Doombringer the 5th 24

Now you are reading Doombringer the 5th Chapter 24 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Ch.24 – เป้าหมายต่อไป

Translator : YoyoTanya / Author

Ch. 24

เป้าหมายต่อไป

 

Part 1

 

คณะเดินทางของซาลเดินทางด้วยรถม้าลงมาทางใต้เพื่อแวะพักยังเมืองแทนซาเนียที่อยู่ใกล้ ๆ

ซาลกับนิโคลนั่งอยู่ฝั่งท้ายของรถ ส่วนแซนโดรกับลานาเทลนั่งเบียดกันอยู่ฝั่งหน้า ทำให้แซนโดรมีท่าทีลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็พยายามตีสีหน้าเรียบเฉยและอธิบายเรื่องเป้าหมายของกลุ่มให้ลานาเทลฟังไปด้วยในระหว่างเดินทาง

“หืม~ แบบนี้นี่เอง ไม่นึกว่าจะได้มาเจอคนที่มีเป้าหมายเดียวกันอยู่แล้วแบบนี้ โลกช่างกลมจริง ๆ เลยนะคะ”

“…ในโลกเก่ามีคำกล่าวที่ว่า ‘ผู้ใช้แสตนด์ย่อมดึงดูดผู้ใช้แสตนด์ด้วยกัน’ …หมายถึงคนแบบเดียวกันก็มักจะได้โคจรมาพานพบกันในที่สุดไงล่ะ…”

“หมายความว่านี่เป็นบุพเพสันนิวาสสินะคะ ฮุฮุฮุ~”

ถ้อยคำหยอกล้อของลานาเทลทำให้หนังตาของแซนโดรมีอาการกระตุกแทบทุกครั้งที่ได้ยิน แต่เธอก็ยังคงพยายามสงบท่าทีและทำเป็นไม่สนใจคำพูดเหล่านั้น

ทว่าสีหน้ายียวนที่เหมือนจะกลั้นหัวเราะอยู่ตลอดเวลาของซาลซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็ทำให้แซนโดรยิ่งหงุดหงิดเข้าไปอีก เธอจึงต้องรีบหาประเด็นมาเปลี่ยนเรื่อง

“…ว่าแต่เธอวางแผนการสำหรับการโค่นพีชคีปเปอร์และการครองโลกเอาไว้ยังไงบ้างล่ะ? …ไหนลองเล่ามาซิ…”

“อืม~ ขั้นแรกก็คงต้องแจกการ์ดซะก่อนน่ะค่ะ ดิฉันคงจะเชิญเฉพาะเพื่อนสนิทและญาติไม่กี่คน ส่วนสถานที่จัดงานก็เอาเป็นยอดเขาไซเลนซ์ในวาลาเชีย จากนั้นเราค่อยไปฮันนีมูนกันรอบโลก วนเที่ยวทุกอาณาจักรตามเข็มนาฬิกา ตั้งแต่โดมินาเรียไปจนถึงเทอร่าเลยดีมั้ยคะ?”

คำพูดนอกเรื่องของลานาเทลทำให้แซนโดรฟิวส์ขาดในที่สุด เธอพุ่งมือไปที่ใบหน้าของอีกฝ่ายเพื่อที่จะบีบปากให้หยุดพูด แต่ก็ถูกลานาเทลคว้ามือเอาไว้ซะก่อนด้วยความเร็วที่เหนือกว่า

“เห~ ใจร้อนจังเลยนะคะคุณแซนโดร รอให้ถึงที่พักก่อนสิคะ แล้วคิดจะลองกำลังกับดิฉันเนี่ย แน่ใจแล้วเหรอคะ?”

ลานาเทลกุมมือของแซนโดรไว้แน่นแล้วโน้มตัวเข้าไปหา ทำให้แซนโดรต้องเอนตัวถอยด้วยสีหน้าตื่นตระหนก เพราะเธอสู้แรงของอีกฝ่ายไม่ได้จริง ๆ แถมบนรถม้าแคบ ๆ นี้ยังไม่มีที่ให้ถอยหนีอีกแล้วด้วย

“คะ.. คุณลานาเทลคะ! อย่าทำอะไรประเจิดประเจ้อสิคะ! คุณซาลารัสก็อยู่ด้วยนะคะ!”

นิโคลที่เอามือปิดตาซาลอยู่ตะโกนขึ้นมาห้ามทั้งสองคน ทำให้ลานาเทลยอมรามือไปแค่นั้น แซนโดรที่รอดมาได้อย่างหวุดหวิดจึงลอบถอนหายใจเบา ๆ

“หุหุหุ~ ล้อเล่นแค่นี้ก็แล้วกันนะคะ อืม~ เรื่องแผนการที่ฉันเตรียมไว้ ความจริงก็ยังไม่มีอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันเท่าไหร่หรอกนะคะ แต่ที่คิดเอาไว้คร่าว ๆ ก็คือจะขยายเครือข่ายธุรกิจใต้ดินแล้วค่อย ๆ จัดการกับแหล่งเงินทุนของพีชคีปเปอร์ไปทีละส่วนน่ะค่ะ”

“…อืม …นั่นก็เป็นวิธีที่ไม่เลวทีเดียว …องค์กรขนาดใหญ่อย่างพีชคีปเปอร์น่ะต้องใช้เงินทุนมหาศาลในการขับเคลื่อน …ซึ่งเงินทุนหลักก็มาจากเงินสนับสนุนที่อาณาจักรต่าง ๆ ส่งให้นั่นแหละ…”

“ใช่แล้วค่ะ และเงินทุนที่อาณาจักรต่าง ๆ ส่งให้ก็มาจากกลุ่มธุรกิจที่สนับสนุนอาณาจักรนั้น ๆ อยู่  ถ้าเราจัดการกับกลุ่มทุนเหล่านั้นได้ ก็เท่ากับเป็นการตัดท่อน้ำเลี้ยงของพีชคีปเปอร์และองค์กรก็จะเริ่มสั่นคลอน ทำให้ดำเนินการขั้นต่อ ๆ ไปได้สะดวกขึ้น”

“…เครือข่ายธุรกิจใต้ดินของซันรีเวอร์น่ะมีอยู่ในเกือบทุกอาณาจักรทั่วโลกเลยสินะ…”

“ก็เฉพาะในอาณาจักรขนาดใหญ่น่ะค่ะ อย่างเช่นในโดมินาเรียก็จะมีเครือข่ายหลัก ๆ อยู่ที่อินิสต้า, ราวินคา, และคามิเท็น ส่วนในเทอร่าก็จะมีอยู่ทั้งห้าอาณาจักรหลักของทวีป”

“…นั่นก็เป็นอาณาจักรผู้สนับสนุนหลักของพีชคีปเปอร์เกือบทั้งหมดแล้วล่ะ…”

“แต่ยังไงที่เราควบคุมอยู่ก็เป็นแค่ธุรกิจใต้ดิน เพราะมีปัญหาเรื่องการประสานงานโดยเฉพาะในช่วงเวลากลางวัน ทำให้เราต้องใช้คนกลางในการทำงาน จึงฝากฝังเรื่องสำคัญมากไม่ได้ อันที่จริงตั้งแต่ฉันเข้ามารับตำแหน่งก็เคยคิดจะขยายเครือข่ายอำนาจไปยังธุรกิจบนดินแล้ว แต่ก็ยังติดปัญหานี้อยู่”

“…ถ้าเธอไม่ได้ฆ่าพวกผู้อาวุโสจนเกลี้ยง แล้วมีวิธีสร้าง ‘ม่านแห่งราตรีนิรันดร’ เพื่อแจกจ่ายไปยังตัวแทนแต่ละสาขาละก็ มันคงไม่เป็นแบบนี้หรอกน่า…”

“ก็ฉันไม่ชอบหน้าตาแก่พวกนั้นมานานแล้วนี่คะ ทั้งเย่อหยิ่งและหัวรั้น แถมยังเสนอแผนการบ้า ๆ อย่างการทำลายดวงอาทิตย์อีก ปล่อยเอาไว้ไม่ได้หรอกค่ะ”

“…เธอนี่ก็ …เป็นคนทำอะไรไม่ยั้งคิดผิดคาดนะเนี่ย …ทำไมรอบตัวฉันถึงได้มีแต่คนแบบนี้นะ…”

“ผู้ใช้แสตนด์ย่อมดึงดูดผู้ใช้แสตนด์ด้วยกันไงล่ะแซนโดร อ๊อกกก”

ซาลที่แทรกขึ้นมาก็โดนเคียว ‘โซลฮาร์เวส’ พุ่งกระแทกเข้าไปที่ท้องอีกครั้ง

ระหว่างที่สนทนากันอยู่ รถม้าก็มาถึงเมืองแทนซาเนียซึ่งเป็นหัวเมืองใหญ่ทางตอนเหนือของอาณาจักรเอ็นซิสพอดี แซนโดรจึงหยุดรถที่โรงแรมขนาดใหญ่ที่สุดของเมือง และเข้าไปจองที่พัก

 

——————————————————————————————————–

 

Part 2

 

ลานาเทลจองห้องสวีทสองห้องสำหรับเข้าพักก่อนจะหันมายิ้มหวานให้กับแซนโดร แซนโดรจึงต้องรีบแก้โดยขอเป็นห้องพักขนาดสี่คนหนึ่งห้องแทน จากนั้นทุกคนจึงเดินขึ้นไปบนห้องพัก

แม้โรงแรมจะดูเป็นโรงแรมขนาดกลางที่ไม่หรูหรามาก และส่วนของห้องพักเหมือนจะเป็นห้องขนาดเล็ก แต่พอผ่านประตูเข้ามาจริง ๆ แล้วห้องที่จัดเตรียมไว้กลับมีพื้นที่โอ่โถงและมีห้องนอนย่อยแบ่งเป็นสัดส่วนด้วย ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะห้องพักของโรงแรมแห่งนี้เป็นพื้นที่มิติที่ถูกสร้างขึ้นด้วยวิธีการเดียวกับที่ใช้ในการสร้างดันเจียน ทำให้มีห้องพักขนาดใหญ่กว่าที่ตาเห็นอยู่ภายในส่วนของโรงแรม

เมื่อขึ้นมาถึง แซนโดรก็นำอุปกรณ์เวทมนตร์มากมายออกมาจากช่องมิติเก็บของ และวางพวกมันเรียงรายกันจนส่วนหนึ่งของห้องพักกลายเป็นเหมือนห้องวิจัยขนาดเล็ก ก่อนจะเริ่มนำ ‘ม่านแห่งราตรีนิรันดร’ ออกมาวิเคราะห์ส่วนประกอบ

“เห~ ที่แท้คุณแซนโดรก็เป็นนักประดิษฐ์เองหรอกเหรอคะเนี่ย เก่งทุกด้านเลยจริง ๆ เลย… แล้ว เด็กคนนั้นเขามีหน้าที่อะไรกันแน่เหรอคะ?”

ลานาเทลหันไปทางซาลแล้วถามขึ้น เพราะแซนโดรยังไม่ได้อธิบายรายละเอียดเรื่องตัวตนที่แท้จริงของเขา ทำให้เธอไม่รู้เหตุผลที่ต้องมีเด็กคนนี้ร่วมอยู่ในกลุ่มด้วย ส่วนแซนโดรก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ โดยสายตายังคงจับจ้องกับการวิเคราะห์ ‘ม่านแห่งราตรีนิรันดร’ ที่อยู่ในมือ

“…เด็กคนนั้น …ก็ประมาณว่าเป็น… ตัวมาสค็อต ล่ะมั้งนะ…”

“เรียกใครว่าตัวมาสค็อตกันน่ะ!?”

ซาลที่นั่งอยู่ในส่วนของห้องนั่งเล่นกับนิโคลพอได้ยินการพาดพิงเข้าก็รีบแทรกขึ้นมา

“หุหุหุ~ ก็เป็นเด็กที่น่ารักดีนะคะ แถมยังมีความสามารถด้วย รู้สึกว่าจะเอาชนะเคเลเซ็ทได้สินะคะ แต่เรื่องมารยาทอาจต้องปรับปรุงสักนิดหน่อย.. การเอามังกรยัดเข้าไปในปากของสุภาพสตรีโดยที่เจ้าตัวเขาไม่ยินยอมน่ะ เป็นการกระทำที่ป่าเถื่อนมากเลยนะคะ”

แซนโดรรู้สึกตะหงิดใจนิดหน่อยกับคำพูดของลานาเทลเพราะไม่รู้ว่าแฝงความนัยเอาไว้ด้วยรึเปล่า แต่ก็ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดจึงก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ ส่วนซาลที่ได้ยินคำพูดนั้นและเข้าใจแค่ว่ากำลังถูกตำหนิจึงพูดสวนกลับไปทันควัน

“เห? แล้วการขู่จะหักแขนหักขาคนอื่นมันเป็นการกระทำที่มีอารยะธรรมงั้นสิ? วาลาเชียนี่มีอารยะธรรมแปลก ๆ นะ”

“ฮุฮุฮุ~ ท่าทางไม่กลัวเกรงอะไรเลยนะคะ ชักจะถูกชะตาแล้วสิ”

“…อย่าไปยุ่งกับเจ้าเด็กนั่นมากจะดีกว่านะ …จะมีแต่เรื่องปวดหัวเปล่า ๆ …ตอนนี้อาจจะดูน่ารักดี แต่นาน ๆ ไปอาจอยากเอาขี้เถ้ายัดปากก็ได้…”

“ว่าไงนะ!?”

แซนโดรพูดแทรกขึ้นมาโดยยังคงเพ่งสมาธิไปที่งานตรงหน้าอยู่ ส่วนซาลที่โดนจิกกัดเข้าไปเต็ม ๆ ก็แสดงอาการหงุดหงิดออกมา ผิดกับลานาเทลที่มีสีหน้าเหมือนกำลังรู้สึกสนุกขึ้นไปอีก

“ฮุฮุฮุ~ ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ลูกของคุณแซนโดรก็เหมือนกับลูกของฉันนั่นแหละ ฉันจะเอ็นดูเด็กคนนี้ให้เหมือนกับลูกแท้ ๆ เลยนะคะ”

“…WHAT THE FFFF!? …ใครเป็นแม่ของเจ้าเด็กนี่กัน!? …เธอตาถั่วรึไง!?…”

แซนโดรขัดใจกับคำพูดของลานาเทลจนฟิวส์ขาดและทำอุปกรณ์หล่นจากมือ ก่อนจะหันมาตวาดด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว

ซาลเองทีแรกก็รู้สึกไม่ชอบใจ แต่พอเห็นปฏิกิริยาของแซนโดรแล้วก็เลยเปลี่ยนใจมาช่วยผสมโรงแทน

“แม่ครับ! ทำไมพูดแบบนั้นล่ะครับ!? แม่ไม่รักผมแล้วเหรอ!?

“…!!!?!?!?…”

แซนโดรโกรธจนส่งเสียงออกมาไม่เป็นคำพูด ส่วนลานาเทลก็พยายามกลั้นขำอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้เสียกิริยา อีกด้านหนึ่ง นิโคลซึ่งไม่ค่อยได้เห็นแซนโดรแสดงอารมณ์ออกมาสักเท่าไหร่นักก็รู้สึกกลัวขึ้นมานิด ๆ

‘ขนาดคุณแซนโดรยังโดนเล่นงานเลยเหรอเนี่ย… สงสัยเราต้องพยายามทำตัวไม่ให้เป็นจุดสนใจเข้าไว้ซะแล้ว… ขืนโดนแกล้งจากคุณลานาเทลอีกคนละก็ต้องแย่แน่ ๆ เลย T T’

ระหว่างที่คิดอยู่ ลานาเทลก็หันมาทางนิโคลพอดี เธอยิ้มละไมให้กับนิโคล ส่วนนิโคลก็ได้แต่ยิ้มแหย ๆ ตอบกลับไป

ความวุ่นวายดำเนินไปได้อีกเพียงครู่หนึ่งเหตุการณ์ก็กลับสู่ปกติ

แซนโดรใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็วิเคราะห์องค์ประกอบและวิธีที่ใช้ในการสร้าง ‘ม่านแห่งราตรีนิรันดร’ จนเสร็จสิ้น จากนั้นก็เริ่มสร้างของเลียนแบบขึ้นมา ซึ่งก็ใช้เวลาเพียงไม่ถึงสิบนาทีเท่านั้น เมื่อสร้อยเส้นใหม่เสร็จสมบูรณ์แล้ว เธอจึงเรียกลานาเทลเข้ามาหา

“…เอ้า ลองสวมดูซิ…”

“อืม~ สัมผัสจากคลื่นเวทมนตร์ที่แผ่ออกมาแล้ว ก็น่าจะใช้ได้นะคะ”

“…ของแบบนั้นไม่ลองก็ไม่รู้หรอก มานี่สิ…”

แซนโดรให้ลานาเทลไปยืนตรงหน้าต่าง จากนั้นก็เปิดม่านให้แสงอาทิตย์ส่องเข้ามาอาบร่างของลานาเทลเต็ม ๆ แต่มันก็ไม่ทำให้เกิดอันตรายใด ๆ ต่อร่างกายของเธอ

“…อืม ใช้ได้แล้วล่ะ…”

“…ใช้ฉันเป็นหนูทดลองแบบนี้ ใจร้ายจังเลยนะคะ”

“…เธอชอบแสงแดดอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? …ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย…”

ลานาเทลมองค้อนแซนโดรด้วยสายตาที่เหมือนจะงอนนิด ๆ แต่แซนโดรก็ทำเป็นไม่สนใจ

แซนโดรปิดม่านและถอดเปลี่ยนสร้อยอันเดิมให้กับลานาเทล จากนั้นก็นำสร้อยเส้นใหม่กลับมาที่โต๊ะทำงานอีกครั้ง

หลังจากเพิ่มเติมส่วนประกอบและผนึกเวทมนตร์เสริมลงไปอีกหลายชั้น ในที่สุดก็เกิดแสงเจิดจ้าจากสร้อยที่แซนโดรประดิษฐ์อยู่ ในตอนนี้รูปลักษณ์ของมันเปลี่ยนไปจนดูเหมือนเป็นอาติแฟคคนละชิ้นกัน

“…เอาล่ะ นิโคล มาทางนี้สิ…”

เมื่อเรียกนิโคลเข้ามาและสวมสร้อยให้แล้ว แซนโดรก็ทดลองร่ายเวทตรวจจับมังกรและดูการแสดงผลจากหน้าจอเวทมนตร์ แต่ก็ไม่พบความผิดปกติใด ๆ หรือก็คือเวทตรวจจับไม่ตอบสนองกับตัวตนของนิโคลอีกต่อไปแล้วนั่นเอง

“…เอาล่ะ เท่านี้ก็น่าจะใช้ได้แล้วนะ…”

“ขอบคุณมากค่ะคุณแซนโดร… ต้องลำบากเพราะฉันแท้ ๆ …”

“…ไม่ต้องคิดมากหรอก ยังไงเรื่องก็จบด้วยดีน่ะนะ …และเราก็ได้สิ่งตอบแทนมามากกว่าที่คาดด้วย…”

“เอ๋~ นั่นหมายถึงชั้นรึเปล่าคะ? ชมกันซึ่ง ๆ หน้าแบบนี้ก็เขินแย่น่ะสิ”

ลานาเทลพยายามเข้ามาโอบกอดแซนโดรจากด้านหลัง แต่แซนโดรก็หลุบตัวหลบออกไปได้ทัน ทำให้ลานาเทลได้แต่ทำหน้าผิดหวังและแสดงอาการงอนนิดหน่อย แต่ตอนนี้ยังมีอีกเรื่องที่เธออยากจะถามมากกว่า

“ว่าแต่สร้อยนี่มันคืออะไรเหรอคะ? ของที่ใช้ ‘ม่านแห่งราตรีนิรันดร’ มาดัดแปลงเนี่ย”

“…นี่คือ ‘ม่านแห่งความมืดมิด’ (Cover of Darkness) …เป็นอาติแฟคที่ใช้กลบเกลื่อนตัวตนระดับสูงจากเวทตรวจจับทุกชนิด …ถ้าสวมสิ่งนี้ไว้ ไม่ว่าเวทตรวจจับชนิดไหนก็จะอ่านค่าได้ว่าเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาเท่านั้น…”

“เอ๋? อาติแฟคระดับตำนานที่พวกปิศาจจากนรกใช้ในการแฝงตัวบนโลกนั่นน่ะเหรอคะ? สามารถสร้างของแบบนี้ขึ้นมาได้ทีเดียว ไม่ธรรมดาเลยนะคะ”

ลานาเทลพิจารณาดูสร้อยบนคอของนิโคลพลางแสดงความประหลาดใจออกมา เพราะอาติแฟคชิ้นนี้จัดเป็นหนึ่งในวิทยาการสาบสูญซึ่งน่าจะมีแต่พวกปิศาจจากนรกเท่านั้นที่มีไว้ในครอบครอง แต่แซนโดรก็อธิบายเพื่อแก้ความเข้าใจที่ผิดนั่นซะใหม่

“…เดิมทีมันก็เป็นของที่มนุษย์สร้างขึ้นนี่แหละ …พวกปิศาจได้รับมันไปจากผู้บูชาความมืดอีกทีหนึ่ง …จริง ๆ ก็ไม่ใช่วิทยาการที่ซับซ้อนอะไรนัก ขอแค่รู้วิธีทำและมีวัตถุดิบก็สร้างได้แล้ว…”

แซนโดรแตะสัมผัสสร้อยบนคอของนิโคล จากนั้นก็เกิดแสงสว่างขึ้นมาแวบหนึ่ง ก่อนที่ตัวสร้อยจะหายไป และปรากฏรอยสักเล็ก ๆ ขึ้นบนเนินอกของนิโคลแทน  นั่นก็เพราะแซนโดรได้ใส่ระบบลดภาระของผู้สวมใส่ลงไปในสร้อยเส้นนี้ด้วย มันจึงสามารถแปรสภาพไปเป็นอักขระแทนได้

ลานาเทลมองดูผลงานของแซนโดรและยิ้มอย่างชื่นชมในฝีมือ ก่อนจะเอ่ยปากกับเธออีกครั้งด้วยท่าทีเกรงใจ

“จริงสิ ถ้าไม่ว่าอะไรละก็ ฉันขอรบกวนให้ช่วยสร้าง ‘ม่านแห่งราตรีนิรันดร’ ให้หน่อยจะได้มั้ยคะ?”

“…ไม่ต้องเกรงใจหรอก …เรื่องนั้นมันเป็นหนึ่งในข้อตกลงเดิมของเราอยู่แล้ว …อยากได้สักกี่อันล่ะ ถ้าต้องการเยอะอาจต้องรอกลับไปที่คลังวัตถุดิบก่อน …แต่ถ้าแค่สี่ห้าอันละก็ จะทำให้ตอนนี้เลยก็ได้…”

“ตอนนี้ขอแค่สามอันก่อนก็พอค่ะ สำหรับพวกเด็ก ๆ น่ะ”

เมื่อรับคำขอของลานาเทลแล้ว แซนโดรก็หันไปลงมือสร้างอาติแฟคต่ออีกครั้ง

 

——————————————————————————————————–

 

Part  3

 

แซนโดรใช้เวลาไม่นานในการสร้าง ‘ม่านแห่งราตรีนิรันดร’ ทั้งสามอัน ก่อนจะยื่นมันให้กับลานาเทล

เมื่อได้รับสร้อยทั้งหมดมาแล้ว ลานาเทลก็นำดาบเคลย์มอร์ประจำกายออกมาและจรดปลายดาบลงบนพื้นห้อง จากนั้นเลือดที่บรรจุอยู่ภายในแกนดาบก็เริ่มลดระดับลง และไหลออกมาเจิ่งนองอยู่บนพื้นไม้ของห้องพักแทน

แอ่งเลือดนั้นค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นมาเป็นรูปร่างของคนสามคนที่กำลังนั่งชันเข่าอยู่ เมื่อร่างเหล่านั้นก่อตัวอย่างสมบูรณ์ ของเหลวสีแดงที่ชโลมร่างกายของพวกเขาอยู่ก็ค่อย ๆ ซึมหายเข้าไปภายใน และปรากฏเสื้อผ้ากับผิวหนังของมนุษย์ออกมาแทน

ผู้ที่นั่งอยู่ตรงนั้นก็คือ เคเลเซ็ท, ทัลดาแรม, และวาลานาร์ นั่นเอง

เมื่อลืมตาขึ้น ทัลดาแรมก็กวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้อง และพบซาลกับนิโคลนั่งอยู่ไม่ห่างไปนัก จึงออกอาการตกใจและเอามือกุมดาบของตัวเองเพื่อเตรียมพร้อมแต่ก็ยังไม่ได้ลุกขึ้นมา ทางเคเลเซ็ทกับวาลานาร์ก็ทำแบบเดียวกัน แต่ลานาเทลที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเธอก็เอ่ยห้ามเอาไว้ก่อน

“ไม่ต้องตกใจไป ตอนนี้เราเป็นพวกเดียวกันแล้วน่ะ ทำตัวตามสบายเถอะ”

สาวใช้อีกสองคนชะงักไปเพราะยังปรับตัวกับสถานการณ์ไม่ทัน ผิดกับสาวใช้ผมดำที่ให้ความสำคัญกับการคงอยู่ของลานาเทลมากกว่า

“ทะ.. ท่านลานาเทล… ปลอดภัยดีสินะคะ…”

“อื้ม ปลอดภัยดี ไม่ต้องห่วง”

เคเลเซ็ทเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เพราะสิ่งสุดท้ายที่เธอเห็นคือภาพศีรษะของลานาเทลแตกกระจายออกราวกับลูกแตงโม ทำให้เธอคิดว่าผู้เป็นนายอาจจะตายไปแล้ว ลานาเทลก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของสาวใช้ผู้ซื่อสัตย์คนนี้ดี จึงตอบคำด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวล ทำให้เธอรู้สึกอุ่นใจ

“เป็นเพราะพวกเราไร้ความสามารถแท้ ๆ ต้องขอโทษด้วยนะคะ”

“อย่าใช้คำว่า ‘พวกเรา’ สิคะ คนที่ไร้ความสามารถน่ะมีแค่คุณทัลดาแรมคนเดียวเท่านั้นเอง เป็นแท๊งค์ประสาอะไร ปล่อยให้ซัพพอร์ทผู้บอบบางอย่างดิชั้นต้องโดนมังกรขย้ำได้เนี่ย”

“ซัพพอร์ทผู้สมองนิ่มบอบบางน่ะสิ โดดไปให้เ-าขย้ำเองแบบนั้น ให้มีอีกสิบแท๊งค์ก็ช่วยไม่ได้หรอก”

“ว่าไงน๊า!?”

“พวกเธออย่าทะเลาะกันต่อหน้าท่านลานาเทลจะได้มั้ย!?”

เคเลเซ็ทพูดปรามทัลดาแรมกับวาลานาร์ที่โผล่มาก็กัดกันอีกแล้วโดยไม่ดูรอบข้างเลยสักนิด แต่ลานาเทลก็หัวเราะในลำคอให้กับความเคยชินของสาวใช้ทั้งสองโดยไม่มีทีท่าว่าจะถือสาอะไร

“เอาล่ะ กลับมาเข้าเรื่องกันเถอะ แม้จะมีเรื่องเหนือคาดไปบ้าง แต่สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็ยังเป็นไปตามที่เราต้องการ เอ้า นี่คือ ‘ม่านแห่งราตรีนิรันดร’ สำหรับพวกเธอทั้งสามคน”

ลานาเทลยื่น ‘ม่านแห่งราตรีนิรันดร’ ให้กับสาวใช้ทั้งสาม ซึ่งทุกคนก็รับเอาไว้ด้วยท่าทีนอบน้อม

“เราจะเปลี่ยนแปลงแผนที่วางเอาไว้นิดหน่อย พวกเธอสามคนไปประสานงานกับเครือข่ายของเราในโดมินาเรียตามเดิม ส่วนฉันจะเดินทางไปพร้อมกับคนกลุ่มนี้”

“เอ๋? แต่แบบนั้นมัน… ถ้ายังไงให้ฉันไปด้วยจะดีกว่ามั้ยคะ?”

เคเลเซ็ทมองไปทางพวกแซนโดรและเอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล แต่ลานาเทลก็ยิ้มละไมก่อนจะตอบกลับมา

“ไม่เป็นไร ถ้ามีเรื่องอะไรให้ช่วย ฉันจะเรียกตัวพวกเธอกลับมาเอง ไปได้แล้วล่ะ”

“ถ้างั้น… พวกเราขอตัวก่อนนะคะ…”

แม้จะดูไม่ค่อยเต็มใจ แต่เคเลเซ็ทก็น้อมรับการตัดสินใจของผู้เป็นนาย เธอกล่าวลาพร้อมทั้งเตรียมจะพาสาวใช้อีกสองออกไปจากห้อง ทว่าลานาเทลก็เอ่ยทักขึ้นมาซะก่อน

“เดี๋ยวก่อน พวกเธอจะไปกันในชุดนี้น่ะเหรอ?”

คำถามของลานาเทลทำให้สาวใช้ทั้งสามหันมามองด้วยสีหน้าฉงน เคเลเซ็ทจึงถามย้อนกลับไป

“ทำไมเหรอคะ?”

“ก็มันเป็นชุดสาวใช้นี่นา ทำไมไม่เปลี่ยนเป็นชุดเดินทางกันก่อนล่ะ”

“พวกเราไม่มีชุดอื่นนอกจากชุดสาวใช้หรอกค่ะ”

“เอ๋~ เป็นความจริงรึเนี่ย? ทำไมถึงไม่บอกฉันล่ะ?”

“ก็มันไม่จำเป็นนี่คะ ปกติอยู่ในวาลาเชีย ไปไหนมาไหนเราก็สวมแต่ชุดนี้อยู่แล้ว ชุดนี้คือความภาคภูมิใจในฐานะสาวใช้ของท่านลานาเทลค่ะ”

“แต่ตอนนี้เรากำลังจะทำภารกิจลับกันต่างหากล่ะ จะให้ใส่ชุดที่โดดเด่นขนาดนี้ออกตระเวนติดต่อเครือข่ายไปทั่วก็ถูกจับได้พอดีน่ะสิ เฮ้อ… คุณแซนโดรคะ ดิฉันขอตัวสักครู่นะคะ คงต้องพาเด็ก ๆ พวกนี้ไปหาชุดใหม่ซะหน่อยน่ะค่ะ”

“…อืม …ตามสบายเถอะ…”

เมื่อลานาเทลนำสาวใช้ทั้งสามออกไปแล้ว ในห้องจึงเหลือเพียงพวกซาลอยู่กันตามลำพัง

แซนโดรยังคงนั่งปรับแต่งสิ่งประดิษฐ์อยู่ที่โต๊ะทำงาน ส่วนซาลก็ผลอยหลับไปเพราะยังนอนมาไม่เต็มอิ่ม นิโคลจึงอุ้มเขาเข้าไปนอนในห้อง ก่อนจะกลับออกมาอีกครั้ง

เมื่อกลับมาถึงห้องส่วนกลาง นิโคลก็มีท่าทีลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเดินเข้ามาหาแซนโดรด้วยก้าวย่างอันเชื่องช้าที่แสดงถึงความรู้สึกลำบากใจ

แม้จะมายืนอยู่ใกล้ ๆ แล้ว แต่นิโคลก็ยังไม่พูดอะไรออกมา แซนโดรจึงเป็นฝ่ายเปิดการสนทนาก่อน

“…มีอะไรเหรอ?…”

นิโคลยังคงอ้ำอึ้งอยู่อีกครู่หนึ่ง แต่ในที่สุดเธอก็ยอมพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา

“ตอนนั้น… ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ฉันวู่วามเกินไป คุณลานาเทลเขาดูไม่ใช่คนที่จะลงมือฆ่าเด็กได้ง่าย ๆ จริง ๆ ด้วยค่ะ”

“…ของแบบนั้นไม่มีทางรู้แน่ชัดหรอก …ฉันเองก็วัดดวงเอาเหมือนกัน แค่โชคดีที่ผลออกมาเป็นแบบนี้ …ความจริงแล้วฉันก็ควรจะหาทางอื่นที่เสี่ยงน้อยกว่านั้นเหมือนกัน…”

“ไม่หรอกค่ะ คุณแซนโดรก็พยายามอย่างที่สุดแล้ว และเลือกทางที่จะสูญเสียน้อยที่สุดแทน… คนที่รั้นเกินไปคือฉันเองต่างหาก”

“…อย่าห่วงไปเลย การมีแนวนิดที่แตกต่างก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก …ดีซะอีกที่จะไม่พากันหลงทิศสุดกู่ไปทางใดทางหนึ่ง มีใครบางคนคอยดึงคอยรั้งกันเอาไว้ก็ดีแล้ว…”

แม้จะรู้สึกโล่งอกที่แซนโดรไม่ถือสา แต่นิโคลก็ยังมีอีกเรื่องที่รู้สึกคาใจอยู่ จึงตัดสินใจพูดออกมา

“…แต่ตอนนั้น คุณคิดจะสละชีวิตของซาลารัสจริง ๆ น่ะเหรอคะ?”

แซนโดรนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินคำถามนั้น แต่ในที่สุดเธอก็เอ่ยคำตอบออกมาด้วยสีหน้าที่ไม่สื่ออารมณ์ใด ๆ

“…ก็ …ถ้าไม่มีทางเลือกอื่นน่ะนะ…”

“จะไม่เสียใจจริง ๆ เหรอคะ?”

“…ความเสียใจมันต้องมีอยู่แล้ว …อาจเสียใจไปตลอดชีวิตด้วย …แต่ถ้าตายไปกันทั้งหมดก็จะไม่มีใครแก้แค้น ไม่มีโอกาสให้เสียใจด้วยซ้ำ …นี่จึงเป็นทางเลือกที่ฉันเลือกน่ะ …ถ้าจะต้องไปนั่งเสียใจในนรกโดยที่ไม่มีโอกาสได้ทำอะไรเลย ก็สู้เสียใจอยู่บนโลกโดยให้อีกฝ่ายต้องชดใช้การกระทำนั้นด้วยจะดีกว่า…”

เมื่อได้ฟังคำตอบของแซนโดร นิโคลก็ครุ่นคิดพิจาณาคำพูดนั้นอยู่เป็นเวลานาน ทำให้ทั้งห้องถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบ จนกระทั่งนิโคลเอ่ยปากขึ้นอีกครั้งด้วยสีหน้าที่แสดงความรู้สึกผิดออกมา

“ฉันนี่เอาแต่ใจตัวเองจริง ๆ เลยนะคะ ทั้งที่ไม่มีทางออกที่ดีกว่านี้แท้ ๆ แต่ก็ยังมาตำหนิการตัดสินใจของคุณแซนโดรซะได้”

“…ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจแบบไหนก็มีผลลัพธ์ให้ต้องแบกรับด้วยกันทั้งนั้น …เราเองต่างก็เลือกการตัดสินใจที่ให้ผลลัพธ์ที่เรายอมรับได้ …เรื่องแบบนี้ไม่มีใครผิดใครถูกหรอก อย่าคิดมากเลยนะ…”

แม้นิโคลจะรู้สึกเหมือนแซนโดรแค่พูดปลอบใจเธอมากกว่า แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้นอีก

หลังจากส่งสาวใช้ทั้งสามคนไปแล้ว ลานาเทลก็กลับมาในช่วงใกล้เวลาอาหารเย็นพอดี ทุกคนจึงลงมาทานอาหารที่ห้องอาหารชั้นล่างของโรงแรม ก่อนจะกลับขึ้นไปพักผ่อนบนห้อง

ลานาเทลพยายามจะเข้าไปนอนห้องเดียวกับแซนโดร แต่แซนโดรก็รู้ทันจึงร่ายเวทผนึกปิดกั้นห้องเอาไว้ซะก่อน ทำให้ลานาเทลต้องยอมตัดใจและกลับไปนอนยังห้องของตนเอง ส่วนซาลกับนิโคลก็นอนอยู่ในห้องใกล้ ๆ กันนั้นเอง

พอถึงรุ่งเช้า ทุกคนก็สั่งชุดอาหารเช้าขึ้นมากินกันที่ส่วนรับประทานอาหารของห้องพัก พร้อมทั้งพูดคุยกันเรื่องจุดหมายปลายทางต่อไปด้วย แซนโดรจึงเริ่มจากการถามลานาเทลก่อน

“…เธอแน่ใจเหรอว่าจะเดินทางไปกับเราน่ะ …ไม่ต้องไปดำเนินการตามแผนของเธอรึ?…”

“ฉันมอบหมายหน้าที่ให้กับพวกเด็ก ๆ ไปหมดแล้วค่ะ เรื่องการสั่งการสามารถทำจากที่ไหนก็ได้ แค่รอรับการรายงานความคืบหน้าก็พอแล้ว อันที่จริงทีแรกก็กะว่าจะออกเที่ยวเล่นรอบโลกก่อนสักปีนึงด้วยซ้ำไป เพราะงั้นมีเวลาว่างเหลือเฟือ หายห่วงค่ะ”

ดูเหมือนว่าลานาเทลจะเป็นคนที่เอาการเอางานน้อยกว่าที่แซนโดรคิด ทำให้เธอรู้สึกผิดหวังอยู่เล็ก ๆ เพราะทีแรกกะว่าจะได้คนมาช่วยแบ่งเบาภาระแล้วแท้ ๆ แต่แซนโดรก็เก็บความรู้สึกหงุดหงิดนั้นไว้และไม่ได้พูดอะไรออกมา ในขณะที่ลานาเทลยังคงพูดต่อ

“อีกอย่างฉันก็อยากใช้เวลากับคุณแซนโดรด้วยน่ะค่ะ ความรักจะเกิดขึ้นมันต้องใช้ความใกล้ชิดนะคะ”

ลานาเทลพูดพลางส่งยิ้มหวานให้ตามเคย แซนโดรจึงต้องรีบกลับเข้าเรื่อง

“…ความจริงเราก็หมดธุระที่นี่แล้ว จะกลับไปมาลาไคท์คีปเลยก็ได้ แต่ฉันยังอยากไปวางดันเจียนเพิ่มเติมก่อน…”

“วางดันเจียน? สำหรับอะไรเหรอคะ?”

“…ไว้จะอธิบายให้ฟังก็แล้วกันนะ …ความจริงในเอ็นซิสนี่ก็มีพื้นที่เหมาะ ๆ เยอะอยู่ …แต่ถ้ามองในระยะยาวแล้ว โครซิสน่าจะเหมาะกับการสร้างดันเจียนแบบเปิดมากกว่า …แถมหลาย ๆ เขตก็เป็นพื้นที่ดันเจียนระดับสูงด้วย น่าจะใช้ในระยะยาวได้”

เมื่อได้ฟังเช่นนั้น ซาลก็แสดงอาการดีใจออกมา

“แจ๋วเลย! ทีนี้ผมก็จะได้เลี้ยงวาไครี่อย่างที่ฝันไว้ซะที”

“…ก็ อย่างที่ว่าแหละ …เธอคงไม่มีปัญหาอะไรใช่มั้ย? ลานาเทล…”

“ไม่มีปัญหาค่ะ คุณแซนโดรไปที่ไหนฉันก็ไปที่นั่นแหละค่ะ แล้วก็.. เรียกฉันว่า ‘ลานนา’ ก็ได้นะคะ”

“…ไม่…”

แซนโดรกล่าวปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย สีหน้าและแววตาของเธอก็แสดงความเหนื่อยหน่ายออกมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ลานาเทลก็ยังคงรุกต่อ

“เอ๋~ ไม่ต้องเขินไปหรอกค่ะ ฉันก็จะเรียกคุณแซนโดรว่า ‘แซนด์’ ด้วยนะคะ”

“…ไม่เอา…”

“แหม~ ขี้อายจังเลย ดูอย่าง ‘ซาร่า’ กับ ‘นิค’ สิคะ พวกเขายังไม่อายเลย”

“อายครับ.. ช่วยเรียกผมว่าซาลารัสอย่างเดิมด้วยเถอะครับ”

“อย่างแย่ที่สุดก็ช่วยเรียกฉันว่านิโกะจะได้มั้ยคะ…”

คำโต้แย้งของทั้งสองคนทำให้ลานาเทลพองแก้มออกมา

“หืม~ เอาแต่ให้เรียกชื่อจริงแบบนี้แล้วเมื่อไหร่จะสนิทกันล่ะคะ”

“ถ้าเพื่อให้สนิทกันแล้วต้องใช้ชื่อนี้ ผมขอเป็นศัตรูอย่างเดิมดีกว่า…”

“โถ่~”

ลานาเทลพองแก้มแสดงความไม่พอใจนิดหน่อยในขณะที่ซาลกับนิโคลทำสีหน้าไร้อารมณ์เพื่อเป็นการประท้วง เธอจึงต้องยอมถอยให้ในที่สุด

ด้วยเหตุนี้จึงได้ข้อสรุปว่าเป้าหมายต่อไปของการเดินทางคือโครซิส ดินแดนแห่งดันเจียน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด