Doombringer the 5th 26

Now you are reading Doombringer the 5th Chapter 26 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Ch.26 – สู่การ์เดี้ยนแสตนด์

Translator : YoyoTanya / Author

Ch. 26

สู่การ์เดี้ยนแสตนด์

 

Part 1

 

การจะข้ามจากดินแดนเอ็นซิสไปยังดินแดนโครซิสนั้นสามารถทำได้สองวิธีด้วยกัน

วิธีแรกคือการขึ้นเรือจากท่าเรือเอ็นพอร์ท (Enport) ที่อยู่ตอนกลางของเอ็นซิส ไปขึ้นฝั่งที่ท่าเรือมอทัลแลนดิ้ง (Mortal Landing) ที่ส่วนเหนือสุดของโครซิส

อีกวิธีคือการใช้สะพานเชื่อมทวีปที่เมืองการ์เดี้ยนแสตนด์ (Guardian Stand) ทางตะวันออกเฉียงใต้ของดินแดนเอ็นซิสเพื่อข้ามไปยังแผ่นดินโครซิส สะพานนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเชื่อมแผ่นดินของอาณาจักรทั้งสอง ณ จุดที่แคบที่สุดของทะเลนางฟ้าคลั่ง ทำให้มันเป็นสะพานขนาดใหญ่ที่มีความยาวกว่าร้อยแปดสิบกิโลเมตร และตัวสะพานยังมีความกว้างถึงสิบกิโลเมตรอีกด้วย

ความจริงการนั่งเรือจากเอ็นพอร์ทไปจะเร็วกว่าเล็กน้อย เพราะหากเดินทางจากเมืองแทนซาเนียที่พวกซาลารัสอยู่ไปทางตะวันตกเฉียงใต้อีกราว ๆ สามร้อยกิโลเมตรก็จะถึงเอ็นพอร์ทแล้ว จากนั้นนั่งเรือต่อไปอีกไม่ถึงวันก็จะถึงโครซิสได้ แต่เพราะท่าเรือทั้งสองฝั่งมีการตรวจตราที่เข้มงวด แซนโดรจึงอยากจะอ้อมไปทางสะพานเชื่อมทวีปมากกว่า เพราะสามารถหลีกเลี่ยงการตรวจสอบได้ง่าย แม้จะต้องเดินทางอ้อมไปอีกเกือบหกร้อยกิโลเมตรก็ตาม

ด้วยเหตุนี้ คณะเดินทางจึงเลือกเส้นทางตะวันออกเฉียงใต้เพื่อมุ่งหน้าไปทางสะพานเชื่อมทวีปแทน ซึ่งแซนโดรคิดว่าหากใช้วงเวทเคลื่อนย้ายได้ตามปกติแล้วก็ไม่น่าจะเสียเวลาไปมากกว่ากันเท่าไหร่นัก

หลังจากใช้เวลาเดินทางไม่ถึงชั่วโมง รถม้าของแซนโดรมาหยุดอยู่ ณ ที่ราบใต้หน้าผาแห่งหนึ่ง ก่อนที่แซนโดรจะลงไปร่ายเวทเพื่อตรวจสอบเส้นทางของการเคลื่อนย้าย

เมื่อทดสอบจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีเครือข่ายดักจับการเคลื่อนย้ายอยู่ในเส้นทางที่กำลังจะไป แซนโดรจึงกลับขึ้นมาบนรถ และทำการเคลื่อนย้ายรถม้าผ่านวงเวทเคลื่อนย้ายนั้นไปในทันที

เมื่อการเคลื่อนย้ายเสร็จสิ้น รถม้าก็มาโผล่ยังที่ราบใต้หน้าผาอีกแห่งหนึ่งซึ่งแถวนี้มีภูเขาหินและหน้าผาสูงหนาตากว่าแถววาลาเชียมาก แต่พื้นที่ทั่วไปกลับเป็นพื้นราบ ราวกับว่ามันเป็นสนามหญ้าที่มีคนเอาแท่งหินมาวางประดับตกแต่งเอาไว้ เป็นทิวทัศน์ที่งดงามแปลกตาไปอีกแบบหนึ่ง

“เห~ แถวนี้มันเขต สโตนทีธ (Stone Teeth) นี่นา ทำไมไม่กำหนดเป้าหมายให้ไกลขึ้นกว่านี้อีกสักหน่อยล่ะคะ?”

ลานาเทลมองดูทิวทัศน์รอบ ๆ แล้วก็เอ่ยถามขึ้นมา

“…ถ้าเคลื่อนย้ายทางไกลมาก ๆ จะเกิดแรงสั่นของเวทมนตร์จนผิดสังเกตได้ …ฉันเลยไม่ค่อยอยากเคลื่อนย้ายในระยะทางไกล ๆ เท่าไหร่ …ระยะที่ปลอดภัยจากการตรวจจับคือประมาณร้อยยี่สิบกิโลเมตรน่ะ แต่ถ้าจะให้แน่ใจกว่านั้น สักร้อยกิโลเมตรก็พอแล้ว…”

“แบบนี้นี่เอง อันที่จริงตระกูลซันรีเวอร์เราก็มีวงเวทเคลื่อนย้ายสำหรับใช้ในการลักลอบขนสินค้าเหมือนกันนะคะ แต่เราไม่รู้ว่าพวกศุลกากรใช้วิธีอะไรถึงตรวจจับการขนส่งได้แทบทุกทีเลย เราก็เลยหยุดการใช้งานวงเวทของตัวเอง และหันไปซื้อช่องทางขนส่งจากพวกพ่อค้ามาใช้แทน”

“…ถ้ามองในแง่ของความเร็วแล้ว แบบนั้นก็อาจจะดีกว่า …ให้มาทำการเคลื่อนย้ายหลาย ๆ ทอด มันก็กินเวลานานและยุ่งยากด้วย…”

“ของบางอย่างมันก็คุ้มค่าที่จะทำแบบนั้นนะคะ อืม~ เอางี้ดีมั้ยคะ ไว้ว่าง ๆ เรามาแลกเปลี่ยนเครือข่ายวงเวทเคลื่อนย้ายกัน จะได้มีเครือข่ายที่กว้างขวางและหลากหลายขึ้นไงคะ”

“…ได้สิ ฉันไม่ถืออยู่แล้ว…”

“น่ารักที่สุดเลยค่ะ~”

ลานาเทลกอดแขนของแซนโดรพลางเอาตัวเข้ามาเบียดอย่างกระหนุงกระหนิง ทำให้ทั้งซาลและนิโคลที่นั่งมองอยู่จากฝั่งตรงข้ามต่างก็ต้องอมยิ้ม ส่วนแซนโดรที่ไม่มีวิธีอะไรจะต่อต้านการรุกของลานาเทลได้ก็ได้แต่ทำหน้าเซ็งต่อไป

อีกด้านหนึ่ง ซาลก็กำลังฝึกฝนการใช้เวทธาตุผสมโดยมีนิโคลเป็นผู้ชี้แนะ

ตอนนี้เขาสามารถใช้เวทธาตุไม้ระดับพื้นฐานได้ค่อนข้างสมบูรณ์แล้ว นิโคลจึงลองให้ฝึกการใช้เวท ‘เอ็นแทงเกิล’ (Entangle) เวทพันธนาการของธาตุไม้ดู

“อ่า แล้วจะใช้ยังไงล่ะ อยู่บนรถม้าแบบนี้น่ะ”

“ลองใช้กับต้นไม้ที่อยู่ด้านนอกดูสิคะ เล็ง ๆ พวกพุ่มไม้หรือต้นไม้อะไรก็ได้ค่ะ”

“แต่รถมันวิ่งอยู่นี่นา… จะโดนเหรอ?”

“เวลาสู้จริง ทั้งตัวเราและเป้าหมายก็ไม่ได้อยู่เฉย ๆ หรอกนะคะ อันนี้ยังถือว่าเป็นการฝึกกับเป้านิ่งอยู่เลย เพราะมีแค่ตัวเราที่เคลื่อนไหวอยู่เท่านั้นเอง คิดซะว่าเป็นการฝึกล่วงหน้าก็แล้วกันค่ะ”

ซาลแอบคิดว่าวิธีฝึกของนิโคลนี่ก็เคี่ยวไม่แพ้แซนโดรเลยเหมือนกัน หรืออาจเพราะทั้งสองคนต่างก็เป็นนักผจญภัยระดับสูงเลยมองว่าอะไร ๆ มันง่ายไปหมดก็ได้

ความจริงแล้วเป็นเพราะทั้งแซนโดรและนิโคลต่างก็เชื่อมั่นในศักยภาพของซาล จึงให้เขาฝึกฝนด้วยวิธีที่ค่อนข้างรุดหน้ากว่าปกติ เพื่อให้พัฒนาฝีมือได้อย่างรวดเร็วนั่นเอง

ซาลพยายามเล็งเวท ‘เอ็นแทงเกิล’ ไปยังต้นไม้ที่อยู่ข้างทาง แม้รถม้าจะวิ่งด้วยความเร็วเพียงราว ๆ หกสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ก็จัดว่าเร็วอยู่เหมือนกัน ประกอบกับเขายังใช้เวทธาตุผสมไม่ค่อยคล่องนัก เวทที่ร่ายออกมาจึงทั้งล้มเหลวและคลาดเคลื่อนจากเป้าหมายไปไกลมากทีเดียว

เพราะมันเป็นเวทระดับกลาง แถมซาลยังไม่ค่อยชำนาญในการควบคุมพลังเวท พอร่ายไปได้แค่ห้าครั้ง พลังเวทของเขาก็หมดเกลี้ยงโดยที่ยังไม่สามารถพันธนาการเป้าหมายได้สำเร็จเลยสักครั้งเดียว ทำให้เด็กน้อยผู้เกลียดการพ่ายแพ้เริ่มแสดงอาการหงุดหงิดออกมา

“ไม่ต้องรีบไปหรอกค่ะ ของแบบนี้ต้องใช้เวลาทำความคุ้นเคยสักหน่อย พอชินแล้วก็จะทำได้เอง”

“โธ่เอ๊ย คราวนี้แหละ ต้องทำให้ได้เลย”

ซาลนำมานาโพชั่นแบบแคปซูลออกมากินเพื่อเติมพลังเวท ก่อนจะหันกลับไปฝึกการใช้เวท ‘เอ็นแทงเกิล’ กับต้นไม้ริมทางอย่างไม่ย่อท้อ ซึ่งหลังจากพยายามอยู่อีกพักใหญ่ เวทของเขาก็เริ่มจะเข้าเป้าบ้างแล้ว

ลานาเทลซึ่งไม่มีอะไรทำเพราะแซนโดรเอาแต่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือโดยไม่สนใจเธอ จึงเฝ้ามองการฝึกของซาลอยู่เงียบ ๆ และในที่สุดเธอก็ชวนแซนโดรคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้

“ฝึกฝนเวทพันธนาการ แทนที่จะฝึกเวทโจมตี เป็นเด็กที่แปลกดีนะคะ”

แซนโดรไม่ได้ตอบคำถามนั้นในทันที เธอยังรู้สึกลังเลอยู่พักหนึ่งว่าควรจะคุยกับอีกฝ่ายดีรึไม่ หรือจะแกล้งทำเป็นไม่สนใจต่อไปดี แต่เพราะไม่อยากให้ความสัมพันธ์เป็นไปในทางลบ จึงยอมเอ่ยปากออกมา

“…เจ้านั่นก็ …เป็นเด็กแบบนี้แหละ…”

ลานาเทลแสดงสีหน้าพึงพอใจออกมาเมื่อแซนโดรยอมพูดด้วย เธอจึงกล่าวต่อด้วยรอยยิ้มและแววตาที่แฝงความขี้เล่นและเย้ายวนเอาไว้

“รู้มั้ยคะว่าความสนใจในการเรียนเนี่ยมันสื่อถึงรสนิยมด้วย เด็กคนนี้น่ะต้องเป็นสาย S แน่ ๆ เลยค่ะ ถึงได้เริ่มฝึกจากวิชาสายพันธนาการก่อนแบบนี้”

คำพูดนั้นทำให้แซนโดรชะงักไปวูบหนึ่งเพราะเผลอคิดตามไป แต่เธอก็รีบสลัดความคิดนั้นออกก่อนจะกล่าวแย้ง

“…………เธอคิดมากไปแล้ว …เจ้านั่นก็แค่ชอบกวนประสาทคนเป็นชีวิตจิตใจ แล้วเห็นว่าไสตล์การต่อสู้แบบนี้มันดูน่ารำคาญดี ก็เลยอยากฝึกเท่านั้นและ…”

“ตอนนี้ก็อาจใช่ค่ะ เจ้าตัวเองก็คงยังไม่รู้ความปรารถนาเบื้องลึกที่แฝงอยู่ในจิตใจหรอก แต่พอโตไปละก็ เขาต้องใช้เวทพวกนี้ในการพันธนาการเหล่าหญิงสาวเอาไว้แล้วค่อย ๆ ทรมานทีละน้อยแน่ ๆ เลยค่ะ คุณแซนโดรเองก็ระวังไว้เถอะนะคะ ถ้าโดนเถาวัลย์พวกนั้นรัดเข้าละก็~ โอ๊ย!”

ลานาเทลพูดพลางเอามือกอดรัดตัวอีกฝ่ายพร้อมทั้งยื่นหน้าเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ จนแซนโดรทนไม่ไหวเลยเอาหัวโขกเข้าไปทีหนึ่ง ลานาเทลจึงต้องผงะออกมา

ซาลกับนิโคลที่หันมาตามเสียงร้องของลานาเทล จึงห็นเธอกำลังเอามือคลึงหน้าผากอยู่ พลางแสดงสีหน้าแง่งอนใส่แซนโดรเล็กน้อย ส่วนอีกฝ่ายกลับนั่งเป็นปกติด้วยสีหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เมื่อเห็นซาลหันมามองทางนี้ แซนโดรจึงเอ่ยคำเตือนกับเขา

“…ห้ามเอาเวทนี้ไปใช้งานผิดประเภทนะ เข้าใจมั้ย?…”

“เอ๋?”

แม้จะไม่ค่อยเข้าใจความหมายของแซนโดร แต่ซาลก็พยักหน้าเออออไป ก่อนจะหันกลับมาฝึกต่อ

 

——————————————————————————————————–

 

Part 2

 

เพราะการใช้ ‘มานาโพชั่น’ ติดต่อกันเป็นปริมาณมากอาจส่งผลเสียต่อร่างกาย ซาลจึงหยุดการฝึกหลังจากใช้มันเติมพลังเวทไปสามรอบเท่านั้น ซึ่งในการฝึกรอบสุดท้ายเขาก็สามารถร่าย ‘เอ็นแทงเกิล’ โดนเป้าหมายได้ถึงสองในห้าครั้งแล้ว

เมื่อพลังเวทหมด ซาลจึงหันมาคุยกับนิโคลในเรื่องพื้นฐานของเวทพันธนาการต่อ

“นี่นิโคล ธาตุที่มีเวทพันธนาการที่ดีที่สุดคือธาตุน้ำแข็งสินะ”

“อืม~ จะบอกว่าดีที่สุดคงไม่ใช่หรอกนะคะ แต่ละธาตุก็มีจุดเด่นและจุดด้อยแตกต่างกันไปค่ะ ขึ้นกับเป้าหมายและสถานการณ์มากกว่า”

“งั้น ธาตุไหนมีเวทพันธนาการที่แน่นหนาที่สุดล่ะ?”

“ก็คงเป็นธาตุไม้นี่แหละค่ะ”

“เอ๋? ไม่ใช่ธาตุน้ำแข็งหรอกเหรอ?”

“แม้การพันธนาการด้วยน้ำแข็งจะดูแข็งแรง แต่ถ้าได้รับแรงกระแทกหนัก ๆ มันก็ถูกทำลายได้ค่ะ แล้วน้ำแข็งที่สร้างจากเวทมนตร์ เมื่อพลังเวทเสื่อมลง ความทนทานของมันก็จะลดลงอย่างมากด้วย  หากหมดช่วงเวลาของมัน บางทีแค่ขยับแขนขาก็ทำให้หลุดออกได้แล้ว”

“แล้วเวทธาตุไม้อย่าง ‘เอ็นแทงเกิล’ นี่ไม่เหมือนกันเหรอ?”

“เวท ‘เอ็นแทงเกิล’ เป็นการสร้างรากไม้หรือเถาวัลย์ขึ้นมาจากพื้นดินค่ะ รากไม้นี้มีทั้งความทนทานและยืดหยุ่น โครงสร้างของพืชนั้นซึมซับแรงกระแทกได้ดีกว่าน้ำแข็ง ทำให้ถูกทำลายด้วยกำลังได้ยากกว่า และแม้พลังเวทจะเสื่อมไปแล้วความทนทานของรากไม้ก็แทบจะไม่ลดลงเลย แค่ตัวรากอาจจะคลายการพันออก ซึ่งถ้าเชี่ยวชาญแล้วเราสามารถควบคุมให้รากไม้พันรัดกันเป็นเงื่อนเพื่อไม่ให้การพันธนาการหลุดหลังจากหมดเวลาของเวทได้อีก จึงเป็นเวทพันธนาการที่แน่นหนาที่สุดค่ะ”

“แบบนี้นี่เอง ถ้างั้นนี่ก็เป็นเวทพันธนาการที่ดีที่สุดสินะ”

“ไม่หรอกค่ะ ‘เอ็นแทงเกิล’ ก็มีข้อด้อยของมันอยู่ คือใช้เวลานานกว่าจะพันธนาการได้สมบูรณ์ เพราะรากไม้จะต้องใช้เวลาในการเติบโตขึ้นมาพันเป้าหมาย หากไหวตัวทันก็อาจหลบออกจากพื้นที่นั้น หรือสลัดหลุดจากรากไม้ก่อนที่การพันธนาการจะสมบูรณ์ได้ค่ะ ดังนั้นมันเลยไม่ค่อยเหมาะกับเป้าหมายที่เคลื่อนที่เร็ว ๆ สักเท่าไหร่ อีกอย่างคือมันใช้ได้บนพื้นผิวที่มีดินเป็นส่วนประกอบเท่านั้น หากมีดินน้อยเกินไปความแข็งแรงของรากไม้ก็จะลดลง หรือเวทอาจไม่เกิดผลเลยค่ะ”

“ออ.. จุกจิกกว่าที่คิดแฮะ… แล้วกับเป้าหมายที่เคลื่อนที่เร็ว ๆ นี่ควรจะใช้อะไรดีล่ะ?”

“เวทที่เหมาะกับการสกัดเป้าหมายที่เคลื่อนที่เร็วคงเป็นพวกเวทสายฟ้าน่ะค่ะ”

“เห? ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าธาตุสายฟ้าก็มีเวทพันธนาการด้วย”

“มันก็ไม่ใช่เวทพันธนาการโดยตรงหรอกนะคะ แต่เป็นเวทสกัดกั้นชั่วคราวมากกว่า เช่น ‘สตาติคช็อค’ (Static Shock) เป็นเวทสายฟ้าที่ใช้โจมตีเส้นประสาท แม้จะมีความเสียหายทางกายภาพต่ำ แต่มันจะทำให้ประสาทชาจนเกิดการชะงักและเคลื่อนไหวได้ช้าลงชั่วระยะเวลาหนึ่ง ข้อดีคือผลของเวทเกิดเร็วและยังพุ่งตรงเข้าไปหาเป้าหมายด้วยความเร็วสูง เลยทำให้มีความแม่นยำสูงค่ะ”

“โอ้ แบบนี้นี่เอง แล้วธาตุน้ำแข็งมีจุดเด่นอะไรบ้างล่ะ?”

“ธาตุน้ำแข็งแม้ผลของเวทจะไม่เร็วเท่าสายฟ้าแต่ก็ต่างกันแค่ชั่ววินาที ทำให้ยังจัดว่าเป็นเวทที่มีความแม่นยำสูง อีกทั้งหลาย ๆ เวทยังมีพื้นที่เกิดผลเป็นบริเวณกว้าง ทำให้ใช้พันธนาการศัตรูกลุ่มใหญ่พร้อมกันได้ ความทนทานของพันธนาการก็อยู่ในเกณฑ์ดีด้วย เลยเป็นธาตุยอดนิยมสำหรับผู้เลือกใช้เวทพันธนาการอีกธาตุหนึ่งค่ะ”

“จริงสิ ผมเคยเห็นเวท ‘ควิกแซนด์’ (Quick Sand) ที่ทำให้เกิดบ่อทรายดูดด้วยล่ะ มันเป็นเวทธาตุอะไรเหรอ?”

“เวท ‘ควิกแซนด์’ จัดเป็นเวทระดับสูงที่อาจประกอบด้วยอักขระเวทสามถึงสี่ธาตุเลยค่ะ ชุดอักขระจะต้องปรับเปลี่ยนธาตุไปตามสภาพพื้นผิวที่จะสร้างบ่อทรายดูด เพราะจริง ๆ มันเป็นเวทที่ใช้เปลี่ยนสภาพภูมิประเทศน่ะค่ะ ในบางสภาพพื้นผิวก็ไม่สามารถใช้เวท ‘ควิกแซนด์’ ได้นะคะ เหมือนเวท ‘เอ็นแทงเกิล’ แหละค่ะ”

“เห~ อันนี้ก็ไม่เคยรู้มาก่อนเหมือนกันว่าจะเป็นเวทที่ยุ่งยากขนาดนี้ เพราะงี้ธาตุน้ำแข็งถึงได้เป็นที่นิยมที่สุด เพราะมันใช้ที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้สินะ”

“ใช่แล้วค่ะ”

เวทเอ็นแทงเกิลเป็นเวทพันธนาการที่แข็งแรงที่สุด และซาลก็รู้สึกถูกใจเวทอันนี้เป็นพิเศษด้วย แต่มันดันมีจุดอ่อนเรื่องความเร็วในการเกิดผลและข้อจำกัดของพื้นผิวที่ใช้ ซึ่งนับว่าเป็นจุดอ่อนที่ใหญ่พอสมควร

แม้แต่เวท ‘ควิกแซนด์’ ที่เขาสนใจก็ยังเป็นเวทระดับสูงซึ่งมีความซับซ้อนกว่าที่คิดมาก สำหรับตัวเขาในตอนนี้ที่ผสมอักขระเวทแค่สองธาตุก็ยังจะไม่รอดแล้ว การใช้เวทที่ต้องผสมอักขระถึงสามสี่ธาตุจึงเป็นสิ่งที่เกินความสามารถมากไปหน่อย

ซาลคิดว่าควรจะมีแนวทางที่ช่วยให้สามารถปรับปรุงหรือใช้งานเวทเหล่านี้ให้ใช้งานง่ายและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นได้ ซึ่งเขาก็รู้สึกเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้นิดหน่อย แต่ยังเรียบเรียงออกมาเป็นความคิดที่ชัดเจนไม่ได้ จึงคิดว่าถ้ามีเวลาว่างก็จะลองกลับไปค้นงานวิจัยที่ห้องสมุดของมาลาไคท์คีปและทดลองใช้งานเวทหลาย ๆ อย่างเอา

รถม้าของแซนโดรแวะพักที่เมืองเล็ก ๆ ระหว่างทางเพื่อรับประทานอาหารเที่ยง

แซนโดรยังแวะจับจ่ายซื้อของจำเป็นอีกจำนวนหนึ่งเพื่อเผื่อส่วนของลานาเทลด้วยก่อนที่จะเดินทางต่อ

ในตอนนี้พวกเขาเดินทางมาได้เกือบครึ่งทางแล้ว

 

——————————————————————————————————–

 

Part 3

 

ช่วงบ่ายนี้ซาลเปิดแผนที่ดันเจียนอคาทอชขึ้นมาเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อย ซึ่งลานาเทลก็มองดูด้วยท่าทีสนอกสนใจ

ซาลเพิ่งจะเล่าเรื่องชุดคำสั่งของเหล่าสมุนให้แซนโดรฟัง ซึ่งเมื่อแซนโดรฟังแล้วก็ค่อนข้างประทับใจที่เขาสามารถออกแบบชุดคำสั่งจนสร้างวงจรชีวิตให้เหล่าสมุนบริหารจัดการตัวเองในดันเจียนได้

ทางลานาเทลก็รู้สึกทึ่งกับทั้งความพิเศษของเหล่าสมุนที่สามารถพัฒนาตนเองได้และการใช้งานดันเจียนในรูปแบบนี้ เพราะทั้งหมดเป็นแนวคิดที่ปราดเปรื่องจนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นความคิดของเด็กตัวเล็ก ๆ

เดิมทีเธอก็ให้การยอมรับแก่ซาลในระดับหนึ่งอยู่แล้ว เพราะนิสัยที่กล้าเผชิญหน้าและต่อปากต่อคำกับเธออย่างไม่กลัวเกรง ทั้งยังเคยทำให้เธอเสียท่ามาครั้งหนึ่งแล้วด้วย พอได้ยินเรื่องเหล่านี้จึงยิ่งรู้สึกถูกใจเขามากขึ้นอีก

“คุณแซนโดรเนี่ยก็สายตาแหลมคมไม่เบานะคะ”

“…แค่ฟลุคน่ะ …ตอนที่ไปเก็บมาก็ไม่นึกว่าจะเป็นผู้เป็นคนได้ขนาดนี้หรอกนะ…”

ซาลที่ได้ยินประโยคนั้นเข้าก็ถลึงตาจ้องมองแซนโดรด้วยสายตาเสียดแทง แต่อีกฝ่ายก็จ้องมองกลับด้วยสีหน้านิ่งเฉยที่ไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ ลานาเทลที่เห็นว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนนี้มีลักษณะที่น่าสนใจดีจึงแอบรู้สึกขบขัน

“แต่กว่าจะโตจนถึงวัยก็อีกหลายปีนะคะ ช่วงนี้ดิฉันก็ยังมีโอกาสอยู่สินะ~ อ๊าย!”

ลานาเทลโอบเอวพลางเอานิ้วจิ้มแก้มของแซนโดรไปด้วย ก็เลยโดนกัดนิ้วดังกรึบ จนต้องร้องออกมา ครวามนี้ดูเหมือนว่าแซนโดรจะทนไม่ไหวจริง ๆ แล้ว

“…พอกันที! …นิโคล มาเปลี่ยนที่นั่งกันซิ! ซาลารัส เขยิบไป!…”

เพื่อเลี่ยงการลวนลามของลานาเทล แซนโดรเลยสลับที่นั่งกับนิโคลซะ โดยให้ซาลขยับไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับลานาเทลแทน ซึ่งทางลานาเทลก็ดูจะไม่ขัดข้องอะไร แถมยังแอบหัวเราะให้กับปฏิกิริยาของแซนโดรอีกต่างหาก

“ทำไมชอบไปแหย่คุณแซนโดรแบบนั้นล่ะคะ แบบนี้เขาก็ยิ่งไม่ชอบน่ะสิคะ”

นิโคลแอบกระซิบถามกับลานาเทลเพราะความสงสัย เธอมองว่าการทำแบบนี้มีแต่จะยิ่งทำให้แซนโดรรู้สึกไม่เป็นมิตรซะมากกว่า แต่ลานาเทลก็ตอบกลับมาด้วยสีหน้าสบาย ๆ

“อืม~ ถึงจะไม่ทำก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะหันมาชอบไม่ใช่เหรอ? เพราะงั้นมีโอกาสก็ต้องรีบตักตวงเอาไว้ไงล่ะ”

“เอ๋? แต่แบบนั้นก็ยิ่งทำให้เขาตีตัวออกห่างมากขึ้นน่ะสิคะ แล้วเมื่อไหร่จะสมหวังล่ะคะ?”

“หืม~ เอาใจช่วยฉันด้วยเหรอ? รึว่าอยากให้ช่วยกำจัดคู่แข่งจะได้ไม่มีใครมาแย่งซาลารัสกันจ๊ะ?”

“มะ.. ไม่ใช่แบบนั้นน่ะคะ! เข้าใจผิดแล้วค่ะ!”

“ฮุฮุฮุ~ ปฏิกิริยาน่ารักดีจัง อืม~ พอมองดูดี ๆ แล้วเธอเองก็ใช้ได้เหมือนกันนะเนี่ย~”

“เอ๋~!?!?”

ลานาเทลโอบเอวของนิโคลแล้วดึงเข้ามาแนบตัว ทำให้อีกฝ่ายลนลานจนทำอะไรไม่ถูก เมื่อเห็นปฏิกิริยาอันใสซื่อของนิโคลแล้ว ลานาเทลก็ยิ่งรู้สึกชอบใจ

ดูเหมือนลานาเทลจะชอบแกล้งและดูปฏิกิริยาของฝ่ายตรงข้ามเป็นพิเศษ ไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นใคร ทำให้ตอนนี้นิโคลกลายเป็นเหยื่อรายใหม่แทน

แซนโดรเมื่อหมดปัญหากวนใจ (โดยใช้นิโคลเป็นเครื่องสังเวยแทน) แล้ว ก็หันมาให้ความสำคัญกับดันเจียนของซาลอีกครั้ง

“…ชุดคำสั่งนี่นับว่าไม่เลวเลยทีเดียว …ทีแรกฉันคิดว่าจะให้เธอเน้นเลี้ยงสมุนแค่กลุ่มเดียวเพราะการบริหารจัดการดันเจียนมันต้องใช้เวลามาก …ถ้าเลี้ยงสมุนทีละเยอะ ๆ ละก็ กว่าจะอัญเชิญและวางตำแหน่งได้ครบก็หมดวันพอดี …แต่ถ้าเป็นแบบนี้ละก็เรื่องจำนวนคงไม่ใช่ปัญหาอีกแล้ว จะเลี้ยงสมุนสักกี่ตัวก็ทำได้อย่างเต็มที่…”

“ยังไงมันก็มีปัญหาเรื่องพลังเวทที่ใช้อัญเชิญอยู่ดีแหละนะ พวกสมุนเองก็มีอัตรารอดราว ๆ 2 ใน 5 เท่านั้น แล้วถ้าเป็นพื้นที่อื่นหรือสมุนแบบอื่นผมก็ยังนึกไม่ออกเลยว่าจะทำยังไงให้ถอยหนีออกมาหรือวางจุดรวมพลไว้ไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกตได้”

“…เรื่องพลังเวทเดี๋ยวก็ค่อย ๆ พัฒนาเองแหละไม่ต้องห่วง …อัตราการรอด 2 ใน 5 ก็นับว่าดีแล้วล่ะนะ และถ้าปรับแต่งทักษะอีกสักหน่อยหรือรอให้สมุนมีค่าสถานะสูงขึ้นก็น่าจะมีอัตรารอดที่ดีกว่านี้ด้วย …ส่วนเรื่องพื้นที่อื่นน่ะเอาไว้ไปวางดันเจียนแล้วค่อยคิดกันอีกทีก็ได้…”

“อืม… อีกเรื่องหนึ่งคือสมุนพวกนี้มันเริ่มจะพัฒนาช้าลงแล้วด้วยอะนา นี่ก็หลายวันแล้ว ทุกตัวยังอยู่แค่ระดับห้าอยู่เลย”

“…อย่างที่เคยบอกแหละว่ามันจะเริ่มช้าลงหลังจากจุดนี้ …แต่ถึงระดับจะไม่เพิ่มก็ไม่ได้แปลว่ามันไม่ได้พัฒนาหรอกนะ …ค่าสถานะของพวกมันยังพัฒนาอยู่เสมอ เพราะงั้นไม่ต้องไปให้ความสำคัญกับเรื่องระดับมากนักหรอก…”

“อืม… อ๊ะจริงสิ ผมอยากกลับไปใช้ห้องสมุดซะหน่อยน่ะ มีงานวิจัยที่เคยผ่านตาอยู่และคิดว่าน่าจะเอามาปรับใช้ได้”

“…เรื่องนั้น รอไว้คืนนี้ก่อนดีกว่านะ …เดี๋ยวเราต้องผ่านวงเวทเคลื่อนย้ายอีกหลายครั้ง …หากทำการเคลื่อนย้ายระหว่างที่ถอดจิตไปควบคุมร่างอัญเชิญอยู่ มันอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้น่ะ…”

“อา โอเค งั้นรอคืนนี้ก็แล้วกัน”

เพราะยังไม่สามารถกลับไปใช้ห้องสมุดได้ ซาลจึงใช้เวลาในช่วงบ่ายปรับแต่งร่างอัญเชิญของ ‘วาลไครี่’ ที่จะนำมาเลี้ยงเป็นลำดับต่อไปแทน

‘วาลไครี่’ เป็นร่างอัญเชิญทีมีรูปร่างเหมือนนักรบหญิงแห่งแสงสว่าง ทั้งสง่างามและองอาจ แต่การจะมีร่างอัญเชิญแบบนั้นมาเป็นมอนสเตอร์ในพื้นที่ดันเจียนก็ดูจะผิดสังเกตไปสักหน่อย ซาลจึงต้องทำการปรับรูปลักษณ์ของมันซะใหม่ ให้เหมือนมอนสเตอร์ทั่วไปมากขึ้น

เขาปรับแต่งรูปลักษณ์ของวาลไครี่ตามที่แซนโดรแนะนำ ทั้งนำปีกออกแล้วสวมผ้าคลุมที่ขาดวิ่นแทน ชุดเกราะก็ปรับแต่งให้ดูเป็นเกราะโทรม ๆ แม้แต่ออร่ารอบกายก็เปลี่ยนเป็นสีฟ้าหม่น ๆ แทนที่จะเป็นออร่าสุกสว่าง

ในที่สุดก็ได้ ‘วาลไครี่’ ที่มีรูปลักษณ์ใกล้เคียงกับมอนสเตอร์สายนักรบอย่าง ‘ฟอลเลนแชมเปี้ยน’ (Fallen Champion) ขึ้นมาใช้งาน ซึ่งซาลก็คิดจะใช้มันเป็นต้นแบบสำหรับวาลไครี่ทั้งหมดที่จะนำมาเลี้ยงในดันเจียนของโครซิสนี้

รถม้าเดินทางอย่างต่อเนื่องและผ่านการเคลื่อนย้ายด้วยวงเวทอีกหลายครั้ง จนในที่สุดพวกเขาก็มาถึงเมืองการ์เดี้ยนแสตนด์ (Guardian Stand) เมืองที่อยู่ปลายสะพานเชื่อมทวีปของฝั่งเอ็นซิสในช่วงเย็นวันนั้นเอง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด