Doombringer the 5th 17

Now you are reading Doombringer the 5th Chapter 17 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Ch.17 – ทริคส์เตอร์

Translator : YoyoTanya / Author

Chapter. 17

ทริคส์เตอร์

 

Part 1

 

ซาลแบ่งสมุนออกเป็นคู่ ๆ จึงมีเหล่าสมุนกระจายกันอยู่แปดจุดด้วยกัน

คู่แรกที่น่าจะเกิดการปะทะเป็นมังกรไฟกับมังกรดิน ปะปนอยู่ในกลุ่ม ‘สไตรเดอร์’ สามตัว (Strider คือมังกรพันธุ์ไม่มีปีก แต่มีขาหลังอันแข็งแรง วิ่งสองขาได้อย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว คล้ายไดโนเสาร์) และใกล้ ๆ กันนั้นก็มี ‘ร็อคเอเลเมนทัล’ อีกสองตัวด้วย (Rock Elemental คือมอนสเตอร์ธาตุหิน มีรูปร่างเหมือนกองหินที่ก่อรูปร่างเป็นตัวขึ้นมา ส่วนใหญ่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ที่ร่างกายกำยำ)

นักผจญภัยกลุ่มที่กำลังจะเข้ามาถึงจุดที่มอนสเตอร์อยู่นั้นเป็นนักผจญภัยกลุ่มแค่สี่คน ทว่าแต่ละคนก็ดูเป็นนักผจญภัยมากประสบการณ์อย่างเห็นได้ชัด ในกลุ่มประกอบไปด้วยอัศวินสองคน นักดาบหนึ่งคน และนักเวทหนึ่งคน

ซาลรู้สึกสงสัยว่าทำไมกลุ่มนี้ถึงไม่มีฮีลเลอร์มาด้วย แต่พอมองดูดี ๆ แล้วก็พบว่าอัศวินหนึ่งในสองคนนั้นใช้คทาติดใบมีด  (Sword Mace) คู่กับโล่ขนาดกลาง แปลว่าน่าจะเป็นพาลาดินสายเน้นการรักษา ซึ่งจัดเป็นฮีลเลอร์คลาสหนึ่ง

แม้กลุ่มมอนสเตอร์จะมีถึงเจ็ดตัว แต่นักผจญภัยทั้งสี่ก็ใช้เวลาวางแผนกันไม่นานนักก่อนจะเริ่มการโจมตี โดยผู้ที่เปิดการโจมตีก่อนคือนักเวท ทว่าแทนที่จะเปิดการโจมตีด้วยเวทหมู่ เขากลับเริ่มด้วยการวางวงเวทลงบนพื้นที่ว่างระหว่างเหล่ามังกรกับร็อคเอเลเมนทัล จากนั้นจึงร่ายเวทพันธนาการใส่มังกรทั้งสองตัวเป็นลำดับต่อมา การวางวงเวทจากระยะไกลได้ขนาดนี้เป็นสิ่งที่ยืนยันว่านักเวทคนนี้เป็นนักเวทที่มีฝีมือสูงทีเดียว

ทันทีที่นักเวทคนนั้นร่ายเวทเสร็จ มังกรทั้งสองตัวของซาลก็มีท่าทีเซื่องซึมลง และหลับไปบนแท่นหินที่ยืนอยู่นั้นเอง ผลของเวทในลักษณะนี้ทำให้ซาลพอจะรู้ว่านี่คือเวท ‘ไฮเบอเนท’ (Hibernate) ซึ่งเป็นเวทที่จะทำให้มอนสเตอร์ประเภทสัตว์ป่าและมังกรเข้าสู่ภาวะจำศีลชั่วระยะเวลาหนึ่ง หรือก็คือทำให้หลับไปนั่นเอง แม้จะมีเงื่อนไขการใช้ที่จำกัด และมอนสเตอร์ที่โดนจะตื่นเมื่อถูกโจมตี แต่มันก็เป็นท่าพันธนาการที่มีผลยาวนานนับนาทีเลยทีเดียว

มอนสเตอร์ในบริเวณนั้นยังไม่รับรู้ถึงการโจมตีที่เริ่มขึ้นเลย นับเป็นข้อดีอีกข้อของเวท ‘ไฮเบอร์เนท’ คือไม่ทำให้มอนสเตอร์ตัวอื่น ๆ รู้สึกถึงการคุกคาม เหล่านักรบทั้งสามจึงเริ่มบุกเข้าไปในอาณาเขตของเหล่ามอนสเตอร์ โดยอัศวินและนักดาบเป็นแนวหน้า พาลาดินยืนซ้อนเป็นแถวสอง ส่วนนักเวทก็ตามเข้าไปติด ๆ

ทันที่ที่มีคนล้ำเข้าไปในอาณาเขต เหล่ามอนสเตอร์ก็เริ่มไหวตัว โดยสไตรเดอร์ทั้งสามเมื่อเห็นเป้าหมายก็รีบพุ่งตรงเข้ามาหากลุ่มนักผจญภัยด้วยความเร็วสูง ส่วนร็อคเอเลเมนทัลที่อยู่ห่างไปอีกหน่อยก็เริ่มขยับเข้ามายังจุดปะทะ

ทันทีที่ร็อคเอเลเมนทัลวิ่งเข้ามาได้ระยะ นักเวทก็เปิดการทำงานของวงเวทที่วางดักเอาไว้ ทำให้พื้นที่ตรงนั้นแปรสภาพจากพื้นหินแข็ง ๆ กลายเป็นบ่อทรายสีเทาไปแทน พวกร็อคเอเลเมนทัลที่วิ่งเข้ามาถึงก็ถูกดึงจมลงไปในบ่อทรายนั้นจนขยับไม่ได้

วงเวทที่นักเวทวางเอาไว้ก็คือเวท ‘ควิกแซนด์’ (Quicksand) เวทที่จะเปลี่ยนสภาพพื้นผิวใด ๆ ให้กลายเป็นบ่อทรายดูดเพื่อสกัดการเคลื่อนไหว

เพราะมอนสเตอร์ส่วนใหญ่จะฉลาดพอที่จะหลบเลี่ยงพื้นผิวแบบนี้ทำให้การจะใช้งานให้ได้ผลจึงต้องแอบวางดักไว้ก่อนและเปิดการใช้งานในชั่วครู่ก่อนที่มอนสเตอร์จะมาเหยียบจึงจะสำเร็จ ซึ่งนักเวทคนนี้ก็กะจังหวะเวลาได้อย่างแม่นยำ

เพราะร็อคเอเลเมนทัลติดอยู่ในบ่อทรายดูด ตอนนี้จึงมีเพียงสไตรเดอร์สามตัวที่เข้าปะทะกับเหล่านักผจญภัยเท่านั้น ทำให้การต่อสู้เป็นไปอย่างง่ายดาย

อัศวินใช้ทักษะหลากหลายในการจับและตรึงสไตรเดอร์ทั้งสามเอาไว้ ทำให้นักดาบสามารถโจมตีได้อย่างเต็มที่ ส่วนพาลาดินเองก็ช่วยโจมตีพลางใช้เวทรักษาไปด้วย ทั้งยังมีเวทสกัดกั้นสร้างแรงช็อกให้พวกสไตรเดอร์มึนงงอีก พวกสไตรเดอร์จึงแทบไม่สามารถทำอันตรายเหล่านักผจญภัยได้เลย

ในระหว่างนั้นนักเวทไม่ได้เข้าร่วมกลุ่มในการโจมตีด้วย แค่ร่ายเวทคำสาปใส่เหล่าสไตรเดอร์ก่อนจะวิ่งไปยังร็อคเอเลเมนทัลที่ติดอยู่ในทรายดูดแล้วร่ายคำสาปอีกชุดใส่พวกมันด้วย

แม้นักเวทจะไม่ได้เอ่ยชื่อของทักษะออกมา แต่ซาลารัสก็มีสายตาอันยอดเยี่ยม จึงพอจะดูโครงสร้างของวงเวทและการทำงานของเวทมนตร์ออก ว่าเวทที่นักเวทคนนั้นใช้ออกมาคือ ‘สโลว์’ (Slow) เวทลดความเร็วในการเคลื่อนที่, ‘วีคเนส’ (Weakness) เวทลดพลังโจมตีทางกายภาพ, และ ‘วูลเนราบิลิตี้’ (Vulnerability) เวทลดพลังป้องกันทั้งทางกายภาพและเวทมนตร์

เหล่าร็อคเอเลเมนทัลติดอยู่ในบึงทรายเพียงไม่นาน พวกมันก็กระเสือกกระสนจนหลุดออกมาได้และมุ่งมายังนักเวท แต่เพราะคำสาปหลายอย่างที่ติดตัวอยู่ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงตัวเขาได้ในทันที

นักเวทร่ายเวทบทสุดท้ายทิ้งไว้ก่อนจะผละออกมาและวิ่งกลับไปรวมกลุ่มกับนักผจญภัยที่เหลือ ซึ่งหลังจากเขาวิ่งห่างออกไปแล้ว ก็ปรากฏหมอกสีเขียวจาง ๆ ลอยขวางเส้นทางด้านหน้าของพวกร็อคเอเลเมนทัลเอาไว้

นี่คือเวท ‘แอซิดคลาวด์’ (Acid Cloud) เวทนี้จะสร้างหมอกซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรดเข้มข้นขึ้นมาบนอากาศ แม้จะไม่เชิงเป็นเวทโจมตีเพราะตัวหมอกจะแค่ลอยอยู่เฉย ๆ กลางอากาศ แต่เพราะร่ายได้เร็วและกินบริเวณกว้างจึงเป็นเวทสกัดกั้นที่ดีมากอีกอันหนึ่ง

ร็อคเอเลเมนทัลที่หลับหูหลับตาไล่ตามนักเวทจึงฝ่า ‘แอซิดคลาวด์’ เข้าไปเต็ม ๆ ทำให้ได้รับความเสียหายอย่างต่อเนื่อง แถมถูกลดพลังป้องกันลงอีกด้วย

“เจ๋งแฮะ เพิ่งเคยเจอนักเวทแบบนี้เป็นครั้งแรกนะเนี่ย…”

ซาลเฝ้ามองการต่อสู้ของนักเวทผู้นี้อย่างไม่วางตา

เขารู้สึกประทับใจกับลีลาการต่อสู้ของนักเวทผู้นี้มาก ทั้งการใช้งานเวทต่าง ๆ อย่างเหมาะสม ถูกจังหวะเวลา และการเคลื่อนไหวที่ล้ำหน้าเหล่ามอนสเตอร์อยู่หนึ่งก้าวเสมอ ราวกับนักมายากลที่เล่นกับของอันตรายได้เหมือนเป็นแค่การแสดง เป็นสิ่งที่เขารู้สึกว่าเท่สุด ๆ

เขาเผลอดูแต่การต่อสู้ของนักเวทจนลืมดูอีกฝั่งหนึ่ง พอรู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าสไตรเดอร์ทั้งสามตัวถูกจัดการไปเรียบร้อยแล้ว กลุ่มนักผจญภัยจึงพุ่งเข้าจัดการกับเหล่าร็อคเอเลเมนทัลต่อทันที เป็นเวลาไล่เลี่ยกับที่เหล่ามังกรเริ่มตื่นขึ้น

นักเวทที่เห็นพวกมังกรเริ่มเคลื่อนไหวจึงร่ายเวทบทใหม่เพื่อสกัดพวกมันอีกรอบ

พวกมังกรที่เพิ่งจะตื่นนั้นยังไม่ทันจะยันตัวขึ้นก็ถูกรากไม้ที่โผล่ขึ้นมาจากพื้นรัดพันเอาไว้และฉุดดึงจนทรุดลงไปอีกครั้ง นี่คือเวท ‘เอ็นแทงเกิล’ (Entangle) เป็นเวทพันธนาการซึ่งจะสร้างรากไม้ขึ้นมายึดตรึงเป้าหมายเอาไว้นั่นเอง

“ยอดเลย! มีเวทสกัดกั้นอยู่กี่อันกันเนี่ย!?”

มังกรไฟของซาลใช้ ‘ไฟร์ชิลด์’ สร้างเกราะไฟให้กับตัวเอง  ทำให้รากไม้ที่พันอยู่ค่อยๆถูกเผาไหม้ ส่วนมังกรดินที่อยู่ใกล้ ๆ ก็ใช้ท่า ‘เควค’ (Quake) สร้างแรงสั่นสะเทือนทำให้พื้นหินแตกออก รากไม้ที่พันอยู่จึงเริ่มหลวมขึ้น

ทั้งสองตัวใช้ทักษะเองเพื่อให้หลุดจากพันธนาการโดยที่ซาลไม่ได้เขียนคำสั่งไว้ ทำให้เขาคิดว่าสมุนอัญเชิญนี่ก็ฉลาดดีเหมือนกัน ไม่รู้ว่าเป็นแบบนี้แต่แรก หรือเพราะขึ้นระดับสูง ๆ แล้วความฉลาดมันเพิ่มขึ้นกันแน่

แม้พวกมังกรจะหลุดจากพันธนาการเร็วกว่าที่ตั้งใจไว้ แต่เพราะเหล่าร็อคเอเลเมนทัลก็ค่อนข้างสะบักสะบอมแล้ว กลุ่มนักผจญภัยจึงจัดการกับพวกมันได้โดยง่าย ร็อคเอเลเมนทัลทั้งสองตัวถูกโค่นลงก่อนเหล่ามังกรจะหลุดจากพันธนาการเพียงแค่นิดเดียว พวกนักผจญภัยจึงจัดขบวนอีกครั้งเพื่อหันมารับมือกับมังกรทั้งสอง

มังกรดินใช้ ‘แอซิดเบรธ’ (Acid Breath) ลมหายใจกรด พ่นใส่กลุ่มนักผจญภัย ในขณะที่มังกรไฟก็พุ่งลงมาจากแท่นหินนั้นในเวลาเดียวกัน

พาลาดินประจำกลุ่มร่ายเวท ‘บีคอนออฟไลท์’ (Beacon of Light) สร้างบาเรียทรงกลมสีทองอร่ามป้องกันเพื่อนร่วมกลุ่มจากลมหายใจของมังกร ทำให้ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีนี้แต่อย่างใด

จากนั้นอัศวินของกลุ่มก็พุ่งเข้าสวนมังกรไฟที่กำลังกระโจนลงมาด้วย ‘ชิลด์ชาร์จ’ (Shield Charge) โล่ของเขาชนเข้ากับส่วนหัวของมังกรแบบเต็ม ๆ จนตัวเองกระเด็นถอยหลังกลับมา แต่มังกรไฟที่ถูกโล่กระแทกเข้าที่หัวนั้นดูจะได้รับความเสียหายหนักกว่า เพราะร่วงลงมากองกับพื้นไม่เป็นท่า และทรุดอยู่อย่างนั้นไปอีกพักหนึ่งทีเดียว

นักดาบเห็นจังหวะเหมาะในการโจมตีก็กระโดดขึ้นไปกลางอากาศเพื่อใช้ท่าโจมตีอันรุนแรงกับมังกรที่ยังชะงักอยู่

ระหว่างที่เขาลอยตัวอยู่ นักเวทก็ฉวยจังหวะนั้นร่ายคำสาป ‘วูลเนราบิลิตี้’ ใส่มังกรเพื่อลดพลังป้องกันของมัน ในขณะที่พาลาดินก็ร่ายเวทเสริมพลัง ‘เบลสซิ่งออฟไมท์’ (Blessing of Might) เพิ่มพลังโจมตีทางกายภาพให้กับนักดาบ ไปในเวลาเดียวกัน การประสานงานองทั้งสองคนนี้เสร็จสิ้นก่อนที่นักดาบจะเข้าถึงตัวของเจ้ามังกรเพียงเสี้ยววินาที

นักดาบกระโดดลงมาสับคอของมังกรไฟจนขาดกระเด็นในดาบเดียว ด้วยท่า ‘โคลอสซอลสแมช’ (Colossal Smash) ท่านี้เป็นท่าโจมตีอันรุนแรงของดาบสองมือซึ่งแม้จะมีช่องโหว่ระหว่างรวบรวมพลังกลางอากาศ และใช้โจมตีเป้าหมายที่เคลื่อนที่อยู่ได้ยากแต่ก็มีพลังทำลายสูงมาก

มังกรดินโฉบตามลงมาในเวลาไม่ห่างกันมาก แต่ก็ยังช้าเกินไป เพราะกว่าจะลงมาถึง มังกรไฟก็ถูกจัดการไปแล้ว เหล่านักผจญภัยจึงรับมือกับเป้าหมายสุดท้ายที่เหลืออยู่เพียงตัวเดียวได้อย่างสบาย

แม้มังกรดินจะพยายามหลบหนีในตอนที่พลังชีวิตลดต่ำลงกว่า 25% แต่เพราะอาการบาดเจ็บสะสมทำให้มันเชื่องช้าลงไปมาก และเหล่านักผจญภัยยังลงมือได้อย่างรุนแรง รวดเร็ว จนในที่สุดมันก็ถูกจัดการไปโดยไม่ทันได้หนีออกมาเลย

 

———————————————————————————————————-

 

Part 2

 

เมื่อเสร็จจากการต่อสู้แล้วนักผจญภัยกลุ่มนั้นก็มุ่งหน้าต่อไปยังเส้นทางขึ้นอคาทอชเขตเหนือ

ดูเหมือนพวกเขาจะเป็นนักผจญภัยระดับสูงที่ผ่านทางมาเพื่อจะไปยังพื้นที่ระดับสูงกว่าเท่านั้น ซาลจึงหายข้องใจในความเก่งกาจของพวกเขา

ในเมื่อเหล่าสมุนทั้งสองเสียท่าจนถูกฆ่าตายไปก่อนจะได้หนี ซาลจึงหันไปมองการทำงานของระบบส่วนที่เหลือแทน

วงเชื่อมพลังเวทถ่ายเทพลังให้กับวงเวทอัญเชิญและทำการอัญเชิญมังกรทั้งสองตัวกลับออกมาใหม่ยังจุดรวมพลตามที่เขาได้กำหนดเอาไว้ ที่นั่นมีมังกรอีกสองตัวซึ่งอยู่ในอาการบาดเจ็บกลับมาพักฟื้นเช่นกัน เพราะระหว่างที่ซาลกำลังดูการต่อสู้ฝั่งหนึ่งอยู่ กลุ่มอื่น ๆ ก็เกิดการปะทะด้วย แต่เพราะพวกมังกรที่บาดเจ็บอยู่ไม่ใช่มังกรไฟ ทำให้มังกรดินที่เพิ่งถูกอัญเชิญออกมาบินออกจากจุดรวมพลไปพร้อมกับมังกรไฟอีกตัวทันที

“อา.. สงสัยต้องเพิ่มให้ช่วยทำการรักษามังกรทุกตัวที่บาดเจ็บถึงจะถูกแฮะ”

 

[มังกรดิน, น้ำ, ลม]

เมื่อพบมังกรที่บาดเจ็บอยู่ในจุดรวมพล ให้ทำการร่ายเวทรักษา

หากที่จุดรวมพลยังมีมังกรที่บาดเจ็บอยู่ อย่าเพิ่งออกจากจุดรวมพล

 

“แบบนี้น่าจะทำให้ช่วยกันรักษาจนฟื้นพลังเต็มได้เร็วขึ้นแหละนะ”

ซาลมองตามเหล่ามังกรที่บินออกจากจุดรวมพลไป

พวกมันวนไปตามจุดต่าง ๆ ที่วางตำแหน่งไว้เพื่อหากลุ่มมอนสเตอร์ที่ตรงเงื่อนไข โดยสามารถหลบเลี่ยงเหล่านักผจญภัยได้อย่างฉลาดกว่าที่เขาคิด เมื่อพบกลุ่มมอนสเตอร์ที่ตรงเงื่อนไขแล้วพวกมันก็เข้าร่วมกับกลุ่มนั้นตามที่ควรจะเป็นทุกอย่าง

เป็นอันว่า วงจรคำสั่งสำหรับให้สมุนอัญเชิญตัวเองออกมาใหม่และออกไปหากลุ่มมอนสเตอร์อยู่เองนั้นสามารถทำงานได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เหลือแค่คำสั่งสำหรับการถอนตัวซึ่งยังทำงานได้ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพนัก เพราะดูจากพลังเวทที่ซาลารัสมีเหลืออยู่แล้ว ได้เกิดการอัญเชิญสมุนออกมาใหม่ทั้งสิ้นหกตัวด้วยกัน แปลว่าจากการต่อสู้ทั้งหมดสี่แห่ง มีสมุนหนีรอดออกมาทันแค่สองตัวจากแปดตัวเท่านั้น

“อืม… รึว่ารอจนพลังชีวิตเหลือ 25% จะน้อยเกินไปนะ”

เมื่อพลังชีวิตลดต่ำลงมาก ๆ จะทำให้เกิดอาการบาดเจ็บสะสมจนความสามารถในการหลบหลีกและเคลื่อนที่ตกต่ำลงไปด้วย เพราะเหตุนี้ทำให้สมุนที่มีอาการบาดเจ็บมาก ๆ ยิ่งถอยออกจากการต่อสู้ลำบาก

“ปรับขึ้นมาเป็นสัก 35% ก็แล้วกัน”

ระหว่างที่เขาจัดการกับชุดคำสั่งอยู่ แซนโดรก็กลับมาจากการซื้อของพอดี และขึ้นมานั่งประจำที่ของตัวเอง ก่อนจะสั่งให้รถม้าเคลื่อนตัวเพื่อเดินทางต่อไป ซาลที่นึกอะไรขึ้นมาได้จึงรีบเอ่ยถามแซนโดรด้วยท่าทางกระตือรือร้น

“นี่ ๆ แซนโดร ตะกี้ผมเจอนักเวทที่น่าสนใจด้วยล่ะ!”

“…นักเวทที่น่าสนใจเหรอ?…”

“ใช่แล้วล่ะ เป็นคนที่ใช้เวทพันธนาการและเวทคำสาปได้มากมายเลย ทั้งตรึงเหล่ามอนสเตอร์ได้ตามใจชอบ และใส่คำสาปให้พวกมันจนง่อยกันไปหมด รู้รึเปล่าว่าเป็นคลาสอะไร?”

“…เขาใช้เวทอะไรบ้างล่ะ?…”

“อืม… น่าจะมี ‘ควิกแซนด์’, ‘ไฮเบอเนท’, ‘เอ็นแทงเกิล’, ‘สโลว์’, ‘วูเนราบิลิตี้’, ‘วีคเนส’, อ้อ มี ‘แอซิดคลาวด์’ ด้วย!”

“…รู้สึกจะเป็นเวทธาตุไม้กับธาตุดินซะส่วนใหญ่นะ …แล้วก็มีเวทสายคำสาปของธาตุมืดด้วย …ถ้าให้เดาคลาสคงจะพูดยากว่าเป็นอะไร ระหว่างดรูอิด (Druid) กับ เนเจอร์เมจ (Nature Mage) …แต่ดูจากการเน้นเวทคำสาปแบบนี้ น่าจะเป็นนักเวทไสตล์ ‘ทริคส์เตอร์’ (Trickster) ล่ะมั้ง…”

“ทริคส์เตอร์เหรอ? เป็นคลาสเหรอ?”

“…ไม่ใช่คลาสหรอก …เป็นไสตล์การต่อสู้น่ะ …ทริคส์เตอร์ หมายถึงนักผจญภัยที่เน้นการใช้เวทก่อกวนเป็นหลัก …จัดเป็นตำแหน่งสายสนับสนุน (ซัพพอร์ท) อย่างหนึ่ง …แม้จะไม่ใช่ไสตล์การต่อสู้ที่มีการโจมตีอันรุนแรง หรือทักษะอันหวือหวาอลังการ …แต่ถ้าเป็นคนที่มีฝีมือละก็จะสามารถสร้างความแตกต่างในการต่อสู้และพลิกสถานการณ์ได้ดีกว่าพวกสายโจมตีซะอีก…”

“เห~ มีสายการต่อสู้แบบนี้ด้วยเหรอ ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”

“…มันเป็นสายที่ไม่ค่อยนิยมในกลุ่มนักผจญภัยระดับล่างไปจนถึงระดับกลางน่ะ  …เพราะมอนสเตอร์ในช่วงนั้นยังไม่แข็งแกร่งจนต้องอาศัยการซัพพอรท์มากนัก …และการต่อสู้ก็มักจะจบลงในเวลาไม่นาน ทำให้ไม่ค่อยคุ้มกับการใช้เวทดีบัพด้วย สู้รีบ ๆ ใช้เวทโจมตีฆ่าให้เร็ว ๆ จะดีกว่า …อ้อ เกือบลืมเลย นิโคล นี่ของที่เธออยากได้…”

แซนโดรนำอุปกรณ์อิเล็คโทรนิคส์รูปร่างเหมือนแผ่นกระดานชิ้นหนึ่งออกมาจากช่องเก็บของและยื่นให้กับนิโคล

มันคือ ‘แท็บเล็ท’ อุปกรณ์อเนกประสงค์ซึ่งเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่หลงเหลือมาจากโลกเก่านั่นเอง

เทคโนโลยีจากโลกเก่าอย่าง โทรทัศน์, โทรศัพท์, หรือ คอมพิวเตอร์ ยังได้รับการกอบกู้ขึ้นมาใหม่และถูกใช้กันอย่างแพร่หลาย ทั้งยังมีการผสมผสานกับวิทยาการเวทมนตร์ด้วย มันจึงกลายเป็นเทคโนโลยีชนิดหนึ่งของโลกใหม่ไปแล้ว แต่ค่านิยมในการใช้ของเหล่านี้ยังไม่เทียบเท่ากับสมัยโลกเก่าที่ทุกคนต้องมีสมาร์ทโฟน ทุกบ้านต้องมีคอมพิวเตอร์ ผู้คนในโลกใหม่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการครอบครองหรือใช้งานอุปกรณ์เหล่านี้มากนัก เพราะมีเวทมนตร์หลายชนิดที่ทำหน้าที่คล้ายคลึงกันได้ มันจึงเป็นของที่มีหรือไม่มีก็ได้ สำหรับคนทั่วไป

“เห? แท็บเล็ทเหรอ? เอามาทำอะไรน่ะ?”

ซาลเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย เพราะไม่คิดว่านิโคลจะต้องการใช้ของแบบนี้ด้วย ส่วนนิโคลที่กำลังเปิดแท็บเล็ทที่ได้มาใหม่ดูก็ตอบกลับมาด้วยสีหน้าอ่อนโยน

“ฉันอยากจะรู้เรื่องราวของโลกภายนอกในช่วงหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมานี้น่ะค่ะ ก็เลยคิดว่าจะใช้แท็บเล็ทนี่หาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ทเอา”

“หืม? ของแบบนั้นใช้เวทสื่อสารเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ทเอาก็ได้ไม่ใช่เหรอ?”

“อินเตอร์เน็ทที่เชื่อมต่อด้วยเวทมนตร์จะจำกัดฐานข้อมูลไว้เฉพาะเผ่าพันธุ์ของตนเอง เผ่ามังกรจะไม่สามารถดูฐานข้อมูลอินเตอร์เน็ทของเผ่ามนุษย์ได้ เท่ากับว่าข้อมูลที่เข้าถึงได้จะน้อยกว่ากันมากเลย อันที่จริงฐานข้อมูลอินเตอร์เน็ทของเผ่ามังกรน่ะแทบจะไม่มีอะไรเกี่ยวกับโลกภายนอกเลยล่ะค่ะ”

เมื่อได้ฟังเช่นนั้นซาลก็พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ ก่อนจะสังเกตเห็นตรารูปแอปปริคอทที่ด้านหลังของแท็บเล็ท จึงเอ่ยถามออกมา

“หืม? แทบเล็ทนี่มัน ของค่ายแอปปริคอท (Apricot) งั้นเหรอ?”

แซนโดรเมื่อได้ยินซาลารัสถามขึ้นจึงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ

“…ใช่แล้ว นี่คือไอเพลท 7 (iPlate 7) เป็นแท็บเล็ทรุ่นใหม่ล่าสุดของค่ายแอปปริคอท…”

“ไม่ใช่ว่าของซัมซึน (SamTsun) ดีกว่าหรอกเหรอ?”

เมื่อได้ยินคำพูดนั้น แซนโดรก็ชะงักไปเล็กน้อย เธอเหลือบตาเหมือนกับขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะย้อนถามกลับไป

“…อธิบายคำว่าดีกว่าซิ…”

“อ่า… ก็มันราคาถูกกว่า แต่มีเสป็คที่ใกล้เคียงกันไง”

“…แบบนั้นเขาเรียกว่าถูกกว่า ไม่ใช่เรียกว่าดีกว่า…”

“แต่ถ้าได้ของที่คุณภาพใกล้กันด้วยราคาที่ถูกกว่า ก็ควรจะเรียกว่าดีกว่าได้ไม่ใช่เหรอ?”

“…นั่นมันความคิดของคนที่มีทุนทรัพย์จำกัดจึงต้องให้น้ำหนักเรื่องราคาเป็นพิเศษต่างหาก แต่หากไม่ต้องคำนึงถึงเรื่องอื่น ๆ แล้ว ไม่ว่าใครก็ต้องเลือกใช้ของที่ตัวเองรู้สึกเหมาะมือกันทั้งนั้น ฉันแค่ใช้ของแอปปริคอทเพราะรู้สึกว่าเหมาะมือดีก็แค่นั้นแหละ …จริงสิ นิโคล พวกพีชคีปเปอร์น่ะมีการสอดส่องดูแลการใช้งานอินเตอร์เน็ทอยู่ด้วยนะ …ดังนั้นอย่าไปค้นข้อมูลอะไรแปลก ๆ ที่น่าสงสัยให้พวกนั้นสะดุดตา …เพราะจะถูกตรวจสอบและตามหาต้นตอคนค้นเอาได้…”

แซนโดรหันไปเตือนนิโคลที่กำลังเปิดดูแท็บเล็ทอยู่ ซึ่งนิโคลก็มีสีหน้างุนงงอยู่พักหนึ่งเพราะไม่แน่ใจว่าข้อมูลแบบไหนถึงจะถือว่าแปลกและน่าสงสัย แต่ก็พยักหน้ารับคำ ในขณะที่ซาลขมวดคิ้วและหันมาถามแซนโดรด้วยน้ำเสียงยียวนนิด ๆ

“คิดว่านิโคลเขาจะค้นเรื่องอะไรล่ะ? ‘วิธีการครองโลก’ หรือ ‘ทำไงจะโค่นพีชคีปเปอร์ได้’ เงี้ยเหรอ?”

“…ก็แค่เตือนไว้น่ะ …ออ ถ้าพยายามหาภาพโป๊ก็ทำให้โดนตรวจสอบเหมือนกันนะ…”

แซนโดรแอบหยอกนิโคลตามเคย ซึ่งนิโคลก็ออกอาการร้อนรนเหมือนไม่รู้ว่ากำลังโดนหยอกเล่นตามเคยเช่นกัน

“ฉะ! ฉันไม่ทำหรอกค่ะ!”

“…แต่ถ้าอยากดูจริง ๆ …ฉันก็พอจะมีวิธีช่วยได้นะ…”

“กะ! ก็บอกว่าไม่ทำไงคะ!!”

“…หน้าแดงแบบนี้ …แปลว่าคิดจะทำแหง ๆ…”

“เมื่อกี้พอบอกว่ามีวิธีก็ทำท่าดีใจไปแวบนึงด้วยล่ะ”

ซาลที่เห็นว่าน่าสนุกดีจึงช่วยสมทบด้วยอีกแรง ทำให้นิโคลยิ่งร้อนรนขึ้นไปอีก

“ก็บอกว่าไม่ใช่ไงล่ะค้า~~”

นิโคลที่ถูกแซนโดรกับซาลหยอกล้อนั้นหน้าแดงไปจนถึงใบหูด้วยความอาย

พอรู้ตัวว่าถูกแกล้งเธอก็ทำท่างอนจนแก้มป่องแล้วหันไปเล่นแท็บเล็ทเงียบ ๆ คนเดียวแทน ทำให้ซาลต้องเข้าไปง้ออยู่พักใหญ่ ส่วนแซนโดรก็เอาแต่นั่งอมยิ้มโดยไม่ช่วยอะไรเลย

 

———————————————————————————————————-

 

Part 3

 

เมื่อง้อจนนิโคลหายงอนแล้ว ซาลก็หันกลับมาคุยกับแซนโดรต่อ

“นี่แซนโดร ผมยังสงสัยเรื่องทริคส์เตอร์อยู่น่ะ ทำไมในช่วงระดับล่าง ๆ ไปจนถึงระดับกลาง ๆ ถึงไม่นิยม แล้วไปนิยมในระดับสูง ๆ ได้ล่ะ?”

“…ถึงจะเป็นระดับสูง ๆ ก็ใช่ว่าได้รับความนิยมหรอกนะ แค่พบเห็นได้มากขึ้น …พวกมอนสเตอร์ระดับสูง ๆ จะมีทักษะอันตรายมากมาย แถมยังอึดอีกด้วย การต่อสู้จึงเริ่มกินเวลานาน …เวทคำสาปที่ช่วยลดความสามารถในการต่อสู้ของศัตรูจึงเข้ามามีผลมากขึ้น และการช่วยสกัดกั้นหรือกันมอนสเตอร์บางส่วนออกจากการต่อสู้ไปก็ยิ่งช่วยได้มาก…”

“ทำไมคนถึงไม่นิยมล่ะ? เพราะมันไม่เก่งเหรอ?”

“…สาเหตุแรกคือเพราะมันเป็นสไตล์ที่ค่อนข้างยาก ต้องอาศัยฝีมือและความสามารถเฉพาะตัวสูง …ความเก่งมันจึงขึ้นอยู่กับฝีมือของแต่ละคนนี่แหละ …ถ้าเป็นคนที่มีฝีมือจริง ๆ ก็จะสร้างความแตกต่างในการต่อสู้ได้มาก แต่ถ้าไม่ ก็อาจกลายเป็นตัวถ่วงให้กับทีมไปเลย…”

“อืม… แล้วเหตุผลอีกข้อล่ะ?”

“…เพราะว่ามันไม่เด่นและฉายเดี่ยวไม่ได้ไงล่ะ …พวกนักผจญภัยน่ะชอบโชว์เทพ อวดสรรพคุณความแข็งแกร่งของตัวเองเป็นปกติ …ยิ่งยิงแรง ตีแรง มีท่าอลังการงานสร้าง แสบตา บาดใจ ก็ยิ่งชอบ …ทริคส์เตอร์น่ะเป็นไสตล์ที่ปิดทองหลังพระ ยิ่งกว่าพวกฮีลเลอร์ซะอีก …ได้แต่ใส่ดีบัพ วิ่งล่อเป้า ไม่ค่อยได้ใช้ท่าโจมตีแรง ๆ อย่างใครเขา …แถมฉายเดี่ยวได้ยากด้วย คนเลยไม่ค่อยนิยมกันนัก…”

“เข้าใจล่ะ.. แล้ว คลาสอะไรที่เหมาะจะเป็นทริคส์เตอร์บ้างล่ะ?”

คำถามของซาล ทำให้แซนโดรหยุดชะงักไปครู่หนึ่งเพราะคาดไม่ถึง

“…นี่เธอ …สนใจจะเป็นทริคส์เตอร์งั้นเหรอ?…”

“ใช่แล้วล่ะ! ผมว่ามันเจ๋งมากเลยนะ! การได้ควบคุมสนามรบให้เป็นไปตามใจต้องการ แล้วเล่นหัวกับศัตรูโดยหลบคมเขี้ยวออกมาแค่เพียงฉิวเฉียดเนี่ย เท่สุด ๆ ไปเลย!”

“…รสนิยมยังแปลกประหลาดไม่มีใครเกินเหมือนอย่างเคยเลยนะ …เธอเข้าใจแน่แล้วรึเปล่าว่าการเป็นทริคส์เตอร์คืออะไร? …มันเป็นไสตล์ที่มีไว้ป่วนการต่อสู้มากกว่าจะเป็นกำลังหลักนะ…”

“ฮื่อ ๆ นั่นแหละ ใช่เลย!”

“…นิสัยชอบกวนประสาทคนของเธอนี่มันแรงจนอยากเอามาเป็นโรล (Role = ตำแหน่งในการต่อสู้) เลยสินะ…”

“ว่าไงนะ!?”

ซาลขมวดคิ้วเพราะรู้สึกว่ากำลังโดนหลอกด่าอยู่แม้จะไม่ค่อยเข้าใจประโยคทั้งหมดก็ตาม ส่วนแซนโดรก็อธิบายต่อเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“…ถ้าเป็นสมัยก่อนที่การใช้เวทยังจำกัดอยู่กับคลาส พวกคลาสสาย ดรูอิด, ชาแมน, หรือ วิชด็อคเตอร์ ก็น่าจะเหมาะที่สุดล่ะมั้ง …แต่สมัยนี้ทุกคลาสมีการพัฒนาและแลกเปลี่ยนวิทยาการกันไปไกลมาก ไม่ว่าคลาสไหนก็เข้าถึงเวทได้เกือบทุกชนิด ต่างกันแค่ประสิทธิภาพแค่นิดหน่อย ดังนั้นเธอมุ่งหน้าเป็นวิซาร์ดต่อไปน่ะดีแล้ว…”

“เห? จะดีเหรอ? วิซาร์ดเป็นนักเวทสายโจมตีนี่นา จะไม่ค่อยมีทักษะเสริมพวกเวทพันธนาการรึเปล่า?”

“…ของพวกนั้นมันฝึกกันได้ ถึงจะต้องใช้เวลาเพิ่มสักหน่อยแต่ก็น่าจะคุ้มกว่า …ทริคส์เตอร์น่ะเป็นไสตล์การต่อสู้ ไม่ใช่คลาส …ขอแค่ใช้เวทสายก่อกวนได้ก็เป็นทริคส์เตอร์ได้ …ประสิทธิภาพของเวทสายก่อกวนน่ะจะคลาสไหนก็ไม่ต่างกันมากหรอก …แต่ถ้าเป็นวิซาร์ด ในจังหวะเหมาะ ๆ จะมีเวทโจมตีแรง ๆ ให้เลือกใช้ได้ด้วย ความยืดหยุ่นในการต่อสู้จะสูงกว่า…”

“โอเค งั้นต่อไปนี้ก็ต้องเน้นฝึกเวทธาตุดินกับน้ำสินะ”

“…ดินกับน้ำเป็นธาตุพื้นฐานที่มีเวทสายพันธนาการและสนับสนุนแค่จำนวนหนึ่ง …เวทกลุ่มนี้จะมีเยอะจริงๆในเวทธาตุน้ำแข็งและไม้ …ดังนั้นเธอต้องหมั่นฝึกทั้งเวทธาตุดิน, น้ำ, และลม เพื่อให้มีพื้นฐานในการใช้เวทธาตุผสมได้…”

“โอเค น้ำแข็งกับไม้สินะ มาลุยกันเลย!”

“…บอกไว้ก่อนว่าการใช้เวทธาตุผสมน่ะเป็นความรู้ของคลาสระดับสองแล้วนะ …การประสานอักขระสองธาตุเพื่อให้เกิดเวทธาตุใหม่น่ะไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย ๆ …ถ้าทำได้ก็เท่ากับว่าเธอมีความสามารถเพียงพอที่จะเลื่อนคลาสเป็นเมจ (Mage) แล้วไงล่ะ…”

“โอ้ว ผมกำลังจะได้เป็นเมจแล้วเหรอเนี่ย ยอดเลย!”

แซนโดรแอบเหนื่อยใจกับความคิดง่าย ๆ ของอีกฝ่าย แต่การที่เขามีความมั่นใจและมองโลกในแง่ดีแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร

ในเย็นวันนั้น แซนโดรสอนการประสานอักขระสองธาตุเพื่อร่ายเวทธาตุผสมให้กับซาล ซึ่งเขาก็ต้องทดลองซ้ำอยู่หลายรอบเหมือนกันกว่าจะทำได้สำเร็จ แต่ประสิทธิภาพของมันก็ยังห่างไกลจากคำว่าสมบูรณ์มาก

เพราะพลังเวทของเขาหมดเกลี้ยงพอดี การฝึกฝนจึงถูกพักอยู่แค่นั้น

เช้าวันต่อมา ซาลพบว่าพลังเวทของเขามีเหลืออยู่ราวๆ 35% คงเพราะระหว่างนอนหลับ วงเวทอัญเชิญอัตโนมัติก็ยังทำการอัญเชิญสมุนออกมาเติมเรื่อย ๆ ทำให้พลังเวทของเขาลดลง

เมื่อกวาดสายตาดูก็พบว่าในดันเจียนมีสมุนครบทั้งสิบหกตัว และพวกมันก็กลายเป็นสมุนระดับ 5 กันหมดทุกตัวแล้ว แม้จะเป็นแค่ช่วงเริ่มต้นก็ตาม

“ดูเหมือนอัตราการหนีรอดจะยังต่ำอยู่ แต่ก็ดีขึ้นกว่าเมื่อวานล่ะมั้ง ไว้ว่าง ๆ ลองมาปรับแต่งดูอีกทีดีกว่า”

เพราะตอนนี้ซาลให้ความสนใจกับการฝึกฝนเวทมากกว่า และอัตราการรอดตายของสมุนก็อยู่ในระดับที่ไม่แย่นัก ระบบหมุนเวียนสมุนที่วางเอาไว้ก็ทำงานได้ดีด้วย เขาจึงคิดว่าจะปล่อยให้เหล่าสมุนฝึกฝนตัวเองไป แล้วเอาเวลาไปให้กับการฝึกเวทดีกว่า

รถม้าของแซนโดรยังคงเดินทางต่อไปเรื่อย ๆ โดยแทบไม่มีการหยุดพัก

ซาลใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกเวทธาตุไม้ ซึ่งการจะปรับสมดุลอักขระของธาตุองค์ประกอบคือดินและน้ำเพื่อใช้เวทธาตุไม้นั้นเป็นสิ่งที่ยากกว่าที่เขาคิดมากทีเดียว

เวทที่เขาฝึกในตอนนี้คือเวท ‘โกรวท์’ (Growth) เป็นเวทพื้นฐานของธาตุไม้แบบง่าย ๆ ที่จะสร้างต้นกล้าของพืชขึ้นมาจากดิน แต่หากถ่ายเทพลังเวทลงอักขระผิดสัดส่วนไปแม้แต่นิดเดียวเวทก็จะล้มเหลวทันที ไม่กลายเป็นดินโคลนเหลว ๆ ก็กลายเป็นก้อนหินแข็ง ๆ ออกมาแทน

ในการทดลองร่ายห้าครั้ง ซาลยังทำสำเร็จเพียงสองครั้งเท่านั้น แถมต้นกล้าที่ออกมายังแคระแกร็นดูใกล้ตายมากกว่าจะเติบโต แซนโดรจึงให้เขาทำไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะร่ายได้สมบูรณ์

ระหว่างทางนั้นมีการแวะเพื่อวางดันเจียนตามพื้นที่เปิดอยู่บ้างนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้มีการแวะเข้าเมืองอีกเลย ในเวลาวันกว่า ๆ รถม้าก็เดินทางมาจนถึงสุดขอบตะวันตกเฉียงใต้ของอาณาจักรเซนิทาล ที่ซึ่งเป็นหน้าผาอันสูงชันอยู่ติดกับริมทะเล เมื่อถึงที่หมายแล้วแซนโดรจึงให้ทุกคนลงจากรถ

ซาลที่ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงมาหยุดอยู่กลางทางจึงเอ่ยถามขึ้น

“เอ๋? เราไม่ได้จะไปเอ็นซิสกันหรอกเหรอ?”

“…ไปสิ ก็อยู่โน่นไงล่ะ…”

แซนโดรชี้ไปยังอีกฟากหนึ่งของทะเล

ที่สุดขอบฟ้านั้นมีเงาของแผ่นดินลาง ๆ ให้เห็นอยู่ แต่มันไกลจนเกือบจะพ้นระยะสายตาไปแล้ว

“จุดผ่านแดนระหว่างเซนิทาลกับเอ็นซิสอยู่ทางใต้ไปอีกหน่อย …แต่ฉันกลัวว่าอาจมีการตรวจสอบที่เข้มงวดขึ้นกว่าเดิมในระยะนี้ …แถมเรายังไม่ควรใช้วงเวทเคลื่อนย้ายในการผ่านแดนด้วย …เพราะงั้นฉันเลยคิดว่าจะบินข้ามไปแทน…”

พูดจบแซนโดรก็อัญเชิญโบนดรากอนออกมาอีกครั้ง คราวนี้มันเป็นมังกรโครงกระดูกขนาดใหญ่ยิ่งกว่าคราวก่อน แค่อุ้งมือของมันก็สามารถถือคนหนึ่งหรือสองคนได้อย่างสบาย

“ความจริงให้ฉันแปลงร่างเป็นมังกรแล้วพาบินข้ามไปก็ได้นะคะ”

นิโคลเสนอขึ้นเพราะอยากทำตัวให้เป็นประโยชน์กับการเดินทางอีกสักหน่อย แต่แซนโดรก็ปฏิเสธ

“…ไม่เป็นไร เรายังต้องเดินทางกันอีกไกล …เธอออมแรงเอาไว้ก่อนดีกว่า…”

เมื่อพูดจบทุกคนก็ขึ้นไปยืนบนอุ้งมือของมังกรโครงกระดูก ซาลกับแซนโดรยืนอยู่บนอุ้งมือข้างขวา ส่วนนิโคลยืนอยู่บนอุ้งมือข้างซ้าย

เมื่อทุกคนประจำที่ดีแล้ว โบนดรากอนก็กระพือปีกที่มีแต่โครงกระดูกนั่นจนเกิดลมกรรโชกพัดฝุ่นโดยรอบจนฟุ้งกระจาย แล้วบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อมุ่งหน้าไปยังแผ่นดินที่อยู่อีกฟากของทะเล

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด