Doombringer the 5th 34

Now you are reading Doombringer the 5th Chapter 34 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Ch.34 – เครื่องสังเวย

Translator : YoyoTanya / Author

Ch. 34

เครื่องสังเวย

 

Part 1

 

เช้าวันต่อมา อัลติม่าก็มายืนรอรถม้าของแซนโดรที่ด้านนอกเมืองเหมือนเช่นเคย

เมื่อรถม้าเคลื่อนมาถึง เธอก็ขึ้นไปนั่งบนที่นั่งคนขับตามปกติ ส่วนซาลก็ลงจากรถม้าและเดินขึ้นมานั่งข้าง ๆ เธออีกครั้ง

พอขึ้นมานั่ง ซาลก็หันมายิ้มแป้นให้กับอัลติม่าด้วยสีหน้าที่ใสซื่อไร้ความกังวลใด ๆ แต่มันกลับทำให้เธอรู้สึกตะหงิด ๆ

‘เจ้าเด็กเนี่ยนะ ผู้มีชะตาที่สามารถครอบครองสามโลกได้… ดูยังไงก็เด็กกะโปโลชัด ๆ … แต่ก็อย่างที่ท่านเดียโบลว่าแหละ ชะตากรรมเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน เจ้านี่อาจเป็นแค่คนธรรมดาไปตลอดชีวิตก็ได้’

แม้จะคิดเช่นนั้น แต่อัลติม่าก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าซาลเป็นเด็กที่อันตรายพอตัว เพราะเธอเองก็ยังเคยเสียท่ามาแล้ว จึงคิดว่าควรจะต้องระวังเขาเอาไว้ด้วยเหมือนกัน

รถม้าแล่นมาตามทางพักหนึ่งแล้วแต่ทั้งสองคนก็ยังไม่ได้คุยอะไรกัน ซาลรู้สึกแปลกใจที่อัลติม่ามีท่าทีเย็นชาอีกครั้งทั้งที่เมื่อวานเหมือนจะปรับความเข้าใจกันได้แล้ว เขาจึงถามขึ้นด้วยความสงสัย

“นี่ โกรธอะไรอีกล่ะ?”

“…ก็เปล่านี่”

“งั้นทำไมต้องทำเป็นเมินกันด้วยล่ะ นึกว่าคุยกันรู้เรื่องแล้วซะอีก”

“ไม่ได้เมินซะหน่อย ฉันก็เป็นแบบนี้อยู่แล้วต่างหาก”

อัลติม่าหลับหูหลับตาตอบกลับมาด้วยท่าทางที่ดูยังไงก็เป็นการกลบเกลื่อนแบบขอไปที แต่ซาลารัสก็ไม่คิดจะเซ้าซี้อะไรต่อ

“งั้นก็ช่างเถอะ.. ว่าแต่ ช่วยสอนเรื่องการ ‘แซคคริไฟซ์’ เพื่อเพิ่มระดับของสมุนอัญเชิญให้บ้างสิ”

“หืม? นายสนใจเรื่องการสร้างสมุนอัญเชิญด้วยเหรอ?”

“ยิ่งกว่าสนใจอีก! ผมน่ะ จะเป็นซัมมอนเนอร์อันดับหนึ่งของโลกให้ได้เลย! ตอนนี้ก็กำลังสร้างกองทัพสมุนอัญเชิญอยู่ด้วยล่ะ”

“อยากเป็นซัมมอนเนอร์เนี่ยนะ? พิลึกเด็กจริง ๆ ”

“อัลติม่าเองก็มีสมุนอัญเชิญระดับสูงเหมือนกันนี่นา แปลว่าก็เป็นซัมมอนเนอร์ระดับสูงด้วยใช่ม้า?”

“เปล่าหรอก การใช้งานสมุนก็เหมือนกับเป็นหลักสูตรบังคับสำหรับปิศาจระดับนายกองขึ้นไปอยู่แล้วล่ะนะ และเพราะความสามารถในการใช้ ‘เกท’ ทำให้ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้เรื่องการอัญเชิญมากนัก แค่เลือกสมุนมาปั้นไว้ใช้งานในสังกัดก็พอแล้ว”

“อืม.. แล้วไอ้เรื่องการปั้นที่ว่าน่ะ ทำยังไงล่ะ?”

“ก็ไม่มีอะไรมาก แค่ไปหาพวกมอนสเตอร์หรือปิศาจชั้นต่ำมาทำการสังเวยด้วยวงเวท ‘แซคคริไฟซ์’ ก็สามารถเพิ่มระดับของสมุนได้แล้ว แต่ยิ่งสมุนมีระดับสูงขึ้นก็ยิ่งพัฒนาช้าลงน่ะนะ ดังนั้นกว่าจะอัพเกรดเจ้าสามตัวนั่นได้ถึงระดับนี้ก็ใช้เวลานานทีเดียว”

“นานที่ว่าน่ะ เท่าไหร่ล่ะ?”

“ก็… เกือบสิบปีล่ะมั้ง”

“หา!? นะ.. นานจริง ๆ ด้วย… แต่นั่นมันก็สมุนระดับ S แหละนะ แล้ว… การจะแซคคริไฟซ์ต้องทำไงบ้างล่ะ ช่วยสอนหน่อยสิ”

“อยู่บนรถแบบนี้จะไปทำได้ไงล่ะ รอให้รถหยุดก่อนสิ”

เพราะการแซคคริไฟซ์ต้องใช้ทั้งการวางวงเวทและอัญเชิญสมุนออกมาด้วยจึงไม่สามารถทำในขณะที่อยู่บนรถม้าได้ ซาลเลยได้แต่รอให้ถึงที่หมายอย่างใจจดใจจ่อ

ถึงอัลติม่าจะบอกว่าใช้เวลานับสิบปี แต่นั่นหมายถึงสมุนระดับ S ถึงสามตัว ถ้าหารเฉลี่ยแล้วก็น่าจะใช้เวลาราว ๆ ตัวละสามปีเศษ ซึ่งไม่ใช่ระยะเวลาที่ถือว่ามากเกินไปนัก สำหรับมนุษย์หรือนักผจญภัยทั่วไปแล้วการจะไต่ระดับฝีมือจนถึง S ได้นั้นต้องใช้เวลาเป็นสิบปีเลยทีเดียว

นอกจากนี้ แม้จะผ่านไปเกือบเดือนแล้ว สมุนที่ซาลเลี้ยงเอาไว้ในอคาทอชก็ยังเลื่อนเป็นระดับหกแค่ไม่กี่ตัวเอง ด้วยอัตรานี้เขาจึงมองว่าการเลี้ยงในดันเจียนตามปกติคงใช้เวลาเกินสิบปีด้วยซ้ำ กว่าสมุนจะขึ้นถึงระดับสิบ และกลายเป็นระดับ S ได้

ด้วยเหตุนี้ซาลจึงคิดว่าเวทแซคคริไฟซ์ที่นรกใช้ในการสร้างสมุน น่าจะเป็นตัวช่วยให้เขาสามารถเลื่อนระดับของเหล่าสมุนให้เร็วขึ้นได้มากกว่าปล่อยให้พวกมันเก็บประสบการณ์จากการสู้กับนักผจญภัยแค่เพียงอย่างเดียว

 

เป้าหมายของการเดินทางในวันนี้ก็ยังคงเหมือนเช่นเคย พวกเขามุ่งหน้าไปทางตะวันตกโดยแวะวางดันเจียนตามรายทางไปด้วย ซึ่งในที่สุดก็มาถึงดันเจียนแห่งแรกในช่วงสาย

พื้นที่ดันเจียนแห่งนี้เป็นเหมือนซากเมืองที่ตั้งอยู่ใต้หุบเขา

การแวะแต่ดันเจียนที่เป็นซากเมืองเป็นความตั้งใจของแซนโดรซึ่งต้องการหาสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการเลี้ยงวาลไครี่ที่มีรูปลักษณ์ของฟอลเลนแชมเปี้ยน แต่ซาลก็อดคิดไม่ได้ว่าในโครซิสนี่มีซากเมืองหรือหมู่บ้านร้างอยู่เยอะจริง ๆ

เมื่อทุกคนลงจากรถแล้ว อัลติม่าก็เรียกสมุนทั้งสามตัวออกมาและให้พวกมันไปจัดการเคลียร์ดันเจียนอีกครั้ง ก่อนจะมองหาที่เหมาะ ๆ ในการสาธิตการใช้วงเวทแซคคริไฟซ์ให้ซาลได้ดู แต่เมื่อซาลเห็นสมุนของอัลติม่าซึ่งมีลักษณะพิเศษอีกอย่างแล้วก็อดสงสัยไม่ได้จึงต้องถามขึ้น

“นี่ๆ สมุนพวกนั้นน่ะ เหมือนมันมีความคิดเลยนะ เห็นพูดตอบรับคำสั่งได้ด้วยนี่”

“ก็มีน่ะสิ พวกนั้นไม่ใช่สมุนอัญเชิญธรรมดา ๆ นะ แต่เป็นอสูรที่ถูกสร้างขึ้น แม้จะเป็นวิทยาการที่มีความใกล้เคียงกับการสร้างร่างอัญเชิญ แต่ระดับก็ต่างกันมาก”

“เห? แปลว่าเป็นร่างอัญเชิญที่มีความคิดและจิตใจงั้นเหรอ!?”

“ก็แค่ระดับหนึ่งน่ะ เพราะการปล่อยให้สมุนมีความคิดอย่างอิสระอาจเกิดปัญหาต่อการควบคุมได้ ดังนั้นจึงจำกัดความนึกคิดของพวกมันเอาไว้แค่เท่าที่จำเป็น สมุนที่พอคิดเองได้จะมีความสามารถในการต่อสู้ดีกว่าสมุนที่เคลื่อนไหวด้วยสัญชาติญาณแค่เพียงอย่างเดียวน่ะนะ ส่วนเรื่องจิตใจเป็นของที่ไม่จำเป็นเท่าไหร่ก็เลยจำกัดไว้เกือบทั้งหมด”

“แปลว่าถ้าไม่จำกัดเอาไว้ก็สามารถสร้างสมุนที่มีความคิดความอ่านเหมือนกับคนจริง ๆ ได้น่ะสิ!?”

“ก็ทำได้แหละ สมัยก่อนมันคือวิทยาการที่ใช้ในการสร้างปิศาจขึ้นมาเลยล่ะ”

“อันนี้ก็น่าสนใจเหมือนกันแฮะ แต่เอาไว้ก่อนละกัน ตอนนี้ขอดูเรื่องการแซคคริไฟซ์ก่อนดีกว่า”

“อืม นายก็เตรียมสมุนอัญเชิญเอาไว้ละกัน รออีกเดี๋ยวก็น่าจะมีคนกลับมาแล้วล่ะ”

อัลติม่าพูดจบก็สร้างวงเวทขนาดใหญ่ขึ้นบนพื้น ส่วนซาลแม้จะนึกสงสัยเรื่องที่บอกว่าเดี๋ยวจะมีคนกลับมาคืออะไรแต่ก็ไม่ได้ถามต่อ และหันไปเตรียมสมุนอัญเชิญที่จะใช้รับการแซคคริไฟซ์แทน

 

——————————————————————————————————–

 

Part 2

 

ทางด้านแซนโดร, นิโคล, และลานาเทล ซึ่งไม่มีอะไรทำ ก็กางโต๊ะกับเก้าอี้ลงข้าง ๆ รถม้า และเริ่มตั้งวงทานขนมจิบน้ำชากันระหว่างที่มองดูซาลกับอัลติม่าไปด้วย

“ท่าทางสองคนนั้นจะดูสนิทกันดีนะคะ”

ลานาเทลพูดพลางจิบน้ำชาไปด้วย โดยหวังจะดูปฏิกิริยาของนิโคลสักหน่อย แต่อีกฝ่ายกลับมีท่าทีเรียบเฉยผิดคาด

“ทั้งสองคนนั้นสนิทกันก็ดีแล้วนี่คะ ฉันคิดว่าอัลติม่าน่ะไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรหรอกค่ะ”

นิโคลตอบกลับมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ทำให้ลานาเทลรู้สึกผิดหวังนิดหน่อย ส่วนแซนโดรที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็หยิบแต่ขนมใส่ปากไปครึ่งจานแล้ว โดยยังไม่ได้แตะชาเลยสักจิบ

ลานาเทลไม่แน่ใจว่านั่นเป็นการแสดงอาการหงุดหงิดอย่างหนึ่งรึเปล่า เพราะสีหน้าอันเรียบเฉยนั้นทำให้เดาความคิดลำบาก แต่ท่าทางของแซนโดรที่เคี้ยวขนมตุ้ย ๆ จนแก้มป่องนี้ก็น่ารักดีไปอีกแบบ เธอจึงได้แต่เฝ้ามองปฏิกิริยานั้นด้วยความอิ่มเอมใจ

อีกด้านหนึ่ง อัลติม่าก็กำลังสอนชุดอักขระที่มีโครงสร้างอันแปลกประหลาดให้ซาลใช้ในการสร้างร่างอัญเชิญสำหรับรับการแซคคริไฟซ์

“ฉันจะบอกเรื่องที่ต้องรู้ไว้ก่อน สมุนที่จะรับพลังจากการแซคคริไฟซ์ได้น่ะต้องเป็นร่างอัญเชิญถาวรเท่านั้น ไม่สามารถใช้กับร่างอัญเชิญแบบชั่วคราวได้ แล้วก็ถ้าสมุนตายไป พลังที่ได้รับจากการแซคคริไฟซ์ก็จะหายไปด้วย”

“โอเค เรื่องนั้นก็พอจะเข้าใจอยู่ล่ะนะ”

“ส่วนนี่คือชุดอักขระที่จะทำให้ร่างอัญเชิญมีคุณสมบัติในการรับพลังจากการแซคคริไฟซ์ได้ ฉันไม่ค่อยแน่ใจว่าวิทยาการด้านอักขระของมนุษย์น่ะใช้ร่วมกับของเราได้รึเปล่า แต่ก็ลอง ๆ ไปละกัน”

“เห? พูดจาไร้ความรับผิดชอบจังเลยนะ แล้วถ้าเกิดมันผิดพลาดหรือคลุ้มคลั่งขึ้นมาล่ะ?”

“ถึงตอนนั้นก็รู้เองแหละน่า สร้าง ๆ ไปเหอะ”

อัลติม่ายิ้มออกมาด้วยสายตาเจ้าเล่ห์นิด ๆ ใช่ว่าเธออยากจะให้เกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้นมา แต่เรื่องนี้เป็นสิ่งที่อัลติม่าเองก็ไม่เคยทำจริง ๆ จึงรู้สึกตื่นเต้นเพราะความอยากรู้อยากเห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นกันแน่

ทางด้านซาลแม้จะหงุดหงิดกับท่าทีแบบนั้นนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้บ่นอะไรเป็นพิเศษ

สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกผิดหวังจริง ๆ คือถ้าสมุนที่จะรับพลังได้ต้องมีอักขระชุดนี้ในการสร้าง แปลว่าสมุนทั้งหมดที่เลี้ยงมาไม่มีตัวไหนสามารถรับพลังจากการแซคคริไฟซ์ได้เลย

“ต้องเริ่มใหม่จากศูนย์เลยเหรอเนี่ย… เฮ้อ… แต่ช่างเถอะ”

เขาสร้างวาลไครี่ตัวใหม่ขึ้นมาโดยใส่อักขระที่อัลติม่าบอกลงไปด้วย จากนั้นก็อัญเชิญมันออกมาอย่างระมัดระวัง แต่ดูเหมือนอักขระของอัลติม่าจะทำงานร่วมกับชุดอักขระปกติได้โดยไม่มีปัญหาอะไร วาลไครี่ซึ่งมีรูปร่างเหมือนกับนักรบหญิงจึงปรากฏกายออกมาด้วยท่าทางปกติ

เมื่อเห็นว่าไม่มีปัญหา ซาลจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่เขากลับได้ยินเสียง ‘ชิ’ แว่วมาจากอัลติม่าที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ

ไม่นานนัก สมุนที่มีหัวเหมือนแกะของอัลติม่าก็กลับมาพร้อมกับของที่เหมือนกับซากของชุดเกราะในมือทั้งสองข้าง

มันคือเคิร์สอาเมอร์ (มอนสเตอร์ที่เป็นขุดเกราะซึ่งเคลื่อนไหวเองได้) ในดันเจียนที่ถูกสมุนของอัลติม่าซัดจนปางตายแล้วหิ้วกลับมาเพื่อใช้ในการแซคคริไฟซ์นั่นเอง

สมุนของอัลติม่าวางเรเวอแนนท์ลงบนวงเวทที่เตรียมไว้ แม้มันทำท่าทางเหมือนพยายามจะหนีออกจากวงเวท แต่เพราะแขนและขาของมันถูกบี้จนแทบไม่เหลือรูปร่างแล้ว มันจึงได้แต่ตะเกียกตะกายอยู่ตรงนั้นโดยแทบไม่ได้ขยับไปไหน

“เอ้า ทีนี้ก็ร่ายเวทแซคคริไฟซ์ซะ ตามนี้แหละ”

อัลติม่าวาดอักขระอีกชุดซึ่งเป็นคาถาของเวท ‘แซคคริไฟซ์’ ขึ้นบนอากาศ

ซาลท่องจำและทบทวนชุดอักขระนั้นอยู่หลายครั้ง จึงเริ่มทำการร่ายเวทโดยไม่ได้เหลือบไปมองชุดอักขระอีก

ทันใดนั้นวงเวทบนพื้นก็เปล่งแสงสีแดงออกมา ทำให้เคิร์สอาเมอร์ที่นอนอยู่บนวงเวทพยายามดิ้นรนอีกครั้ง แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ในที่สุดร่างของมันก็ค่อย ๆ สลายเป็นละอองแสงและถูกกลืนไปกับแสงสีแดงของวงเวท

เมื่อเคิร์สอาเมอร์บนวงเวทหายไปแล้ว วาลไครี่ของซาลก็มีแสงสีแดงเรืองรองออกมาจากร่างวูบหนึ่ง ก่อนจะกลับเป็นปกติ พอเขาลองตรวจสอบคุณสมบัติดูก็พบว่ามันมีค่าสถานะเทียบเท่ากับสมุนระดับสามแล้ว

“โอ้ กลายเป็นระดับสามเลยรึเนี่ย ยอดไปเลย”

“เมื่อกี้มันแค่มอนสเตอร์ระดับห้าล่ะมั้ง ยิ่งใช้มอนสเตอร์ระดับสูงมาสังเวยก็จะยิ่งถ่ายทอดพลังได้มาก เวทนี้น่ะมีการทำงานคล้าย ๆ กับดาบกลืนวิญญาณ ‘โซลดีโวเรอร์’ ที่ผู้สร้างหายนะคนที่สามเคยใช้นั่นแหละ คือจะดูดเอาพลังวิญญาณของเหยื่อมาใช้เพิ่มพลังให้กับสมุนอัญเชิญ”

“เห~ นี่มันวิชามารชัด ๆ เลยนี่นา”

“นี่ นาย… ดูซะบ้างสิว่าพูดอยู่กับใคร หน้าตาฉันเหมือนนางฟ้ารึไง? แล้วนี่มันก็เป็นวิชาของนรกด้วย”

“เอ้อ นั่นสินะ เพราะอัลติม่าดูไม่ค่อยเหมือนปิศาจ ก็เลยลืมทุกทีเลย”

“ว่าไงนะ! พูดแบบนี้มันหยามกันชัด ๆ !”

“ใช่ที่ไหนเล่า ผมหมายความว่าอัลติม่าน่ะหน้าตาน่ารักดี ไม่เหมือนพวกปิศาจที่ผมเคยจินตนาการเอาไว้เลยต่างหาก”

“พะ.. พูดบ้าๆน่า! ใครน่ารักกัน!? อย่ามาล้อผู้ใหญ่เล่นแบบนี้นะ!”

แม้จะมีท่าทีฮึดฮัดเหมือนไม่พอใจ แต่อัลติม่าก็หน้าแดงและหันตัวหลบไปทางอื่นด้วยความเขินอาย

“ผู้ใหญ่เหรอ? ดูแล้ว อัลติม่าก็น่าจะอายุไม่เกิน 14 เองนี่นา ก็ห่างกันไม่เท่าไหร่หรอก รุ่นใกล้ ๆ กันน่า”

“ใช่ที่ไหนล่ะ! ฉันน่ะเกิดมาตั้งแต่หลังการรุกรานครั้งที่สามแล้ว! เพราะงั้นอีกแค่สองปีก็จะอายุครบหนึ่งร้อยขวบแล้วล่ะ!”

โลกใหม่ตอนนี้อยู่ในช่วงศักราชที่ 310 ส่วนการรุกรานครั้งที่สามนั้นเกิดขึ้นในศักราชที่ 211 หากอัลติม่าเกิดหลังการรุกรานครั้งที่สามก็น่าจะแปลว่าเกิดในศักราชที่ 212 ขึ้นไป

“แปลว่า 98 แล้วงั้นเหรอเนี่ย แก่จัง… แต่ดูยังไงก็ไม่น่าใช่เลยแฮะ”

“หุหุ รูปลักษณ์ที่สวนทางกับวัยนี่แหละคือหลักฐานที่แสดงถึงความพิเศษของฉัน”

เพราะจ้าวนรกเดียโบลมีรูปลักษณ์เป็นเด็กสาวตัวน้อย พวกปิศาจรุ่นใหม่จึงเกิดค่านิยมแปลก ๆ ขึ้นมาว่าปิศาจที่มีรูปลักษณ์อ่อนกว่าวัยจะเป็นปิศาจที่ทรงอำนาจและมีพลังแฝงเร้นอันไร้ขีดจำกัด อัลติม่าซึ่งเป็นปิศาจรุ่นใหม่จึงภูมิใจกับรูปลักษณ์ที่เหมือนเด็กสาวของตนเองมาก

“ไม่ถือเรื่องอายุด้วยเหรอ? เห็นผู้หญิงมักจะถือเรื่องนี้เหมือนเป็นเรื่องคอขาดบาดตายเลยนี่นา?” (อย่างแซนโดรเงี้ย)

“สำหรับพวกเราเผ่าปิศาจแล้ว อายุเป็นอีกสิ่งที่บ่งบอกถึงความทรงอำนาจ ปิศาจที่มีชีวิตอยู่มานานก็จะยิ่งมีพลังแก่กล้า ดังนั้นยิ่งมีอายุเยอะก็ยิ่งเป็นสิ่งที่น่าภูมิใจ แต่ก็เพราะเหตุนั้นแหละ ถ้าเป็นกับพวกปิศาจด้วยกันแล้ว ฉันก็ไม่ค่อยอยากพูดถึงเรื่องอายุเท่าไหร่”

“หืม? ทำไมล่ะ?”

“ก็ฉันเป็นปิศาจที่มีอายุน้อยที่สุดในนรกแล้วน่ะสิ หลังจากฉันแล้วก็ยังไม่มี ‘เพียวอีวิล’ รุ่นใหม่ ๆ ถือกำเนิดขึ้นมาอีกเลย ถึงจะภูมิใจที่เป็นปิศาจตนแรกที่ถือกำเนิดขึ้นมาหลังการสร้างโลกใหม่และมีพลังเหนือกว่าพวกปิศาจรุ่นก่อนเกือบทุกตัวก็เถอะนะ แต่ถ้ามีน้อง ๆ เกิดขึ้นมาบ้างก็คงจะดี…”

อัลติม่ามองไปยังสมุนที่มีหัวเหมือนแกะด้วยสายตาที่ดูเศร้านิด ๆ ทำให้ซาลยิ่งรู้สึกอยากรู้เรื่องราวของเธอมากขึ้นอีก

“เรื่องนั้นช่างเถอะ มาดำเนินการแซคคริไฟซ์กันต่อดีกว่า ยังเหลือมอนสเตอร์อีกตัวนึงนี่นา.. อ้าว…”

เพราะเสียเวลาคุยกันนานเกินไป ทำให้เคิร์สอาเมอร์อีกตัวที่อยู่ในมือสมุนของอัลติม่าสิ้นใจตายไปแล้ว

 

——————————————————————————————————–

 

Part 3

 

เพราะไม่มีมอนสเหลือเตอร์แล้ว อัลติม่าก็เลยส่งสมุนกลับไปหามอนสเตอร์มาอีกรอบ

“ที่จริง ไม่เห็นต้องซัดซะปางตายขนาดนั้นเลยนี่นา ถ้าสังเวยมอนสเตอร์ที่ยังแข็งแรงอยู่ก็น่าจะได้พลังวิญญาณมากกว่าสังเวยมอนสเตอร์ที่ใกล้ตายด้วยรึเปล่า?”

“รู้เรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ?”

“ก็เห็นบอกว่ามันเป็นเวทที่ใช้ดูดพลังวิญญาณจากเหยื่อ เพราะงั้นตามหลักการพื้นฐานแล้ว ร่างกายที่สมบูรณ์กว่าก็น่าจะมีพลังวิญญาณที่สมบูรณ์กว่าใช่ม้า”

“เรื่องนั้นก็ถูก แต่การจะแปรสภาพวิญญาณไม่ใช่อะไรที่ทำได้ง่าย ๆ ขนาดนั้นหรอก ไม่มีมอนสเตอร์ตัวไหนยินยอมพร้อมใจกับการถูกสังเวย หากวิญญาณยังแข็งแรงดีก็จะสามารถต้านทานการแปรสภาพได้ เพราะงั้นเลยต้องทำให้อ่อนแอลงในระดับหนึ่งก่อน”

“แบบนี้นี่เอง ถ้าไม่อยู่ในสภาพใกล้ตายก็ยังสังเวยไม่ได้สินะ”

“ถ้าเหยื่อสังเวยยินยอมรับการสังเวยเองมันก็ทำได้อยู่ สมัยก่อนเราก็ใช้พวกลูกกระจ๊อกระดับต่ำมาสังเวยเอาเหมือนกัน แต่ถ้าจะจับมอนสเตอร์มาสังเวยเอาก็ต้องทำแบบนี้เท่านั้นแหละ”

“อืม… ถ้าเหยื่อยินยอมงั้นเหรอ…”

ซาลครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก็นึกอะไรขึ้นมาได้

“จริงสิ เวทนี้น่ะใช้กับพวกมอนสเตอร์ที่เป็นร่างอัญเชิญได้รึเปล่า?”

“หืม? ได้สิ ขอแค่เป็นมอนสเตอร์ จะประเภทไหนก็ได้ทั้งนั้นแหละ”

“แจ๋วเลย! ถ้างั้นละก็”

พูดจบ เขาก็อัญเชิญมังกรของตัวเองออกมาหนึ่งตัว

“สมุนระดับ.. ห้างั้นเหรอ?” (อายุแค่นี้ก็อัญเชิญสมุนระดับกลางได้แล้วเหรอเจ้าเด็กนี่)

“หุหุหุ เจ๋งใช่มั้ยล่า ไหนลองดูซิว่าถ้าสังเวยด้วยสมุนระดับห้าที่สมบูรณ์พร้อมจะเพิ่มระดับได้แค่ไหน”

ซาลสร้างวาลไครี่ขึ้นมาใหม่อีกตัวเพราะอยากรู้ว่าถ้าสังเวยให้กับสมุนที่เพิ่งสร้างใหม่จะทำให้พัฒนาได้มากแค่ไหน เพื่อจะได้เทียบกับตัวที่รับการสังเวยจากมอนสเตอร์ใกล้ตายด้วย

เขารู้สึกตื่นเต้นมากเพราะว่าสมุนอัญเชิญแบบนี้สามารถเรียกมาสังเวยอีกเท่าไหร่ก็ได้ เท่ากับว่ามีทรัพยากรสำใช้หรับเสริมพลังให้สมุนอัญเชิญได้อย่างไม่จำกัดเลยทีเดียว

พอเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว เขาก็ร่ายเวทแซคคริไฟซ์อีกครั้ง แสงสีแดงจากวงเวทกลืนร่างมังกรอัญเชิญจนหายไป แต่กลับไม่เกิดอะไรขึ้นกับวาลไครี่ที่สร้างขึ้นใหม่เลย

“เอ๋? ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย? ทำไมกันล่ะ?”

“นี่ มอนสเตอร์ตัวเมื่อกี้น่ะ มันเป็นสมุนอัญเชิญไม่ใช่เหรอ? แถมยังเป็นร่างอัญเชิญเสมือนอีกต่างหาก”

“หืม? ก็ใช่นะ”

“ของแบบนั้นมันใช้ไม่ได้หรอก”

“อ้าว เมื่อกี้ไหนบอกว่าใช้มอนสเตอร์ประเภทร่างอัญเชิญก็ได้ไงล่ะ?”

“มอนสเตอร์อัญเชิญกับสมุนอัญเชิญมันไม่เหมือนกัน มอนสเตอร์อัญเชิญที่เกิดตามธรรมชาติน่ะจะมีวิญญาณของตัวเอง ในขณะที่สมุนอัญเชิญจะไม่มีวิญญาณ เมื่อไม่มีวิญญาณแล้วจะทำการสังเวยได้ยังไงกันล่ะ อีกอย่างคือร่างอัญเชิญเสมือนก็เป็นแค่ร่างจำลอง ยิ่งเป็นตัวตนอันว่างเปล่าที่ไม่มีวิญญาณเข้าไปใหญ่”

“อ่า.. จริงด้วยสินะ…”

ซาลมีอาการไหล่ตกด้วยความผิดหวัง เพราะเขาตั้งความหวังเอาไว้สูงเกินไปหน่อยแถมยังรู้สึกดีใจล่วงหน้าไปแล้ว แต่พอมาคิดดูดี ๆ ก็นึกถึงเรื่องอีกอย่างขึ้นมาได้

“อ๊ะ! ถ้าเป็นร่างต้นละก็ อาจใช้ได้อยู่นะ!”

“ร่างต้นเหรอ?”

สมุนที่เขาอัญเชิญมาเมื่อสักครู่เป็นแค่ร่างอัญเชิญเสมือนของสมุนตัวจริงที่อยู่ในวงเวทพันธสัญญานิรันดร์เท่านั้น ด้วยเหตุนี้มันจึงไม่มีวิญญาณ แต่หากเป็นร่างต้นที่อยู่ในวงเวทละก็จะมีวิญญาณเทียมของโฮมูนครูสที่ทำให้สามารถพัฒนาตัวเองได้อยู่ เขาจึงคิดว่ามันอาจใช้แทนกันได้

ซาลทำการปลดร่างต้นของสมุนออกหนึ่งตัวออกจากวงเวท แล้วอัญเชิญตัวจริงของมันออกมาตรงหน้า

‘ร่างต้นนี่ ใช้เวลาเป็นอาทิตย์กว่าจะกลายเป็นสมุนระดับห้าได้ เอามาทดลองสังเวยก็น่าเสียดายอยู่เหมือนกัน แต่ถ้ามันใช้ได้จริง ๆ ก็คุ้มค่าอยู่แหละนะ’

เมื่อตัดสินใจแน่วแน่แล้ว เขาก็ร่ายเวทเพื่อสังเวยสมุนมังกรตัวนั้นโดยยังสลัดความรู้สึกเสียดายออกไปได้ไม่หมด แสงสีแดงจากวงเวทกลืนกินร่างของมันจนหายไป ก่อนที่ร่างของวาลไครี่จะเรืองแสงขึ้นมา

เมื่อตรวจสอบดูอีกครั้งก็พบว่าวาลไครี่ตัวนั้นมีพลังเทียบเท่าสมุนระดับห้าแล้ว

“สะ.. สำเร็จ! ทีเดียวก็กลายเป็นระดับห้าเลย!”

“นั่นมัน… สมุนอัญเชิญแต่มีวิญญาณงั้นเหรอ? ไปเอาของแบบนี้มาจากไหนน่ะ นี่เป็นวิทยาการที่ใกล้เคียงกับการสร้างปิศาจเลยนะ”

ซาลไม่ได้ตอบคำถามของอัลติม่าเพราะยังอยู่ในอารมณ์ตื่นเต้น เขาทำการปลดสมุนอีกหลายตัวออกจากวงเวทเพื่อเตรียมใช้ในการสังเวยเพิ่มเติม

แม้ทีแรกจะรู้สึกเสียดายสมุนที่เลี้ยงมาเป็นเวลานาน แต่เมื่อเห็นว่ามันได้ผล ตอนนี้เขาเลยอยากรู้มากกว่าว่าการใช้เวทสังเวยจะทำให้สมุนเติบโตได้เร็วแค่ไหน

ซาลค่อย ๆ สังเวยสมุนไปทีละตัว ๆ และหลังจากสังเวยมังกรตัวที่สามไป วาลไครี่ของเขาก็เลื่อนระดับจากระดับห้ากลายเป็นระดับหก

“อัพแล้ว! ปกติจะกลายเป็นสมุนระดับหกได้ต้องใช้เวลาเป็นเดือนเลยนะเนี่ย! ไม่สิ อาจนานกว่านั้นด้วยซ้ำ”

ซาลมีสมุนอยู่ทั้งหมด 18 ตัว สองตัวคือวาลไครี่ที่สร้างขึ้นใหม่ อีก 16 ตัวคือเหล่าสมุนมังกรในอคาทอช

ใน 16 ตัวนั้นมีสามตัวที่กลายเป็นระดับหกแล้ว ส่วนที่เหลืออีก 13 ตัวยังเป็นสมุนระดับห้าอยู่ แต่เขาก็ใช้สมุนระดับห้าไปแล้ว 4 ตัวในการทำให้วาลไครี่กลายเป็นระดับหก แม้จะยังลังเลนิดหน่อยเพราะความรู้สึกเสียดาย แต่ความตื่นเต้นที่ได้เห็นสมุนพัฒนาอย่างรวดเร็วนั้นมีมากกว่า เขาจึงปลดสมุนระดับห้าทั้งหมดออกจากวงเวทเพื่อนำมาใช้ในการสังเวย

อัลติม่ารู้สึกประหลาดใจที่ซาลมีสมุนระดับกลางอยู่ในการครอบครองเป็นจำนวนมากมายขนาดนี้ และยังทึ่งกับการนำพวกมันมาใช้เป็นวัตถุดิบในการสังเวยด้วย เธอเริ่มคิดขึ้นมาว่าถ้าสร้างสมุนเยอะ ๆ แบบนี้แล้วให้พวกมันไปเพิ่มระดับตัวเองเพื่อนำมาใช้ในการเป็นเครื่องสังเวย ป่านนี้อาจสร้างอสูรจักราศีครบทั้งสิบเอ็ดตัวแล้วก็ได้

ซาลยังคงสังเวยสมุนต่อไปเรื่อย ๆ ดูเหมือนการเลื่อนระดับจากระดับหกไประดับเจ็ดต้องใช้การสังเวยจำนวนมากทีเดียว แต่นั่นก็เพราะเครื่องสังเวยเป็นเพียงสมุนระดับห้าด้วย หลังจากสังเวยสมุนระดับห้าตัวสุดท้ายที่เหลืออยู่คือตัวที่ 9 วาลไครี่ระดับหกก็เลื่อนระดับกลายเป็นระดับเจ็ดในที่สุด

“ระดับเจ็ดแล้ว! ถึงจะใช้ไปตั้ง 9 ตัวก็เถอะ! แต่ถ้าให้สะสมประสบการณ์เองละก็ อาจใช้เวลาหลายเดือน หรืออาจเป็นปีก็ได้!”

ซาลโลดเต้นด้วยความดีใจ เขาเพิ่งเคยมีสมุนระดับสูงขนาดนี้เป็นครั้งแรก จึงรีบเปิดดูค่าสถานะของมันเพื่อสำรวจดูคุณสมบัติทันที

 

[วาลไครี่ระดับ 7]

-คุณสมบัติเฉพาะ-

[Spear Mastery ระดับ 4] เพิ่มความสามารถในการใช้หอก

[Holy Armor ระดับ 3] ลดความเสียหายทางกายภาพและเวทมนตร์ลง 20%

[Divine Protection ระดับ 1] ไม่ได้รับผลของสถานะผิดปกติที่มีระดับต่ำกว่า 7, เพิ่มความต้านทานเวทมนตร์ 35%

-ทักษะที่ใช้งานได้-

[Spear Skill ระดับ 7] ใช้งานทักษะเกี่ยวกับหอกได้ถึงระดับ 7

[Light Spell ระดับ 5] ใช้งานเวทธาตุแสงได้ถึงระดับ 5

 

“ระดับ 7 ก็มี Divine Protection แล้ว! ยอดเลย!

ซาลรู้สึกตื่นเต้นดีใจสุด ๆ ที่ได้เห็นคุณสมบัติเฉพาะระดับสูงของสมุนเป็นครั้งแรก แล้วเขาก็เพิ่งเอะใจว่าน่าจะลองเพิ่มระดับให้กับสมุนมังกรดูบ้าง แต่ตอนนี้ไม่เหลือสมุนระดับห้าให้สังเวยแล้ว

เพื่อคำนวณจำนวนสมุนที่ต้องใช้ในการเพิ่มระดับแต่ละขั้น เขาจึงนำกระดาษและปากกาออกมาร่างตัวแปรต่าง ๆ ที่ใช้ในการสังเวย

“อืม… สมุนระดับห้าจะกลายเป็นระดับหกได้ต้องสังเวยระดับห้า 3 ตัว.. ระดับหกจะกลายเป็นเจ็ดได้ต้องสังเวยระดับห้า 9 ตัว.. ข้อมูลยังน้อยไปหน่อย แต่ดูเหมือนการเลื่อนระดับแต่ละขั้นต้องใช้พลังวิญญาณเป็นสามเท่าของระดับก่อนหน้า ก็แปลว่า…”

ซาลยังคงขีด ๆ เขียนๆเพื่อคำนวณหาตัวเลขของสมุนที่ต้องใช้ในการเพิ่มระดับต่อ ๆ ไป โดยอัลติม่าได้แต่ยืนดูด้วยสีหน้างุนงงอยู่ข้าง ๆ

“ถ้าใช้แต่สมุนระดับห้ามาสังเวยละก็ จะขึ้นระดับแปดต้องใช้ 27 ตัว ระดับเก้าต้องใช้ 81 ตัว และระดับสิบต้องใช้ 243 ตัว… ถ้าระดับ S ขึ้นไปก็ใช้อัตราส่วนนี้ด้วย แปลว่าจะต้องใช้… 729 ตัว…”

และที่ระดับ SS ต้องใช้ 2187 ตัว เป็นจำนวนที่เยอะจนชวนรู้สึกท้อ กระนั้นซาลกลับรู้สึกตื่นเต้นมากกว่า แต่สิ่งที่เขากังวลคือหากระดับ S ขึ้นไปมีการขยับเพิ่มของอัตราส่วน จำนวนที่ใช้จริงอาจมากกว่านี้สองหรือสามเท่าเลยก็ได้

“อืม… สมุนระดับห้าหนึ่งตัว ใช้เวลาเก็บประสบการณ์ประมาณหนึ่งอาทิตย์ ตอนนี้เราเลี้ยงสมุนได้สูงสุด 18 ตัว… แปลว่าอีกราว ๆ ห้าเดือนถึงจะมีสมุนพอสังเวยให้ได้สมุนระดับสิบ… ฟังดูนาน แต่ก็น่าจะเร็วกว่าให้ไปเก็บประสบการณ์เองมากโขอยู่ และถ้าเราเลี้ยงสมุนได้มากขึ้น เวลาที่ใช้นี่ก็น่าจะลดลงด้วย”

เพราะมันไม่ใช่สมุนธรรมดา ๆ แบบผลิตจำนวนมากเหมือนของแซนโดร แต่เป็นสมุนที่สร้างจากวงเวทและอักขระที่ซับซ้อน จำนวนสมุนสูงสุดที่ซาลเลี้ยงได้จึงขึ้นอยู่กับพลังเวทสูงสุดที่เขามี ซึ่งตอนนี้มีได้เพียง 18 ตัว

แม้พลังเวทของเขาจะค่อย ๆ พัฒนาจนทำให้สามารถเลี้ยงสมุนได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ปกติแล้วอัตราการพัฒนานี้ก็จะไปหยุดเมื่อถึงระดับหนึ่ง หรือพัฒนาได้ช้าลง ดังนั้นซาลจึงคาดว่าสมุนที่เขามีได้สูงสุดในอนาคตนั้นอาจมีเพียงราว ๆ ไม่เกินหนึ่งร้อยตัวเท่านั้น

“สมมุติในอนาคตเลี้ยงสมุนได้พร้อมกันหนึ่งร้อยตัว… อัตราการผลิตสมุนระดับห้าเดือนละสี่ร้อยตัว แปลว่าตอนนั้นจะสร้างสมุนระดับสิบได้เดือนละหนึ่งตัว ก็เป็นอัตราที่ไม่เลวทีเดียว แต่เมื่อไหร่จะมีพลังเวทพอเลี้ยงได้ร้อยตัวพร้อมกันล่ะเนี่ย…”

ซาลครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก็ได้ข้อสรุปว่ารีบร้อนไปก็ไม่มีประโยชน์ ควรจะพอใจกับอัตราที่มีในปัจจุบันนี้ก็พอแล้ว และเขาก็ยังนึกถึงอะไรอีกอย่างหนึ่งขึ้นมาได้

‘ถ้าเกิดไปค้นพบคุณสมบัติใหม่ ๆ เข้าอีกจะต้องสร้างสมุนขึ้นใหม่จากศูนย์อีกมั้ยเนี่ย… ก่อนจะทุ่มเลี้ยงสมุนจนขึ้นระดับสิบ ควรหาโครงสร้างที่มีคุณสมบัติครบถ้วนก่อนดีกว่า… ยังมีของอะไรที่เราอยากให้สมุนมีอีกน้า…’

หลังจากครุ่นคิดอยู่เป็นนาน ในที่สุดเขาก็นึกออก

“นี่ อัลติม่า การจะสร้างสมุนให้มีความคิดและจิตใจของตัวเองน่ะ ต้องทำยังไงเหรอ?”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด