่ทันที่จะพูดอะไร แซนโดรก็คลุมร่างกายด้วยหมอกและบินทะยานไปทางประตูเมืองทันที ส่วนหญิงสาวยังคงลังเลและสับสนกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น จึงได้แต่มองดูแซนโดรบินหายลับไป

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด