Doombringer the 5th 36

Now you are reading Doombringer the 5th Chapter 36 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Ch.36 – ส่วนเสี้ยวของจิตใจ

Translator : YoyoTanya / Author

Ch. 36

ส่วนเสี้ยวของจิตใจ

 

Part 1

 

เมื่อเห็นอีกฝ่ายชี้มาทางตนเอง แซนโดรที่กำลังหยิบคุกกี้เข้าปากก็ค้างท่าแบบนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะวางคุกกี้ลงพลางมองกลับไปทางซาลด้วยสายตาอันเหนื่อยหน่าย

“…อย่าวุ่นวายให้มันมากนักจะได้มั้ย …พื้นฐานจิตของคนเรามันก็เหมือน ๆ กันนั่นแหละ …ใช้จิตของตัวเองสร้าง ๆ ไปเถอะ…”

“ก็ผมอยากได้พื้นฐานจิตของแซนโดรนี่นา”

“…ฉันไม่รู้ว่าเธอคาดหวังอะไรอยู่หรอกนะ …แต่พื้นฐานจิตของคนเราทุกคนก็เป็นแค่โครงสร้างเปล่า ๆ เหมือนกัน ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับตัวตนที่เป็นอยู่ในขณะนี้หรอก …เพราะงั้นถ้าคิดอยากจะได้จิตสังเคราะห์ที่มีความเข้มแข็ง หรือเก่งกาจ อะไรเทือกนั้นก็เสียใจด้วย มันไม่มีผลหรอก…”

“ไม่ได้อยากได้อะไรแบบนั้นหรอก แค่อยากได้จิตของแซนโดรเป็นต้นแบบน่ะ”

ซาลตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอัน (เหมือนจะ) ไร้เดียงสา แต่นั่นทำให้แซนโดรยิ่งหงุดหงิดมากกว่าเดิม

ลานาเทลที่ไม่ค่อยอยากให้แซนโดรอารมณ์เสีย ประกอบกับรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่น่าสนุกดีจึงเสนอตัวขึ้นมา

“ถ้ายังไง ใช้จิตของฉันดีมั้ยคะ? ถึงฉันจะไม่กล้าพูดว่ามีจิตใจนักสู้มาตั้งแต่เกิดก็เถอะ แต่มันก็น่าจะเหมาะกับการสร้างวาลไครี่นะคะ”

“…เขาจะสร้างวาลไครี่ ไม่ได้สร้างกอริลล่า …จะเอาจิตของเธอไปทำไมล่ะ…”

“…………”

ดูเหมือนแซนโดรจะอารมณ์เสียไปแล้วก็เลยพาลใส่ลานาเทลไปหนึ่งดอกก่อนจะหันไปซดน้ำชาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำให้ลานาเทลเองก็เริ่มจะมีน้ำโหขึ้นมานิด ๆ แต่ก็ยังพยายามปั้นสีหน้ายิ้มแย้มไว้

“เอาเถอะน่า~ แค่แตะสัมผัสวงเวทแป๊บเดียวเอง ไม่มีอะไรเสียหายหรอก ช่วยแตะนิดนึงนะ”

ซาลกางวงเวทค้างไว้บนอากาศแล้วเดินเข้ามาหาแซนโดรเพื่อให้ช่วยสัมผัส ทำให้เธอยิ่งออกอาการหงุดหงิดมากขึ้น

“…เจ้าเด็กนี่ …พูดไม่รู้เรื่องรึไง? …ก็บอกว่า…”

แซนโดรวางถ้วยชาลงและเตรียมจะตวาดใส่ แต่ยังพูดไม่ทันจบประโยค เธอก็โดนลานาเทลเข้ามารวบแขนไว้จากทางด้านหลังซะก่อน

“…จะทำอะไรของเธอน่ะ?…”

“เราเป็นผู้ปกครอง ต้องสนับสนุนการเรียนรู้ของบุตรหลานอย่างเต็มความสามารถสิคะ ให้ความร่วมมือไปเถอะค่ะ”

ถึงลานาเทลจะพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่ดวงตาคู่นั้นกลับดูเย็นเยียบจนน่าขนลุก

“…บุตรหลานบ้านเธอสิ! …ปะ ..ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ!…”

แม้จะพยายามดิ้นรนแต่แซนโดรก็ไม่สามารถสลัดตัวหลุดจากการล็อคของลานาเทลได้เพราะเรี่ยวแรงของทั้งสองคนนั้นต่างกันมาก ลานาเทลใช้แขนแค่ข้างเดียวก็สามารถรวบตัวและแขนซ้ายของแซนโดรเอาไว้ได้แล้ว เธอจึงใช้แขนอีกข้างจับมือของแซนโดรยื่นออกไปเพื่อให้สัมผัสกับวงเวท

“…บอกให้ปล่อยไงเล่า! …ยัยกอริลล่านี่!!…”

“เห~ โวยวายอะไรคะเนี่ย ไม่เข้าใจเลย~ กอริลล่าอย่างฉันน่ะฟังภาษามนุษย์ไม่รู้เรื่องหรอกค่ะ เอ้า ซาลารัส มาเร็ว ๆ เข้าสิ เดี๋ยวคุณแซนโดรเขาจะเปลี่ยนใจนะคะ”

“…เปลี่ยนใจอะไรกันเล่า!? …ก็โดนฝืนใจเห็น ๆ อยู่!…”

แม้จะรู้สึกหวาด ๆ อยู่นิดหน่อย แต่ซาลก็รีบฉวยจังหวะนี้ถือวงเวทเข้าไปหามือของแซนโดรที่ถูกลานาเทลจับยกรอไว้อยู่แล้ว ทว่าก่อนจะถึงตัวแซนโดรอีกไม่กี่ก้าว ก็ปรากฏวงเวทหลายวงขึ้นบนพื้นซะก่อน

สเกลตันในชุดเกราะจำนวนสี่ตัวโผล่ขึ้นมาจากวงเวทบนพื้นแล้วขวางหน้าเขาเอาไว้ พวกมันยังเดินตรงเข้ามาเพื่อผลักดันให้เขาถอยกลับไปอีกด้วย

“ละ.. เล่นงี้เลยเหรอ!?”

ซาลรู้สึกตกใจนิดหน่อยจนต้องถอยออกมา ส่วนลานาเทลที่จับแซนโดรอยู่ก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน เธอกำลังชั่งใจว่าจะเอาผ้าคลุมออกมาจัดการกับพวกสมุนของแซนโดรดีรึไม่

นิโคลที่มองดูอยู่ด้านหลังก็อยู่ในอาการตกใจ เธออยากเข้าไปช่วยซาล แต่ก็ไม่อยากให้แซนโดรโกรธด้วย เลยรู้สึกสับสนจนทำอะไรไม่ถูก

‘จะว่าไปแล้ว นี่มันก็แค่สมุนระดับสาม.. รึเปล่านะ.. ถ้าใช้วาลไครี่ระดับเจ็ดของเราก็น่าจะจัดการได้ไม่ยาก แต่ทำแบบนั้นจะเป็นการล้ำเส้นมากเกินไปรึเปล่า ขืนทำให้แซนโดรโกรธมากไปกว่านี้ละก็…’

เพราะกลัวผลที่จะตามมาทำให้ซาลไม่กล้าลงมือกับสมุนของแซนโดร แต่เขาก็ยังอยากได้จิตสังเคราะห์ของเธออยู่ดี เลยยังชั่งใจอยู่ว่าจะลองเสี่ยงดูดีรึไม่

ในขณะที่เขายังคิดไม่ตกอยู่นั้นเอง ก็มีคน ๆ หนึ่งโฉบเข้าใส่เหล่าสมุนของแซนโดรจนพวกมันกระเด็นกันไปคนละทิศคนละทาง

คนผู้นั้นก็คืออัลติม่านั่นเอง เธอบินด้วยปีกค้างคาวอันเล็ก ๆ ที่ติดอยู่กลางหลังแล้วพุ่งไปจัดการกับสมุนทั้งสี่ในพริบตา ก่อนจะร่อนกลับลงมาบนพื้นอย่างช้า ๆ

“เอ้า รีบไปสิ เดี๋ยวก็มีชุดใหม่มาอีกหรอก”

อัลติม่าเร่งให้ซาลรีบเข้าไปจัดการเรื่องให้เรียบร้อย แม้เขาจะอยู่ในอาการแปลกใจนิดหน่อยแต่ก็ให้ความสำคัญกับการสังเคราะห์จิตมากกว่า จึงรีบตรงเข้าไปหาแซนโดรอีกครั้ง

“…หนอย …ยัยอัลติม่า!…”

“เอ๋~ อย่าจ้องด้วยสายตาแบบนั้นสิคะ ฉันเองก็เป็นแค่ทาสคนนึง การตอบสนองความต้องการของเจ้านายน่ะมันเป็นหน้าที่นะคะ ตัวฉันเองไม่ได้อยากจะทำแบบนี้กับคุณแซนโดรเลยซักกะนี๊ดดดดค่า~”

แม้ถ้อยคำที่พูดจะเหมือนเป็นการปฏิเสธ แต่สีหน้าเย้ยหยันและน้ำเสียงที่ดูร่าเริงสุด ๆ ของอัลติม่านั้นกลับสื่อความหมายออกมาตรงกันข้าม

เป็นเพราะอัลติม่าไม่ค่อยถูกชะตากับแซนโดรอยู่แล้วเลยหาเรื่องจะเอาคืนที่โดนจิกหัวใช้มาโดยตลอด พอเห็นโอกาสแบบนี้ก็เลยรีบเข้ามาผสมโรงทันที

“อ่า.. ถ้างั้นละก็.. รวบกวนด้วยนะครับ…”

ซาลดันวงเวทไปสัมผัสกับมือของแซนโดรด้วยท่าทางนอบน้อมที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะทำการร่ายเวท ส่วนแซนโดรก็ได้แต่จ้องเขม็งด้วยสายตาอันโกรธเกรี้ยวจนเขาต้องหลบสายตาไปทางอื่น

“อย่าเกร็งสิคะคุณแซนโดร.. เวลาแบบนี้น่ะถ้าเกร็งจะเจ็บนะคะ.. ต้องพยายามผ่อนคลายต่างหากค่ะ…”

ลานาเทลแอบกระซิบเบา ๆ ข้างหูของเธอเพื่อเป็นการหยอกเย้า ทำให้แซนโดรยิ่งโกรธจนถึงขีดสุด แต่เพราะถูกล็อคเอาไว้แน่นจนขยับไม่ได้ จึงได้แต่แผดเสียงออกมาด้วยความเจ็บแค้น

“…อ๊ากกกกกกกกกกก…”

เมื่อสิ้นเสียงของแซนโดร ซาลก็ได้อักขระจิตสังเคราะห์ที่มีต้นแบบมาจากจิตของแซนโดรเป็นที่เรียบร้อย

 

——————————————————————————————————–

 

Part 2

 

ซาลเตรียมวงเวทสำหรับสร้างวาลไครี่ที่มีอักขระจิตสังเคราะห์เป็นส่วนประกอบ โดยพยายามไม่หันไปมองทางโต๊ะน้ำชาที่แซนโดรนั่งอยู่ เพราะรู้สึกได้ถึงจิตสังหารอันเย็นเยียบราวกับมีดน้ำแข็งแผ่พุ่งออกมาจากทางด้านนั้น

ที่โต๊ะน้ำชา ลานาเทลยังนั่งทานขนมจิบน้ำชาเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่แซนโดรกลับนั่งนิ่งพลางจ้องไปยังจานขนมโดยไม่ไหวติงหรือแสดงอาการใด ๆ ออกมา แม้สายตาของเธอจะดูดุดัน แต่สีหน้าก็ไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรมากไปกว่านั้น

บางทีแซนโดรอาจกำลังสาปแช่งอยู่ในใจ หรือกำลังคิดวิธีการที่จะแก้แค้นทุกคนอยู่ก็ได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกเสียวสันหลัง ทำให้ซาลต้องพยายามเบนความสนใจของตัวเองมายังการสร้างร่างอัญเชิญแทน

“ทีนี้ก็ วาลไครี่… จะให้ชื่ออะไรดีนะ…”

“เอาเป็น ‘เลนเนธ’ ดีมั้ยคะ เป็นชื่อของวาลไครี่ในตำนานน่ะค่ะ”

นิโคลที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เสนอชื่อขึ้นมา ทำให้ซาลารัสครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง

“ก็เคยได้ยินเหมือนกันนะชื่อนี้ แต่ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะได้ชื่อที่เข้าคู่กับอัลดูอินด้วยน่ะ ยังไงก็เหมือนกับเป็นพี่น้องที่เกิดวันเดียวกันนี่นา อืม…”

ซาลหลับตาคิดอยู่อีกสักพัก ในที่สุดก็นึกชื่อขึ้นมาได้

“เอาเป็น ‘โดวาคิน’ เป็นไง นี่เป็นชื่อของนักรบในตำนานที่ปรากฏอยู่ในบันทึกเล่มเดียวกับอัลดูอินเลยนะ น่าจะเหมาะดีทีเดียว”

เมื่อได้ยินชื่อ ‘โดวาคิน’ มังกรน้อยที่นอนหมอบอยู่ใกล้ ๆ วงเวทก็ยกหัวขึ้นมาพลางหรี่ตาลงเหมือนกับไม่พอใจ แต่ซาลก็ไม่ทันสังเกต

“เอ่อ… ในบันทึกเล่มนั้นน่ะ โดวาคิน เป็นคนฆ่า อัลดูอิน ไม่ใช่เหรอคะ? ตั้งชื่อแบบนี้มันจะไม่ค่อยดีรึเปล่า? อีกอย่างมันก็ฟังดูไม่ค่อยเหมาะกับการเป็นชื่อผู้หญิงด้วยค่ะ”

“นั่นสินะ… อืม.. ชื่อผู้หญิงเหรอ… งั้นถ้าเป็น ‘โดวาเคีย’ ล่ะ? เหมือนชื่อผู้หญิงมากขึ้นรึเปล่า?”

“มันก็.. ยังไง ๆ อยู่นะคะ (เซนส์ด้านการคิดชื่อของคุณซาลารัสนี่มัน…) แต่ถ้าเป็น โดวา หรือ วาเคีย ก็น่าจะพอได้อยู่ค่ะ”

“อืม.. งั้นเป็น วาเคีย ก็น่าจะเหมาะกว่านะ เพราะเป็นวาลไครี่นี่นา เอาล่ะ งั้นก็.. จงออกมา! ราชินีแห่งนักรบ วาเคีย!

เมื่อสิ้นเสียงอัญเชิญ วงเวทก็ส่องแสงสว่างจ้า ก่อนจะปรากฏร่างของเด็กสาวคนหนึ่งออกมา

เด็กสาวคนนี้เป็นเด็กสาวรูปร่างเล็ก ตัวเตี้ยกว่าซาลเล็กน้อย เธอมีดวงตากลมโตสีฟ้าอ่อนและใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารัก ทำให้ดูเด็กลงไปอีก พอประกอบกับผมสีทองซึ่งตัดสั้นแค่ท้ายทอยเหมือนกับพวกอัศวินหญิงแล้วก็ยิ่งดูน่ารักมาก

“เห? ทำไมตัวแค่นี้เองล่ะ? ว่าจะถามตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ทำไมถึงไม่กำหนดรูปลักษณ์พื้นฐานของร่างอัญเชิญให้เป็นขนาดปกติเหรอ?”

อัลติม่าที่ข้องใจมาตั้งแต่ตอนสร้างมังกรจึงเอ่ยถามขึ้น เพราะปกติถึงจะเป็นร่างอัญเชิญระดับแรกสุดก็สามารถกำหนดรูปลักษณ์ให้เป็นร่างโตเต็มวัยได้

“รู้สึกว่ามันจะเป็นหนึ่งในเงื่อนไขของอักขระที่ใช้สร้างน่ะ ถ้าผนวกอักขระที่เป็น ‘รากฐานของคุณสมบัติ’ เข้าไป เมื่อร่างอัญเชิญเติบโตขึ้นก็จะมีคุณสมบัติเฉพาะตัวเพิ่มขึ้นมาตามระดับด้วย แต่ร่างระดับต่ำสุดจะต้องเริ่มจากร่างเด็กแบบนี้แหละ”

“หืม? มีวิทยาการแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”

แม้อยากจะอธิบายให้อัลติม่าฟังมากกว่านี้แต่ซาลคิดว่าเอาไว้ทีหลังก็ได้ จึงหันกลับไปให้ความสนใจกับวาลไครี่ตัวน้อยต่อ

“นี่ เข้าใจที่ฉันพูดรึเปล่า วาเคีย?”

เด็กสาวมองหน้าทุกคนด้วยสีหน้าตื่น ๆ นิดหน่อย ก่อนที่จะย่อตัวชันเข่าลงกับพื้นข้างหนึ่งด้วยท่าทีเงอะงะนิด ๆ แล้วยกมือซ้ายขึ้นมาแนบอก ก่อนจะตอบกลับไป

“ผะ.. ผม วาเคีย ยินดีรับคำสั่งครับ”

“หา?”

“เอ๋?”

แม้เสียงของวาลไครี่ตัวน้อยจะเป็นเสียงใส ๆ ของเด็กสาวที่ฟังดูอ่อนโยน แต่สรรพนามที่เธอใช้แทนตัวเองกลับตรงกันข้าม ทำให้ทั้งซาลและอัลติม่ารู้สึกงุนงงขึ้นมาในทันที

“เธอ? ทำไมถึงเรียกแทนตัวเองว่า ‘ผม’ ล่ะ?”

“ก็.. ผมเป็นผู้ชายนี่ครับ”

คำตอบของวาเคียทำให้ซาลกับอัลติม่ายิ่งข้องใจขึ้นไปอีก ทั้งสองคนได้แต่จ้องหน้ากันไปมาโดยไม่มีใครพูดอะไร

ในที่สุด อัลติม่าก็ตัดสินใจเดินอ้อมเข้าไปอุ้มวาเคียจากด้านหลัง

“เอ๋!? ทะ.. ทำอะไรน่ะครับ!?”

โดยไม่ตอบคำถามของวาเคีย อัลติม่าก็บรรจงลูบคลำร่างกายของอีกฝ่ายไปทั่ว ทั้งส่วนบนและส่วนล่าง จนนิโคลต้องรีบเข้ามาปิดตาของซาลารัสเอาไว้

“ยะ.. อย่านะครับ! ไม่เอา! ดะ.. ได้โปรดหยุดเถอะครับ!! อ๊าาา”

วาลไครี่ตัวน้อยพยายามร้องขอความเมตตาจากอัลติม่า แต่ฝ่ายตรงข้ามก็ยังคงสำรวจร่างกายของเธอต่อไปอย่างไร้ปราณี เสียงร้องขอความกรุณาที่เป็นเสียงของเด็กสาวนั้นมันฟังดูอีโรติกจนนิโคลต้องโอบแขนมาปิดหูของซาลารัสเอาไว้ด้วย

เมื่อลูบคลำจนพอใจแล้ว อัลติม่าก็ปล่อยวาเคียลง แต่วาเคียที่อยู่ในสภาพเข่าอ่อนเมื่อลงถึงพื้นก็ทรุดตัวลงทันทีด้วยอาการหอบเพราะหายใจไม่ทัน

“ทางกายภาพแล้ว ก็เป็นร่างกายของผู้หญิงนี่นา”

อัลติม่ากล่าวสรุปการสำรวจร่างกายของวาเคียให้ฟังแบบห้วน ๆ

“เอ๋? หมายความว่าจิตใจเป็นผู้ชายงั้นเหรอ? ทำไมล่ะ?”

“ถ้าให้เดาละก็ คงเป็นฝีมือของแม่นั่นแหละนะ”

อัลติม่าหรี่ตามองไปทางแซนโดร ซึ่งตอนนี้แกล้งทำเป็นจิบน้ำชาพลางมองไปทางอื่นเหมือนจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

“ตอนสัมผัสกับวงเวทน่ะ ยัยนั่นต้องเพ่งสมาธิให้จิตสังเคราะห์มีเพศเป็นผู้ชายแหง ๆ ร่างอัญเชิญถึงได้ออกมาเป็นแบบนี้ไงล่ะ”

“หา!?”

เมื่อได้ยินเหตุผลเข้า ซาลก็จ้องไปทางแซนโดรด้วยสายตาไม่พอใจ แต่พอโดนอีกฝ่ายจ้องกลับด้วยแววตาอาฆาตก็ทำให้ต้องหลบสายตากลับมาด้วยท่าทางเจียมตัว

“บะ.. บางทีแซนโดรอาจไม่ได้ตั้งใจก็ได้มั้ง.. เช่นว่า… ใช่แล้วล่ะ จริง ๆ แซนโดรอาจเป็นผู้ชายแต่แรกอยู่แล้วก็ได้ จิตที่ออกมาเลยเป็นจิตของผู้ชายไง!”

เมื่อพูดจบซาลก็โดนคุกกี้พุ่งเข้ามากระแทกท้ายทอยจนหน้าคะมำ

ดูเหมือนมันจะเป็นคุกกี้อาบพลังเวทมนตร์ที่ขว้างมาจากแซนโดร ทำให้มีความหนาแน่นและทนทานราวกับกระดาษอัดเลยทีเดียว

 

——————————————————————————————————–

 

Part 3

 

แม้จะรู้สึกเคืองแซนโดรอยู่นิดหน่อยที่แอบวินาศกรรมการสร้างวาลไครี่ แต่เพราะจิตนี้ก็ได้มาจากการฝืนใจอีกฝ่าย ซาลจึงไม่กล้าบ่นอะไรมาก และหันไปดูวาลไครี่ตัวน้อยต่อ

“นี่ ไม่เป็นไรนะ”

เขาเข้าไปพยุงวาเคียที่ยังทรุดอยู่กับพื้นให้ลุกขึ้นมา แต่เมื่ออีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาแล้วเขาก็ต้องรู้สึกประหลาดใจ

“ฮะ.. ฮึก.. มะ.. ไม่เป็นไรครับ.. ฮึก..”

วาเคียทำสีหน้าเหมือนกับกำลังจะร้องไห้แต่ก็พยายามฝืนเอาไว้อย่างเต็มที่ แม้ที่หางตาจะมีน้ำตาเอ่อล้นเหมือนพร้อมจะหยดลงมาได้ทุกเมื่อก็ตาม ดูเหมือนว่าวาลไครี่ที่สร้างจากจิตของแซนโดรนี้จะมีจิตใจที่อ่อนไหวผิดคาด

“เห~ ขี้แยผิดคาดนะเนี่ย~ เห็นปกติทำวางก้าม แต่เนื้อแท้จริง ๆ แล้วก็เป็นคนแบบนี้เองสิน้า~”

แม้จะรู้ว่าอุปนิสัยของตัวจริงกับอุปนิสัยของจิตสังเคราะห์อาจไม่เกี่ยวข้องกัน แต่อัลติม่าก็จงใจพูดแบบนั้นออกมาเพื่อยั่วโมโหแซนโดร ซึ่งก็ดูจะได้ผลซะด้วย

แม้แซนโดรจะพยายามรักษาอาการเอาไว้ไม่ให้ใครดูออก แต่ลานาเทลที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็สังเกตเห็นว่ามือข้างที่ถือถ้วยน้ำชาของแซนโดรนั้นกำลังสั่นอยู่

นี่น่าจะเป็นเหตุผลที่เธอไม่อยากเป็นต้นแบบจิตสังเคราะห์ให้แต่แรก เพราะไม่อยากถูกพาดพิงนั่นเอง

“นี่ อย่าพูดแบบนั้นสิ! เอ้า วาเคีย ไม่ต้องไปสนใจหรอกนะ”

ซาลพูดปรามอัลติม่าเพราะรู้สึกเป็นห่วงความรู้สึกของวาเคียมากกว่า ไม่ใช่เพราะกลัวว่าแซนโดรจะโกรธอะไร

เขาเข้าไปแตะไหล่ของวาเคียเพื่อเป็นการปลอบใจ และดูเหมือนว่ามันจะช่วยได้มาก หลังจากสูดน้ำมูกกลับเข้าไปสองสามครั้งแล้ว วาเคียก็ปาดน้ำตาและกลับมายืนตัวตรงได้อีกครั้ง

“ยุ่งยากเปล่า ๆ น่ะเห็นมั้ย ถ้าใส่อักขระสำหรับควบคุมจิตหรือควบคุมความรู้สึกเข้าไปแต่แรกก็ไม่ได้ร่างอัญเชิญขี้แยแบบนี้ออกมาหรอก”

“ก็บอกแล้วไงล่ะว่าไม่เอาแบบนั้นน่ะ ร่างอัญเชิญที่ไม่รู้จักคิดเอง ไม่มีความรู้สึก มันก็ไม่ต่างไปจากหุ่นเชิดนั่นแหละ แบบนั้นไม่ต้องใส่จิตให้ก็ได้”

จนถึงตอนนี้อัลติม่าก็ยังมองว่าวิธีการของซาลมีแต่ความยุ่งยากอยู่ดี ส่วนซาลก็คิดว่ามันเป็นเรื่องที่ยากจะพิสูจน์ให้เห็นกันในตอนนี้จึงเลิกโต้เถียงกับอัลติม่าและหันไปคุยกับวาเคียต่อ

“เอาล่ะ วาเคีย ถึงฉันจะเป็นเจ้านายของเธอ แต่ไม่ต้องเคร่งครัดเรื่องนั้นมากก็ได้นะ ฉันอยากให้เราเป็นเพื่อนกันมากกว่า”

“ระ.. เรื่องนั้นไม่ได้หรอกครับ ยังไงเจ้านายก็คือเจ้านาย ผมไม่อาจเอื้อมหรอกครับ”

วาเคียกล่าวปฏิเสธอย่างนอบน้อม ทำให้ซาลยิ่งรู้สึกลำบากใจ แต่สิ่งที่ขัดใจเขาที่สุดคงหนีไม่พ้นสรรพนามแทนตัวที่เธอใช้นี่แหละ

“อ่า.. นี่ เธอน่ะใช้คำแทนตัวแบบอื่นได้มั้ย เช่น ฉัน หรืออะไรแบบนี้น่ะ”

“ตะ.. แต่ว่าผมเป็นผู้ชายนะครับ”

“ไม่ใช่ซะหน่อย ตะกี้อัลติม่าก็ยืนยันแล้วนี่นา ใช้สรรพนามที่ถูกต้องดีกว่าน่า”

“ตะ.. แต่ผมน่ะ… ผมเป็น…”

วาเคียเริ่มเบะปากแถมมีน้ำตาคลอเหมือนจะร้องไห้อีกครั้ง ทำให้ซาลต้องรีบปลอบ

“อะ.. เอ้อ! ไม่ต้องก็ได้นะ! เอาที่เธอสบายใจดีกว่า! อยากจะใช้คำไหนก็ใช้ไปเลย! ฉันไม่ถือหรอก! นะ!”

เมื่อเห็นท่าทางสุดแสนจะอ่อนแอของวาเคีย อัลติม่าก็แสยะยิ้มแล้วมองไปทางแซนโดรอย่างจงใจ ทำให้แซนโดรยิ่งสะสมความหงุดหงิดขึ้นเรื่อย ๆ จนหนังตาออกอาการกระตุกนิด ๆ

“เอาล่ะ ว่าแต่ อาวุธของเธอล่ะ? คงเป็นหอกสินะ?”

“ครับ ผมมีหอกเป็นอาวุธ รอเดี๋ยวนะครับ”

เมื่อพูดจบวาเคียก็เสกหอกด้ามหนึ่งออกมากลางอากาศ มันไม่ใช่การดึงสิ่งของออกมาจากช่องมิติอย่างที่ซาลเคยเห็น แต่เหมือนการที่พลังงานค่อย ๆ ก่อตัวเป็นรูปร่างจนกลายเป็นหอกมากกว่า

เมื่อหอกก่อรูปร่างจนเสร็จสมบูรณ์แล้วมันก็ค่อย ๆ ลอยลงมาบนมือน้อย ๆ ของวาเคีย แต่ก่อนที่มันจะลงมาถึงมือของเธอ อัลดูอินที่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ก็โฉบเข้ามาคาบหอกไป

“อ๊ะ! ยะ.. หยุดนะ!!”

อัลดูอินคาบหอกแล้ววิ่งหนีห่างออกไป ทำให้วาเคียต้องรีบวิ่งไล่ตาม แต่เพราะความที่รีบร้อนเกินไปทำให้เธอสะดุดล้มจนหน้าคะมำลงกับพื้น แม้จะใช้แขนยันตัวขึ้นมาได้ แต่วาเคียก็ไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นมา แถมยังเริ่มออกอาการสะอึกสะอื้นด้วยสีหน้าที่พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา

“อึก.. ฮะ.. ฮึก…”

อัลติม่าเห็นท่าทางแบบนั้นของวาเคียก็กลั้นขำเอาไว้ไม่อยู่จนหัวเราะลั่น

“ฮ่า  ๆ ๆ ๆ ๆ ~”

“นี่! อย่าไปหัวเราะเยาะเขาซี่! มะ.. ไม่เป็นอะไรนะวาเคีย”

ซาลเดินเข้าไปเพื่อจะช่วยพยุงอีกฝ่ายให้ลุกขึ้น แต่ยังไม่ทันเดินไปถึงก็มีลำแสงสีเขียวพุ่งเฉียดตัววาเคียแล้วเลยไปตกที่พื้นด้านหลังจนเกิดการระเบิดสนั่นหวั่นไหว ทำให้วาลไครี่ตัวน้อยตกอยู่ในอาการตะลึง ส่วนซาลก็รีบหันกลับไปมองที่มาของลำแสงนั้น และพบแซนโดรกับลานาเทลกำลังปลุกปล้ำกันอยู่

“อย่าทำลายหลักฐานสิคะคุณแซนโดร! เขาก็เป็นเด็กที่น่ารักดีออกนะคะ!”

“…แต่นั่นมันไม่ใช่! …มันเป็นผลงานที่ล้มเหลวชัด ๆ ! …ต้องลบมันทิ้งไปซะ!…”

เพราะลานาเทลจับมือของแซนโดรเบี่ยงออกไปได้ทันทำให้วาเคียรอดจากลำแสงไปได้

อัลติม่าที่เห็นแซนโดรเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่ก็หัวเราะดังขึ้นอีก ส่วนนิโคลที่ยังรู้สึกเหมือนตามสถานการณ์ไม่ทันก็ได้แต่ยืนงง

“เอ่อ.. เธอ.. ไม่เป็นอะไรนะ?”

ซาลหันกลับไปปลอบวาเคียที่ยังอยู่ในอาการตกใจ แต่ดูเหมือนจิตใจอันอ่อนไหวนั้นจะมาถึงขีดสุดแล้ว

“อึก.. ฮะ.. ฮึก… ฮือออออออออ”

ในที่สุดวาเคียก็ปล่อยโฮออกมาจนทั้งน้ำตาและน้ำมูกไหลลงมาอาบหน้าจนเปียกแฉะ

“ยะ..  อย่าร้องให้สิ ใจเย็น ๆ ก่อนนะ… นี่! อัลดูอิน! เอาหอกนั่นมาคืนเดี๋ยวนี้เลยนะ!”

อัลดูอินได้ยินเสียงเรียกของซาลก็หันกลับมามองครั้งหนึ่ง ก่อนจะคาบหอกแล้ววิ่งเล่นต่อไปโดยไม่สนใจคำสั่ง

“แง ๆ ๆ ๆ ๆ ”

พอเห็นอัลดูอินคาบหอกวิ่งไกลออกไป วาเคียก็ยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม

ซาลนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งเพราะทำอะไรไม่ถูก แต่ไม่นานเขาก็ยิ้มออกมา เพราะแม้ทุกอย่างจะดูวุ่นวายและควบคุมไม่ได้ แต่มันก็เป็นความท้าทายที่น่าสนุกไปในเวลาเดียวกัน

หากต้องเลือกระหว่างความเรียบง่ายอันน่าเบื่อ กับความวุ่นวายที่น่าสนุกนี้ ซาลเป็นผู้ที่ชอบเลือกอย่างหลังมากกว่าอยู่แล้ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด