Doombringer the 5th 14

Now you are reading Doombringer the 5th Chapter 14 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Ch.14 – ดวงตาของผู้รักษาสันติภาพ

Translator : YoyoTanya / Author

Chapter. 14

ดวงตาของผู้รักษาสันติภาพ

 

Part 1

 

เมืองจูริสไพร์ม (Juris Prime) เมืองหลวงของอาณาจักรจูริส

ที่ตั้งของเมืองนี้คือจุดที่เหล่าผู้รอดชีวิตจากโลกเก่าถูกนำตัวมาพำนักไว้เพื่อรอการจัดสรรพื้นที่สำหรับตั้งรกรากเมื่อสามร้อยปีก่อน จึงกล่าวได้ว่านี่เป็นเมืองแห่งแรกของโลกใหม่ ทำให้มันกลายเป็นเมืองที่มีประวัติความเป็นมายาวนานที่สุดในโลกไปด้วย

ด้วยการฟื้นฟูอารยะธรรมอันรวดเร็วซึ่งเป็นผลจากวิทยาศาสตร์และเวทมนตร์ ทำให้เมืองจูริสขยายตัวอย่างรวดเร็วตามไปด้วย กำแพงเมืองแห่งแรกซึ่งได้สร้างเอาไว้เมื่อศักราชที่ 50 นั้นครอบคลุมพื้นที่กว่าหนึ่งร้อยตารางกิโลเมตร แต่ก็ยังไม่เพียงพอกับการรองรับจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพียงสิบปีต่อมา บ้านเรือนผู้คน ร้านค้า ไร่นา และฟาร์มปศุสัตว์ ก็แผ่ขยายล้นออกไปนอกเขตกำแพงอีกนับกิโลเมตร

กำแพงเมืองเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการป้องกันพลเมือง เพราะในโลกนี้มีเหล่ามอนสเตอร์ซึ่งเป็นอันตรายต่อมนุษย์อยู่ทั่วไป และสำหรับโลกที่กำลังอยู่ในช่วงฟื้นฟู ชีวิตมนุษย์ก็นับเป็นสิ่งสำคัญมาก ด้วยเหตุนี้จึงมีการสร้างกำแพงเมืองชั้นที่สองขึ้น โดยเว้นพื้นที่ห่างจากกำแพงเมืองชั้นแรกไปอีกสามกิโลเมตร เพื่อรองรับการขยายตัวของเมืองในอนาคต กำแพงนี้แล้วเสร็จในศักราชที่ 65 ใช้เวลาสร้างทั้งหมดห้าปี แต่ในระหว่างนั้น พื้นที่ในกำแพงชั้นที่สองก็ถูกจับจองด้วยชาวเมืองกลุ่มใหม่ไปกว่าหนึ่งในสามแล้ว

อีกสิบปีต่อมา พื้นที่ภายในกำแพงเมืองชั้นที่สองก็ถูกใช้สอยจนหมดสิ้น บ้านเรือนประชาชนจึงเริ่มขยายตัวล้นออกไปนอกกำแพงเมืองชั้นที่สอง ในช่วงเวลาไม่กี่ปี ก็มีบ้านเรือนผู้คนแผ่ออกไปนอกกำแพงเมืองอีกหลายกิโลเมตร ทางการจูริสจึงทำการสร้างกำแพงเมืองชั้นที่สามขึ้น โดยเว้นระยะห่างจากกำแพงชั้นที่สองออกไปอีกสามกิโลเมตรเช่นเคย แม้จะเป็นอัตราเดิม แต่ตอนนี้ตัวเมืองได้ขยายออกไปมากแล้ว แม้จะเว้นระยะห่างของกำแพงเท่าเดิม แต่พื้นที่ภายในกำแพงชั้นสามก็มากกว่ากำแพงชั้นสองเกือบ 50% จึงน่าจะรองรับจำนวนประชากรในอนาคตได้

ด้วยวิทยาการที่ก้าวหน้าขึ้น และจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น ทำให้กำแพงชั้นที่สามนี้สร้างเสร็จในเวลาเพียงสองปี แต่ในปีที่กำแพงชั้นที่สามสร้างเสร็จ ซึ่งก็คือศักราชที่ 82 บ้านเรือนประชาชนในกำแพงชั้นที่สามก็แผ่ขยายมาจนถึงขอบกำแพงแล้ว การเติบโตของเมืองจูริสยังคงดำเนินไปในลักษณะนี้เรื่อย ๆ ทำให้ทางการจูริสต้องสร้างกำแพงชั้นแล้วชั้นเล่าครอบคลุมพื้นที่มากขึ้น ๆ จนในที่สุดอัตราการเติบโตของเมืองก็เริ่มอิ่มตัวในศักราชที่ 94 หลังจากสร้างกำแพงเมืองชั้นที่ห้าไปได้สองปี

เพราะเมืองในอาณาจักรอื่น ๆ เริ่มมีความเจริญมากขึ้น ทำให้มีคนอพยพมายังเมืองจูริสน้อยลง บวกกับชาวจูริสบางส่วนก็เริ่มย้ายถิ่นฐานไปตั้งรกรากในดินแดนอื่น ๆ ด้วย ทำให้อัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรที่พุ่งสูงอย่างต่อเนื่องมาหลายสิบปีเกิดการชะลอตัว แต่หลังจากหยุดการขยายตัวในแนวราบแล้ว เมืองจูริสที่ไม่ต้องทุ่มงบประมานไปกับการสร้างกำแพงเมืองอีกก็หันมาพัฒนาด้านเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชนแทน และด้วยความที่มีประชากรจำนวนมากเป็นต้นทุนอยู่แล้ว ทำให้การพัฒนาในด้านต่าง ๆ เป็นไปอย่างรวดเร็ว

ในศักราชที่ 117 หลังจากสร้างเครือข่ายเรือเหาะเพื่อทำการเชื่อมต่อเส้นทางคมนาคมทางอากาศกับอีกสองทวีปเป็นผลสำเร็จ เมืองจูริสก็ได้ขึ้นเป็นเมืองศูนย์กลางของโลกอย่างแท้จริง โอเบรอน เวเลอร์ ผู้ปกครองสูงสุดของจูริสในขณะนั้นจึงสถาปนาราชวงศ์จูริสขึ้น และตั้งตนเองเป็นจักรพรรดิ์โอเบรอนที่หนึ่ง พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อเมืองหลวงของอาณาจักรจากจูริสเป็นจูริสไพร์มด้วย

ด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนาน และพัฒนาการที่ก้าวล้ำอาณาจักรอื่น ๆ ทำให้จูริสไพร์มกลายเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดและเจริญก้าวหน้าที่สุด ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน

 

ภายในกำแพงเมืองชั้นในสุดของจูริสไพร์ม ปัจจุบันนี้บ้านเรือนผู้คนและสิ่งก่อสร้างของเอกชนทั้งหมดแทบไม่หลงเหลืออยู่แล้ว นอกเหนือจากปราสาทจูริสที่อยู่ตรงใจกลางของเมืองชั้นใน อาคารโดยรอบต่างก็เป็นส่วนราชการหรือสิ่งก่อสร้างของรัฐด้วยกันทั้งสิ้น

ทางทิศเหนือของปราสาทจูริส บริเวณเกือบสุดริมกำแพง มีอาคารสูงกลุ่มหนึ่งตั้งเรียงรายอยู่

มันประกอบด้วยอาคารสีขาวทั้งหมดเจ็ดหลังด้วยกัน หกหลังที่อยู่รอบนอกมีความสูงสิบชั้น ในขณะที่อาคารหลังใหญ่ที่สุดที่อยู่ตรงกลางมีความสูงกว่ายี่สิบชั้น แถมยังมีความกว้างกว่าอาคารโดยรอบเกือบสามเท่า ทำให้มองไกล ๆ แล้วอาคารกลุ่มนี้ดูเหมือนกับเป็นอนุสาวรีย์หรือแท่นบูชาอะไรสักอย่างที่มีสีขาวปลอด

อาคารเหล่านั้นคือที่ทำการสำนักงานของพีชคีปเปอร์ โดยตึกใหญ่ตรงกลางเป็นสำนักงานใหญ่ ส่วนตึกอีกหกหลังที่อยู่โดยรอบเป็นสำนักงานของหน่วยงานต่าง ๆ ภายในพีชคีปเปอร์ ซึ่งมีบทบาทและหน้าที่ในการทำงานแตกต่างกันออกไป แต่ยังมีหน่วยงานพิเศษอีกหน่วยงานหนึ่งที่ไม่ได้มีสำนักงานอยู่ในตึกเหล่านี้ด้วย

ที่ชั้นใต้ดินของอาคารกลางลึกลงไปห้าชั้น เป็นที่ตั้งของหน่วยข่าวกรองแห่งพีชคีปเปอร์ มีชื่อหน่วยงานอย่างเป็นทางการว่า ‘ดวงตาแห่งความยุติธรรม’ (Eyes of Justice) ที่นี่จะมีการประชุมปรับปรุงข่าวสารจากทั่วทุกทวีปในทุก ๆ วัน

หน่วยข่าวกรองของพีชคีปเปอร์ในแต่ละพื้นที่จะส่งตัวแทนมาประประชุมด้วยระบบสื่อสารผ่านทางไกลเพื่อแจ้งความเคลื่อนไหวที่น่าจับตามองในแต่ละเขต และให้ทางเจ้าหน้าที่ส่วนกลางทำการพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไปกับความเคลื่อนไหวนั้น ๆ นี่เป็นหนึ่งในกระบวนการป้องปรามภัยคุกคามต่อโลกที่พีชคีปเปอร์ทำมากว่าร้อยปีแล้ว

ด้วยความสามารถในการรวบรวมข้อมูลข่าวสารของหน่วยข่าวกรอง ทำให้องค์กรสามารถรับรู้ถึงความเคลื่อนไหวที่น่าจะเป็นภัยและส่งคนไปยับยั้งได้ก่อนที่ปัญหาจะลุกลามบานปลาย เป็นการป้องกันเชิงรุกอย่างหนึ่ง

ในเช้าวันนี้ก็ยังคงมีการประชุมข่าวสารตามปกติเช่นเคย

ภายในห้องประชุม มีชายสูงอายุห้าคนนั่งอยู่รอบโต๊ะรูปครึ่งวงกลมขนาดใหญ่ ซึ่งหันหน้าเข้าหากำแพงทรงโค้งที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

ผู้ที่นั่งอยู่ตรงกลางก็คือ เซดดริก เดรค ผู้บัญชาการสูงสุดของหน่วยข่าวกรองแห่งพีชคีปเปอร์ เขาเป็นชายวัยกลางคนที่มีแววตาอันดุดัน มีร่องรอยของแผลเป็นปรากฏให้เห็นอยู่ทั่วไปตามบริเวณใบหน้าสื่อให้เห็นว่าเป็นผู้ที่เคยผ่านประสบการณ์การต่อสู้มาอย่างโชกโชน ส่วนผู้ที่นั่งอยู่ทั้งสองฟากของเซดดริกคือคณะกรรมการของหน่วยข่าวกรองซึ่งมาเข้าร่วมประชุมด้วย

เมื่อได้เวลาการประชุม ผนังทรงโค้งที่อยู่อีกฟากหนึ่งของห้องก็เริ่มปรากฏจอภาพจำนวนมากขึ้นมา ในแต่ละจอก็แสดงภาพของผู้คนทั้งชายและหญิงในชุดอันมิดชิดคล้ายกับชุดนักผจญภัย แต่มีดีไซน์ที่แตกต่างกันออกไป

มันคือภาพที่ส่งมาจากหน่วยข่าวกรองของพีชคีปเปอร์จากทั่วทุกมุมโลก คนเหล่านี้คือตัวแทนหน่วยข่าวกรองในแต่ละเขต ซึ่งใช้ระบบสื่อสารผ่านทางไกลส่งภาพของตัวเองมายังหน้าจอในห้องประชุมเพื่อทำการรายงานข่าวสาร

“ทุกคนมากันครบแล้วนะ งั้นก็… เริ่มจากโครซิสก็แล้วกัน”

เซดดริกกล่าวเริ่มการประชุม จากนั้นตัวแทนของสาขาที่ที่ถูกเรียกก็ทำการรายงานข่าวสารในพื้นที่ของตัวเอง เมื่อเสร็จสิ้นแล้วก็ส่งต่อการรายงานไปยังตัวแทนของสาขาอื่น ๆ ตามลำดับ

เพราะปัจจุบันนี้สถานการณ์ของโลกค่อนข้างสงบ เนื่องจากทางพีชคีปเปอร์มีการดำเนินการยับยั้งและป้องปรามเหตุการณ์ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องและเด็ดขาด ข่าวสารส่วนใหญ่จึงมักจะเป็นความเคลื่อนไหวเล็ก ๆ หรือรายงานสถานการณ์ตามปกติมากกว่าจะมีประเด็นปัญหาจริง ๆ

แม้ชายแก่หลายคนในกลุ่มจะแสดงท่าทีเบื่อหน่ายหรือไม่ค่อยใส่ใจกับข้อมูลที่เหมือนการรายงานข่าวประจำวันเหล่านั้น แต่เซดดริกก็ฟังการรายงานข่าวสารที่เหล่าตัวแทนรายงานมาอย่างตั้งใจจนถึงคนสุดท้ายโดยไม่มีท่าทีวอกแวกแม้แต่น้อย

“อืม… ถ้างั้นวันนี้ก็…”

“ขอโทษนะครับ คุณเซดดริก มีข้อมูลที่เพิ่งอัพเดทเข้ามาครับ”

ตัวแทนคนหนึ่งซึ่งสวมชุดเกราะหนังและผ้าขนสัตว์ราวกับเป็นชุดกันหนาวเอ่ยขึ้นในระหว่างที่เซดดริกกำลังจะปิดการประชุม ทำให้เขาต้องสอบถามข้อมูลต่อ

“หืม? จากเซนิธาลงั้นเหรอ? ไหนว่ามาซิ”

“สายของเราในอคาทอชรายงานมาว่าเมื่อวานนี้ ‘เออเธมีล’ แห่งอคาทอช ได้แตกหักกับเผ่ามังกร และหลบหนีออกจากอคาทอชไปแล้วครับ”

“เออเธมีล… อ๋อ ผู้หญิงเผ่ามังกรคนนั้นน่ะเหรอ… ฉันยังเคยคิดอยู่เหมือนกันว่าเธอจะทนการกดขี่นั่นไปได้นานแค่ไหน… ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงสินะ…”

เซดดริกเอนตัวพิงเก้าอี้พลางเอามือลูบเคราเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ในขณะที่ชายแก่คนอื่น ๆ ก็เริ่มสนทนากันในเรื่องนี้

“เออเธมีลนั่นคือผู้หญิงที่ทำให้เกิดผู้สร้างหายนะคนที่สามใช่มั้ย? ยังไม่ตายอีกงั้นเหรอ?”

หนึ่งในคณะกรรมการพูดขึ้นมาด้วยท่าทางประหลาดใจ ทำให้เซดดริกอดหงุดหงิดไม่ได้

‘ก็ยังไม่ตายน่ะสิเจ้าโง่… จำไม่ได้หรือไม่เคยอ่านรายงานกันแน่?’

“แบบนี้จะเป็นปัญหารึเปล่า? ยังไงก็เป็นคนที่ทำให้เกิดผู้สร้างหายนะเชียวนะ อาจไปเข้ากับพวกปิศาจ หรือทำให้เกิดผู้สร้างหายนะคนใหม่ก็ได้”

คณะกรรมการอีกคนพูดแทรกขึ้นมาเหมือนพยายามจะโชว์ภูมิหรือแสดงตัวว่ามีส่วนร่วมในการทำงาน แต่นั่นยิ่งทำให้เซดดริกหงุดหงิดขึ้นไปอีก

‘ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ทำผิดอะไรเลย… เรื่องแค่นี้ก็ยังไม่รู้… ใครรับมันเข้ามาทำงานเนี่ย?’

“ไม่ได้การแล้ว! เราต้องรีบส่งผู้สร้างสันติภาพไปอคาทอช! ไปจับตัวเออเธมีลมาทันที!”

คณะกรรมการคนที่สามรีบเสนอความคิดออกมา แต่แค่ฟังดูก็รู้ว่าเป็นการตามน้ำแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้อะไรเลย

‘ก็เขาเพิ่งบอกว่าหนีออกไปจากอคาทอชแล้ว.. จะส่งคนไปที่นั่นหาพระแสงอะไรเล่า…’

เซดดริกรู้สึกหงุดหงิดกับความไม่ได้เรื่องของเหล่าคณะกรรมการจนพูดไม่ออก

ความจริงแล้วคนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นเด็กเส้นที่สายบังคับบัญชาเบื้องบนหรือผู้ทรงอิทธิพลในอาณาจักรต่าง ๆ ดันเข้ามาอยู่ในหน่วยข่าวกรองเพื่อควบคุมข่าวสารและปกป้องผลประโยชน์ของตนเองเป็นหลัก จึงไม่ใช่ผู้ที่มีความรู้ความสามารถในการทำงานสักเท่าไหร่

“อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจอะไรไป… พอจะมีรายละเอียดของเหตุการณ์นี้เพิ่มเติมอีกรึเปล่า? ลองว่ามาซิ”

เซดดริกพยายามสงบอารมณ์และบอกให้คณะกรรมการหยุดเสนอความเห็นโดยพลการเพื่อที่เขาจะได้สอบถามข้อมูลจากตัวแทนของสาขาในอคาทอชต่อ

“เพราะเรื่องเกิดขึ้นในตัวเมืองอคาทอชส่วนบน  ทำให้เราไม่รู้เหตุการณ์ชัดเจนนัก แต่จากการให้สายของเราที่เป็นเผ่ามังกรไปถามพวกเผ่ามังกรด้วยกันแล้ว รู้สึกว่าเรื่องจะเริ่มจากการที่มีผู้บุกรุกครับ”

“ผู้บุกรุกงั้นเหรอ? เมืองอคาทอชส่วนบนเนี่ยนะ?”

“ครับ พวกเขาบอกว่า เออเธมีล ใช้ให้มนุษย์เข้าไปขโมยดวงตาของเธอออกมาแต่ถูกจับได้ซะก่อน เธอก็เลยรีบพามนุษย์ทั้งสองคนนั้นหลบหนีไป”

“ฟังดูแปลก ๆ นะ… เหมือนยังขาดอะไรไปบางอย่าง… พวกเผ่ามังกรน่ะเหรอจะยอมให้เธอหนีไปง่าย ๆ โดยเฉพาะมีมนุษย์อยู่ด้วยน่ะ”

“ครับ พวกเผ่ามังกรเล่าแค่ว่าเธอพามนุษย์หนีไป แต่จากที่คนของเราสืบมา ความจริงแล้วเธอเอาชนะเผ่ามังกรเกือบสองร้อยคนที่อยู่ที่นั่นได้อย่างราบคาบ แล้วก็พามนุษย์ทั้งสองคนหนีไปได้อย่างลอยนวล”

“หืม!? ใช้กำลังฝ่าออกไปได้งั้นเหรอ? เพียงคนเดียวเนี่ยนะ?”

“ใช่ครับ”

เหล่าคณะกรรมการที่ได้ยินเรื่องนี้ต่างก็มีสีหน้าตกตะลึงไม่แพ้กัน จนคนหนึ่งถึงกับถามแทรกขึ้นมา

“เอ๋? พวกเผ่ามังกรน่ะมีพลังเทียบเท่ากับมอนสเตอร์ระดับ A เลยไม่ใช่เหรอ? บางตัวก็ถึงระดับ S ด้วย แล้วจำนวนขนาดนั้นทำไมถึงแพ้ได้ล่ะ?”

“ระดับน่ะมันไม่ได้บอกถึงฝีมือที่แท้จริงหรอกนะ เป็นแค่ของที่ใช้จัดหมวดหมู่คร่าว ๆ เท่านั้น เอามาวัดอะไรไม่ได้หรอก”

เซดดริกยิ่งรู้สึกหงุดหงิดที่ต้องทำงานไปอธิบายเรื่องต่าง ๆ ให้พวกคณะกรรมการฟังไปด้วย แต่ก็ยังสงบอารมณ์ไว้และพุ่งสมาธิไปที่การประชุม

“ว่าแต่.. พอจะรู้รายละเอียดของมนุษย์สองคนที่พัวพันกับเหตุการณ์นั้นมั้ย?”

“เรารู้แค่ว่าคนนึงมีรูปร่างเล็กเหมือนกับเด็ก ส่วนอีกคนเป็นนักเวทที่สวมชุดเกราะแปลกประหลาด มีหน้ากากเป็นหัวกะโหลกครับ”

“นักเวทหัวกะโหลกงั้นเหรอ!?”

เซดดริกอุทานออกมาด้วยความแปลกใจและสีหน้าเคร่งเครียด ในขณะที่เหล่าคณะกรรมการกลับมองหน้ากันไปมาด้วยความงุนงงก่อนจะพูดในสิ่งที่กลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายสำหรับเซดดริก

“หืม? นักเวทหัวกะโหลกคือใครเหรอ?”

ปึง!

ในที่สุดเซดดริกก็หมดความอดทนและทุบมือลงบนโต๊ะจนเกิดเสียงดังสนั่น

คณะกรรมการทั้งสี่คนที่รายล้อมอยู่ถึงกับสะดุ้ง แม้แต่เหล่าตัวแทนหน่วยข่าวกรองที่อยู่ในหน้าจอสื่อสารก็ออกอาการตกตะลึงด้วยกันทั้งสิ้น

“พวกแกสี่คน… ออกไปซะ…”

“…เอ๋? วะ.. ว่าไงนะครับ คุณเซดดริก?”

คณะกรรมการคนหนึ่งหันมาถามย้ำทั้งที่มีอาการเหงื่อแตก เพราะไม่แน่ใจในสิ่งที่เซดดริกพูด

“ก็บอกให้ไสหัวไปไงล่ะโว้ยยย!! ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องรึไง!?”

โครม!

เซดดริกออกแรงกดมือข้างที่ทุบโต๊ะนั้นอยู่จนทำให้โต๊ะหักกลางเป็นสองเสี่ยง แถมยังถลึงตามองเหล่าคณะกรรมการด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยจิตสังหาร

เหล่าคณะกรรมการที่ได้เห็นแววตานั้นก็ถึงกับสะดุ้งเฮือก และรีบพากันลุกออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว

“เฮ้อ… ให้ตายสิ… หมอบอกว่าเป็นโรคความดัน เมียก็เลยสั่งให้เลิกทำงานภาคสนามแล้วมาทำงานนั่งโต๊ะแทน จะได้ไม่เครียด แต่พอเข้ามาทำงานในสำนักงานใหญ่ก็ดันเจอแต่พวกงี่เง่าจนความดันขึ้นหนักกว่าสมัยออกภาคสนามซะอีก…”

เซดดริกหยิบกระปุกยาลดความดันออกมาเทใส่มือ ก่อนจะกรอกยาหลายเม็ดเข้าปากแล้วกลืนลงคอไปทั้งอย่างนั้น

“ฮ่ะ ๆ ๆ คุณเซดดริกเนี่ยใจร้อนไม่เปลี่ยนเลยนะครับ”

ชายหนุ่มในหน้าจอบานหนึ่งพูดแซวเซดดริกอย่างเป็นกันเอง ส่วนคนที่อยู่ในหน้าจออื่น ๆ ก็หัวเราะคิกคักและมีท่าทีผ่อนคลายมากขึ้นด้วย เพราะพวกเขาเกือบทั้งหมดนี้ต่างก็เคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเซดดริกสมัยยังทำงานภาคสนามทั้งสิ้น

“เอาล่ะ กลับมาเข้าเรื่องกันต่อ ที่บอกว่าเป็นนักเวทที่สวมหน้ากากหัวกะโหลกนั่น ได้ลองเปรียบเทียบรูปพรรณดูรึยัง?”

“ทางนี้เองก็ยังไม่สามารถยืนยันรูปพรรณที่แน่ชัดได้ครับ เพราะแค่ฟังคำบอกเล่ามาเท่านั้น แต่จากที่ฟังมาคร่าว ๆ แล้วโอกาสที่จะเป็นนักเวทหัวกะโหลกก็ค่อนข้างสูงทีเดียว โดยเฉพาะคนที่อยู่กับเขาน่ะ…”

“อืม… ทั้งหน้ากากหัวกะโหลก ทั้งเรื่องที่มีเด็กอยู่ด้วย จะบอกว่าบังเอิญก็คงจะเกินไปหน่อย… นั่นต้องเป็นนักเวทหัวกะโหลกและซาลารัส แฮลเซียน ที่แกริสกำลังตามหาอยู่แน่ ๆ … พอจะมีเบาะแสให้แกะรอยได้บ้างรึเปล่า?”

“ไม่มีเลยครับ เพราะว่าทั้งสองคนถูกเออเธมีลพาบินออกไป ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบเส้นทางที่ใช้หลบหนีได้เลย”

“การที่ทั้งสองคนปรากฏตัวในวันที่เออเธมีลหลบหนีพอดีคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ เป็นไปได้สูงว่าทั้งคู่น่าจะยังอยู่กับเออเธมีล เพราะงั้นให้หาตัวจากเออเธมีลน่าจะง่ายกว่า”

“จะให้ส่งผู้สร้างสันติภาพไปเลยมั้ยครับ?”

“ไม่… ยังก่อน… ถ้าที่ได้ยินมาจากแกริสเป็นเรื่องจริงละก็ นักเวทหัวกระโหลกนั่นน่าจะเป็นตัวอันตรายระดับพระกาฬทีเดียว ส่วนเออเธมีลที่ฝ่าวงล้อมของเผ่ามังกรนับร้อยออกมาได้ก็อันตรายไม่แพ้กัน งานนี้ถ้าจะทำจริงๆคงต้องใช้ผู้สร้างสันติภาพระดับ SS สักกลุ่ม หรือไม่ก็จัดเรด (Raid) กันเลยล่ะ”

เรด (Raid) คือการจัดปาร์ตี้ขนาดใหญ่ซึ่งใช้คน 20-40 คนขึ้นไป ในการเผชิญหน้ากับการต่อสู้อันยากลำบากหรือศัตรูที่อันตรายมาก ๆ มักใช้ในการเคลียร์เรล์ม (Realm) หรือกวาดล้างพวกองค์กรใต้ดิน

“ถ้างั้น?”

“ยังไงตอนนี้ก็ต้องระบุตำแหน่งของพวกนั้นให้ได้ก่อน ส่งหน่วยสอดแนมออกไปหาที่อยู่ที่ชัดเจนซะ ส่วนทางนี้จะประสานงานให้จัดเตรียมคนรอเอาไว้ ถ้าได้ตำแหน่งเมื่อไหร่จะได้ส่งคนไปสมทบได้ทันที”

“เข้าใจแล้วครับ ถ้างั้น ผมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้เลย”

“อืม ฝากด้วยนะ”

หลังจากตกลงแผนการกันเรียบร้อยแล้ว เซดดริกก็สั่งปิดการประชุม

เมื่อการประชุมเสร็จสิ้น หน้าจอที่ฉายภาพตัวแทนจากพื้นที่ต่าง ๆ ก็ค่อย ๆ ดับลง จนเหลือเพียงเซดดริกนั่งอยู่ในห้องอันว่างเปล่าตามลำพัง

เขาหมุนแหวนสื่อสารสีดำบนนิ้วของเขาเพื่อเปิดการสื่อสารกับหน่วยประสานงานของส่วนกลาง ครู่หนึ่งก็มีเสียงตอบรับดังออกมาจากแหวน

“ครับ? มีคำสั่งอะไรเหรอครับ ท่าน ผบ.”

“ส่งรายชื่อผู้สร้างสันติภาพทั้งหมดที่พร้อมปฏิบัติหน้าที่มาที่ห้องของฉัน และเตรียมวงเวทเคลื่อนย้ายสำหรับไปเซนิธาลให้พร้อมทุกช่องทาง ยกระดับภารกิจในเซนิธาลให้เป็นภารกิจระดับ ‘คาทาสโทรฟี’ แต่ยังไม่ต้องประกาศออกไป แล้วก็ส่งคำสั่งลับบอกให้นักผจญภัยระดับสูงทุกคนในเซนิธาลเตรียมพร้อมสำหรับการ ‘เรด’ ด้วย”

“รับทราบครับ”

 

———————————————————————————————————-

 

Part 2

 

บนถนนสายหลักซึ่งตัดผ่านทุ่งหญ้าแห้งแล้งอันกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาของเซนิธาล มีรถม้าสีดำทะมึนคันหนึ่งกำลังแล่นอยู่ ซึ่งผู้โดยสารข้างในก็คือคณะเดินทางของซาลนั่นเอง

แซนโดรกับซาลนั่งบนเบาะฟากคนขับ ในขณะที่นิโคลนั่งอยู่บนเบาะฝั่งท้ายรถ

“ออ… ที่ว่าจะเป็นผู้สร้างหายนะ ก็คือแบบนี้เองสินะคะ…”

ทั้งสองคนเล่าเหตุผลและแผนการในการจะเป็นผู้สร้างหายนะให้นิโคลฟังอย่างละเอียด แม้เธอจะดูตกใจในทีแรก แต่เมื่อฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้วนิโคลก็มีท่าทีที่ผ่อนคลายลง

“ทีแรกที่บอกว่าจะเป็นผู้สร้างหายนะน่ะ ฉันตกใจแทบแย่เลยค่ะ สรุปว่าพวกคุณแค่จะตบตาพวกปิศาจสินะคะ”

“…ทางทฤษฎีแล้วมันก็เป็นอย่างนั้นน่ะนะ…”

แซนโดรตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ในขณะที่ซาลแอบคิดในใจว่า ‘ทางทฤษฎีเหรอ?’

“ฉันเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องของโลกภายนอกในช่วงหนึ่งร้อยปีมานี้สักเท่าไหร่ ดังนั้นคงจะออกความเห็นอะไรมากไม่ได้ แต่ก็มีเรื่องที่อยากจะถามให้แน่ใจอยู่สักข้อสองข้อน่ะค่ะ”

“…อืม …ว่ามาสิ…”

“คุณแน่ใจนะคะว่าจะไม่ถูกพวกปิศาจครอบงำเอาจริง ๆ ? คาน่อน… ผู้สร้างหายนะคนที่สามก็หลงกลพวกนั้นมาแล้ว พวกปิศาจน่ะมีเล่ห์เหลี่ยมและวิธีการที่จะหลอกใช้ผู้คนมากมาย การคิดร่วมมือกับพวกนั้นจะไม่อันตรายเกินไปเหรอคะ?”

“…ในบันทึกของโลกเก่าเคยมีนักรบคนนึงกล่าวไว้ว่า ‘ท่าไม้ตายเดิมน่ะใช้กับเซนต์ไม่ได้ผลเป็นครั้งที่สองหรอก’ …หมายถึงวิธีการเดิมๆน่ะย่อมจะถูกฝ่ายตรงข้ามรู้ทางได้ …ตอนนี้เราก็รู้เล่ห์เหลี่ยมของพวกปิศาจแล้ว ถ้าระวังเอาไว้ก็ไม่มีปัญหา…”

“เอ๋ เรื่องนั้นเหมือนชั้นจะเคยได้ยินมาก่อนนะคะ ใช่เรื่องของเหล่านักสู้ที่ได้พลังจากชุดเกราะจนเลื่อนคลาสเป็นเซนต์มาต่อสู้กัน แต่พอถอดเกราะออกดันเก่งกว่าตอนใส่เกราะรึเปล่าคะ?”

“…ใช่ …เรื่องนั้นนั่นแหละ…”

“เห็นว่ามีบางคนทิ่มตาตัวเองให้บอดแล้วก็จะเก่งขึ้นด้วยนะคะ แล้วเหล่าเซนต์เกราะทองแดงในเรื่องก็เอาชนะเซนต์เกราะทองได้ด้วยล่ะ ทั้งที่ระดับห่างกันตั้งสองคลาสแน่ะ”

“…มันเป็นเรื่องราวที่พยายามสื่อถึงความสำคัญของพลังใจไงล่ะ …ขอแค่มีพลังใจอันแก่กล้า ก็สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดในเรื่องฝีมือและระดับชั้นไปได้…”

“ว่าแต่ความจริงแล้วเซนต์ในเรื่องก็มีท่าไม้ตายแค่ท่าเดียวกันเกือบทุกคนเลยนะคะ แล้วก็ตะบี้ตะบันใช้มันไปจนเอาชนะอีกฝ่ายได้ เพราะงั้นคำพูดที่ว่า ‘ท่าไม้ตายเดิมน่ะใช้กับเซนต์ไม่ได้ผลเป็นครั้งที่สองหรอก’ มันก็ไม่จริงน่ะสิคะ?”

“…อย่างที่บอกว่ามันเป็นเรื่องราวที่พยายามสื่อถึงความสำคัญของพลังใจ …ขอแค่มีพลังใจก็สามารถก้าวข้ามตรรกะและเหตุผลทุกอย่างได้ …แม้แต่คำพูดประโยคนั้นก็ตาม…”

“เอ่อ…”

ซาลไม่เข้าใจเรื่องที่ทั้งสองคนคุยกันเลยแม้แต่นิดเดียวจึงเอ่ยขัดจังหวะด้วยสีหน้างุนงง ทำให้แซนโดรนึกได้ว่าควรจะกลับเข้าเรื่องซะที

“…ยังไงก็ตาม …ฉันน่ะเป็นผู้เชี่ยวชาญศาสตร์มืดทุกแขนง …ไม่ว่าจะเป็นมนต์ลวงจิต หรืออาติแฟคต้องสาป …ขอแค่ได้เห็นหรือได้สัมผัสก็จะรู้ทันที …เพราะงั้นไม่ต้องห่วงเรื่องที่จะถูกหลอกด้วยของแบบนั้นหรอก…”

“อืม… ถ้าคุณพูดแบบนั้น ฉันก็วางใจค่ะ… ส่วนเรื่องที่สองก็… ที่ว่าจะโค่นพีชคีปเปอร์ลงน่ะ หมายถึงโค่นในลักษณะไหนเหรอคะ? ต้องต่อสู้กันถึงตายรึเปล่า? ได้ยินมาว่านั่นเป็นองค์กรขนาดใหญ่ที่มีสมาชิกเป็นจำนวนมากทีเดียว แบบนี้มิต้องฆ่าคนมากมายเลยเหรอคะ?”

“…เรื่องการต่อสู้กับพีชคีปเปอร์น่ะคงต้องเกิดขึ้นในวันใดวันหนึ่ง แต่คงไม่ใช่เร็ว ๆ นี้หรอกนะ …นอกจากนี้ฉันก็ไม่คิดจะเผชิญหน้ากับพวกนั้นตรง ๆ ด้วย …ตอนนี้คงจะเล่าแผนการโดยละเอียดไม่ได้ แต่หลัก ๆ แล้วฉันคิดจะใช้คนในองค์กรนั่นแหละในการทำลายตัวองค์กรเอง…”

“ใช้คนในองค์กรทำลายองค์กรตัวเองเหรอคะ?”

“…อืม …ถึงแม้ว่าตัวองค์กรระดับบนและผู้บริหารหลาย ๆ ส่วนจะเป็นพวกที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน และชักนำองค์กรไปในทางที่ผิด …แต่โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ที่ร่วมงานกับพีชคีปเปอร์ก็เข้าร่วมและทำงานโดยมีเจตนารมณ์อันบริสุทธิ์ …ฉันคิดว่าหลาย ๆ คนในองค์กรก็ต้องรู้สึกถึงความเบี่ยงเบนที่เกิดขึ้นกับตัวองค์กรเหมือนกัน …แค่ไม่รู้ว่าจะทำยังไง หรือมันอาจยังไม่ถึงจุดที่ทนไม่ได้ …ที่เราต้องทำก็คือดึงข้อเสียขององค์กรออกมาให้เด่นชัด ให้พวกนั้นรู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่าง …เมื่อจุดชนวนนี้ได้แล้ว พวกที่หวงผลประโยชน์ หวงอำนาจ ก็จะเริ่มเคลื่อนไหวเพื่อจัดการกับผู้ที่ต่อต้าน …แล้วแผนของเราก็จะเริ่มจากตรงนั้น…”

“เอ๋ เพิ่งจะเริ่มจากตรงนั้นเหรอคะ?”

“…อืม เราจะเริ่มเคลื่อนไหวจริง ๆ หลังจากเกิดสงครามภายในขึ้นในองค์กร …ดังนั้นฉันจึงไม่มีความคิดที่จะฆ่าคนในองค์กรถ้าไม่จำเป็น …คนเหล่านี้ถือว่าเป็น… ‘ปัจจัย’ ที่มีส่วนกับแผนการในระยะต่อไปทั้งนั้น …จึงจำเป็นต้องเก็บพวกนั้นเอาไว้ก่อน …แล้วเราก็จะสามารถหลีกเลี่ยงบทตัวร้าย และผลักบทนี้ไปให้กับพวกผู้บริหารระดับสูงของพีชคีปเปอร์รับแทนได้ด้วย…”

ซาลคิดว่าแซนโดรคงอยากจะใช้คำว่า ‘ตัวหมาก’ มากกว่า ‘ปัจจัย’ แต่ก็เลี่ยงคำพูดไปเพื่อให้ฟังดูชั่วร้ายน้อยลง ช่างมีวาทศิลป์จริง ๆ

“อืม… ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่โดยสรุปก็คือจะพยายามหลีกเลี่ยงการฆ่าคนสินะคะ”

“…ฉันไม่รับประกันว่าจะหลีกเลี่ยงเรื่องนั้นได้ 100% หรอกนะ …บอกได้แค่ว่ามันไม่ได้อยู่ในแผน …อย่างน้อยก็ในตอนนี้…”

“…เข้าใจแล้วค่ะ”

แม้จะรู้สึกลังเลนิดหน่อยกับคำตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้ของแซนโดร แต่นิโคลก็พอจะเข้าใจว่าการทำเรื่องแบบนี้แบบไม่ให้มีความสูญเสียเลยคงจะเป็นไปไม่ได้ จึงรับคำโดยตั้งใจว่าจะพิจารณาเรื่องราวในอนาคตเป็นกรณี ๆ ไป

“…สรุปว่าเธอไม่มีปัญหากับการเข้าร่วมการเดินทางเพื่อปั้นผู้สร้างหายนะครั้งนี้สินะ…”

“ค่ะ ฉันอยากจะตอบแทนซาลารัสด้วยการทำให้ความฝันเรื่องครอบครัวของเขาเป็นจริงบ้าง… แล้วก็มีเหตุผลส่วนตัวอีกข้อนึงด้วย…”

“…เหตุผลอีกข้อนึงเหรอ?…”

“การปล่อยตัวผู้สร้างหายนะออกจากนรกเป็นเรื่องที่ทำได้จริง ๆ เหรอคะ?”

“…อาจไม่ใช่เรื่องที่ทำได้แน่ ๆ หรือเป็นเรื่องง่าย …แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้…”

“ถ้างั้นฉัน… อยากให้เพิ่มคนที่จะปล่อยตัวออกมาอีกหนึ่งคนจะได้มั้ยคะ?”

“…หมายถึงคาน่อนสินะ…”

“ค่ะ ถึงจะตอบรับความรู้สึกของเขาไม่ได้ แต่ฉันก็อยากให้เขาได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ มากกว่าที่จะถูกจองจำอยู่ในนั้นน่ะค่ะ”

“…คงพูดได้แค่ว่าจะลองดู …แต่คงรับปากอะไรไม่ได้หรอกนะ…”

“แค่นั้นก็พอแล้วค่ะ!”

นิโคลยิ้มด้วยความดีใจ ส่วนซาลก็โล่งใจที่เธอยอมเดินทางไปด้วย เขาแอบกังวลอยู่เหมือนกันว่านิโคลอาจไม่อยากมีส่วนร่วมกับเรื่องของผู้สร้างหายนะอีกและขอแยกตัวไป

“แหะ ๆ ๆ”

“หืม? มีอะไรเหรอพี่สาว?”

ซาลที่เห็นนิโคลหัวเราะแห้ง ๆ อย่างผิดวิสัยจึงเอ่ยถามขึ้น

“คือว่า… ทั้งทำเป็นคนทำให้เกิดผู้สร้างหายนะคนที่สาม แล้วยังมีส่วนในการสร้างผู้สร้างหายนะคนที่ห้าอีก แบบนี้ชื่อเสียงของฉันคงจะกู่ไม่กลับแล้วล่ะนะคะ หุ ๆ ๆ…”

นิโคลพูดแบบกึ่งจริงกึ่งเล่นพลางหัวเราะกลบเกลื่อนไปด้วย ดูเหมือนเธอจะพูดขำ ๆ ซะมากกว่า

“…บางที …มันอาจไม่ใช่เรื่องแย่นักนะ…”

“เอ๋? ยังไงเหรอคะ?”

“…เธออาจใช้เรื่องนี้ พลิกวิกฤติเป็นโอกาสได้ …เช่นว่า เปิดบริษัท ‘ดูมบริงเกอร์พับลิชชิ่ง’ (Doombrinnger Publishing) …รับจ้างปั้นคนเป็นไอดอล เอ๊ย ผู้สร้างหายนะ …ด้วยผลงานที่ผ่าน ๆ มา รับรองว่าต้องมีคนให้ความสนใจกันอย่างมากแน่นอน…”

“เอ่อ… จะดีเหรอคะ?…”

ปกติแล้วซาลจะเป็นคนที่โดนแซนโดรหยอกล้อแบบนี้อยู่เสมอ แต่คราวนี้เป้าหมายของแซนโดรเปลี่ยนเป็นนิโคล แทนที่เขาจะรู้สึกหงุดหงิด กลับกลายเป็นรู้สึกว่าน่าสนุก เลยเข้ามาผสมโรงด้วย

“โอ้~ แจ๋วเลย แบบนี้ก็อาจได้ฉายาเท่ ๆ ด้วยนะ เช่นว่าเป็น ‘ผู้สร้างผู้สร้างหายนะ’ (Doombringer Bringer)”

“…เซนส์ด้านการคิดชื่อของเธอมันมีปัญหานะ…”

“เอ๋~ ก็เท่ดีออกไม่ใช่เหรอ ดูมบริงเก้อบริงเก้อ เลยนะ!”

“…ถึงไม่นับเรื่องรสนิยมห่วย ๆ มันก็ยังยาวไปอยู่ดี…”

“พูดถึงเรื่องความยาวแล้ว ชื่อนิโคลก็ยาวไปนะ”

“เอ๋? แต่นี่ก็สองพยางค์แล้วนะคะ”

“…อืม …ถ้าลดเหลือแค่ ‘นิโกะ’ ล่ะ?…”

“ครึ่งคำก็เอาเหรอคะ…”

“งั้นก็เป็น ‘นิโกะนิโกะ’!”

“ไหนว่าจะทำให้มันสั้นลงไงคะ…”

“…งั้น ‘นิโกะนิโกะนิ’…”

“ทำไมมันถึงยาวออกไปเรื่อยๆล่ะคะ!?”

ไป ๆ มา ๆ บทสนทนาก็ออกทะเลไปเรื่อย ๆ ซาลกับแซนโดรเข้าขากันมากในการหยอกล้อนิโคล คงเพราะท่าทางซื่อ ๆ และนิสัยอันเรียบง่ายของเธอทำให้ทั้งคู่รู้สึกอยากแกล้งเป็นพิเศษ

ระหว่างที่คุยกันอยู่นั้นเองแซนโดรก็รู้สึกถึงแรงสั่นจากแหวนในช่องมิติเก็บของ เธอจึงหยิบมันออกมาดู

แหวนวงนั้นเป็นแหวนเงินวาววับซึ่งกำลังส่องแสงสีฟ้าอ่อน ๆ เรืองรองออกมา

“หืม? มีอะไรเหรอแซนโดร?”

“…นี่เป็นแหวนสำหรับติดต่อกับทางสมาคมนักผจญภัยน่ะ …เป็นช่องทางสื่อสารพิเศษสำหรับนักผจญภัยระดับสูง …ที่สมาคมคงจะมีเรื่องด่วนอะไรสักอย่าง…”

แซนโดรสวมแหวนลงบนนิ้วและเปิดการสื่อสาร ทันใดนั้นก็มีเสียงใส ๆ ของหญิงสาวคนหนึ่งดังออกมาจากแหวน

“สวัสดีค่ะ! คุณแซนดร้าใช่รึเปล่าคะ?”

“…อืม …นี่ฉันเอง …เสียงนั่น เรลิก้าสินะ มีอะไรงั้นเหรอ?…”

“จำเสียงของฉันได้ด้วยเหรอคะ! ดีใจจังเลย! อะแฮ่ม.. คือว่าทางสมาคมมีเรื่องด่วนจะแจ้งให้นักผจญภัยระดับสูงทุกคนทราบน่ะค่ะ”

“…ฮื่อ …ว่ามาได้เลย…”

“คือทางพีชคีปเปอร์ประสานงานมาให้นักผจญภัยทุกคนที่มีระดับ S ขึ้นไปเตรียมตัวให้พร้อมเอาไว้สำหรับการรับภารกิจพิเศษน่ะค่ะ แล้วก็ให้เตรียมตัวอยู่ใกล้ ๆ จุดที่มีวงเวทเคลื่อนย้ายเอาไว้ด้วย เพื่อที่จะได้รับการเรียกตัวได้ทุกเมื่อ”

“…หืม? จะมีเรด (Raid) งั้นเหรอ? …พอจะรู้รายละเอียดรึเปล่าว่าที่ไหน และเป้าหมายเป็นใคร?…”

“จริง ๆ เรื่องนี้เป็นความลับ ซึ่งจะบอกกับนักผจญภัยระดับ SS ขึ้นไปเท่านั้น เพราะงั้นรู้แล้วต้องเหยียบเอาไว้เลยนะคะ! เขาว่าจะมีการล่ามังกรหลบหนีที่เซนิธาล พร้อม ๆ กับการล่านักเวทหัวกะโหลกที่ก่อคดีโรงเรียนอีจิสน่ะค่ะ”

ฟังถึงตรงนี้ซาลก็หันขวับไปมองแซนโดรด้วยตาเบิกโพลง ส่วนแซนโดรยังมีสีหน้าที่เรียบเฉยอยู่

“…อืม …งั้นเหรอ …ท่าจะเป็นงานใหญ่สินะ…”

“ใช่แล้วค่ะ! เป็นงานใหญ่มากเลยค่ะ! มีการเรียกระดมพลนักผจญภัยระดับ S ทั้งเซนิธาล และยังประสานงานขอกำลังเสริมจากนักผจญภัยระดับท็อปของอาณาจักรใกล้เคียงด้วย ทางเราเลยต้องติดต่อคุณแซนดร้าซึ่งเป็นนักผจญภัยระดับสูงสุดของเราไงคะ”

“…พอจะรู้เวลาและสถานที่รึเปล่า ว่าจะเริ่มที่ไหนและเมื่อไหร่?…”

“ดูเหมือนทางพีชคีปเปอร์จะยังอยู่ในระหว่างขั้นตอนการสืบหาและระบุเป้าหมายอยู่น่ะค่ะ แต่ก็ให้ฝ่ายอื่น ๆ เตรียมตัวเอาไว้ เพื่อที่ว่าเมื่อระบุเป้าหมายแล้วจะได้ดำเนินการทันทีค่ะ”

“…แล้วพอจะรู้รายละเอียดรูปพรรณของเป้าหมายบ้างรึเปล่า?…”

“ยังไม่มีข้อมูลรายละเอียดที่ชัดเจนออกมานะคะ ทางนั้นบอกจุดสังเกตมาแค่ว่าเป็นผู้หญิงเผ่ามังกรหนึ่งคน เด็กหนึ่งคน และนักเวทอีกหนึ่งคนค่ะ อ้อ! เขาสั่งมาว่าห้ามทำร้ายเด็กด้วยนะคะ”

“…เข้าใจล่ะ …ขอบคุณมากนะ…”

“ค่ะ! ว่าง ๆ ก็อย่าลืมแวะมาที่สมาคมด้วยนะคะ! บายค่า~”

เมื่อร่ำลาเสร็จแล้ว เสียงของหญิงสาวก็เงียบไป พร้อม ๆ กับแสงที่ตัวแหวนซึ่งค่อย ๆ ดับวูบลง

“รู้สึกว่าจะมี ‘เรด’ สินะคะ ฉันเองตอนสมัยเป็นนักผจญภัยก็เคยไปร่วมการต่อสู้แบบนี้มาครั้งสองครั้งเหมือนกัน แหม คิดถึงจังเลยค่ะ”

นิโคลยังคงพูดด้วยท่าทีสบาย ๆ เหมือนไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไร แซนโดรจึงต้องย้ำประเด็นสำคัญของเรื่องให้เธอเข้าใจซะหน่อย

“…เป้าหมายของการ ‘เรด’ ที่เขาว่า …ก็คือพวกเราไงล่ะ…”

“……เอ๋~~~!?”

 

———————————————————————————————————-

 

Part 3

 

รถม้าของแซนโดรมาจอดหลบอยู่ในชายป่าแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกมาจากทางสายหลักไม่ไกลนัก

ในทีแรกเธอคิดว่าจะเดินทางไปยังเขตสกายเรล์ม พื้นที่ฝั่งตะวันออกของเซนิธาลซึ่งเป็นดินแดนของเหล่านักรบแดนเหนือ เพื่อที่จะหาจุดเหมาะ ๆ ให้ซาลใช้วางดันเจียนเพิ่ม แต่ด้วยข่าวสารที่ได้รับมาใหม่นี้ทำให้จำเป็นต้องเปลี่ยนแผน

“พวกเขาจะระดมคนเป็นกองทัพมาเพื่อการนี้จริง ๆ น่ะเหรอ? แค่เพื่อจับคนสองคนเนี่ยนะ? (ถึงจริง ๆ จะไม่ใช่คนก็เถอะ) ”

ซาลเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าที่เหมือนกับยังไม่เชื่อ แต่ก็แฝงไว้ด้วยความกังวล

“…วิธีการทำงานของพีชคีปเปอร์ก็แบบนี้แหละ ทั้งเด็ดขาดและรวดเร็ว ทุ่มกำลังเต็มที่เพื่อกำจัดปัญหาก่อนที่จะลุกลาม …และมันก็ไม่ใช่การทำเกินกว่าเหตุซะทีเดียว  …ด้วยวีกรรมที่นิโคลทำเอาไว้ก่อนออกมา คงทำให้ถูกขึ้นทะเบียนเป็นเป้าหมายระดับ 3C ไปแล้วล่ะ…”

“เอ๋~!? ตะ.. ต้องขอโทษด้วยนะคะ…”

นิโคลมีท่าทางเซื่องซึมไปในทันทีด้วยความรู้สึกผิด ส่วนซาลก็รีบพูดปลอบใจ

“ไม่ใช่อย่างงั้นหรอกน่า! แซนโดรเองก็เคยก่อเรื่องเอาไว้เยอะเหมือนกันนั่นแหละ! ว่าแต่ 3C คืออะไรเหรอ?”

“…3C คือการจัดอันดับภัยคุกคามต่อโลกที่ทางพีชคีปเปอร์กำหนดขึ้น แบ่งออกเป็น คาลามิตี้ (Calamity), คาทาสโทรฟี (Catastrophe), และ คาทาคลิซึ่ม (Cataclysm) ไล่จากเบาไปหาหนัก …คาลามิตี้จัดเป็นภัยคุกคามระดับภูมิภาคที่สั่นคลอนอาณาจักรได้ เช่นพวกมอนส์เตอร์ที่มีระดับเหนือ SS ขึ้นไป …คาทาสโทรฟีเป็นภัยคุกคามที่อาจสั่นคลอนทั้งทวีป เช่นการรวมตัวกันของภัยระดับคาลามิตี้ หรือการปรากฏตัวของปิศาจระดับเพียวอีวิล …คาทาคลิซึมคือภัยคุกคามระดับโลก เช่นการปรากฏตัวของผู้สร้างหายนะ หรือปิศาจระดับไพร์มอีวิล… สำหรับนิโคล น่าจะอยู่ในระดับคาลามิตี้ …การกำจัดภัยระดับนี้ก็ต้องทำการระดมเหล่านักผจญภัยและผู้สร้างสันติภาพระดับ SS หลายสิบคนมาจัดตั้งเป็น ‘เรด’ (Raid) เพื่อออกล่า…”

เมื่อได้ฟังดังนั้น ซาลก็กวาดสายตามองไปรอบ ๆ และคิดว่าที่นั่งอยู่ตรงนี้ก็เป็นภัยระดับคาทาคลิซึมชัด ๆ แค่พวกพีชคีปเปอร์ยังไม่รู้เท่านั้น

“แต่เท่าที่ฟังมา น่าจะมีเป็นร้อยคนเลยนะ”

“…นั่นอาจเพราะพวกนั้นมองความเป็นไปได้ที่นิโคลกับนักเวทหัวกะโหลกจะร่วมมือกัน …ความจริงฉันไม่คิดว่าตัวเองจะถูกขึ้นบัญชีถึงระดับคาลามิตี้หรอกนะ เพราะเหตุนี้ถึงได้พยายามเก็บงำฝีมือและหลีกเลี่ยงการฆ่าคน …พวกกำลังเสริมที่เป็นนักผจญภัยระดับ S น่าจะระดมมาเพื่อรับมือกับฉัน …ส่วนกลุ่ม ‘เรด’ จริง ๆ ที่มุ่งเป้าไปยังนิโคลน่าจะเป็นพวกนักผจญภัยระดับ SS ขึ้นไป หรือเป็นพวกผู้สร้างสันติภาพจากสำนักงานใหญ่  …รวม ๆ แล้วก็น่าจะไม่เกินสี่สิบคน…”

“ก็ยังเยอะมากอยู่ดีนั่นแหละ… งั้นทำไงดีล่ะ?”

“…เท่าที่ฟังมาดูเหมือนโชคจะยังเข้าข้างเราอยู่บ้าง …พวกนั้นยังไม่รู้หน้าตาที่แท้จริงของเรา มีแค่รูปพรรณคร่าว ๆ เท่านั้น …นอกจากนี้ยังไม่รู้ตำแหน่งที่แน่นอนอีกด้วย …ถึงกำลังอยู่ในระหว่างค้นหา…”

“งั้นเราควรจะหาที่ซ่อนสักพักเพื่อรอให้เรื่องซาลงไปรึเปล่า? หรือไม่ก็กลับไปที่มาลาไคท์คีป?”

“…การที่พวกนั้นแจ้งให้มีการเตรียมพร้อมรอไว้แปลว่าน่าจะมีวิธีการที่ใช้ในการหาตัวพวกเราอยู่ …ไม่งั้นคงไม่เรียกระดมพลในทันทีหรอก …พวกนั้นคงมั่นใจว่าจะสามารถหาตัวเราเจอได้ภายใน 24 ชั่วโมงนี้แหละ…”

“เอ๋!? เร็วขนาดนั้นเลยเหรอ!?”

“…อืม …ตราบใดที่ยังไม่รู้วิธีที่พวกนั้นใช้แกะรอยเรา ให้ซ่อนตัวหรือหนีไปไหนก็เปล่าประโยชน์ …เราต้องรู้ให้ได้ก่อนว่าพวกนั้นใช้วิธีอะไรในการสะกดรอยกันแน่…”

เมื่อพูดจบ แซนโดรก็ร่ายเวทเพื่อกางแผนที่ของบริเวณนั้นขึ้นมาบนอากาศ จากนั้นก็หยิบแหวนสีดำวงหนึ่งออกมาจากช่องเก็บของ ซาลที่จ้องมองแหวนนั้นด้วยความสงสัยจึงเอ่ยถามขึ้น

“นั่นคือ?”

“…ถ้าเดาไม่ผิด ผู้ที่รับหน้าที่สืบหาตำแหน่งน่าจะเป็นหน่วยข่าวกรองของพีชคีปเปอร์ …พวกนั้นจะมีแหวนสื่อสารคล้าย ๆ กับแหวนแบบนี้อยู่ …มันเป็นแหวนสื่อสารลับที่มีช่องสัญญาณเฉพาะของตัวเอง …แหวนวงนี้เป็นของที่ฉันยึดมาได้จากสายลับคนนึงเมื่อนานมาแล้ว…”

“จะแกล้งติดต่อไปงั้นเหรอ?”

“…ไม่หรอก …ช่องสัญญาณของแหวนวงนี้ถูกระงับไปตั้งแต่เจ้าของถูกเปิดโปงแล้วน่ะ …แต่มันก็ยังสามารถส่งคลื่นความถี่ที่ใกล้เคียงกับแหวนแบบเดียวกันได้อยู่ …ถ้าใช้เจ้านี่เป็นตัวปล่อยคลื่น น่าจะทำให้เกิดคลื่นสะท้อนจากแหวนวงอื่นๆ แล้วเราก็จะสามารถรู้ตำแหน่งของพวกมันได้…”

แซนโดรชูแหวนขึ้นหน้าแผนที่ จากนั้นก็มีวงเวทมากมายปรากฏขึ้นมาห้อมล้อมแหวนวงนั้นไว้ทุกด้าน

เพียงครู่หนึ่งวงเวททั้งหมดก็กระจายตัวออกและหายไป ทันใดนั้นภาพบนแผนที่ก็เกิดความเปลี่ยนแปลง เหมือนเป็นวงคลื่นจากการแตะสัมผัสผิวน้ำค่อย ๆ แผ่กระจายออกไปโดยรอบ

เมื่อคลื่นบนแผนที่แผ่ไปจนสุดแล้ว ก็ปรากฏจุดเรืองแสงสองจุดขึ้นบนแผนที่ ทั้งสองจุดนั้นอยู่คู่กันในตำแหน่งที่ไม่ห่างไปจากจุดที่พวกเขาอยู่นัก

“…ทางตะวันออกเฉียงเหนือ …ห่างออกไปประมาณหกสิบกิโลเมตรงั้นเหรอ …มาใกล้กว่าที่คิดอีกนะเนี่ย…”

แซนโดรเรียกวงเวทขึ้นมาบนพื้นหนึ่งวง จากนั้นก็มีอสูรลักษณะเหมือนเงาดำที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์เพียงครึ่งตัวปรากฏออกมา รอบตัวมันยังคงมีควันสีดำคุกรุ่นอยู่ตลอดราวกับเป็นหมอกดำที่มีชีวิต แต่สักพักสมุนตัวนั้นก็ค่อย ๆ เลือนหายไป

“เอ๋? นั่นมัน?”

“…มันคือ ‘เช๊ด’ (Shade) น่ะ …เป็นสมุนที่สามารถพรางตัวได้เกือบสมบูรณ์แบบ …ใช้สำหรับการสอดแนมโดยเฉพาะ…”

แม้จะมองไม่เห็น แต่ซาลก็รู้สึกได้ว่าสมุนตัวนั้นพุ่งทะยานออกจากป่าไปด้วยความเร็วสูง เพราะกระแสลมปะทะที่เกิดจากการเคลื่อนที่ทำให้กิ่งไม้โดยรอบสั่นไหวไปทั่ว

“…ทีนี้ก็รอจนกว่าสมุนตัวนั้นจะไปถึง …มากินอะไรกันก่อนดีกว่า…”

พูดจบแซนโดรก็ตั้งโต๊ะอาหารลงบนพื้นใกล้ ๆ และนำเนื้อย่างชิ้นโตที่เก็บไว้ในช่องเก็บของออกมาวางจนเต็มโต๊ะ

ซาลกับนิโคลดูจะยังปรับอารมณ์ไม่ทัน จึงเดินตามไปนั่งลงที่โต๊ะอาหารด้วยท่าทางเงอะงะ

โต๊ะที่แซนโดรนำออกมาตั้งเป็นโต๊ะอาหารแบบยาวที่สามารถรองรับคนได้ถึงสิบคน กองเนื้อที่วางสุมอยู่บนโต๊ะนั้นจึงดูเยอะเกินกว่าที่ผู้หญิงสองคนกับเด็กหนึ่งคนจะกินได้หมด แต่เพราะนิโคลเองก็กินจุไม่แพ้แซนโดร ทำให้นี่เป็นปริมาณปกติที่ทั้งสามคนจะกินกันในหนึ่งมื้อ

“เวทอัญเชิญนี่สะดวกดีนะคะ เสียดายที่เมื่อก่อนฉันไม่เคยเรียนไว้ ว่าแต่ใช้อัญเชิญมนุษย์ก็ได้ใช่มั้ยคะ?”

“…อืม …ถ้าทำพันธสัญญากันไว้น่ะนะ…”

“เอ่อ… อาจจะว่าฉันเสียมารยาทก็ได้… แต่ทำไมคราวก่อนถึงไม่ใช้เวทอัญเชิญดึงตัวคุณซาลารัสกลับมาล่ะคะ?”

“…พื้นที่อคาทอชน่ะมีเขตแดนป้องกันอยู่ มันเป็นสนามพลังเวทมนตร์ที่สกัดกั้นทั้งการสื่อสารและการอัญเชิญเอาไว้ เพื่อป้องกันการลอบโจมตีด้วยการอัญเชิญไงล่ะ …เพราะสมัยก่อนเคยมีการการส่งสายลับเข้าไปติดตั้งอุปกรณ์เวทมนตร์สำหรับอัญเชิญคนจำนวนมากไว้ในเมืองศัตรู จากนั้นก็อัญเชิญทหารทั้งกองทัพออกมาโจมตีจากด้านใน ทำให้สามารถยึดเมืองได้อย่างง่ายดาย …เดี๋ยวนี้ตามเมืองใหญ่ ๆ จึงต้องมีอุปกรณ์เวทมนตร์สำหรับสร้างเขตแดนป้องกันการอัญเชิญติดตั้งเอาไว้ เพื่อป้องกันการลอบโจมตีด้วยการอัญเชิญนั่นเอง…”

“อ๋อ… แบบนี้นี่เอง เพราะงั้นเลยอัญเชิญตัวออกมาไม่ได้สินะคะ”

“…อืม …ความจริงถ้าเป็นการอัญเชิญแค่คนเดียวอาจฝืนอัญเชิญฝ่าเขตแดนป้องกันออกมาก็ได้ …แต่การทำแบบนี้จะทำให้ทั้งผู้อัญเชิญและผู้ถูกอัญเชิญได้รับบาดเจ็บจากแรงกระชากของห้วงมิติ …สำหรับฉันคงไม่เป็นอะไรเท่าไหร่ แต่สำหรับเจ้าเด็กนี่อาจได้รับผลข้างเคียงจนทำให้ปัญญาอ่อนลงกว่านี้ได้…”

“……ห๊ะ!? ว่าไงนะ!?”

ซาลใช้เวลาครู่หนึ่งถึงรู้ตัวว่ากำลังโดนด่า แต่นั่นก็เป็นเวลาเดียวกับที่สมุนของแซนโดรเดินทางไปถึงจุดที่สายลับทั้งสองคนอยู่และส่งภาพกลับมาขึ้นจอพอดี เขาจึงหันไปให้ความสนใจกับด้านนั้นแทน

“อ๊ะ มี ‘มิเนี่ยนวิชั่น’ ด้วยเหรอเนี่ย! แถมยังฉายภาพขึ้นจอเองด้วย! ทำยังไงอะ!?”

“…ไว้ฉันจะสอนให้ทีหลังนะ …ตอนนี้มาดูกันดีกว่าว่าพวกนั้นใช้วิธีอะไร…”

ทั้งสามคนยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารโดยมองดูความเคลื่อนไหวของสายลับสองคนในหน้าจอพลางกินอาหารไปด้วย ประดุจเป็นรายการทีวีเพื่อความบันเทิงในครอบครัวอย่างหนึ่ง

 

สายลับเหล่านั้นเป็นผู้ชายสองคนสวมชุดขนสัตว์เหมือนกับนักผจญภัยในแดนเหนือที่พบเห็นได้ทั่วไป

ทั้งคู่ขี่ม้าที่มีขนยาวและร่างกายล่ำสันกำยำซึ่งเป็นพันธุ์เฉพาะของทางเหนือ เมื่อควบมาจนถึงทางแยกทั้งสองก็หยุดม้า ก่อนที่ชายคนหนึ่งจะเปิดแผนที่ขึ้นมาดู

ชายอีกคนควักเอาแท่งวัสดุเล็ก ๆ ขนาดเท่ากับปากกาซึ่งเต็มไปด้วยลวดลายอักขนะออกมาชี้ลงตรงกลางแผนที่ สักพักก็มีแสงอ่อน ๆ วิ่งไปตามลวดลายอักขระปากกาด้ามนั้นจนถึงส่วนปลายที่จรดแผนที่อยู่ เมื่อแสงที่ปลายปากกาหายไปก็ทำให้เกิดคลื่นกระเพื่อมขึ้นบนแผนที่แผ่กว้างออกไปเหมือนกับผิวน้ำที่ถูกสัมผัส ก่อนจะมีจุดเรืองแสงปรากฏขึ้นมาบนแผนที่หนึ่งจุด

“อืม เลี้ยวไปทางนี้และมุ่งหน้าไปอีกราว ๆ สี่สิบกิโลเมตร”

“แย่จริง ๆ เล้ย~ ดันมาเจอจุดที่อยู่ไกลเมืองซะได้ กลุ่มอื่น ๆ เขาตรวจสอบกันไปเกือบหมดแล้วมั้ง”

“อย่าบ่นเลยน่า แล้วก็ระวังตัวด้วย ยิ่งเป้าหมายเหลือน้อยลงแปลว่ามีความเป็นไปได้สูงขึ้นที่เราจะได้เจอกับเป้าหมายที่แท้จริง”

“โอเค ๆ รีบไปกันต่อเถอะ จะได้รีบกลับน่ะ”

เมื่อคุยกันเสร็จชายทั้งสองคนก็หวดแส้ลงที่สีข้างของม้า ทำให้พวกมันพุ่งทะยานออกไปด้วยความรวดเร็วในทันที

 

แซนโดรย้อนดูภาพที่สมุนเก็บมาได้อีกครั้ง ก่อนจะซูมไปยังปากกาที่ชายหนุ่มใช้ร่วมกับแผนที่

เมื่อเห็นลวดลายอักขระเวทบนด้ามปากกาแล้วเธอก็ทำท่าเหมือนจะเข้าใจอะไรขึ้นมาได้

“…อืม …แบบนี้นี่เอง…”

“หืม? รู้แล้วเหรอ? พวกนั้นทำยังไงน่ะ?”

ซาลที่ใจจดใจจ่ออยู่กับการวิเคราะห์ก็เอ่ยถามขึ้นด้วยท่าทางอยากรู้อยากเห็น

“…เผ่ามังกร โดยเฉพาะมังกรระดับสูงน่ะ จะแผ่ออร่าชนิดพิเศษออกมา เหมือนเป็นลักษณะเฉพาะอย่างหนึ่ง …ปากกานั่นน่าจะเป็นอุปกรณ์สำหรับส่งคลื่นเวทมนตร์ตรวจจับออร่าเหล่านั้น …มีวิธีทำงานคล้ายๆกับคลื่นที่ฉันใช้ตรวจหาตำแหน่งแหวนของพวกนั้นนั่นแหละ…”

“เอ๋!? เพราะฉันเหรอคะเนี่ย?  แต่ฉันก็พยายามกลบกลิ่นอายทั้งหมดเท่าที่จะทำได้แล้วนะคะ แม้แต่เขาที่หัวก็หดเก็บไปแล้วด้วย”

นิโคลมีท่าทีร้อนรนขึ้นมาเมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นต้นเหตุ และเอามือแปะป่ายไปตามตัวเหมือนกับจะหาว่ามีส่วนที่เป็นมังกรโผล่ออกมาโดยที่เธอไม่รู้ตัวรึเปล่า แต่แซนโดรก็อธิบายต่อ

“…มันเป็นเรื่องของลักษณะทางธรรมชาติน่ะ …เหมือนเวลาเคาะลงบนแผ่นไม้กับแผ่นเหล็กก็ย่อมให้เสียงที่ต่างกัน …คลื่นตรวจจับนั่นก็ทำงานแบบนั้นแหละ…”

“แต่ฟังจากที่คุยกันเหมือนพวกนั้นจะยังไม่รู้ว่าเป็นพวกเรานะ? ทำไมล่ะ?”

ซาลเอ่ยถามขึ้นเพราะได้ยินบทสนทนาของชายทั้งสองคน พวกเขาคุยกันเหมือนไม่รู้เลยว่าสิ่งที่อยู่ข้างหน้าคือเป้าหมายที่ตามหาอยู่รึเปล่า

“…การตรวจจับแบบนี้น่ะเป็นแค่การหาตำแหน่งแบบหยาบ ๆ เท่านั้น …พูดง่าย ๆ ก็คือพวกนั้นรู้แค่ว่ามีมังกรระดับสูงอยู่แถวนี้ แต่ไม่รู้ว่าเป็นใครหรอก  …ต้องทำการตรวจสอบด้วยสายตาไปทีละจุดเท่านั้น…”

“เห? แบบนั้นไม่ต้องหากันตาเหลือกเลยเหรอ? เผ่ามังกรก็มีออกจะเยอะแยะน่ะ”

“…พวกนั้นคงปรับระดับของคลื่นตรวจจับให้ตอบสนองกับมังกรระดับสูงมาก ๆ เท่านั้น เพื่อจำกัดวงการค้นหาลง …ถ้าตั้งไว้ที่ออร่าของมังกรระดับ S ขึ้นไป และคัดเฉพาะพวกที่ไม่ได้อยู่ในเมืองหรือดันเจียน …ก็น่าจะลดเป้าหมายลงมาเหลือไม่เกินร้อยได้…”

“ถ้างั้น… ฉันจะล่อพวกเขาไปที่อื่นนะคะ  ส่วนพวกคุณก็รีบหนีไปเถอะค่ะ”

นิโคลเสนอความคิดนี้ขึ้น ทำให้ซาลต้องขมวดคิ้วขึ้นมา แต่ข้อเสนอนี้ก็ถูกแซนโดรปฏิเสธในทันที

“…เรื่องนั้นน่ะไม่จำเป็นหรอก…”

“เอ๊ะ?”

โดยที่ยังไม่ได้อธิบายอะไร แซนโดรก็วาดมือขึ้นไปบนอากาศ ทันใดนั้นก็มีวงเวทขนาดใหญ่ที่มีรัศมีหลายสิบเมตรปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า

ครู่ต่อมาก็มีมังกรโครงกระดูกขนาดมหึมาเคลื่อนตัวออกมาจากวงเวท มันร่อนลงมากลางป่าจนต้นไม้หลายต้นต้องหักโค่นระเนระนาด แซนโดรยังกางวงเวทขนาดใหญ่อีกวงลงบนพื้นที่มันยืนอยู่และวาดมือไปมา สักพักร่างของมังกรโครงกระดูกก็ค่อย ๆ มีแผ่นเกล็ดและเนื้อหนังปรากฏขึ้นทีละน้อยราวกับชิ้นส่วนของจิ๊กซอว์ที่มาประสานกัน ไม่นานลักษณะของมันก็กลายเป็นมังกรน้ำแข็งผิวสีเทาดวงตาสีฟ้าซึ่งยังมีชีวิตอยู่ ไม่เหลือเค้าโครงของมังกรโครงกระดูกอยู่อีกเลย

“…มังกรนี่มีพลังระดับ A …แต่ถ้าใช้หินเวทมนตร์เสริมพลังและปรับแต่งการแผ่ออร่าสักหน่อยก็น่าจะปล่อยออร่าที่มีความเข้มข้นเท่ากับระดับ S ได้…”

แซนโดรใช้หินเวนมนตร์หลายเม็ดเสริมพลังให้กับมังกรโครงกระดูกและปรับแต่งคุณสมบัติให้มันแผ่ออร่าที่เข้มข้นกว่าปกติออกมา เมื่อได้ความเข้มข้นของออร่าในระดับที่พอใจแล้วจึงหันกลับมาหานิโคล

“…สำหรับเธอก็ …สวมนี่ไว้…”

แซนโดรนำผ้าคลุมสีดำที่มีลายปักสีเทาเข้มอันวิจิตรออกมาผืนหนึ่ง มันเป็นผ้าผืนใหญ่ราวกับจะเป็นผ้าห่ม แถมยังมีเนื้อหนาพอสมควร

“นี่คือ?”

“…ผ้าคลุมนี่สามารถดูดซับออร่าและกระแสเวทมนตร์ได้ในระดับหนึ่ง …ถ้าคลุมไอ้นี่เอาไว้ก็น่าจะช่วยให้ไม่ถูกคลื่นตรวจจับตรวจพบเอาได้ …เอาล่ะ ทีนี้พวกเราก็ไปกันเถอะ…”

เมื่อพูดจบเธอก็เก็บข้าวของและให้ทุกคนขึ้นรถม้า จากนั้นก็เคลื่อนรถม้าออกมาจากชายป่าเพื่อกลับสู่เส้นทางหลัก โดยทิ้งมังกรเอาไว้ในป่านั้น

ระหว่างอยู่บนรถม้า แซนโดรก็ยังสังเกตการณ์สายลับทั้งสองคนผ่านทางสายตาของสมุนตลอดเวลา พวกเขายังคงมุ่งตรงไปยังจุดเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แม้พวกแซนโดรจะออกมาไกลจากที่นั่นมากแล้วก็ตาม

“มังกรตัวนั้น แซนโดรทิ้งไว้เพื่อให้เป็นนกต่อสินะ?”

“…ใช่ …ถ้าจู่ ๆ เป้าหมายหายไป พวกนั้นจะสงสัยเอาได้ …แล้วก็จะใช้จุดนั้นเป็นจุดศูนย์กลางในการค้นหาครั้งต่อไป …เพราะแบบนี้ถึงไม่ควรหลบซ่อนเฉย ๆ เพราะจะทำให้พวกนั้นสงสัยและบีบวงการค้นหาเข้ามาจนลำบากต่อการหลบหนีได้…”

“แล้วนี่เรากำลังย้อนกลับไปทางตะวันตกไม่ใช่เหรอ? จะกลับไปที่มาลาไคท์คีป หรือว่า?”

“…ผ้าคลุมที่นิโคลใช้อยู่น่ะมันให้ผลไม่เต็ม 100% หรอกนะ …หากเจออุปกรณ์ส่งคลื่นตรวจจับที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าปากกานั่นอาจถูกตรวจพบเข้าก็ได้ …แล้วจะให้เธอคลุมผ้าแบบนี้ไปตลอดก็ไม่ได้ด้วย…”

“ถ้างั้นช่วยปล่อยฉันลงที่ไหนสักแห่งก็ได้นะคะ… จากนั้นพวกคุณก็รีบหนีไปเถอะค่ะ… โอ๊ย ๆ ๆ ”

ยังพูดไม่ทันจบ นิโคลก็ถูกแซนโดรหยิกแก้มเข้า จนต้องร้องออกมา

แม้จะปล่อยมือแล้วแซนโดรก็ยังจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาหงุดหงิด ทำให้นิโคลที่กำลังเอามือคลึงแก้มคลายความเจ็บอยู่ยิ่งมีสีหน้างุนงง

“…เลิกเอะอะก็ให้ทิ้งเธอเอาไว้ได้แล้ว …มันน่ารำคาญรู้มั้ย …ถ้ายังไม่เลิกพูดแบบนี้อีกละก็ จะจับมาทำโบนดราก้อน (มังกรโครงกระดูก) ซะเลย…”

“โบนดราก้อนเลยเหรอคะ!?”

“ใช่แล้ว  ส่วนผมก็จะเลาะเกล็ดของนิโคลออกมาทำชุดเกราะด้วย”

ซาลารัสช่วยผสมโรงด้วยสีหน้าที่แสร้งทำเป็นจริงจัง

“ชุดเกราะเลยเหรอคะ!?”

“…จะว่าไปก็ไม่ได้กินเนื้อมังกรมานานแล้ว …ลองดูเลยดีมั้ย?…”

แซนโดรพูดพลางหรี่ตามองเรือนร่างของนิโคลไปทีละส่วนพร้อมทั้งเลียริมฝีปากที่ขบเม้มอยู่

“จะกินกันเลยเหรอคะ!? ฉะ.. ฉันไม่อร่อยหรอกค่ะ!”

นิโคลมีท่าทางสับสนและร้อนรนเหมือนแยกไม่ออกว่าซาลกับแซนโดรพูดจริงหรือพูดเล่นกันแน่ ส่วนทั้งสองคนพอเห็นท่าทางอันน่าสงสารของเธอแล้วก็ยิ่งแกล้งต่อไปเรื่อย ๆ

เมื่อล้อเล่นกันจนพอใจแล้วแซนโดรก็กลับเข้าเรื่องจริงจังอีกครั้ง

“…ในเมื่อตัดสินใจจะร่วมทางกันแล้ว เราก็เป็นพวกพ้องกัน …อย่าพูดจาให้ทอดทิ้งเธอเหมือนเป็นเรื่องง่าย ๆ อีก …มันเป็นการดูถูกพวกเรา เข้าใจมั้ย?…”

“…ขอโทษด้วยค่ะ”

“…สำหรับเรื่องออร่าของเธอ มันก็มีวิธีแก้ไขอยู่ …ฉันพอจะรู้วิธีสร้างอาติแฟคสำหรับอำพรางออร่าและป้องกันกระแสเวทมนตร์ตรวจจับทุกชนิดได้ …แต่ว่ายังขาดวัตถุดิบสำคัญอยู่อีกอย่างหนึ่ง …เพราะงั้นเราจะไปที่นั่นกัน…”

“ที่ไหนเหรอ?”

ซาลเอ่ยถามด้วยความสนใจ เพราะเขาชื่นชอบการเดินทางผจญภัยไปยังที่ต่าง ๆ อยู่แล้ว

“…วาลาเชีย …เมืองของเหล่าแวมไพร์ที่อยู่ทางเหนือของอาณาจักรเอ็นซิสไงล่ะ…”

แม้จะไม่รู้ว่าวาลาเชียเป็นสถานที่อย่างไร แต่แค่ได้ยินว่าเป็นเมืองของเหล่าแวมไพร์ก็ทำให้ดวงตาของซาลลุกวาวด้วยความตื่นเต้นแล้ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด