Doombringer the 5th 120

Now you are reading Doombringer the 5th Chapter 120 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Ch.120 – ผู้สร้างหายนะของผู้สร้างหายนะ (1)

Translator : YoyoTanya / Author

Ch. 116

ผู้สร้างหายนะของผู้สร้างหายนะ (1)

 

Part 1

 

ที่บริเวณสวนหย่อมอันร่มรื่นใกล้กับหอพักของนักเรียนชั้นปี 1 ห้อง A มีเด็กผู้หญิงสองคนกำลังนั่งอยู่บนม้านั่งใต้ร่มเงาของต้นไม้ต้นใหญ่ บริเวณโดยรอบนั้นไม่มีนักเรียนคนอื่น ๆ อยู่เลย ทำให้ดูราวกับว่าสวนหย่อมอันร่มรื่นนี้เป็นพื้นที่ส่วนตัวของพวกเธอ

เพราะวันนี้เป็นวันเสาร์ นักเรียนส่วนใหญ่จึงพากันไปเที่ยวในเขตชุมชนหรือไม่ก็เข้าไปเที่ยวในตัวเมืองจูริสไพร์ม ทำให้มีนักเรียนน้อยคนที่จะใช้เวลาในวันหยุดไปกับการอยู่ในบริเวณโรงเรียน

เด็กคนแรกที่นั่งอยู่ฝั่งซ้ายของม้านั่งเป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาอ่อนหวาน เธอมีผมสีแดงอ่อน ๆ จนเกือบจะเป็นสีชมพู ทั้งยังถักเป็นเปียคู่ทำให้บุคลิกของเธอดูสุภาพเรียบร้อยมากขึ้นอีก ตรงกันข้ามกับอีกคนซึ่งเป็นเด็กผู้หญิงผมสั้นราวกับเป็นทรงผมของเด็กผู้ชายทำให้ทั้งดูห้าวและน่ารักไปในเวลาเดียวกัน เธอมีเส้นผมสีแดงดุจดั่งเปลวเพลิง แม้ใบหน้าของเธอจะดูจิ้มลิ้มน่ารักแต่ดวงตาอันมุ่งมั่นที่เปี่ยมไปด้วยพลังนั้นก็สื่อถึงอุปนิสัยเด็ดเดี่ยวและไม่ยอมอ่อนข้ออย่างชัดเจน

เด็กหญิงที่ดูสุภาพเรียบร้อยนั้นก็คือทาลิส อาเทเลีย นักเรียนชั้นปีหนึ่งห้อง A  ของโรงเรียนจูริสไพร์ม ส่วนเด็กผู้หญิงอีกคนก็คือลาซารัส แฮลเซียน (ลาซ) พี่น้องฝาแฝดของซาลนั่นเอง

โดยปกติแล้วลาซกับทาลิสจะพากันไปเที่ยวในตัวเมืองทุก ๆ วันหยุดสุดสัปดาห์ แต่ในสัปดาห์นี้ทาลิสที่สังเกตเห็นความผิดปกติของลาซมาพักหนึ่งแล้วคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะไปเที่ยวในเมืองนักจึงเลือกที่จะมานั่งเล่นในสวนหย่อมใกล้ ๆ กับหอพักแทน

แม้ดูภายนอกลาซจะยังคงร่าเริงและกระฉับกระเฉงเหมือนเป็นปกติ แต่สำหรับคนที่สนิทสนมและคลุกคลีกับเธอเกือบยี่สิบสี่ชั่วโมงอย่างทาลิสนั้นสังเกตได้ว่าบ่อยครั้งที่อีกฝ่ายจะมีอาการเหม่อลอยเหมือนกับกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องอะไรบางอย่าง บางครั้งก็แสดงอาการหงุดหงิดออกมาทางสีหน้า แม้มันจะเป็นอาการที่แสดงออกเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ ก็ตาม

ตามปกติแล้วลาซไม่เคยแสดงอาการแบบนี้มาก่อน เพราะเธอเป็นคนร่าเริง มองโลกในแง่ดี และกล้าเผชิญหน้ากับปัญหาต่าง ๆ อย่างไร้ซึ่งความกลัว ในช่วงที่ผ่านมาไม่ว่าจะเจอกับปัญหาใด ๆ ลาซก็ไม่เคยแสดงท่าทีกังวลหรือคิดมากแบบนี้ออกมาเลย แม้แต่ตอนที่ต้องทนกับการกลั่นแกล้งของเพื่อน ๆ ในโรงเรียนเก่าก็ตาม แต่ตอนนี้เด็กหญิงผู้ไม่เคยลังเลและไร้ซึ่งความกลัวคนนั้นกลับกำลังแสดงความกลัดกลุ้มออกมา ทำให้ทาลิสอดเป็นห่วงไม่ได้

หากไม่รู้สาเหตุของมันทาลิสก็คงจะเป็นกังวลมากกว่านี้ แต่โชคดีที่เธอพอจะรู้ว่าต้นเหตุแห่งความกังวลของลาซคือเรื่องอะไรทำให้เธอยังพอเบาใจลงบ้าง

ทาลิสคิดว่าที่เพื่อนของเธอมีอาการกลัดกลุ้มหรือกระวนกระวายแบบนี้ มีสาเหตุมาจากพี่ชาย (หรือน้องชาย) ของเจ้าตัว ก็คือซาลนั่นเอง

อาการคิดมากของลาซเริ่มเกิดขึ้นหลังจากเธอได้ยินข่าวลือที่ไม่ดีเกี่ยวกับซาล แม้เธอจะได้พูดคุยกับเจ้าตัวและรู้ความจริงว่าทั้งหมดเป็นเรื่องเข้าใจผิด แต่ก็ยังมีข่าวลือที่ไม่ดีของเขาแว่วมาให้ทุกคนได้ยินเป็นระยะ ๆ ถึงมันจะเป็นเรื่องเก่าหรือเรื่องที่ถูกแต่งเติมขึ้นมาก็ตาม

หากนี่เป็นเรื่องที่เกิดกับตัวเองลาซคงเดินหน้าลุยเพื่อจัดการกับข่าวลือพวกนี้ด้วยวิธีการห่าม ๆ ของเธอไปแล้ว แต่เพราะมันเป็นเรื่องของคนอื่นและคำพูดของซาลที่ว่าการใช้วิธีธรรมดามีแต่จะทำให้เรื่องแย่ลงนั้นก็ฟังดูมีเหตุผล เธอจึงไม่สามารถทำอะไรกับปัญหานี้ได้นอกจากเฝ้ามองไปเรื่อย ๆ และนั่นก็คือสิ่งที่ทำให้ลาซรู้สึกหงุดหงิด

อีกเรื่องคือ ทาลิสมีความรู้สึกว่าจริง ๆ แล้วลาซอยากพูดคุยและเล่นหัวกับซาลมากกว่านี้ บ่อยครั้งที่พวกเธอมองเห็นซาลเดินอยู่ไกล ๆ โดยบังเอิญ และลาซก็มีท่าทีลังเลเหมือนกับอยากจะเข้าไปทักทายอีกฝ่าย แต่ที่สุดแล้วเธอก็ไม่ทำ เหมือนกับอยากให้อีกฝ่ายเป็นคนเข้ามาหาก่อนมากกว่า บางทีนี่อาจเป็นการเอาชนะคะคานกันในอีกรูปแบบหนึ่ง แต่อีกฝ่ายไม่ได้รับรู้ด้วยเลย ลาซจึงเป็นฝ่ายที่รู้สึกกระวนกระวายอยู่คนเดียว

ทาลิสคิดว่าคงเพราะลาซยืนกรานที่จะเป็นพี่สาวจึงพยายามรักษาจุดยืนด้วยการนิ่งเฉยและให้น้องชายเป็นฝ่ายเข้ามาหาทั้งที่ตัวเองก็อยากจะคลุกคลีสนิทสนมกับอีกฝ่ายจนเต็มแก่ แต่หากเป็นฝ่ายแสดงความคิดถึงให้เห็นก่อนเธอคงกลัวว่ามันจะเป็นการอ่อนข้อและทำให้ตำแหน่งของพี่สาวที่เธอพยายามรักษาเอาไว้ต้องสั่นคลอน  สุดท้ายแล้วเธอก็เลยตกอยู่ในสภาพอันน่ากระอักกระอ่วนนี้

เมื่อได้เห็นทิฐิแบบเด็ก ๆ ของลาซ ทาลิสก็ได้แต่ลอบถอนหายใจด้วยความรู้สึกขบขันอยู่เล็กน้อย ความจริงปกติลาซก็ไม่ใช่คนแบบนี้ แต่พอเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับซาลแล้วดูเหมือนว่าเธอจะมีวุฒิภาวะที่ด้อยลงโดยไม่รู้ตัว

ในที่สุด ทาลิสก็ตัดสินใจว่าควรจะทำอะไรสักอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้

“ถ้ายังไง… เราไปหาเขากันดีมั้ย?”

คำถามที่เอ่ยขึ้นโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยของทาลิสนั้นทำให้ลาซต้องหันมามองด้วยความฉงน

“หาเขา? หาใครเหรอ?”

“ก็พี่.. น้องชายของเธอ ซาลารัสไงล่ะ”

“หา? ทำไมฉันต้องไปหาหมอนั่นด้วยล่ะ?”

“ก็ลาซน่ะอยากเจอ อยากพูดคุยกับเขาไม่ใช่เหรอ?”

“หา~!? ฉันเนี่ยนะ!? บ้าแล้ว!”

ลาซขมวดคิ้วและเชิดหน้าไปทางอื่นเป็นการแสดงความไม่พอใจ ทาลิสจึงชะโงกหน้ามองเพื่อดูว่าอีกฝ่ายมีอาการหน้าแดงรึไม่ แต่สีหน้าของลาซยังคงแสดงแต่เพียงความหงุดหงิดออกมาโดยไม่มีอาการเขินอายใด ๆ ทำให้ทาลิสรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย และคิดว่าบางทีแม้แต่เจ้าตัวก็อาจยังไม่รู้ใจตัวเองก็ได้

ในเมื่อเป็นแบบนี้ เธอจึงต้องคิดหาวิธีอื่น

“ถ้างั้นถือว่าฉันอยากเจอเขาเองก็ได้ ช่วยไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ”

“หา? เธอจะอยากเจอหมอนั่นไปทำไมกัน?”

“นี่เธอเริ่มต้นประโยคด้วยคำอื่นนอกจากคำว่า ‘หา’ ไม่เป็นรึไง?”

“หา? อะ.. เอ๋?”

เพราะถูกทักในเรื่องนี้ทำให้ลาซที่เพิ่งจะรู้สึกตัวต้องนึกย้อนถึงประโยคก่อน ๆ ของเธอขึ้นมาและสีหน้าของเธอก็แสดงความงุนงงมากขึ้นกว่าเดิม ทาลิสจึงได้แต่ถอนหายใจเบา ๆ และดึงเรื่องกลับเข้าประเด็นอีกครั้ง

“ที่เธอกระวนกระวายอยู่แบบนี้ก็เป็นเพราะเอาแต่คิดถึงเรื่องของซาลารัสไม่ใช่เหรอ? ถ้างั้นก็ไปคุยกับเขาตรง ๆ เลยดีกว่านะ”

“คนที่มีปัญหาคือหมอนั่น เพราะงั้นหมอนั่นต้องเป็นคนมาหาฉันเองต่างหาก”

ลาซพูดห้วน ๆ พลางหลับตาลงและเชิดหน้าไปทางอื่นเหมือนกับเป็นอาการแง่งอนเล็ก ๆ ทำให้ทาลิสต้องแอบอมยิ้มให้กับอากัปกิริยาที่หาดูยากนั้น เธอรู้สึกว่าลาซที่เป็นแบบนี้ก็น่ารักดี แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเหนื่อยใจกับความดื้อรั้นและหัวทึบของอีกฝ่ายที่ไม่เข้าใจปัญหาของตัวเองซะที

 

——————————————————————————–

 

Part 2

 

ในระหว่างที่เด็กหญิงทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่ ก็มีเด็กผู้ชายสองคนเดินตรงมายังบริเวณที่ทั้งสองกำลังนั่งอยู่พอดี

คนหนึ่งเป็นเด็กผู้ชายผมสีน้ำตาล เขาสวมแว่นตาทรงสี่เหลี่ยมกรอบเล็กและมีสีหน้าจริงจังทำให้ดูมีความเป็นผู้ใหญ่เกินกว่าอายุของเขา ส่วนอีกคนเป็นเด็กผู้ชายผมสีเทาที่มีดวงตาเรียวเล็กราวกับสุนัขจิ้งจอกและมีสีหน้าขี้เล่นอยู่ตลอดเวลา สองคนนี้ก็คืออลัน คอนแสตนซ์ และโลเฟ่น เทมเพอร์ เพื่อนสนิทของลาซและทาลิส ทั้งยังเป็นเพื่อนในความทรงจำของซาลอีกด้วย

ทั้งทาลิส, อลัน, และโลเฟ่น ต่างก็รับรู้ถึงความไม่สบายใจของลาซและแอบปรึกษากันในเรื่องนี้มาพักหนึ่งแล้ว ทุกคนมีความเห็นตรงกันว่าควรจะหาทางทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ลาซสบายใจขึ้น เมื่อเห็นว่าการเกลี้ยกล่อมของทาลิสไม่ได้ผล อลันและโลเฟ่นจึงเดินเข้ามาเพื่อใช้อีกวิธีหนึ่งแทน

“อ้าว วันนี้คุณหนูทั้งสองไม่ออกไปเที่ยวไหนกันเหรอ? หายากนะเนี่ย”

โลเฟ่นแสร้งทำเป็นทักทายเหมือนกับเป็นการเดินมาพบกันโดยบังเอิญตามที่ได้นัดแนะกันเอาไว้ ส่วนอลันก็พยายามตีสีหน้าเรียบเฉยและปล่อยให้โลเฟ่นเป็นฝ่ายเล่นละครไป เพราะความสามารถในการแสดงของเขาจัดว่าค่อนข้างแย่เลยทีเดียว

เมื่อได้โลเฟ่นช่วยเปิดประเด็นให้ ทาลิสที่คอยท่าอยู่แล้วก็รีบตามน้ำในทันที

“เฮ้อ… ก็คนแถวนี้น่ะสิ เอาแต่กลัดกลุ้มจนไม่มีกะจิตกะใจจะออกไปเที่ยว ฉันเองก็ไม่อยากจะฝืนใจน่ะ”

“กลัดกลุ้มอะไรกัน? ไม่ถึงขนาดนั้นซะหน่อย แล้ววันนี้ทาลิสเป็นคนพูดเองว่าไม่อยากไปเที่ยวข้างนอกไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงกลายเป็นเพราะฉันไปได้ล่ะ?”

ลาซที่รู้ตัวทันทีว่าถูกพาดพิงจึงรีบหันมาโต้แย้ง ส่วนทาลิสก็แสยะยิ้มด้วยสีหน้าขี้เล่นก่อนจะตอบกลับไป

“ฉันยังไม่ได้พูดซะหน่อยว่าหมายถึงเธอน่ะ ร้อนตัวงั้นเหรอ?”

“หนอย… นี่เธอกลายเป็นคนเล่นลิ้นแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“โอ๊ย ๆ ๆ ๆ “

ลาซที่อารมณ์ขมุกขมัวอยู่แล้วเมื่อถูกยียวนซึ่ง ๆ หน้าจึงเอามือดึงแก้มทั้งสองข้างของทาลิสเพื่อเป็นการลงโทษในทันที แม้เธอจะไม่ได้ใช้แรงขนาดที่ทำให้อีกฝ่ายต้องรู้สึกเจ็บแต่นั่นก็ทำให้ทาลิสที่ไม่ทันตั้งตัวต้องร้องเสียงหลงออกมา

ทางด้านโลเฟ่นที่เห็นว่าท่าไม่ค่อยดีจึงรีบตัดบทเข้าเรื่อง

“เธอยังคิดมากเรื่องของซาลารัสอยู่สินะ เรื่องนั้นเลิกกังวลได้แล้วน่า เท่าที่ฉันรู้มา สถานการณ์ของหมอนั่นก็ดีขึ้นเยอะแล้วนะ”

เมื่อได้ยินคำพูดนั้น ลาซก็ปล่อยมือออกจากแก้มของทาลิสและหันมามองโลเฟ่นด้วยสีหน้าประหลาดใจในทันที

“ดีขึ้นเหรอ? หมายความว่ายังไง?”

“รู้ข่าวเรื่องที่ห้อง E ต้องทำภารกิจของสัปดาห์นี้ใหม่กันตั้งแต่ต้นรึเปล่า? สาเหตุของเรื่องนี้ยังไม่แน่ชัด แต่เหมือนจะมีคนนอกเข้ามาแทรกแซงในการทำภารกิจทำให้ทางโรงเรียนต้องประกาศให้ผลการทำภารกิจก่อนหน้านี้เป็นโมฆะ แถมภารกิจที่ว่าคือการล่า ‘บาร์คสกินพูม่า’ ซึ่งเป็นมอนสเตอร์ที่รับมือยากอีกด้วย ขนาดห้อง A ของเรายังได้มอนสเตอร์ที่ล่าง่ายกว่านี้เลย พอมีเงื่อนเวลามาบีบทำให้หลายกลุ่มมีทีท่าว่าจะทำภารกิจนี้ไม่ทัน พวกเขาเลยต้องบากหน้าไปขอให้ซาลารัสเป็นคนช่วยในการทำภารกิจ ซึ่งเจ้าตัวก็ยอมตกลง ความสัมพันธ์ของหมอนั่นกับคนในห้องก็เลยเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นน่ะ”

ข้อความช่วงท้ายนั้นเป็นความเห็นส่วนตัวที่โลเฟ่นเติมลงไปเองแต่มันก็ไม่ใช่คำพูดที่เกินความจริงไปซะทีเดียว ที่สำคัญคือดูเหมือนว่ามันจะได้ผลเพราะแววตาของลาซนั้นเปล่งประกายขึ้นทันทีที่ได้ฟังเรื่องนี้

เพื่อเป็นการสนับสนุน อลันจึงเริ่มเล่าข่าวสารที่เขารวบรวมมาได้ให้ลาซฟังบ้าง

“ในกลุ่มนักเรียนปีหนึ่งชื่อเสียงของซาลารัสอาจยังไม่ถึงกับดีนัก แต่ในหมู่รุ่นพี่น่ะมีการพูดถึงเขาในแง่ดีอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว โดยเฉพาะในกลุ่มนักเรียนปีห้า เท่าที่ฉันได้ยินมามีคนที่เคยได้รับการช่วยเหลือจากเขาในภาวะคับขัน และเขายังสนิทสนมกับว่าที่ประธานนักเรียนคนต่อไปซึ่งได้ฉายาว่า ‘แม่มดสีเทา’ ด้วย ทำให้ฐานะของเขาในสายตาของพวกรุ่นพี่น่ะจัดว่าค่อนข้างดีเลยล่ะ”

เมื่อได้ยินคำบอกเล่าของอลัน แววตาของลาซก็ยิ่งเปล่งประกายมากขึ้นอีก แม้จะพยายามเก็บอาการเอาไว้ไม่ให้แสดงออกมามากนักแต่ทุกคนก็มองออกว่าลาซกำลังรู้สึกตื่นเต้นดีใจอยู่แน่ ๆ

ทาลิสที่เห็นว่าลาซอารมณ์ดีขึ้นแล้วจึงแกล้งแซวอีกฝ่ายสักเล็กน้อย เพื่อเป็นการเอาคืนที่ถูกหยิกแก้ม

“ดีจังเลยเนอะลาซ แบบนี้เธอก็จะได้หมดห่วงซะที ซาลารัสเนี่ยดีจริง ๆ เลยน้า~ มีพี่สาวที่เป็นห่วงเป็นใยกันขนาดเนี้ย ฉันชักจะอิจฉาแล้วสิ”

พอได้ยินคำพูดของทาลิส ลาซก็รีบเก็บอาการและทำหน้ามุ่ยพร้อมกับกล่าวโต้แย้งกลับไป

“ใช่ที่ไหนล่ะ ฉันแค่ไม่อยากให้ตระกูลแฮลเซียนต้องเสื่อมเสียต่างหาก ถ้าหมอนั่นไม่ถูกเข้าใจผิดอีกก็ดีแล้ว แต่ถึงยังไงการได้อยู่แค่ห้อง E ก็เป็นเรื่องน่าอับอายอยู่ดีนั่นแหละ”

ทุกคนได้แต่ยิ้มอย่างเหนื่อยใจกับความดื้อรั้นของลาซ แต่ทันใดนั้นเองโลเฟ่นก็ฉุกคิดถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้

“จะว่าไปแล้ว ฉันยังได้ยินเรื่องประหลาดมาอีกอย่างหนึ่ง คือกลุ่มของซาลารัสน่ะแม้จะมีสมาชิกแค่สองคนแต่ก็ทำเวลาได้เป็นอันดับหนึ่งของทุกภารกิจในเดือนแรกเลยนะ แม้แต่ภารกิจล่าที่เป้าหมายเป็นบาร์คสกินพูม่าพวกเขาก็ยังล่าได้ภายในเวลาเพียงชั่วโมงเดียว ขนาดกลุ่มเราถ้าเจอเป้าหมายหิน ๆ แบบนี้จะทำเวลาได้เร็วเท่ารึเปล่าก็ยังไม่รู้เลย พูดง่าย ๆ ว่าฝีมือของเขาน่าจะเหนือกว่าระดับของนักเรียนห้อง E มากทีเดียว ไม่รู้ทำไมถึงไปอยู่ห้อง E ได้ สงสัยจะทำคะแนนสอบภาคทฤษฎีได้ไม่ค่อยดีล่ะมั้ง”

คำพูดของโลเฟ่นทำให้ทุกคนเริ่มคิดตามไปด้วยและรู้สึกสงสัยขึ้นมาเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะอลันที่พอจะได้ยินเรื่องนี้ผ่านหูมาบ้าง

“เรื่องนั้นฉันก็พอได้ยินมาเหมือนกัน รู้สึกว่านั่นจะเป็นเพราะคลาส ‘ซัมมอนเนอร์’ ทำให้เขาค่อนข้างได้เปรียบคนอื่นมากในการทำภารกิจ.. ไม่สิ ต้องบอกว่าเป็นความสามารถของเจ้าตัวเองที่นำเวทอัญเชิญมาประยุกต์ใช้ได้หลากหลายขนาดนี้น่ะนะ ซัมมอนเนอร์น่ะสามารถอัญเชิญสมุนออกมาช่วยงานได้เป็นจำนวนมาก ทำให้สามารถสำรวจพื้นที่หรือค้นหาเป้าหมายของภารกิจได้อย่างรวดเร็ว การทำภารกิจสำรวจหรือภารกิจเก็บเกี่ยวจึงเป็นเรื่องกล้วย ๆ แม้แต่ภารกิจล่า หากมีตัวช่วยแบบนี้ในการค้นหาเป้าหมายล่ะก็ การทำภารกิจก็ไม่ใช่เรื่องยากเช่นกัน”

ลาซที่ได้ฟังเรื่องเล่าที่เหมือนกับเป็นคำชมของซาลนั้นก็นั่งฟังด้วยแววตาเป็นประกายเหมือนกับรู้สึกภูมิใจอยู่ ส่วนทาลิสที่เพิ่งเคยได้ยินเรื่องนี้ก็ตั้งใจฟังด้วยสีหน้าประทับใจเช่นกัน เพราะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมาก ๆ สำหรับโลเฟ่นที่พอจะรู้รายละเอียดของเรื่องนี้อยู่แล้วก็เพียงแค่ยิ้มและเฝ้าดูปฏิกิริยาของแต่ละคนเท่านั้น โดยเฉพาะลาซซึ่งเป็นเป้าหมายของการนำเสนอข่าวในครั้งนี้

ทุกคนรู้ว่าความไม่สบายใจของลาซนั้นเกิดจากความเป็นห่วงที่มีต่อซาล หากทำให้เธอคลายความกังวลลงได้ อาการกลัดกลุ้มของเธอก็น่าจะบรรเทาลงหรืออาจจะหายไปเลยจึงทำการรวบรวมข้อมูลและวางแผนที่จะบอกเล่าเรื่องดี ๆ ของซาลให้ลาซได้ฟัง ซึ่งดูจากปฏิกิริยาของเธอที่มีอาการตื่นเต้นดีใจมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว แปลว่าวิธีนี้ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม

“หึ หึ หึ… ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่า~ ต้องแบบนี้สิถึงจะสมกับเป็นคนของตระกูลแฮลเซียน! นี่แปลว่าพอหมดเทอมนี้หมอนั่นก็น่าจะเลื่อนห้องขึ้นมาอยู่ห้อง D ได้สินะ? ก็ทำคะแนนสูงสุดในทุกวิชาเลยนี่นา”

ท่าทางอันร่าเริงและเปี่ยมไปด้วยพลังนั้นบ่งบอกว่าลาซได้กลับมาเป็นตัวเองโดยสมบูรณ์แล้ว ทำให้ทุกคนรู้สึกโล่งอกไปด้วย อลันจึงตอบกลับไปด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายลง

“ใจเย็น ๆ ก่อนสิ นี่ยังไม่หมดเดือนแรกของเทอมแรกเลย ถ้านับรวมทั้งหมดแล้วก็ยังมีอีก 9 ภารกิจที่เขาต้องรักษาระดับคะแนนนี้ไว้ถึงจะเลื่อนห้องได้ แต่ดูจากฝีมือของเขาแล้วฉันคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะ”

“อืม~ อีกสองเดือนกว่าถึงจะเลื่อนขึ้นมาอยู่ห้อง D หนึ่งเทอมเลื่อนห้องหนึ่งครั้ง แต่ละครั้งห่างกันสามเดือน… C, B, A… ถ้ารวมช่วงปิดเทอมด้วยแล้วแปลว่าต้องใช้เวลาอีกตั้ง 15 เดือนเลยน่ะสิกว่าหมอนั่นจะขึ้นมาถึงห้อง A น่ะ! นั่นมันช่วงเทอมสองของปีที่สองเลยนะ! แบบนั้นมันนานเกินไปแล้ว!”

ลาซตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่สื่อถึงความไม่พอใจอย่างชัดแจ้งมันเป็นการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ แต่สำหรับเพื่อน ๆ ทั้งสามคนที่อยู่ ณ ที่นี้ต่างก็ชินกับนิสัยแบบนี้ของเธอแล้ว เพราะความจริงลาซไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์เหมือนกับที่แสดงออก มันเป็นแค่การโอเวอร์รีแอคชั่นที่เกิดจากพลังงานอันล้นเหลือของเธอมากว่า

“มันก็ต้องแบบนั้นแหละ ก็ตามปกติแล้วทางโรงเรียนกำหนดให้มีการประเมินและพิจารณาเลื่อนห้องแค่เทอมละครั้งนี่นา”

“กรอด… ถ้าเจ้าเบื๊อกนั่นไม่อยู่ห้อง E ตั้งแต่แรกละก็ คงไม่ต้องเสียเวลาไต่ระดับขึ้นมามากขนาดนี้หรอก”

เมื่อเห็นลาซมีท่าทีหงุดหงิดกับเรื่องนี้ ทาลิสก็อดที่จะหยอกเย้าเธออีกครั้งไม่ได้

“แหม ๆ อยากจะอยู่ห้องเดียวกันขนาดนั้นเลยเหรอ? แบบนี้ถ้าเขาขึ้นมาห้อง A ได้ลาซจะลืมพวกเราไปเลยรึเปล่าเนี่ย?”

“หืม? พูดอะไรน่ะ? ถ้าไม่มีพวกเธอแล้วฉันจะแข่งกับหมอนั่นได้ยังไงล่ะ?”

“เอ๋? แข่งเหรอ?”

“ใช่ นอกเหนือจากการดวลกันแบบตัวต่อตัวที่จะตัดสินว่าใครมีฝีมือเหนือกว่าแล้ว ฉันจะต้องแสดงให้หมอนั่นเห็นว่าแม้แต่ในด้านอื่น ๆ เช่นการทำภารกิจทุกชนิดฉันก็ยังเป็นฝ่ายที่เหนือกว่าด้วย แบบนี้หมอนั่นจะได้เลิกเพ้อฝันเรื่องการเป็น ‘คนพี่’ ซะที และยิ่งเจ้านั่นขึ้นมาอยู่ห้อง A ได้เร็วเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งทำการดวลกันได้เร็วขึ้นเท่านั้น!”

ดูเหมือนว่านี่จะเป็นเจตนาเพียงหนึ่งเดียวของลาซที่ต้องการให้ซาลเลื่อนขึ้นมาอยู่ห้อง A มันเป็นคำตอบอันซื่อตรงและมุ่งมั่นจนทำให้ทาลิสที่พยายามแซวเรื่องนี้กลับรู้สึกเขินขึ้นมาซะเอง จึงได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ และไม่พูดอะไรต่ออีก

ในระหว่างนั้น โลเฟ่นก็เสนอความคิดอีกอย่างขึ้นมา

“ความจริงอาจไม่ต้องใช้เวลานานขนาดนั้นก็ได้นะ ก็โรงเรียนเราน่ะมี ‘ไอ้นั่น’ อยู่นี่นา”

อลันที่ได้ยินคำพูดนั้นก็นึกอะไรขึ้นมาได้เช่นกัน

“อ๋อ หมายถึง ‘ไอ้นั่น’ น่ะเหรอ? จริงด้วยสินะ ถ้าเป็นวิธีนี้อาจไม่ต้องรอถึงหนึ่งปีก็ได้ แต่ว่า…”

“อืม ฉันคิดว่าเจ้าตัวคงไม่ทำหรอก เพราะรู้สึกว่าเขากำลังพยายามหลีกเลี่ยงการเป็นจุดสนใจอยู่ คงเพราะก่อนหน้านี้มีข่าวลือออกมาเยอะ ทั้งที่ดีและไม่ดี เลยอยากให้เรื่องซา ๆ ลงบ้างล่ะมั้ง”

ลาซที่ฟังการทสนทนาของโลเฟ่นกับอลันอยู่ก็มองหน้าทั้งสองคนสลับกันไปมาอยู่พักหนึ่งเหมือนจะยังไม่เข้าใจในสิ่งที่ทั้งสองคนพูด แต่ในที่สุดเธอก็นึกขึ้นมาได้

“อ๋อ! ไอ้นั่นน่ะเหรอ!? จริงด้วย! แบบนี้ก็ไม่ต้องรอเป็นปีแล้ว! รีบไปจัดการกันเลยดีกว่า!”

ทั้งโลเฟ่นและอลันต่างก็หันมายิ้มให้กับลาซด้วยสีหน้าเหนื่อยใจ ก่อนอลันจะอธิบายกับเธออีกครั้ง

“นี่ เรื่องนี้น่ะคนนอกทำให้ไม่ได้หรอกนะ เจ้าตัวต้องเป็นคนไปยื่นคำร้องเพื่อเข้ารับการทดสอบเองถึงจะมีผล ไม่งั้นก็ไม่มีประโยชน์หรอก”

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ฉันน่ะไม่ใช่คนนอกซะหน่อย ว่าแต่อลัน นายน่ะพอจะปลอมบัตรนักเรียนได้ใช่มั้ย?”

เมื่อได้ยินที่ลาซพูด ทั้งอลัน, โลเฟ่น, และทาลิส ต่างก็หันมามองตากันด้วยสีหน้าหวาดหวั่น เพราะพวกเขาพอจะเดาออกแล้วว่าลาซคิดจะทำอะไร

“ถ้าแค่บัตรจำลองน่ะฉันก็พอจะทำได้อยู่นะ แต่ของแบบนั้นมันเอาไปใช้หลอกระบบลงทะเบียนของโรงเรียนไม่ได้หรอก เพราะยังไงมันก็เป็นของปลอมนี่นา เธออย่าคิดอะไรแผลง ๆ จะดีกว่านะ”

อลันกล่าวเตือนลาซด้วยสีหน้าจริงจัง แต่อีกฝ่ายกลับเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาก่อนจะกล่าวตอบ

“จะลงทะเบียนก็ต้องใช้บัตรจริงอยู่แล้วล่ะ ส่วนบัตรปลอมน่ะแค่ใช้หลอกคนได้ก็พอแล้ว”

ทุกคนต่างก็หันมามองหน้ากันอีกครั้งเมื่อได้ยินคำตอบของลาซ และยิ่งรู้สึกหวั่นใจมากขึ้นกว่าเดิมด้วย เพราะแม้จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดจะทำอะไร แต่มันคงเป็นเรื่องยุ่งยากอย่างไม่ต้องสงสัย

 

——————————————————————————–

 

Part 3

 

ที่บริเวณสวนหย่อมใกล้กับทางออกทิศตะวันตกของโรงเรียนอีจิสไพร์ม ซาลกำลังยืนรอคุโระอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง นี่เป็นจุดเดียวกับที่เขามายืนรอคุโระในวันที่ต้องออกไปทำภารกิจในครั้งแรก

ในระหว่างที่ยืนรออยู่นั้น ซาลก็ได้ยินเสียงฝีเท้าอันรวดเร็วพุ่งตรงเข้ามาหา แม้ว่าครั้งนี้อีกฝ่ายจะพยายามแตะสัมผัสปลายเท้าลงกับพื้นอย่างนุ่มนวลเพื่อให้เกิดเสียงน้อยที่สุด แต่สำหรับซาลที่มีประสาทสัมผัสอันเฉียบคมก็สามารถได้ยินและรับรู้ถึงการมาของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างชัดเจน

เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามา เขาก็ถอนหายใจเบา ๆ

“เฮ้อ… ที่ตรงนี้มันเป็นที่อาถรรพ์รึไงกันนะ… พอมายืนตรงนี้ทีไรต้องมีวิญญาณร้ายโผล่มาคุกคามทุกทีเลย…”

แม้จะพูดเช่นนั้น แต่ซาลก็แอบอมยิ้มเพราะความรู้สึกยินดี ความจริงแล้วถ้าไม่เพราะมัวยุ่งกับแผนการต่าง ๆ บวกกับมีเรื่องยุ่งยากมาแทรกซ้อน เขาก็อยากใช้เวลาว่างไปพบปะพูดคุยกับลาซอยู่เหมือนกัน ดังนั้นการพบเจอกันในลักษณะนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร

แต่ก่อนอื่นเขาต้องหลบการโจมตีของเธอให้ได้ซะก่อน

เขารอฟังเสียงฝีเท้าสุดท้ายเพื่อที่จะกะเวลาในการหลบ แต่จู่ ๆ เสียงฝีเท้าก็ขาดหายไปดื้อ ๆ

จุดที่เสียงฝีเท้าขาดหายไปนั้นค่อนข้างไกลจากจุดที่เขายืนอยู่ หากเป็นการกระโจนระยะไกลก็ต้องมีเสียงของการย่ำเท้าครั้งสุดท้ายที่ทิ้งน้ำหนักลงกับพื้นเพื่อสร้างแรงกระโดดให้ได้ยิน ทั้งยังต้องมีเสียงวัตถุแหวกอากาศด้วยความเร็วสูงตรงมาหาเขาด้วย แต่นี่กลับไม่มีเสียงอะไรเลย ราวกับว่าลาซหยุดยืนอยู่แค่จุดนั้นโดยไม่ได้เข้ามาใกล้อีก ทำให้ซาลเริ่มรู้สึกแปลกใจ

ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจหันกลับไปยังทิศทางที่ลาซยืนอยู่ เขาคิดว่าบางทีอีกฝ่ายอาจรู้สึกลังเลหรือไม่กล้าเข้ามาหาเพราะทั้งคู่ไม่ได้พบกันมานานแล้วและนั่นอาจทำให้ลาซรู้สึกกระอักกกระอ่วน แต่ทันทีที่หันไปเขาก็พบว่าลาซที่อยู่ในท่าย่อตัวเหมือนกำลังย่องอยู่นั้นได้เข้ามาถึงตัวเขาในระยะประชิดแล้ว ทำให้ซาลถึงกับสะดุ้ง

ในจังหวะนั้นเอง ซาลก็พบว่ามือข้างหนึ่งของลาซกำลังล้วงเข้าไปในชายเสื้อของเขา เขาจึงรีบสะบัดชายเสื้อหลบและดีดตัวออกห่างจากอีกฝ่ายในทันที ซึ่งลาซที่กำลังย่อเข่าอยู่แล้วก็กระโจนตามไปติด ๆ เช่นกัน

ทั้งสองคนประมือกันอยู่ครู่หนึ่ง ลาซพยายามพุ่งมือเข้าใส่ซาลโดยยังคงมีเป้าหมายอยู่ที่ชายเสื้อของเขา แต่ซาลก็สามารถหลบหลีกและปัดป้องการโจมตีทั้งหมดนั้นเอาไว้ได้ ในที่สุดทั้งสองก็ผละออกจากกันและเปลี่ยนมาจ้องมองอีกฝ่ายเพื่อคุมเชิง

แม้สถานการณ์จะดูตึงเครียด แต่ซาลก็ยิ้มและเอ่ยคำถามไปยังอีกฝ่ายด้วยด้วยสีหน้าระรื่น

“เดี๋ยวนี้เปลี่ยนงานอดิเรกมาเป็นนักล้วงแล้วงั้นเหรอ? ค่าขนมไม่พอรึไง? ความจริงเรื่องแค่นี้ถ้ามาบอกกันดี ๆ ฉันก็ยินดีที่จะช่วยอยู่แล้วล่ะนะ ยังไงมันก็เป็นหน้าที่ของพี่ชายนี่นา”

เมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านั้น ลาซก็นิ่วหน้าลงเพื่อแสดงความไม่พอใจ เธอทั้งขมวดคิ้วและขบเม้มริมฝีปาก แต่มันกลับเป็นอาการแง่งอนที่ดูน่ารักซะมากกว่า

“เพ้อเจ้ออะไรของนาย! ใครจะไปอยากได้เงินของนายกัน! ฉันแค่มาทดสอบดูว่านายละเว้นการฝึกฝนบ้างรึเปล่าต่างหาก เป็นการทำหน้าที่ในฐานะพี่สาวไงล่ะ! ฝีมือของนายก็ยังพอใช้ได้นี่ แบบนี้ก็ดีแล้ว ถือว่าผ่านการตรวจสำหรับวันนี้ก็แล้วกัน แต่ก็ยังมีอะไรที่ต้องปรับปรุงอีกเยอะนะ ยังไงก็พยายามเข้าล่ะ!”

เมื่อพูดจบ ลาซก็กลับหลังหันและวิ่งแจ้นกลับไปทันที การไปมาราวกับพายุนี้ทำให้ซาลที่ยังปรับตัวกับสถานการณ์ไม่ทันได้แต่ยืนงงอยู่กับที่

แม้จะไม่ค่อยเข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายสักเท่าไหร่ แต่ซาลก็พอจะรู้ว่าเป้าหมายของลาซคือของบางอย่างที่อยู่ในชายเสื้อของเขา เขาจึงล้วงมือเข้าไปและหยิบมันออกมาดู

ของสิ่งนั้นก็คือบัตรประจำตัวนักเรียนของซาลนั่นเอง ด้านหน้าของบัตรมีรูปของเขาพร้อมกับรายละเอียดคร่าว ๆ เขียนเอาไว้ ส่วนด้านหลังก็มีตัวเลขและตัวอักษร 1-E ซึ่งใช้ระบุห้องกับชั้นปีปรากฏอยู่อย่างชัดเจน

เพราะมันเป็นของที่ต้องใช้อยู่บ่อยครั้งในการเข้า-ออกโรงเรียน นักเรียนส่วนใหญ่จึงพกมันติดตัวเอาไว้มากกว่าจะเก็บลงในช่องมิติเก็บของ และเป้าหมายของลาซก็น่าจะเป็นสิ่งนี้ ซึ่งเธอก็เกือบจะทำสำเร็จแล้ว โชคดีที่ซาลมีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็วพอบัตรนักเรียนใบนี้จึงยังไม่ถูกชิงไป

เขาไม่รู้ว่าลาซจะต้องการบัตรใบนี้ไปทำอะไร แต่แค่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการของสิ่งนี้ก็พอแล้ว ซาลคิดว่าแบบนี้ก็อาจจะดีเหมือนกัน เพราะตราบใดที่ลาซยังไม่ได้มันไป เธอก็ต้องเป็นฝ่ายมาหาเขา หรือต้องหาทางมาลอบชิงมันไป ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องที่น่าสนุกดีในความคิดของซาล

เขาเก็บบัตรประจำตัวนักเรียนใส่กระเป๋าที่อยู่ด้านในของชายเสื้ออีกครั้งและยืนรอคุโระต่อไป โดยไม่รู้เลยว่าบัตรที่เขามีอยู่นั้นเป็นของปลอมที่ถูกลาซสับเปลี่ยนไปเรียบร้อยแล้ว

 

ที่อาคารธุรการของโรงเรียนอีจิสไพร์ม ปกติที่แห่งนี้จะมีผู้คนหลากหลายเข้ามาติดต่อกับทางโรงเรียนเพื่อดำเนินการในด้านต่าง ๆ ทำให้เป็นหนึ่งในสถานที่ที่คึกคักที่สุดในวันธรรมดา แต่สำหรับวันหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้แผนกธุรการจะงดให้บริการด้านต่าง ๆ กับบุคคลภายนอก เหลือเพียงฝ่ายบริการนักเรียนและบุคลากรของโรงเรียนเท่านั้นที่ยังเปิดให้บริการอยู่ บรรยากาศของอาคารในวันนี้จึงค่อนข้างเงียบเหงา แม้แต่เคาเตอร์ประชาสัมพันธ์ด้านหน้าก็ไม่มีคนอยู่ ผู้ที่เข้ามาติดต่อจึงต้องเข้าไปแจ้งเรื่องที่ช่องรับเรื่องด้านหน้าของห้องธุรการโดยตรง

ตามปกติแล้วในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์แบบนี้จะไม่ค่อยมีคนมาติดต่อกับแผนกธุรการสักเท่าไหร่ เจ้าหน้าที่ซึ่งอยู่เฝ้าเคาเตอร์ประสานงานจึงมีอาการง่วงเหงาหาวนอน และรอให้ช่วงเวลาเข้าเวรอันยาวนานนี้ผ่านพ้นไปอย่างเกียจคร้าน แต่ในระหว่างที่เขากำลังสะลึมสะลืออยู่ก็มีเสียงเคาะเบา ๆ ที่ช่องหน้าต่าง ทำให้เจ้าตัวต้องหันไปมอง

ที่ด้านนอกช่องกระจกหน้าต่างสำหรับติดต่อทำธุระนั้น มีเด็กคนหนึ่งซึ่งมีดวงตาสีส้มอำพันและมีเปลวผมสีแดงราวกับเปลวเพลิงยืนอยู่ เด็กคนนั้นยังพันผ้าพันคอผืนใหญ่ซึ่งปกปิดใบหน้าส่วนล่างเอาไว้ด้วย เมื่อบวกกับทรงผมที่ตัดสั้นและดวงตากลมโตเป็นประกายนั้นแล้วจึงยิ่งมองออกยากว่าเด็กคนนี้เป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิงกันแน่

อย่างไรก็ตามเมื่อมีนักเรียนมาติดต่อทำธุระ เขาก็ต้องทำตามหน้าที่ เจ้าหน้าที่ของโรงเรียนจึงทำการเลื่อนเปิดช่องหน้าต่างและกล่าวถามไถ่กับอีกฝ่ายในทันที

“ว่าไง มาติดต่อเรื่องอะไรงั้นเหรอ?”

เด็กผมแดงที่ดูลึกลับคนนั้นกระแอมออกมาครั้งหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยคำตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงใส ๆ ที่ดัดให้ทุ้มต่ำลง

“ครับ ผมมายื่นเรื่องเพื่อขอเข้ารับการทดสอบเลื่อนห้องเป็นการพิเศษน่ะครับ”

เสียงพูดที่ฟังดูแปร่ง ๆ นั้นทำให้เจ้าหน้าที่ประจำห้องธุรการรู้สึกสงสัยอยู่เล็กน้อย แต่เด็กปีหนึ่งส่วนใหญ่ก็เพิ่งจะมีอายุ 12-13 ปีทั้งนั้น การที่เด็กผู้ชายบางคนจะมีเสียงที่ยังไม่แตกหนุ่มจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจก็คือเรื่องที่เด็กคนนั้นมาเพื่อยื่นคำร้องมากกว่า

“ขอเข้ารับการทดสอบเลื่อนห้องเป็นการพิเศษ? เอ่อ… หมายถึง ‘สนามพิสูจน์ตน’ น่ะเหรอ? ไม่มีคนมายื่นคำร้องเรื่องนี้มานานแล้วนะเนี่ย…”

‘สนามพิสูจน์ตน’ (Proving Grounds) เป็นระบบหนึ่งของโรงเรียนอีจิสไพร์มที่มีขึ้นเพื่อให้นักเรียนที่รู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมในการเลื่อนห้องหรือคิดว่าระบบประเมินผลที่โรงเรียนใช้อยู่นั้นไม่ยุติธรรมต่อตนเองสามารถยื่นเรื่องของเข้ารับการทดสอบเพื่อเลื่อนห้องเป็นการพิเศษได้โดยต้องทำการระบุว่าอยากจะเลื่อนไปอยู่ห้องอะไรแล้วทางโรงเรียนก็จะจัดการทดสอบให้ทำภารกิจแข่งกับนักเรียนกลุ่มที่มีคะแนนสูงสุดของห้องระดับรองลงมาเพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าผู้ยื่นคำร้องมีความสามารถเหนือกว่าระดับที่เขากล่าวอ้างจริง เช่นถ้าอยากเลื่อนจากห้อง E ไปอยู่ห้อง D ก็ต้องทำการทดสอบแข่งกับกลุ่มที่ได้คะแนนสูงสุดของห้อง E ซึ่งเป็นกลุ่มที่กำลังจะได้รับการเลื่อนห้อง หากสามารถเอาชนะนักเรียนกลุ่มนั้นได้ผู้ยื่นคำร้องก็จะได้รับสิทธ์ในการเลื่อนห้องแทนนักเรียนกลุ่มนั้นไป เรียกได้ว่าเป็นการท้าประลองที่มีสิทธิ์ในการเลื่อนห้องเป็นเดิมพัน

ฝ่ายที่กำลังจะเลื่อนห้องไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธกระบวนการนี้เพราะนี่ถือเป็นการทดสอบคุณสมบัติอย่างหนึ่ง ที่สำคัญคือมันเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับศักดิ์ศรีด้วยเพราะการปฏิเสธการทดสอบร่วมกับนักเรียนที่มีระดับคะแนนต่ำกว่าหรืออยู่ห้องต่ำกว่านั้นถือว่าเป็นเรื่องน่าอับอาย แต่ทางโรงเรียนก็ไม่ได้ให้นักเรียนกลุ่มที่เข้าร่วมการทดสอบนี้ต้องแบกรับความเสี่ยงไปเปล่า ๆ เพราะหากพวกเขาชนะก็จะได้รับคะแนนพิเศษสำหรับใช้ในการเลื่อนห้อง ทั้งยังได้สิทธิ์ในการเลื่อนห้องระหว่างภาคเรียนโดยไม่ต้องรอให้จบภาคเรียนก่อนอีกด้วย ถือว่าเป็นค่าตอบแทนที่ไม่เลว และต่อให้พวกเขาพ่ายแพ้ในการทดสอบนี้ สิทธิ์ในการเลื่อนห้องระหว่างภาคเรียนก็ยังคงอยู่โดยไม่ถูกปรับคะแนนอะไรเพิ่มเติม ผู้แพ้จึงเพียงแค่ได้เลื่อนห้องช้ากว่าเดิมไปหนึ่งเดือนเท่านั้น

เรื่องนี้ตรงกันข้ามกับฝ่ายที่มายื่นคำร้องขอใช้ ‘สนามพิสูจน์ตน’ เพราะหากว่าเขาแพ้ ก็จะต้องถูกตัดสิทธิ์ในการเลื่อนห้องเป็นเวลาหนึ่งปี (สามภาคเรียน) หรือถ้าหากเลื่อนห้องขึ้นไปแล้วทำคะแนนได้ไม่ดีจนถูกลดห้องกลับลงมาก็จะถูกตัดสิทธิ์ในการเลื่อนห้องเช่นกัน เพราะถือว่าไม่รู้จักประมาณตนและต้องกลับไปพิจารณาตัวเองซะใหม่ ในช่วงเวลานี้ไม่ว่าจะสะสมหรือทำคะแนนในภารกิจได้ดีแค่ไหนก็ตามเขาก็จะไม่สามารถเลื่อนห้องได้และต้องอยู่ห้องเดิมต่อไปจนกว่าจะครบเวลา

ด้วยเหตุนี้จึงไม่ค่อยมีคนกล้าที่จะยื่นเรื่องขอใช้ ‘สนามพิสูจน์ตน’ มากนัก เพราะคู่แข่งในการทดสอบคือระดับหัวกะทิของห้องต่าง ๆ ซึ่งอาจมีฝีมือที่แท้จริงเหนือกว่าระดับของห้องที่พวกเขาสังกัด แถมหากแพ้หรือทำคะแนนแย่จนถูกลดห้องขึ้นมาก็ต้องติดแหงกอยู่ในห้องเดิมเป็นเวลาหนึ่งปีเพราะโดนตัดสิทธิ์ในการเลื่อนห้อง มันจึงเป็นวิธีที่ค่อนข้างเสี่ยงและแทบไม่มีใครใช้กันแล้ว เจ้าหน้าที่ประจำห้องธุรการจึงรู้สึกแปลกใจมากที่เด็กผมแดงคนนี้มายื่นคำร้องเพื่อขอรับการทดสอบ

“จะว่าไปแล้วนี่ยังไม่พ้นเดือนแรกของเทอมแรกเลยนี่นา ‘สนามพิสูจน์ตน’ น่ะเป็นการทดสอบความสามารถในการทำภารกิจจึงต้องใช้เวลาในการดำเนินการพอสมควรและทำได้เฉพาะในช่วงปิดภาคเรียนเท่านั้นซึ่งมันก็ยังเหลืออีกตั้งสองเดือนกว่าแน่ะ… อ้อ เธอคงมายื่นคำร้องเอาไว้ล่วงหน้าสินะ?”

“อะแฮ่ม… เปล่าหรอกครับ ผมมายื่นเรื่องเพื่อจะขอรับการทดสอบพรุ่งนี้เลย ถึง ‘สนามพิสูจน์ตน’ จะเป็นการทดสอบที่ต้องใช้เวลา แต่ถ้าเป็น ‘การทดสอบด้วยการประลอง’ ก็สามารถดำเนินการได้ทันทีเลยใช่มั้ยล่ะครับ?”

คำกล่าวของเด็กชายผมแดงทำให้เจ้าหน้าที่ของโรงเรียนต้องตาเบิกโพลงด้วยความแปลกใจอีกครั้ง

‘การทดสอบด้วยการประลอง’ (Trial by Combat) ถือเป็นการทดสอบอีกแบบหนึ่งคล้าย ๆ กับ ‘สนามพิสูจน์ตน’ แต่แทนที่จะให้แต่ละฝ่ายแข่งกันทำภารกิจ ก็จะให้ส่งตัวแทนมาทำการประลองกันทีละคน ฝ่ายใดที่เอาชนะสมาชิกของฝ่ายตรงข้ามหมดทั้งกลุ่มได้ก่อนก็จะเป็นฝ่ายที่ผ่านการทดสอบ

ความพิเศษของ ‘การทดสอบด้วยการประลอง’ คือเพราะมันเป็นการวัดผลเฉพาะด้าน คือวัดแค่ความสามารถในการต่อสู้เท่านั้น เพื่อให้ได้ผลการทดสอบที่เกิดจากการประเมินอย่างรอบด้านจึงต้องเพิ่มกลุ่มที่ใช้ในการทดสอบเป็นสามกลุ่ม หรือก็คือฝ่ายที่ยื่นคำร้องจะต้องทำการต่อสู้กับกลุ่มที่มีคะแนนสูงสุดของห้องจำนวนสามกลุ่มอย่างต่อเนื่องในวันเดียว หากสามารถเอาชนะได้สองในสามกลุ่มก็จะถือว่าผ่านการทดสอบ

ในการทดสอบนี้กลุ่มที่เข้าร่วมการทดสอบจะยังเลื่อนห้องได้ตามปกติโดยไม่เสียอะไรเลย แต่ผู้ที่มาขอรับการทดสอบจะยังโดนตัดสิทธิ์ในการเลื่อนห้องเป็นเวลาหนึ่งปีเช่นกัน ซึ่งหากมองในบางแง่แล้ว ‘การทดสอบด้วยการประลอง’ อาจเป็นวิธีที่ยากกว่า ‘สนามพิสูจน์ตน’ ซะอีก จึงเป็นวิธีที่ไม่มีคนใช้มานานมากแล้ว เจ้าหน้าที่ของโรงเรียนจึงอดรู้สึกตกใจไม่ได้

“จะเข้ารับ ‘การทดสอบด้วยการประลอง’ งั้นเหรอ!? เธอ… แน่ใจแล้วนะ? ว่าแต่เธอต้องการจะเลื่อนจากห้องอะไรไปเป็นห้องอะไรล่ะ?”

“ผมอยากจะเลื่อนจากห้อง E ไปเป็นห้อง A ครับ ช่วยจัดการให้ด้วยนะครับ”

เด็กชายผมแดงกล่าวตอบพลางยื่นบัตรประจำตัวนักเรียนของเขาให้กับเจ้าหน้าที่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่ได้ยินคำตอบนั้นก็ยังคงอยู่ในอาการตกตะลึงเหมือนเช่นเคย

“ละ.. เลื่อนจากห้อง E ไปห้อง A !? นั่นมันข้ามไปตั้งสามห้องเชียวนะ! แปลว่าเธอต้องทำการประลองกับพวกหัวกะทิของห้อง B ถึงสามกลุ่มเพื่อผ่านการทดสอบด้วย นี่เธอคิดดีแล้วเหรอ?”

“ไม่ต้องห่วงครับ ถ้าเป็นเรื่องการประลองละก็ ผมไม่แพ้ใครแน่นอน ช่วยจัดการให้ด้วยนะครับ”

เจ้าหน้าที่ของโรงเรียนยังคงมองดูเด็กชายผมแดงด้วยสายตาเคลือบแคลงใจ แต่อีกฝ่ายก็ยังคงจ้องมองกลับมาด้วยแววตาอันแน่วแน่และสีหน้าที่เหมือนกำลังยิ้มอยู่ภายใต้ผ้าพันคอผืนใหญ่นั้น มันเป็นใบหน้าที่ไม่มีความลังเลอยู่เลยแม้แต่น้อย

“โอเค… ถ้าเธอยืนกรานขนาดนั้นฉันก็คงไม่ห้ามล่ะ หวังว่าเธอจะรู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่นะ”

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายตัดสินใจแน่วแน่แล้ว เจ้าหน้าที่ของห้องธุรการจึงทำการกรอกข้อมูลเพื่อส่งคำร้องเข้าไปยังระบบในทันที เขานำบัตรนักเรียนของเด็กชายผมแดงคนนั้นมารูดกับอุปกรณ์อ่านค่าเพื่อดูข้อมูลนักเรียน และทันทีที่ได้เห็นชื่อของเด็กคนนั้นบนหน้าจอเขาก็ต้องชะงักไปอีกครั้ง

“ทะ.. เธอนี่เอง… เอ้อ… ผู้ยื่นคำร้องคือ ซาลารัส แฮลเซียน ถูกต้องนะ?”

เมื่อได้ยินคำถามนั้น เด็กชายผมแดงก็ตอบกลับมาด้วยสีหน้าที่เหมือนกำลังยิ้มกริ่ม

“ใช่แล้วครับ ผมนี่แหละ หนึ่งเดียวคนนี้ไม่มีสองแน่นอน”

หลังจากได้รับคำยืนยันจากเจ้าตัว เจ้าหน้าที่ของห้องธุรการก็ทำการลงบันทึกและยื่นเอกสารหลักฐานการลงทะเบียนพร้อมกับบัตรนักเรียนคืนให้กับเด็กชายผมแดงโดยที่ยังมีสีหน้าเป็นกังวลอยู่เล็กน้อย ผิดกับฝ่ายเด็กชายผมแดงที่รับเอกสารและบัตรประจำตัวนักเรียนกลับมาด้วยสีหน้าพึงใจอย่างที่สุด

สำหรับคนทั่วไปที่ไม่ได้รู้จักหรือสนิทสนมกับฝาแฝดทั้งสองอย่างใกล้ชิดย่อมเป็นการยากที่จะแยกความต่างของทั้งสองคนได้ โดยเฉพาะในเวลาที่มีผ้าพันคอปิดบังใบหน้าอยู่เกือบครึ่งแบบนี้

แต่หากเป็นคนที่รู้จักมักคุ้นกับเจ้าตัวเป็นอย่างดีเช่นทาลิส, โลเฟ่น, หรืออลัน ย่อมต้องสังเกตเห็นความผิดปกติและรู้ได้อย่างแน่นอน ว่าคนที่กำลังแสยะยิ้มอันกรุ้มกริ่มอยู่ใต้ผ้าพันคอผืนนั้นเพราะทุกอย่างเป็นไปตามแผนก็คือ ลาซารัส แฮลเซียน ฝาแฝดอีกคนนั่นเอง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด