Doombringer the 5th 27

Now you are reading Doombringer the 5th Chapter 27 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Ch.27 – การทดสอบที่มอทัลเบาด์

Translator : YoyoTanya / Author

Ch. 27

การทดสอบที่มอทัลเบาด์

 

Part 1

 

นับแต่เข้าใกล้ดินแดนของการ์เดี้ยนแสตนด์ สิ่งแรกที่สะดุดตาของซาลก็คือรูปปั้นจำนวนมากที่ถูกตั้งกระจัดกระจายไปทั่ว ไม่ว่าจะเป็นสองข้างทางของถนนสายหลัก ชายป่า หรือแม้แต่กลางทุ่งหญ้า

รูปปั้นเหล่านั้นมีลักษณะเป็นนักรบที่มีปีกอยู่กลางหลังและใช้ดาบเล่มใหญ่เป็นอาวุธ แม้ใบหน้าจะมีรูปโฉมอันงดงาม แต่สรีระร่างกายนั้นยากจะบ่งชี้ว่าตัวตนของรูปปั้นเป็นหญิงหรือชายกันแน่

ซาลพอจะเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับรูปปั้นเหล่านี้มาบ้าง แต่เขาก็ไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับมันมากนัก หลังจากจ้องมองรูปปั้นที่ผ่านตาไปนับสิบตัวแล้วจึงหันไปถามแซนโดรเกี่ยวกับเรื่องนี้

“รูปปั้นพวกนี้คือ… รูปปั้นของอาเรียลเหรอ?”

“…ใช่ …พวกนี้คือรูปปั้นที่เป็นตัวแทนของอาเรียล นางฟ้าคนที่แบ่งแผ่นดินเอ็นซิสเป็นสองส่วน จนทำให้เกิดดินแดนโครซิสขึ้นมาไงล่ะ…”

“แต่การสร้างรูปปั้นไว้มากมายแบบนี้มันเหมือนเป็นการสรรเสริญเลยไม่ใช่เหรอ? นึกว่าชาวเอ็นซิสเขาจะเกลียดอาเรียลซะอีก”

“…ในช่วงแรกก็ใช่ …และตอนนี้ก็อาจยังมีคนที่ตำหนิการกระทำของอาเรียลอยู่ …แต่สำหรับประชาชนทั่วไปแล้ว ส่วนใหญ่จะรู้สึกขอบคุณที่ได้เธอช่วยเอาไว้ …โดยเฉพาะคนที่กลับไปเห็นสภาพความเสียหายที่พวกปิศาจทำไว้ในโครซิสน่ะ จะยิ่งรู้สึกว่าการตัดสินใจของอาเรียลนั้นถูกต้องแล้ว…”

“หืม… ไม่ยักรู้มาก่อนเลยนะเนี่ย ในหนังสือแบบเรียนก็เขียนเหมือนกับว่าอาเรียลเป็นต้นเหตุให้โลกกับสวรรค์ผิดใจกันด้วย เลยคิดว่าเป็นคนที่ถูกผู้คนทั่วไปสาปแช่งซะอีก”

“…แบบเรียนนั่นเขียนแค่ในภาพกว้าง หรือแค่มุมมองด้านหนึ่งน่ะ …ต้องบอกว่าถูกเขียนโดยมีเจตนาที่จะทำให้ผู้คนจดจำเรื่องราวในลักษณะนั้นมากกว่า…”

“เอ๋? หมายถึงเป็นการบิดเบือนประวัติศาสตร์งั้นเหรอ?”

“…จะเรียกแบบนั้นก็ได้ …การนำเสนอเรื่องราวเพียงแค่ด้านเดียวเพื่อชี้นำให้ผู้คนไปในทิศทางที่ตนเองต้องการน่ะ มันก็เป็นการบิดเบือนในรูปแบบหนึ่งนั่นแหละ…”

“แล้วใครเป็นคน… ไม่สิ เขาทำไปเพื่ออะไรกันล่ะ?”

ซาลคิดจะถามว่าเป็นฝีมือใคร แต่คนที่จะทำเรื่องเช่นนี้ได้ย่อมต้องเป็นพีชคีปเปอร์อยู่แล้ว จึงเปลี่ยนไปถามถึงเจตนาของเรื่องนี้แทน

“…ก็เพื่อยุติยุคสมัยของการบูชาเทพไงล่ะ…”

“ยุคสมัยของการบูชาเทพเหรอ?”

ยุคสมัยแห่งการบูชาเทพ คือช่วงเวลาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งโลกใหม่จนกระทั่งถึงศักราชที่ 220 ที่เรียกเช่นนี้ก็เพราะในยุคนั้นได้เกิดลัทธิบูชาเทพขึ้นเป็นจำนวนมาก ซึ่งเหล่าทวยเทพที่ผู้คนบูชาก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นทูตสวรรค์ที่ถูกส่งลงมาประจำบนโลกนั่นเอง

เพราะโลกได้รอดพ้นจากหายนะเพราะการช่วยเหลือของสวรรค์ ประกอบกับโลกใหม่ก็เป็นโลกที่มนุษย์ได้รับอนุญาตให้ใช้เวทมนตร์ได้ ความเชื่อของมนุษย์เกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะเหล่าทูตสวรรค์ที่ลงมาช่วยเหลือมนุษย์ในการสร้างรากฐานของโลกนั้นเป็นตัวตนที่เป็นรูปธรรม ไม่ใช่ความเชื่อในรูปแบบนามธรรมเหมือนกับสมัยโลกเก่าอีกต่อไป ผู้คนจำนวนมากจึงเกิดความศรัทธาในสิ่งศักดิ์สิทธิ์และสวรรค์มากยิ่งขึ้น และมีการก่อตั้งลัทธิบูชาเทพขึ้นมาสักการะเหล่าทูตสวรรค์ที่ตนเองชื่นชมขึ้นมากมาย

แม้เหล่าทูตสวรรค์จะแสดงเจตจำนงอย่างชัดเจนว่าไม่ต้องการให้มนุษย์บูชานับถือราวกับเทพเจ้า แต่สำหรับมนุษย์ที่ต้องการสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจนั้นย่อมไม่อาจหักห้ามความรู้สึกเคารพบูชาในพลังที่เหนือกว่าได้ ประกอบกับการคงอยู่ของเหล่าทูตสวรรค์บนโลกที่ยังคอยช่วยเหลือมนุษย์ในด้านต่าง ๆ ทำให้ลัทธิบูชาเทพยิ่งเกิดการแพร่หลายออกไปเรื่อย ๆ

เรื่องนี้สร้างความกังวลให้กับเหล่าผู้ปกครองของอาณาจักรต่าง ๆ รวมทั้งกับทางสวรรค์เองด้วย เพราะเกรงว่ามนุษย์จะเอาแต่พึ่งพาสวรรค์มากจนเกินไป จึงนำไปสู่ข้อตกลงเรื่องการลดจำนวนทูตสวรรค์ที่ประจำอยู่บนโลกในที่สุด ความจริงเรื่องนี้ก็เป็นประวัติศาสตร์ที่ถูกบันทึกเอาไว้ในแบบเรียนพื้นฐาน เว้นแต่เนื้อหาช่วงท้ายที่ถูกเปลี่ยนเป็น ‘เหล่าทูตสวรรค์พากันถอนตัวออกจากโลกเอง เพราะเห็นว่ามนุษย์สามารถยืนหยัดได้ด้วยตัวเองแล้ว’ เพื่อไม่ให้เกิดกระแสต่อต้านจากเหล่าผู้บูชาเทพซึ่งอาจไม่พอใจกับการที่กลุ่มผู้นำของโลกตัดสินใจเรื่องนี้ด้วยตนเองจนนำไปสู่การจลาจล

เหตุผลที่เกรงว่ามนุษย์จะไม่รู้จักพึ่งพาตนเองนั้นฟังดูดี แต่เจตนาที่แท้จริงของเหล่าผู้ครองแคว้นคือไม่ต้องการให้เกิดขั้วอำนาจทางศาสนามาสั่นคลอนความมั่นคงของอาณาจักร และลดทอนอำนาจของตนเองลงมากกว่า

แม้ทูตสวรรค์เกือบทั้งหมดจะถอนตัวออกไปจากโลกแล้ว แต่ความศรัทธาของมนุษย์ที่มีต่อเทพก็ยังคงมีอยู่ เหล่าผู้ครองแคว้นจึงลอบใช้วิธีการต่าง ๆ เพื่อทำลายศรัทธาของมนุษย์ที่มีต่อเทพลงทีละน้อย ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยข่าวลวง หรือบิดเบือนประวัติศาสตร์ ทำให้ลัทธิบูชาเทพเริ่มเสื่อมถอยลงตามลำดับ

สำหรับคนที่รับรู้แต่เรื่องราวที่ได้รับการปรุงแต่งมาแล้วอย่างซาล แซนโดรจึงต้องค่อย ๆ อธิบายเรื่องเหล่านี้ให้เขาได้ฟัง

“…ในประวัติศาสตร์จริง ๆ แล้วยังมีรายละเอียดเชิงลึกกว่าที่ได้รับการบันทึกเอาไว้อีกมาก …เช่นหลังจากอาเรียลตัดสินใจแยกแผ่นดินเป็นสองส่วนแล้วก็ยังยืนหยัดต้านกองทัพนรกเพียงลำพังเพื่อปกป้องชาวเอ็นซิสที่กำลังอพยพไปทางเหนือ …ชาวเอ็นซิสถึงได้สร้างเมืองโดยตั้งชื่อเป็นเกียรติแก่เธอว่า ‘การ์เดี้ยนแสตนด์’ หมายถึงที่ ๆ ผู้พิทักษ์ของพวกเขายืนหยัดต่อสู้…”

“อืม… ถึงยังไงนั่นก็เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้สวรรค์เรียกเทวทูตทั้งหมดกลับไปสินะ”

“…มันก็แค่ปมหนึ่งที่ใช้เป็นข้ออ้างน่ะ …อย่างที่เคยบอก ว่าทางผู้ปกครองของมนุษย์เป็นฝ่ายที่ต้องการให้ทูตสวรรค์ถอนตัวออกไปนานแล้ว…”

ซาลนึกขึ้นมาได้ว่าแซนโดรก็เคยเกริ่นเรื่องนี้ให้เขาไปฟังไปแล้วในตอนนี้เคยถามเรื่องของแม่ แต่เขาก็ยังไม่ได้รู้รายละเอียดของมันอย่างชัดเจนนัก

“อืม จริงด้วยสินะ แต่เรื่องนี้ เป็นเพราะอะไรกันล่ะ?”

“…นี่เป็นประวัติศาสตร์ที่ถูกปกปิด เพราะงั้นคงไม่มีในแบบเรียนหรอกนะ …เธอรู้ใช่มั้ยว่าในสมัยที่เริ่มการสร้างโลก เหล่าทูตสวรรค์ได้ลงมาอยู่ร่วมกับมนุษย์เพื่อช่วยในการสร้างโลก และปกป้องดูแลมนุษย์ไปในเวลาเดียวกัน…”

“อื้ม อันนั้นก็พอรู้ พอเห็นว่าโลกฟื้นฟูขึ้นมาได้ในระดับหนึ่งเหล่าเทวทูตก็เลยพากันกลับสวรรค์ไป”

“…ความจริงแล้วเป็นฝ่ายมนุษย์เองที่ไล่ทูตสวรรค์กลับไปต่างหากล่ะ…”

“เห? ไล่เหรอ?”

“…ใช้คำว่าไล่ก็อาจจะแรงเกินไป …แต่มนุษย์ได้แสดงเจตนาที่ชัดเจนว่าไม่ต้องการให้เหล่าทูตสวรรค์อยู่บนโลก …ทางสวรรค์เลยต้องค่อย ๆ ถอนเหล่าเทวทูตกลับไปทีละน้อย …จนในที่สุดก็เหลือเทวทูตประจำอยู่แค่ดินแดนละหนึ่งคนเท่านั้น…”

“ทำไมถึงต้องทำแบบนั้นด้วยล่ะ? มีทูตสวรรค์ช่วยปกป้องดูแลมันก็เป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่เหรอ?”

“…เหล่าผู้ปกครองสมัยนั้นเห็นว่าการที่มีทูตสวรรค์อยู่ด้วยในระยะยาวจะไม่เป็นผลดี …มนุษย์จะเอาแต่พึ่งพาสวรรค์มากเกินไปจนทำให้เกิดความเสื่อมถอย …ช่วงนั้นก็มีคนจำนวนมากที่บูชาเหล่าทูตสวรรค์ราวกับเป็นเทพเจ้า ทำให้ถูกเรียกว่ายุคสมัยของการบูชาเทพ …ทางสวรรค์เองก็ไม่ต้องการให้เป็นแบบนี้อยู่แล้ว จึงยอมรับข้อเรียกร้องที่ให้ถอนเหล่าทูตสวรรค์ออกไปจากโลกโดยง่าย …แม้เหตุผลของเรื่องนี้จะฟังขึ้น แต่เจตนาที่แท้จริงของเหล่าผู้ปกครองคือไม่อยากให้มีการก่อตัวของกลุ่มอำนาจใหม่อย่างศาสนาขึ้นมาสั่นคลอนอำนาจของตนเองมากกว่า…”

“แบบนี้เองเหรอเนี่ย… เพราะงั้นตอนนี้เลยไม่มีทูตสวรรค์อยู่บนโลกเลยสักคนสินะ”

“…ใช่ ความจริงเหตุการณ์การรุกรานครั้งที่สามคงไม่ร้ายแรงขนาดนี้หากยังมีทัพสวรรค์อยู่บนโลก …แต่ตอนนั้นเพราะมีอาเรียลอยู่เพียงคนเดียว เธอจึงจำเป็นต้องตัดสินใจทำในสิ่งที่ช่วยลดความเสียหายให้ได้มากที่สุดด้วยกำลังที่มีอยู่ …แต่การกระทำของเธอก็ถูกนำไปเป็นข้ออ้างในการเพิกถอนเหล่าทูตสวรรค์ชุดสุดท้ายอยู่ดีน่ะนะ”

ซาลนั่งใคร่ครวญเรื่องราวทั้งหมดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวออกมาอีกครั้งด้วยแววตาที่ปนความเศร้าอยู่เล็กน้อย

“รู้สึกเหมือนเรื่องนี้เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดของมนุษย์เองเลยนะ”

“…มันก็เป็นเรื่องที่พูดยาก …ความคิดที่ว่าหากมีทูตสวรรค์อยู่ด้วยแล้วมนุษย์จะไม่รู้จักพึ่งพาตนเองจนนำไปสู่ความเสื่อมถอยก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ …เพราะงั้นเรื่องแบบนี้มันก็ไม่มีทางเลือกที่ดีที่สุดหรอก …จะอยู่อย่างสบายแบบคนอ่อนแอโดยให้ผู้อื่นคุ้มครอง หรือยอมเผชิญหน้ากับความลำบากเพื่อให้แข็งแกร่งขึ้น ก็เป็นสิ่งที่ต้องเลือกเอาสักทางหนึ่ง…”

เมื่อได้ยินแซนโดรพูดแบบนั้นแล้ว ซาลเองก็คิดว่าหากเป็นเขาก็คงเลือกที่จะพึ่งพาตัวเองไว้ก่อนเช่นกัน ความรู้สึกอคติต่อการตัดสินใจของเหล่ามนุษย์ในทีแรกจึงเริ่มเบาบางลง

รูปปั้นของอาเรียลนั้นเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ตลอดเส้นทาง เมื่อมองดูรูปปั้นเหล่านั้นหลาย ๆ ครั้งแล้วซาลจึงนึกสงสัยขึ้นมาอีก

“นี่แซนโดร อาเรียลเนี่ยเค้าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายเหรอ? ใบหน้าก็ดูเหมือนจะเป็นผู้หญิงหรอกนะ แต่ทรวดทรงนี่ดูยังไงก็เดายากอยู่”

“…ไม่ใช่ทั้งสองอย่างนั่นแหละ…”

“เอ๋? แปลว่าเป็น.. กะเทย?”

“…ใช่ที่ไหนล่ะ …เหล่าเทวทูตน่ะไม่มีเพศหรอก …เพศเป็นของที่สิ่งมีชีวิตซึ่งมีอายุขัยจำกัดต้องมีเพื่อใช้ในการดำรงเผ่าพันธุ์ …แต่สำหรับเหล่าทูตสวรรค์ที่มีตัวตนอันเป็นนิรันดร์แล้ว เพศคือสิ่งที่ไม่จำเป็น…”

“อ้าว แต่ว่าแม่ของผมก็เป็นทูตสวรรค์ไม่ใช่เหรอ?”

“…นั่นเพราะแม่ของเธอปลอมตัวลงมาทำภารกิจบนโลกน่ะ …ร่างมนุษย์สามารถกำหนดเพศได้ …แต่ร่างที่แท้จริงหรือร่างแห่งแสงจะไม่มีเพศหรอก…”

“อืม… สรุปว่าทูตสวรรค์เนี่ยจะมีหน้าคล้ายผู้หญิง แต่ไร้ทรวดทรงองค์เอวเหมือนผู้ชายสินะ”

“…จริง ๆ คือไม่มีเพศน่ะ …แต่ถ้าให้อธิบายคร่าว ๆ ก็ประมาณนั้นแหละ…”

“งี้นี่เอง แซนโดรก็เป็นทูตสวรรค์เหมือนกันสินะ อ๊อกกก”

พูดไม่ทันจบ ซาลก็โดนแซนโดรตีศอกเข้าที่หน้าท้อง

“เข้าใจผิดแล้วล่ะซาลารัส ความจริงมันมีอยู่นะคะ นี่ไงคะ *ลูบๆ* อ๊าย!”

ลานาเทลที่เอื้อมมือไปลูบหน้าอกของแซนโดรก็โดนชกสวนเข้าเต็มหน้าผาก

นิโคลที่ไม่รู้จะทำตัวอย่างไรกับเหตุการณ์ตรงหน้าดีจึงได้แต่นั่งเจี๋ยมเจี้ยมต่อไป

ความวุ่นวายดำเนินไปแค่เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ ก่อนจะสงบลง และรถม้าก็แล่นมาถึงทางเข้าเมืองการ์เดี้ยนแสตนด์พอดี

 

——————————————————————————————————–

 

Part 2

 

การ์เดี้ยนแสตนด์ดูเป็นเมืองที่เรียบง่ายและธรรมดากว่าที่ซาลคิดไว้มาก

เมืองส่วนใหญ่ในดินแดนเอ็นซิส ปกติจะมีลักษณะเหมือนเมืองป้อมปราการ คือมีกำแพงหินขนาดใหญ่ล้อมอยู่โดยรอบ แต่การ์เดี้ยนแสตนด์กลับเป็นเมืองโล่ง ๆ ที่ไม่มีกำแพงเมืองด้วยซ้ำ แม้แต่สิ่งก่อสร้างในเมืองก็เป็นบ้านสไตล์ยุโรปที่ดูจะเน้นความสวยงามมากกว่าความทนทาน ผิดกับบ้านเรือนในเมืองอื่น ๆ ที่สร้างด้วยหินและปูนจนตัวบ้านเรือนดูเป็นสิ่งก่อสร้างทางทหารมากกว่าจะเป็นบ้านคน

เพราะไม่มีกำแพงบังอยู่ จึงทำให้มองทะลุจากด้านหน้าเมืองไปจนถึงท้ายเมืองได้ และสิ่งที่ปรากฏอยู่ด้านหลังเมืองนั้นก็คือผืนดินขนาดใหญ่ที่ยกตัวทอดยาวไปยังอีกฟากของโพ้นทะเล มันคือสะพานมอทัลเบาด์ (Mortal Bound) สะพานเชื่อมทวีปที่เชื่อมต่อดินแดนเอ็นซิสกับดินแดนโครซิสเข้าด้วยกัน เพราะพื้นผิวของตัวสะพานเกือบทั้งหมดปกคลุมไปด้วยผืนดินที่มีทั้งต้นไม้และใบหญ้า และยังมีความกว้างขนาดมหึมา เมื่อมองไกล ๆ แล้วมันจึงดูเหมือนเป็นผืนดินอีกผืน มากกว่าจะเป็นสะพาน

ภายในเมืองก็ยังคงถูกประดับประดาด้วยรูปปั้นของอาเรียลในเกือบทุกซอกทุกมุม ความจริงคือตั้งแต่เข้ามาในตัวเมืองก็ยิ่งได้พบกับรูปปั้นเหล่านี้หนาตาขึ้นมา ทั้งสองฟากถนน ไปจนถึงสี่แยก แม้แต่ตามหน้าร้านค้าหรือบ้านเรือนต่าง ๆ ก็ยังมีรูปปั้นตั้งประดับอยู่แทบทุกที่

ที่ใจกลางเมืองการ์เดี้ยนแสตนด์นั้นเป็นวงเวียนขนาดใหญ่ซึ่งมีรูปปั้นขนาดมหึมาของอาเรียลตั้งอยู่ตรงกลางเช่นกัน ทำให้ซาลรู้สึกว่าชาวเมืองที่นี่จะชื่นชอบอาเรียลในระดับที่เป็นลัทธิได้เลยทีเดียว แต่ลักษณะการก่อสร้างของเมืองคือสิ่งที่เขารู้สึกสงสัยมากกว่า

“การ์เดี้ยนแสตนด์นี่มีการป้องกันน้อยกว่าที่คิดนะ ทั้งไม่มีกำแพง แถมบ้านเรือนก็ดูเป็นบ้านเรือนปกติด้วย ทั้งที่อยู่ใกล้กับดินแดนโครซิสขนาดนี้แท้ ๆ ”

“…ที่เมืองในเอ็นซิสไปจนถึงเมืองทางตะวันตกของจูริสมีโครงสร้างอันแข็งแรงเพราะได้รับการปรับปรุงด้วยความตื่นกลัวที่จะถูกรุกรานน่ะ แต่เมืองนี้เป็นเมืองที่สร้างขึ้นใหม่หลังจากเหตุการณ์สงบหลายสิบปีแล้ว ผู้คนเลยไม่ได้มุ่งเน้นสิ่งก่อสร้างที่แข็งแรงเหมือนเมืองอื่น ๆ และมันก็ถูกใช้เป็นเมืองการค้ามากกว่า …ฝั่งตะวันออกของเมืองจะมีท่าเรือขนาดใหญ่ซึ่งใช้เป็นท่าเรือหลักในการเชื่อมต่อเส้นทางการค้าทางทะเลกับจูริสและซิลวานอยู่ …การจะขนส่งสินค้าเข้าไปในโครซิสโดยมากก็จะนำมาขึ้นฝั่งที่นี่ด้วย…”

“ที่นี่ก็จัดเป็นจุดผ่านแดนนี่นา แล้วเขาไม่มีการตรวจตราอะไรเลยเหรอ?”

“…จุดผ่านแดนจริง ๆ คือเมืองมอทัลเบาด์ ที่อยู่ตรงกลางสะพานต่างหากล่ะ …เพราะงั้นที่นี่ก็เลยไม่มีการตรวจตราที่เข้มงวดเท่าไหร่นัก …เว้นแต่จะเดินทางด้วยเรือมาขึ้นฝั่งที่นี่เท่านั้นเอง…”

“เอ๋? กลางสะพานก็มีเมืองด้วยเหรอ?”

“…ใช่ …ที่กลางสะพานจะมีเมืองซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างสองอาณาจักรอยู่ …นับเป็นจุดผ่านแดนที่แท้จริง …การตรวจคนผ่านแดนก็เลยจะทำกันที่นั่น…”

“แบบนี้การข้ามแดนจะง่ายกว่าขึ้นเรือไปจริง ๆ น่ะเหรอ?”

“…ฝั่งตะวันตกของโครซิสขึ้นมาจนถึงการ์เดี้ยนแสตนด์น่ะจัดเป็นพื้นที่ของสมาคมนักผจญภัย …ดังนั้นหากมีบัตรนักผจญภัยระดับ S ขึ้นไปก็จะสามารถผ่านเข้าออกได้โดยง่าย …ยิ่งถ้าเป็นนักผจญภัยระดับ SS ขึ้นไปก็จะสามารถรับรองคนในกลุ่มได้ด้วย …แต่ถ้าขึ้นเรือไปที่มอทัลแลนดิ้ง แถวนั้นเป็นพื้นที่ควบคุมของพีชคีปเปอร์การตรวจตราเลยเข้มงวดกว่า และไม่สามารถใช้บัตรนักผจญภัยระดับสูงรับรองคนในกลุ่มได้…”

“อ๋อ แบบนี้นี่เอง”

ซาลพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ แต่ลานาเทลที่รู้ข้อมูลมาอีกอย่างหนึ่งก็เกิดรู้สึกสงสัยขึ้นมาจึงเอ่ยถามขึ้น

“แต่เมือง ‘ฮีโร่แสตนด์’ ที่ปลายสะพานฟากโครซิส ก็จัดเป็นเมืองที่พีชคีปเปอร์มีอิทธิพลสูงไม่ใช่เหรอคะ?”

“…ถึงฮีโร่แสตนด์จะเป็นเมืองที่พีชคีปเปอร์ตั้งใจให้สร้างไว้เพื่อเป็นแนวป้องกันชั้นสุดท้ายก่อนจะออกจากโครซิส …แต่หลังจากมีการสร้างป้อม ‘แพนเดโมเนี่ยมฟอเทรส’ ที่ประตูนรกแล้ว ทางพีชคีปเปอร์ก็ทุ่มเทกำลังคนไปที่ฝั่งตะวันตกแทน และให้สมาคมนักผจญภัยเป็นผู้ดูแลฝั่งตะวันออก รวมไปถึงเมืองฮีโร่แสตนด์ด้วยน่ะ…”

เพราะแม้ประตูนรกจะปิดลงไปแล้ว แต่รอยแยกที่เชื่อมระหว่างสองโลกก็มิอาจถูกปิดลงอย่างสนิทได้ ทางพีชคีปเปอร์จึงตัดสินใจสร้างป้อมปราการขนาดยักษ์ ‘แพนเดโมเนี่ยมฟอเทรส’ (Pandemonium Fortress) ขึ้นมาล้อมรอบบริเวณพื้นที่ซึ่งมีรอยแยกระหว่างโลกเอาไว้

ป้อมปราการนี้ถูกสร้างขึ้นล้อมรอบพื้นที่เกือบสิบตารางกิโลเมตร ทำให้มันมีลักษณะเหมือนโคลอสเซียมขนาดยักษ์ กำแพงด้านในมีความสูงเกือบห้าสิบเมตร และตัวป้อมยังถูกแบ่งออกเป็นชั้น ๆ เพื่อจัดวางปืนใหญ่และสารพัดอาวุธสงครามสำหรับต่อต้านการรุกรานที่อาจเกิดขึ้นจากรอยแยกซึ่งอยู่ตรงใจกลางของวงล้อม เมื่อไล่ระดับออกมาแล้ว กำแพงด้านนอกจึงมีความสูงเกือบแปดสิบเมตรทีเดียว

เมื่อได้ยินชื่อของแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรส ซาลก็หูผึ่งและหันมาแทรกการสนทนาในทันที

“แพนเดโมเนี่ยมฟอเทรส! ป้อมปราการที่ว่ากันว่าแข็งแกร่งที่สุดในโลกซึ่งสร้างล้อมประตูนรกเอาไว้น่ะเหรอ!? นี่ ๆ ผมอยากไปดูที่นั่นมากเลยอะ! อยากเข้าไปดูด้านในด้วยอะ!”

ซาลพูดด้วยความตื่นเต้นและแววตาเป็นประกาย ทำให้แซนโดรถอนหายใจ

“…นี่ …มันไม่ใช่สถานที่เที่ยวเล่นหรอกนะ …เขาไม่ให้คนนอกเข้าไปดูหรอก …และสำหรับพวกเราแล้ว ที่นั่นก็เป็นที่ ๆ ไม่ควรเข้าไปใกล้ด้วย…”

“แต่ว่า แค่ดูอยู่ไกล ๆ ก็พอนี่นา! ผมอยากเห็นความใหญ่โตของมันน่ะว่าอลังการสมคำร่ำลือรึเปล่า”

“ฉันเองก็อยากไปดูสักครั้งเหมือนกันนะคะ ป้อมนั้นน่ะเหมือนเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของโครซิสเลยล่ะ ถ้ายังไม่ไปเที่ยวที่นั่นก็เหมือนกับยังไปไม่ถึงนะคะ”

ลานาเทลพูดเสริมขึ้นมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ท่าทางเธอเองก็อยากไปดูป้อมนี้ด้วยเช่นกัน แซนโดรจึงยิ่งรู้สึกหงุดหงิด

“…นี่ …เราไม่ได้มาเที่ยวกันนะ…”

ในระหว่างนั้น ก็มีเสียงอันแผ่วเบาของคนอีกคนหนึ่งพูดเสริมขึ้นมา

“ฉะ.. ฉันเองก็อยากไปเห็นสักครั้งเหมือนกันค่ะ”

นิโคลพูดขึ้นมาด้วยท่าทีเกรงใจ ก่อนจะหลบสายตาของแซนโดรไปทางอื่นเพราะรู้สึกผิดอยู่เล็ก ๆ ลานาเทลจึงรอคำตอบของแซนโดรด้วยรอยยิ้มที่ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นผู้ชนะ พร้อม ๆ กับซาลที่จ้องมองมาอีกคนด้วยแววตาอันเป็นประกาย

“…เฮ้อ …เข้าใจล่ะ …ถ้าผ่านเข้าไปใกล้ละก็ จะลองแวะดูสักหน่อยก็ได้ …แต่แค่มองจากไกล ๆ เท่านั้นนะ…”

“เย~ แซนโดรใจดีที่สุดเลย~”

“…ทีแบบนี้ละทำเป็นปากหวานนะ…”

แซนโดรยอมรับปากด้วยท่าทางเอือมระอาเพราะไม่มีทางเลือก แต่เมื่อเห็นสีหน้าดีใจของทุกคนแล้ว เธอก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องที่แย่อะไรนัก

ในแวบนั้น เธอก็แอบนึกถึงของบางอย่างที่เธอต้องการจากแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสขึ้นมา แต่ก็รีบสลัดความคิดนั้นทิ้งไป เพราะยังเร็วเกินไปที่จะลงมือดำเนินการ การเดินทางไปยังแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสในครั้งนี้จึงต้องเป็นเพียงแค่การออกทัวร์ชมสถานที่ท่องเที่ยวไปก่อน

คณะเดินทางมาหยุดพักที่โรงแรมขนาดกลางแห่งหนึ่งในบริเวณใจกลางเมือง

เมื่อจองห้องและกินอาหารเย็นกันเสร็จแล้ว ลานาเทลกับนิโคลก็แยกตัวไปจับจ่ายซื้อของในย่านการค้า ส่วนแซนโดรก็อัญเชิญร่างเสมือนของซาลขึ้นที่ห้องสมุดในมาลาไคท์คีปเพื่อให้เขาได้ใช้มันในการค้นคว้างานวิจัย ด้วยเหตุนี้จึงเหลือแซนโดรกับซาลอยู่เฝ้าห้องกันแค่สองคน

ซาลใช้เวลาในห้องสมุดอยู่จนค่ำ แซนโดรจึงเรียกตัวเขากลับมา เพราะเห็นว่าควรได้เวลานอนแล้ว

“…หายเงียบเลยนะ …เจออะไรน่าสนใจเข้าอีกเหรอ?…”

“หุหุหุ ไม่บอกหรอก เก็บไว้เป็นเซอร์ไพรส์น่ะ”

แม้จะรู้สึกสงสัยนิดหน่อย แต่แซนโดรก็ไม่ได้ถามอะไรต่อเพราะอยากให้เขารีบพักผ่อนเพื่อเตรียมเดินทางในวันรุ่งขึ้น ทั้งสองจึงเข้านอนในทันที

ที่ห้องข้าง ๆ ซึ่งลานาเทลกับนิโคลนอนอยู่ด้วยกัน มีเสียงร้องขอความช่วยเหลือของนิโคลดังเล็ดรอดเข้ามาแว่ว ๆ ในช่วงกลางดึกทำให้แซนโดรตื่นขึ้น แต่หลังจากทบทวนแล้ว เธอก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินและนอนต่อไป

 

——————————————————————————————————–

 

Part 3

 

วันต่อมา หลังจากทุกคนทานอาหารเข้ากันเสร็จแล้วก็เริ่มออกเดินทางทันที

นิโคลขึ้นรถมานั่งข้างซาลแทนที่จะไปนั่งข้าง ๆ ลานาเทล ทั้งยังมีท่าทีแง่งอนกับแซนโดรนิดหน่อยด้วย

แซนโดรหันไปมองลานาเทลที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็เห็นอีกฝ่ายกำลังนั่งอมยิ้มเหมือนพยายามจะกลั้นขำนิด ๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เธอจึงไม่ได้ถามอะไรเช่นกัน

เมื่อรถแล่นออกจากเมืองมาได้พักหนึ่งแล้วนิโคลที่รู้สึกอัดอั้นจึงเอามือปิดหูของซาลก่อนจะพูดออกมาด้วยสีหน้าที่เหมือนจะโกรธ แต่ก็ดูไม่น่ากลัวเลยแม้แต่น้อย

“คุณแซนโดร ใจร้ายมากเลยนะคะ!”

“…หืม? …เรื่องอะไรเหรอ?…”

แซนโดรยังคงตีสีหน้าเรียบเฉยและทำเหมือนไม่รู้เรื่อง นิโคลจึงพองแก้มมากขึ้น

“ทำไมถึงไม่ยอมมาช่วยล่ะคะ!?”

“…ทำไมต้องไปช่วยด้วยล่ะ? …มีอะไรเกิดขึ้นเหรอ?…”

“ก็!.. ก็มัน!.. ถึงจะไม่ได้มีอะไรเกินเลยก็เถอะ.. แต่พอได้ยินเสียงแล้วก็ควรจะมาช่วยสิคะ!”

“…ก็ฉันรู้ว่าคงไม่มีอะไรเกินเลย ถึงได้ไม่ไปไงล่ะ…”

“แล้วถ้าเกิดมีขึ้นมาล่ะคะ!?”

“…งั้นก็ยินดีด้วยนะ…”

“มันน่ายินดีตรงไหนกันล่ะคะ!?”

“เห~ พูดแบบนี้ฉันก็เสียใจนะคะ”

“คุณลานาเทลน่ะเงียบไปเลยค่ะ! ไหนบอกว่าเป็นคู่หมั้นคุณแซนโดร แล้วทำไมถึงมาลวนลามผู้หญิงอื่นล่ะคะ!?”

“แหม~ ฉันก็แค่อยากจะลองทำให้แซนโดรเขาหึงดูนี่นา ไม่นึกว่าจะเป็นคนใจแข็งขนาดนี้ สงสัยครั้งหน้าคงต้องทำให้เห็นต่อหน้าแล้วล่ะ”

“ไม่มีครั้งหน้าหรอกนะคะ!”

นิโคลแสดงท่าทางไม่พอใจสุด ๆ ออกมา แต่จากมุมมองของลานาเทลแล้วรู้สึกว่าท่าทางแบบนี้ก็ดูน่ารักดีไปอีกแบบ จึงได้แต่อมยิ้มและพยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้

“…ถ้าไม่ชอบจริง ๆ เธอก็น่าจะขัดขืนได้นี่นา …ถึงแม่นี่จะแรงเยอะยังกับกอริล่า แต่เธอน่ะเป็นมังกรนะ …แปลงร่างแล้วขย้ำทิ้งไปเลยก็ได้…”

“เรียกใครว่ากอริล่ากันคะ?”

ลานาเทลหุบยิ้มลงและหันไปพองแก้มใส่แซนโดรบ้างเพราะถูกเรียกว่ากอริลล่า ซึ่งแซนโดรก็ยังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ตามเคย ส่วนนิโคลเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็มีท่าทีอ่อนลง

“บะ.. แบบนั้นมันก็รุนแรงเกินไปน่ะสิคะ”

“…หืม? …ปากว่าไม่ชอบ แต่ก็ไม่ยอมขัดขืนให้สุดกำลังแบบนี้ …แปลว่าจริง ๆ แล้วก็สนใจอยู่เหมือนกันสินะ…”

“มะ.. ไม่ใช่นะคะ!”

“แหม~ แบบนี้นี่เอง ขัดขืนแค่พอเป็นพิธีเพื่อให้เข้ากับการโรลเพลย์ (สวมบทบาท) สินะ ที่เมื่อคืนหยุดแค่กลางคันคงเป็นการเสียมารยาทซะแล้วสิ เอาไว้คืนนี้ขอแก้ตัวใหม่ละกันนะคะ”

“ไม่เอาค่ะ!!” ><

ลานาเทลพูดพลางขยิบตาให้นิโคล ทำให้เธอยิ่งลนลานเข้าไปอีก เมื่อเจอแซนโดรกับลานาเทลช่วยกันไล่ต้อนแบบนี้แล้ว นิโคลจึงยิ่งไม่รู้จะตอบโต้ยังไงดี

‘ฮือ… คิดแล้วเชียวว่าถ้าโดนคุณลานาเทลแกล้งอีกคนละก็ต้องแย่แน่ ๆ แต่ไม่นึกว่าจะแย่ขนาดนี้’

นิโคลที่เถียงสู้ไม่ได้เริ่มเม้มปากและทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ออกมา

ซาลนั่งฟังอยู่ตลอดแต่เพราะถูกอุดหูอยู่ทำให้ได้ยินไม่ชัด บวกกับไม่ค่อยเข้าใจเนื้อหาของเรื่องที่คุยกันเลยได้แต่ฟังเงียบ ๆ แต่พอเห็นอาการของนิโคลแล้วก็รู้สึกอยู่เฉยไม่ได้ขึ้นมา จึงเอามือของนิโคลออก

“นี่! พวกเธอน่ะ รังแกนิโคลงั้นเหรอ!? หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ!”

“คุณซาลารัส…”

นิโคลหันมามองซาลารัสด้วยสีหน้าที่ซาบซึ้ง ว่าอย่างน้อยซาลก็ยังอยู่ข้างเธอ

“คนที่แกล้งนิโคลได้น่ะมีผมคนเดียวเท่านั้น คนอื่นห้าม! เข้าใจมั้ย!?”

เมื่อได้ยินคำพูดของซาลารัส น้ำตาของนิโคลก็ไหลออกมา แม้เธอจะยังคงยิ้มอยู่ ทว่านั่นคงไม่ใช่น้ำตาแห่งความประทับใจแต่ประการใด

 

รถม้าแล่นตามสะพานขึ้นมาเรื่อย ๆ แต่เพราะความใหญ่โตของมันทำให้ตัวสะพานมีความลาดเอียงต่ำมากจนแทบจะเป็นพื้นราบ แถมทิวทัศน์โดยรอบที่มีทั้งทุ่งหญ้าและต้นไม้ขึ้นเป็นกลุ่ม ๆ นั้นยังให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเดินทางอยู่บนผืนดินปกติมากกว่าจะอยู่บนสะพาน

แม้ตอนมองจากด้านล่างจะเห็นเหมือนตัวสะพานมีความสูงขึ้นจากระดับพื้นปกตินับสิบเมตร แต่นั่นคือส่วนที่สูงที่สุดบริเวณกลางสะพาน ซึ่งอยู่ห่างออกไปไกลมาก สำหรับช่วงปลายสะพานนั้นจะเป็นทางลาดขึ้นที่มีความชันต่ำสุดๆ ทำให้แทบไม่รู้สึกว่ามันเป็นทางลาดเลย

ถนนสำหรับใช้สัญจรบนสะพานนี้จะมีอยู่ทั้งหมดสามสายด้วยกัน

สองสายที่อยู่ด้านข้างคือถนนสายรองซึ่งจะห่างจากขอบสะพานออกมาประมาณหนึ่งกิโลเมตร เป็นถนนที่มีผู้คนสัญจรไม่มากนัก โดยมากจะถูกใช้โดยนักท่องเที่ยวหรือนักเดินทางที่ต้องการชมทิวทัศน์ มากกว่า

แซนโดรเลือกใช้ถนนสายรองเพราะว่าถนนสายหลักที่อยู่ตรงกลางสะพานนั้นแม้จะเป็นถนนขนาดใหญ่ซึ่งมีทางวิ่งถึงสี่เลน แต่ก็มีผู้คนสัญจรค่อนข้างเยอะ ทั้งผู้ที่เร่งเดินทางตามปกติและพวกขบวนรถขนสินค้า ทำให้เป็นเส้นทางที่ค่อนข้างวุ่นวายในบางเวลา

ในช่วงเช้านี้ซาลก็ยังคงเน้นการฝึกเวทพันธนาการโดยมีนิโคลเป็นผู้ฝึกสอนให้เช่นเคย ซึ่งวันนี้เขาก็ทำได้ดีขึ้นกว่าเมื่อวานมาก การใช้เวทสามารถเข้าเป้าได้ถึงสี่ในห้าครั้งแล้ว ถึงจะเป็นเพราะรถม้าแล่นช้าลงกว่าเมื่อวานด้วยก็ตาม

เมื่อใช้พลังเวทจนหมดแล้ว ซาลก็เปิดดันเจียนขึ้นมาตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ก่อนจะหันมาศึกษาเรื่องทฤษฎีเวทมนตร์ต่อ เพราะชุดคำสั่งที่ใช้อยู่ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้เวลากับการดูแลดันเจียนมากเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว

ลานาเทลที่เห็นเขาฝึกฝนแต่เวทมนตร์แม้กระทั่งยามที่พลังเวทหมดแล้วก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา จึงหันไปถามแซนโดร

“ทำไมช่วงที่รอพลังเวทฟื้นฟูถึงไม่ฝึกฝนร่างกายไปด้วยล่ะคะ? ถึงจะมีสมุนอัญเชิญที่เก่งกาจแค่ไหน ถ้าผู้อัญเชิญถูกเล่นงานเข้าก็จบนะคะ”

“…เรื่องร่างกายก็ฝึกฝนอยู่ …ในแง่นึงน่ะ …ส่วนเรื่องการต่อสู้ ฉันคิดว่าจะฝึกสอนให้หลังจากจบการเดินทางคราวนี้เหมือนกัน…”

“ของแบบนี้ยิ่งเริ่มเร็วก็ยิ่งดีนะ ถ้าไม่รังเกียจละก็ ให้ฉันเป็นคนช่วยฝึกสอนให้ดีมั้ยคะ?”

“…เธอน่ะเหรอ?…”

“ความสามารถในเชิงดาบของฉันน่ะอยู่ในระดับ ‘ซอร์ดเอ็มเพรส’ (Sword Empress) เลยนะคะ ถ้าให้ฝึกกับฉันละก็ รับรองว่าซาลารัสต้องกลายเป็นนักดาบที่แข็งแกร่งได้แน่ ๆ เลยค่ะ”

ซาลที่ได้ยินการสนทนาเกี่ยวกับตนเองอยู่จึงหันมาแทรกบ้าง

“ซอร์ดเอ็มเพรสเหรอ? นั่นมันคลาสระดับไหนกันน่ะ ไม่เห็นเคยได้ยินเลย”

“…มันเป็นคลาสระดับสี่ของนักดาบน่ะ และจัดเป็นคลาสพิเศษที่ต้องผ่านการทดสอบเฉพาะทางด้วย … ไล่จาก ซอร์ดแมน > วอริเออร์ > ซอร์ดมาสเตอร์ > ซอร์ดเอ็มเพรส …ไม่ค่อยมีผู้หญิงที่ฝึกจนถึงขั้นนี้ได้หรอก มันจึงเป็นคลาสที่หายากน่ะ…”

“ชมเกินไปแล้วค่ะ อันที่จริงมันก็ไม่ยากเท่าไหร่หรอกนะ ว่าไงคะซาลารัส สนใจรึเปล่า?”

“อืม… ก็ดีนะ ความจริงผมก็เบื่อ ๆ ที่ต้องรอฟื้นฟูพลังเวทเหมือนกัน แล้วจะเริ่มยังไงดีล่ะ”

เมื่ออีกฝ่ายตอบรับ ลานาเทลจึงยิ้มละไมด้วยความพึงพอใจก่อนจะตอบกลับไป

“ขั้นแรกก็ต้องมาสู้กับฉันซะก่อนค่ะ”

“เอ๋? สู้กับลานาเทลน่ะเหรอ?”

ซาลรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับเงื่อนไขที่ไม่มีปี่มีขลุ่ยนี้ แม้แต่แซนโดรกับนิโคลเองก็หันมามองด้วยความสนใจเช่นกัน

“ใช่แล้วค่ะ ลำดับแรกต้องดูซะก่อนว่ามีพื้นฐานอยู่ในระดับไหน จะได้ชี้แนะแนวทางต่อไปได้ถูกไงคะ”

“อ่า.. งั้นจะเริ่มเมื่อไหร่ดีล่ะ?”

“ก็ต้องเดี๋ยวนี้อยู่แล้วสิคะ”

เมื่อพูดจบ ลานาเทลก็ให้แซนโดรแวะเข้าพื้นที่โล่งข้างทางซึ่งอยู่ห่างไปจากถนนหลักเล็กน้อย เพื่อเตรียมทดสอบการต่อสู้กับซาล

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด