Doombringer the 5th 4

Now you are reading Doombringer the 5th Chapter 4 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Ch.4 – ตัวร้าย

Translator : YoyoTanya / Author

Chapter. 4

ตัวร้าย

 

Part 1

 

ในห้องนอนอันหรูหราราวกับเป็นห้องนอนในคฤหาสน์ของชนชั้นสูงที่ไหนสักแห่ง

ซาลกำลังนอนอยู่บนเตียงขนาดควีนไซส์ที่ใหญ่โตเกินร่างกายเล็ก ๆ ของเขาไปมาก

เขาจ้องมองไปยังผนังอันว่างเปล่าของห้องอย่างไม่วางตา แม้ตรงนั้นจะไม่มีอะไรอยู่เลยก็ตาม

แววตานั้นช่างดูเลื่อนลอยไร้ความรู้สึก ราวกับวิญญาณของเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย

มีเสียงคนเปิดประตูแล้วเดินเข้ามาในห้อง แต่ซาลก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองใด ๆ ต่อสิ่งนั้น

“…ยังไม่หายเศร้าอีกรึ?…”

แซนโดรซึ่งมีร่างเป็นโครงกระดูกในผ้าคลุมสีเขียวแก่เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับถาดอาหารในมือ จากนั้นก็วางอาหารจานหนึ่งซึ่งมีฝาครอบปิดอยู่ลงบนโต๊ะเตี้ยข้างเตียง และเก็บจานอันว่างเปล่าซึ่งวางอยู่ก่อนหน้ากลับมาแทน

“…อย่างน้อยกินข้าวได้หมด …ก็นับเป็นเรื่องที่ดีนะ…”

ซาลยังคงไม่แสดงการตอบสนองใด ๆ กลับมา แต่แซนโดรก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับเรื่องนั้นมากนักเพราะคิดว่าการทำใจเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา จึงถือถาดอาหารกลับออกจากห้องไปโดยไม่ได้พูดอะไรอีก

เมื่ออีกฝ่ายออกจากห้องไปแล้ว ซาลก็ลุกขึ้นมาจากเตียงและร่ายคาถาอัญเชิญด้วยแววตาอันมุ่งมั่น ผิดกับท่าทางอันไร้วิญญาณเมื่อสักครู่นี้

สิ่งที่เขาอัญเชิญออกมาคือแมลงตัวเล็ก ๆ นี่เป็นร่างอัญเชิญที่เขาเพิ่งจะเขียนวงเวทขึ้นมาใหม่เพื่อใช้มันในการสอดแนมโดยเฉพาะ เมื่ออัญเชิญแมลงน้อยออกมาแล้ว เขาก็ส่งมันลอดช่องใต้บานประตูออกไปและเริ่มใช้ ‘มิเนี่ยนวิชั่น’ เพื่อแอบดูความเคลื่อนไหวของแซนโดรทันที

แซนโดรเดินลงไปยังชั้นล่างและนำถาดอาหารไปเก็บในห้องครัวซึ่งอยู่ส่วนท้ายของคฤหาสน์ จากนั้นจึงเดินกลับมาที่ห้องนั่งเล่นบริเวณปีกซ้าย ก่อนจะหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากหิ้งหนังสือ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้นั่งเล่นที่บุด้วยเบาะผ้าสีชมพูอันฟูนุ่มเพื่อเริ่มอ่าน เครื่องใช้ในห้องนั่งเล่นห้องนี้ล้วนมีสีสันอ่อนหวานสบายตา ขัดกับรูปลักษณ์อันน่าขนลุกที่เป็นโครงกระดูกในผ้าคลุมสีเขียวแก่ของแซนโดรอย่างสิ้นเชิง

จากการเฝ้าดูของเขา หลังจากแซนโดรนำอาหารเช้าขึ้นมาให้กับเขาแล้วก็จะกลับลงมานั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องนี้จนใกล้เที่ยงจึงจะลุกขึ้นไปเตรียมอาหารมื้อกลางวัน เป็นกิจวัตรที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง

ซาลใช้สมุนแมลงในการสำรวจคฤหาสน์แห่งนี้จนเกือบหมดทุกซอกทุกมุมแล้ว มันเป็นคฤหาสน์สองชั้นขนาดไม่ใหญ่นัก แต่ก็มีห้องอยู่มากกว่าสิบห้อง ตัวเขาอยู่ในห้องบนชั้นสองทางด้านหลังของคฤหาสน์

ความแปลกของคฤหาสน์นี้คือมันไม่มีหน้าต่างเลยแม้แต่บานเดียว แสงสว่างภายในจึงมาจากตะเกียงที่ติดฝาผนังอยู่เกือบทั่วทุกจุด ทำให้มองออกยากมากว่าเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน ดีที่ในห้องยังมีนาฬิกาเรือนใหญ่ซึ่งบอกทั้งเวลาและวันที่แขวนอยู่บนผนัง ไม่เช่นนั้นเขาก็คงไม่รู้วันรู้คืนเป็นแน่ เพราะสายรัดข้อมือที่สามารถทำหน้าที่เป็นนาฬิกาได้ด้วยก็ถูกถอดออกไปตั้งแต่แรก เมื่อฟื้นขึ้นมาซาลก็ไม่พบมันอยู่บนข้อมือของเขาแล้ว นี่เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้เพราะสายรัดข้อมือของนักเรียนในโรงเรียนอีจิสจะมีระบบบอกตำแหน่งสำหรับใช้ค้นหาเวลาที่มีใครพลัดหลงด้วย แซนโดรคงยึดมันไปเพื่อเป็นการตัดปัญหา

จากการดูวันที่บนนาฬิกา ซาลพบว่าวันนี้ก็ย่างเข้าวันที่เจ็ด หลังจากเขาถูกพาตัวมาแล้ว

ในช่วงแรก ๆ เขาก็รู้สึกหมดอาลัยตายอยาก ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรเลยเช่นกัน แต่เมื่อคิดทบทวนสิ่งต่าง ๆ ซ้ำไปซ้ำมานานวันเข้า ก็นึกถึงความเป็นไปได้อื่น ๆ ขึ้นมา

‘เจ้านั่นต้องหลอกเราแน่ ๆ ‘

นั่นคือความคิดที่ทำให้แววตาของซาลมีประกายขึ้นมาอีกครั้ง

เขาคิดว่าว่าแซนโดรอาจจะใช้เวทลวงตาอะไรสักอย่างในการทำให้เขาเห็นภาพในวันนั้น

ภาพลวงตาที่ทำขึ้นเพื่อให้เขาตัดใจ

‘ความทรงจำและประสบการณ์ที่มีร่วมกับทุกคนมาตลอดสามปีไม่มีทางเป็นของปลอมแน่’

ซาลเชื่อเช่นนั้น จึงคิดหาวิธีที่จะแอบหนีออกไปจากที่นี่ให้ได้ เพราะเหตุนี้จึงแกล้งทำเป็นหมดอาลัยตายอยากเพื่อไม่ให้แซนโดรสงสัย แต่ก็กินอาหารแบบเต็มอิ่มเสมอเพื่อให้มีแรงไว้ใช้ในการหลบหนีได้

ท่าทางแซนโดรเองก็คงย่ามใจอยู่เหมือนกัน อาจเพราะคิดว่าทำให้เขาเชื่อเรื่องในคืนนั้นได้แล้ว จึงไม่มีการจัดเวรยามเอาไว้ในคฤหาสน์เลย แม้แต่ประตูห้องที่เขาอยู่อยู่ก็ไม่มีการล็อกเอาไว้ด้วยซ้ำ

‘ตามปกติแล้วเจ้านั่นจะไม่ออกมาจากห้องจนกว่าจะถึงมื้อเที่ยง ถ้าเป็นช่วงนี้ละก็ น่าจะแอบออกไปได้…’

เมื่อมั่นใจว่าสบโอกาสแล้ว ซาลจึงแง้มประตูออกอย่างแผ่วเบา แล้วดันตัวเองลอดช่องประตูที่เปิดแง้มไว้เพียงเล็กน้อยนั้นอย่างช้า ๆ จากนั้นก็ปิดประตูอย่างนิ่มนวลแล้วค่อย ๆ ย่องลงบันไดไปยังชั้นล่าง

เขาพยายามวิ่งหลบจากเสาต้นหนึ่งไปยังเสาอีกต้นหนึ่งอย่างเบาฝีเท้าที่สุด จนกระทั่งถึงประตูหน้าของคฤหาสน์ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ เกิดขึ้น

ซาลสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะหันมองไปทางห้องของแซนโดรเพื่อความแน่ใจเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อพร้อมแล้วเขาจึงผลักเปิดประตูบานนั้นและรีบวิ่งออกไปจากคฤหาสน์ในทันที

 

———————————————————————————————————-

 

Part 2

 

ทันทีที่ก้าวพ้นออกมาจากประตูคฤหาสน์ ซาลก็พบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่กลางป่าแห่งหนึ่ง

พอหันกลับไปมองคฤหาสน์อีกครั้งเขาก็พบว่าจริง ๆ แล้วมันเป็นเพียงกระท่อมไม้เล็ก ๆ เท่านั้น ที่แท้แซนโดรก็ใช้ที่นี่เป็นจุดเชื่อมต่อกับคฤหาสน์ซึ่งเป็นดันเจียนมิติที่ถูกสร้างขึ้น

ซาลไม่ยอมเสียเวลามากไปกว่านั้น เขาอัญเชิญหมาป่าคู่ใจออกมาแล้วกระโดดขึ้นขี่หลังของมัน ก่อนจะให้มันพุ่งทะยานออกไปด้วยความเร็วสูง โดยทิ้งกระท่อมเล็ก ๆ หลังนั้นเอาไว้เบื้องหลัง

เพียงไม่นาน หมาป่าของซาลก็วิ่งลัดเลาะจากเขตชายป่าจนมาถึงทุ่งกว้างที่มีเนินจำนวนมากอยู่ทั่วบริเวณ ทิวทัศน์นี้เป็นทิวทัศน์ที่เขาคุ้นเคย มันคือทุ่งโอเรกอนตอนล่างที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของโรงเรียน

แม้จะไม่เคยมาไกลถึงขนาดนี้แต่ซาลก็พอจะจำลักษณะภูมิประเทศได้ เพราะสมัยเรียนปีแรก ๆ ต้องมาสำรวจพื้นที่โดยรอบ พื้นที่แถบนี้จัดเป็นเขตที่มีอันตรายน้อยและใช้ในการฝึกสอนอยู่บ่อยครั้ง

เขากวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วก็พบยอดเขาของเทือกเขาอีจิสปรากฏให้เห็นที่ปลายเส้นขอบฟ้า มันอยู่ห่างออกไปมากจนเกือบจะโดนเนินเขาแถบนี้บดบังจนมิดอยู่แล้ว เมื่อเห็นเป้าหมาย ซาลก็ไม่รอช้า เขาเร่งหมาป่าด้วยสกิล ‘ฟีรัล’ เพื่อให้มันวิ่งเร็วขึ้นและมุ่งหน้าไปยังเป้าหมายทันที

หมาป่าของซาลชุดนี้ถูกปรับแต่งมาเพื่อใช้ในการเดินทางโดยเฉพาะ พวกมันสามารถอยู่ได้นานถึง 20 นาที แถมยังใช้สกิล ‘ฟีรัล’ ได้ทุกตัว หากสลับการใช้งานกันแล้วซาลารัสจะสามารถขี่พวกมันไปได้เรื่อย ๆ โดยไม่ต้องมีการหยุดพักเลย

หลังจากการเดินทางมาได้ชั่วโมงเศษ ๆ และเปลี่ยนหมาป่าไปหลายตัว ซาลก็เริ่มมองเห็นหน้าผาซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงเรียนอีจิสอยู่ในระยะสายตา แต่ยิ่งเห็นเทือกเขาลูกนั้นชัดตาขึ้น เขาก็ยิ่งรู้สึกถึงความผิดปกติ

แม้จะมองจากด้านล่าง แต่โดยปกติแล้วก็จะสามารถเห็นอาคารเรียนที่ตั้งอยู่ริมหน้าผาได้ เพราะอาคารเรียนและหอพักของโรงเรียนอีจิสล้วนแต่มีความสูงตั้งแต่สามถึงห้าชั้น แม้มองจากใต้หน้าผาก็ควรจะมองเห็นส่วนบนของอาคารได้ แต่ตอนนี้เขากลับมองไม่อาคารบนนั้นเลยแม้แต่หลังเดียว

‘เจ้านั่นมันคงไม่ได้ทำลายโรงเรียนทิ้งไปแล้วหรอกนะ…’

ความคิดนั้นทำให้ซาลรู้สึกกระวนกระวายและร้อนใจมากขึ้น ยิ่งเข้าใกล้โรงเรียนเท่าไหร่ใจเขาก็ยิ่งเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนต้องยกมือขึ้นมากุมหน้าอกเอาไว้

หลังจากขึ้นทางลาดที่ทอดยาวตั้งแต่ตีนเขามาจนถึงบริเวณหน้าผาซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงเรียนอีจิส เขาก็มาถึงหน้าทางเข้าประตูโรงเรียน แต่ที่นั่นกลับไม่มีประตูหรือรั้วโรงเรียนอยู่อีกต่อไปแล้ว

“นี่มัน… อะไรกัน?”

ซาลยังคงขี่หมาป่าต่อไปเรื่อย ๆ ผ่านสวนหน้าโรงเรียน มาจนถึงลานใจกลางโรงเรียนซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของน้ำพุขนาดใหญ่และรายล้อมไปด้วยอาคารต่าง ๆ มากมาย

แต่ตอนนี้มันกลับมีเพียงความว่างเปล่า

ที่ ๆ เคยเป็นโรงเรียนกลับกลายเป็นหน้าผาเปล่า ๆ เป็นที่โล่งขนาดใหญ่ซึ่งอยู่บนหน้าผาเท่านั้น

ซาลยังคงวนเวียนดูพื้นที่โดยรอบไปเรื่อย ๆ ทิวทัศน์ที่มองลงไปจากหน้าผานี้ยังคงเป็นทิวทัศน์ที่เขาจำได้ มันคือหน้าผาซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงเรียนอีจิสไม่ผิดแน่ แม้แต่ถนนหนทางและสวนหย่อมหรือสนามหญ้าก็ยังอยู่ในตำแหน่งเดิม แต่สิ่งก่อสร้างอื่น ๆ ทั้งหมดกลับหายไป จุดที่เคยเป็นอาคารกลับเหลือเพียงพื้นดินอันว่างเปล่าเท่านั้น ราวกับอาคารทุกหลังถูกรื้อถอนออกไปจนหมด

เขาลงจากหมาป่าและเดินมาจนถึงจุดที่น่าจะเป็นลานหน้าหอประชุม ตำแหน่งสุดท้ายที่เขาเคยอยู่ที่นี่ในคืนนั้น

ตรงนั้นยังคงมีหลุมขนาดใหญ่ที่เกิดจากการโจมตีของพาราเวนหลงเหลืออยู่ให้เห็น แต่นอกเหนือจากนั้นแล้วก็ไม่มีอะไรอีกเลย

“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้…”

โรงเรียนไม่ได้ถูกทำลาย เพราะไม่มีร่องรอยการโจมตีอื่น ๆ หรือมีซากปรักหักพังของอาคารให้เห็น ทุกอย่างแค่หายไปเฉย ๆ เท่านั้น ทำให้ซาลยิ่งรู้สึกสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น

“…พอใจรึยัง?…”

เสียงอันเย็นเยียบได้เอ่ยถามขึ้นจากทางด้านหลัง

เมื่อหันกลับไปมอง เขาก็พบแซนโดรยืนอยู่ตรงนั้นดังคาด

 

———————————————————————————————————-

 

Part 3

 

จอมเวทผู้มีใบหน้าเป็นหัวกะโหลกสีขาวโพลน สวมผ้าคลุมสีเขียวแก่คลุมตั้งแต่หัวจรดเท้า นัยน์ตาที่ส่องแสงสีเขียวประดุจเปลวเพลิงนั้นดูจะอ่อนแสงลงในเวลากลางวัน

ตัวตนของแซนโดรซึ่งเป็นโครงกระดูกในผ้าคลุมนั้นช่างขัดกับพื้นที่เปิดโล่งที่มีแสงแดดเจิดจ้าแบบนี้เป็นอย่างยิ่ง บรรยากาศปลอดโปร่งสว่างไสวโดยรอบดูไม่เข้ากับรูปลักษณ์ประดุจยมทูตนั่นเลย

“นาย… ทำอะไรกับโรงเรียนนี้…”

ซาลอยากจะถามด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นกว่านี้ แต่เขากลับรู้สึกไม่มีเรี่ยวแรงที่จะผลักดันถ้อยคำใด ๆ ออกมาเลย อาจเพราะส่วนหนึ่งในใจเขาพอจะรู้คำตอบอยู่แล้ว

คำตอบที่ว่าคำพูดของแซนโดรเป็นเรื่องจริง

“…ฉันแค่ปลดหินเวทมนตร์ของโรงเรียนออกเท่านั้น …ไหน ๆ ก็มาถึงที่นี่แล้วเลยอยากได้ของฝากติดมือกลับไปซะหน่อย …ไม่คิดว่ามันจะถูกใช้ในการสร้างโรงเรียนนี้ขึ้นด้วย …มือเติบสมกับเป็นพีชคีปเปอร์จริง ๆ เอาเงินงบประมาณมาถลุงด้วยการใช้หินเวทมนตร์สร้างโรงเรียนเป็นดันเจียนมิติแบบนี้ …แต่พอมานึกดูแล้ว …ถ้าจะควบคุมสภาพแวดล้อมให้ได้ทั้งหมด 100% ก็มีแต่ต้องสร้างโรงเรียนด้วยดันเจียนแบบเปิดเท่านั้น…”

อาคารสถานที่ในปัจจุบันนี้จะใช้ทั้งเทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์และเวทมนตร์เป็นส่วนประกอบในการก่อสร้างเพื่อเสริมความสะดวกสบายในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะการใช้หินเวทมนตร์เป็นพลังงานแทนการใช้ไฟฟ้า จะช่วยประหยัดต้นทุนในการก่อสร้างไปได้มาก เนื่องจากไม่ต้องมาตั้งเสาไฟฟ้าเป็นระยะทางไกล ๆ เพื่อเดินไฟเข้ามาในพื้นแต่ เพียงแค่ใช้หินเวทมนตร์เป็นแหล่งกำเนิดพลังงานก็ให้ผลเหมือนกับการมีโรงไฟฟ้าขนาดย่อม ๆ ไว้ปั่นไฟใช้งานเป็นการส่วนตัวแล้ว ซึ่งระบบรักษาความปลอดภัยรวมไปถึงระบบอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในอาคารสถานที่ต่างก็ใช้พลังงานจากหิวเวทมนตร์ด้วยกันทั้งสิ้น

ส่วนดันเจียนแบบเปิด ก็คือพื้นที่ต่างมิติซึ่งวางซ้อนอยู่บนพื้นที่จริง ๆ

ดันเจียนแบบนี้จะไม่มีทางเชื่อมระหว่างมิติเป็นทางเข้า เพราะตัวดันเจียนตั้งอยู่บนพื้นที่เปิดโล่งอยู่แล้ว แต่ภูมิประเทศและโครงสร้างภายในนั้นจะผิดเพี้ยนไปจากเดิมตามแต่บรรยากาศที่หินเวทมนตร์ปรุงแต่งขึ้นมา

ด้วยวิทยาการสมัยใหม่ทำให้มนุษย์สามารถนำสิ่งนี้มาประยุกต์ใช้ในการสร้างสถานที่ต่าง ๆ ได้ ตั้งแต่ตลาดนัดไปจนถึงสนามกีฬา เพราะมีความสะดวกและรวดเร็วในการสร้าง แต่ในแง่ของต้นทุนแล้วนับว่าเป็นการกระทำที่ฟุ่มเฟือย เพราะยิ่งสร้างของที่มีโครงสร้างซับซ้อน ก็ต้องใช้หินเวทมนตร์ที่มีคุณภาพสูงเป็นแหล่งพลังงาน การจะสร้างโรงเรียนที่มีอาคารมากมายอย่างโรงเรียนอีจิสจึงต้องใช้หินเวทมนตร์ระดับสูงนับร้อยเม็ดเลยทีเดียว

โดยสรุปก็คือโรงเรียนอีจิสแห่งนี้เป็นดันเจียนแบบเปิดที่ถูกสร้างขึ้นมาให้มีลักษณะเป็นโรงเรียน อาคารทั้งหมดก็ถูกสร้างขึ้นด้วยพลังงานของหินเวทมนตร์ประจำโรงเรียน เมื่อปลดหินเวทมนตร์ออก สิ่งก่อสร้างทั้งหมดในโรงเรียนจึงสลายไป

“ทำไมต้องทำขนาดนั้นด้วย…”

ซาลที่ทิ้งตัวนั่งลงกับสนามหญ้าเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงโรยแรง ดวงตาของเขาจ้องมองพื้นอันว่างเปล่าอย่างเลื่อนลอย แต่ก็สื่อถึงความรู้สึกเจ็บปวดออกมา

“…เพื่อให้เธอมีชีวิตที่ดีไงล่ะ …หรืออย่างน้อยก็ให้รู้สึกว่ามีชีวิตแบบนั้น…”

“พูดจาเข้าใจยากอีกแล้ว…”

คำพูดของแซนโดรยังเป็นสิ่งที่เข้าใจความหมายได้ยากเช่นเคย และซาลก็ไม่มีเรี่ยวแรงจะขบคิดหาความหมายของมันอีกแล้ว เขาทิ้งตัวลงนอนและหลับตาลงด้วยความเหนื่อยอ่อน ทั้งเพราะความเหนื่อยล้าจากการเดินทางและความรู้สึกว่างเปล่าที่อยู่ในใจ

“…สภาพแวดล้อมคือสิ่งที่กำหนดอุปนิสัยและจิตใจของผู้คน …อย่างน้อยก็ในระดับหนึ่ง …เจ้าพวกนั้นคิดว่าถ้าให้เธอเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ดี …อยู่อย่างมีความสุขและอบอุ่น …ก็จะเติบโตมาเป็นคนที่ดี และเลือกที่จะอยู่ฝ่ายเดียวกับพวกมัน…”

“พวกมัน?…”

“…พีชคีปเปอร์ไงล่ะ …องค์กรรักษาสันติภาพซึ่งทำตัวเป็นผู้รักษากฎของโลกในทุกวันนี้ …สำหรับพวกนั้นแล้ว …เธอเป็นบุคคลที่จะปล่อยให้ถูกชักจูงไปในทางที่ผิดหรือไปอยู่กับฝ่ายอื่นไม่ได้โดยเด็ดขาด …ถึงได้นำเธอมาเลี้ยงดูที่นี่ ที่ซึ่งพวกนั้นสามารถควบคุมทุกอย่างได้…”

“แต่ก็… ไม่เห็นมีความจำเป็นที่จะต้องสร้างทุกอย่างขึ้นมา… แม้แต่ผู้คนเลยนี่นา…”

เมื่อพูดถึงจุดนี้ น้ำตาของซาลก็เริ่มไหลรินออกมา เขาพยายามเบือนหน้าไปทางอื่นเพื่อไม่ให้แซนโดรเห็น แต่น้ำเสียงอันสั่นเครือนั้นก็ไม่สามารถปิดซ่อนความรู้สึกเอาไว้ได้

“…การเป็นทายาทของผู้สร้างหายนะไม่ได้ง่ายดายอย่างที่เธอเจอมาหรอก …ทุกคนบนโลกนี้ถูกเพาะบ่มความเกลียดชังต่อความมืดมานับร้อยปีแล้ว …ขอเพียงเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับความมืดเพียงน้อยนิดก็จะถูกรังเกียจและเหยียบย่ำราวกับเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำที่สมควรถูกกำจัด …ถ้าเป็นทายาทของผู้สร้างหายนะละก็ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย…”

ซาลนึกถึงเรื่องของทาลิสขึ้นมาได้ ครอบครัวของเธอเองก็ถูกเกลียดชังจากชาวเมืองเพียงเพราะมีญาติที่พัวพันกับเรื่องนอกรีตเท่านั้น จนในที่สุดก็ต้องอพยพทั้งครอบครัวหนีมายังอาณาจักรอื่น

พอนึกถึงเรื่องของทาลิสแล้วใจของเขาก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดขึ้นอีก เพราะไม่รู้ว่าเรื่องไหนเป็นเรื่องจริง เรื่องไหนเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นกันแน่

“…ถ้าให้อยู่ในสภาพแวดล้อมตามปกติละก็ …ไม่มีทางหรอกที่จะได้รับการยอมรับหรือความเห็นใจจากคนรอบข้าง …โดยเฉพาะพวกเด็ก ๆ ที่ยังไม่รู้จักแยกแยะน่ะ …มีแต่จะกีดกันและแสดงความเกลียดชังออกมาเท่านั้น…”

เมื่อซาลลองนึกดูแล้ว เพื่อนนักเรียนในโรงเรียนนี้เกือบทุกคนก็แทบไม่เคยแสดงความรังเกียจหรือตั้งแง่กับการที่เขาเป็นทายาทของผู้สร้างหายนะเลยจริง ๆ โดยเฉพาะกลุ่มเพื่อนสนิทของเขาไม่มีใครเคยเอ่ยถึงเรื่องเหล่านี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว

“…เพื่อไม่ให้เธอต้องเติบโตมากับสภาพแบบนั้นจนหลงเดินทางผิด …พวกนั้นก็เลยสร้างทุกอย่างขึ้น …ทั้งโรงเรียน ทั้งนักเรียน …เพื่อให้ควบคุมสภาพแวดล้อมทุกอย่างได้โดยสมบูรณ์ …ให้เธอได้พบแต่ด้านดี ๆ ของผู้คน …”

ซาลเคยคิดว่านั่นเป็นเพราะทุกคนต่างก็เป็นคนดี มีจิตใจของนักผจญภัย แถมกฎของโรงเรียนก็มีข้อห้ามเรื่องการเหยียดชาติกำเนิดของผู้อื่นด้วย เขาจึงคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนจะยอมรับเขาในฐานะเพื่อนนักเรียนคนหนึ่งโดยไม่รังเกียจ

อาจมีแค่บางครั้งที่มีบางคนพูดถึงเรื่องพ่อหรือชาติกำเนิดของเขา แต่ก็เป็นแค่ส่วนเล็ก ๆ แถมคนพวกนั้นมักจะไม่มาข้องแวะกับเขาซ้ำอีก เขาจึงไม่รู้สึกติดใจอะไรนัก

“ความจริง… ก็มีคนที่เคยแสดงความรังเกียจต่อผมเหมือนกันนะ….”

“…นั่นเป็นข้อจำกัดของร่างอัญเชิญเสมือน …เจ้าพวกนั้นใช้ร่างเสมือนที่มีความคิดความอ่านเหมือนตัวจริงทั้งหมด แม้จะมีการกำหนดคำสั่งข้อห้ามเอาไว้ในจิตใต้สำนึก แต่ก็ไม่มีทางได้ผล 100% หรอก …โดยเฉพาะถ้าต้องการให้ร่างเสมือนมีการแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติ ก็ยิ่งจำกัดความคิดและการกระทำมากไม่ได้…”

“ร่างอัญเชิญนี่อยู่ได้แค่ในโรงเรียนไม่ใช่เหรอ? แต่ทุกคนเคยเดินทางไปไหนมาไหนกับผมทุกที่เลยนะ ทั้งเข้าไปเที่ยวในเมือง หรือตอนไปสอบภาคสนามน่ะ”

“…วงเวทของโรงเรียนแค่มีไว้เสริมการคงสภาพของร่างอัญเชิญจำนวนมากเท่านั้น …หากออกไปที่อื่นกันไม่กี่คน ใช้แค่นักอัญเชิญคนนึงกับอาติแฟคเสริมการอัญเชิญสักชิ้น ก็ทำให้ร่างอัญเชิญคงอยู่ข้างนอกได้เป็นวัน ๆ แล้ว…”

“การทำพันธสัญญากับผู้เยาว์น่ะมันผิดกฎนะ! ทำไมถึงอัญเชิญร่างเสมือนของคนอายุไม่ถึงเกณฑ์มาได้ล่ะ!”

“…นั่นมันก็แค่ข้อบังคับทางกฎหมายเท่านั้น …แต่เจ้าพวกนั้นเป็นผู้ใช้กฎหมายอยู่แล้ว …ถึงจะละเมิดข้อกฎหมายไปสักสองสามข้อก็ไม่มีใครไปเอาผิดหรอก…”

คำถามสุดท้ายนั้นแม้แต่ตัวเขาเองก็รู้คำตอบดี แต่ก็ยังหยิบยกมันขึ้นมาใช้โต้แย้งกับแซนโดร อันที่จริงใจของเขาก็ยอมรับเรื่องนี้ไปกว่าครึ่งแล้ว นี่เป็นเพียงความพยายามหลีกหนีความจริงอย่างสิ้นหวังเท่านั้น

“ทำไมต้องลงทุนทำขนาดนี้ด้วย… พวกเขาทำทั้งหมดนี้ เพื่อที่จะหลอกผมเนี่ยนะ…”

ซาลกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเจ็บปวดในขณะที่ยังนอนเอามือกุมใบหน้าของตนเองอยู่ ราวกับพยายามจะปกปิดความเจ็บปวดนั้นไม่ให้ใครเห็น

“…ความจริงโรงเรียนนี้ก็ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเธอโดยเฉพาะหรอกนะ …มันเป็นสถานที่ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เลี้ยงดูเหล่าทายาทของผู้เกี่ยวข้องกับความมืด เพื่อให้เติบโตไปในทิศทางที่พีชคีปเปอร์ต้องการ …ในโรงเรียนนี้ยังมีลูกหลานของผู้เกี่ยวข้องกับความมืดถูกส่งมาเลี้ยงดูอีกหลายคน …แต่คนที่สำคัญที่สุดก็คือเธอนั่นแหละ…”

คำพูดนั้นทำให้ซาลรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง เขาอยากรู้ว่าคนอื่น ๆ ที่แซนโดรพูดถึงนั้นมีใครอีก แต่ก็อยากรู้เหตุผลที่เขาเป็นคนที่สำคัญที่สุดมากกว่า

“ทำไมต้องเป็นผมด้วยล่ะ… ผมมีความสำคัญอะไรขนาดนั้นเลยเหรอ?… แค่เพราะผมเป็นลูกของผู้สร้างหายนะน่ะเหรอ?…”

“…นั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่ง …แต่ว่ายังมีเหตุผลอื่น ๆ อยู่อีก …ก่อนที่พ่อของเธอจะกลายเป็นผู้สร้างหายนะน่ะ …รู้ใช่มั้ยว่าเขาเป็นอะไรมาก่อน…”

“ผู้สร้างสันติภาพ…”

ซาลตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงอันเหนื่อยอ่อน ซึ่งแซนโดรก็พยักหน้ารับก่อนจะพูดต่อ

“…ใช่แล้ว …และเขายังไม่ใช่ผู้สร้างสันติภาพธรรมดา ๆ …ซารามอธ แฮลเซียน เป็นผู้สร้างสันติภาพอันดับหนึ่งของพีชคีปเปอร์ มีฝีมือในการต่อสู้อันแกร่งฉกาจจนได้รับฉายาว่า ‘เทพสงคราม’ …นอกจากนี้ยังเป็นผู้ที่หยุดยั้งเค้าลางแห่งสงครามโลกได้เป็นผลสำเร็จ จนทำให้โลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งความสงบที่แท้จริง …ก่อนหน้านั้นในช่วงที่อยู่ฝ่ายปราบปราบก็สร้างผลงานจัดการกับพวกนอกรีตไปมากมาย …แต่พ่อของเธอก็ไม่ใช่คนที่หลับหูหลับตาทำงานตามคำสั่งอย่างเดียวหรอกนะ…”

แซนโดรเดินมานั่งลงข้าง ๆ ซาล ทำให้เขารู้สึกอึดอัดนิดหน่อย แต่ก็ยังตั้งใจฟังที่อีกฝ่ายพูดโดยไม่ขัด

“…พ่อของเธอน่ะไม่ใช่พวกสักแก่กวาดล้างโดยหวังผลงาน แต่จะตัดสินความผิดของผู้คนโดยดูที่เจตนามากกว่าการกระทำ …สืบทราบเหตุผลก่อนที่จะลงมือขั้นเด็ดขาด …ทำให้มีคนมากมายที่ได้รับการละเว้นหรือช่วยเหลือเอาไว้ …และฉันก็เป็นหนึ่งในนั้น…”

“ท่าทางพ่อจะพลาดแล้วล่ะ… ดูยังไงนายก็เป็นพวกนอกรีตสุด ๆ เลยนี่นา…”

“…ต่อปากต่อคำได้แบบนี้ แปลว่าดีขึ้นแล้วสินะ?…”

แม้ตั้งใจว่าจะไม่ขัด แต่ความอึดอัดที่สะสมอยู่ก็ทำให้ซาลอดพูดขึ้นมาไม่ได้อยู่ดี พอถูกย้อนมาแบบนี้ก็ทำให้เขาได้แต่เบือนหน้าไปทางอื่นด้วยความหงุดหงิด ซึ่งแซนโดรก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร และอธิบายต่อไป

“…คนที่พ่อของเธอช่วยเอาไว้มีมากมายนับไม่ถ้วน …เมื่อรวมกับผลงานที่ผ่านมาเขาจึงนับเป็นผู้มีบารมีสูงติดอันดับต้น ๆ ขององค์กร มีพันธมิตรและเพื่อนฝูงทั้งในและนอกองค์กรมากมาย แถมยังไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในอาณาจักรนี้ ทวีปนี้ แต่มีคนที่เป็นพันธมิตรกับเขาอยู่ทั้งสามทวีป …ทำให้แค่ชื่อของตระกูลแฮลเซียนก็สามารถรวบรวมผู้คนได้ในระดับที่เป็นภัยต่ออาณาจักรเลยล่ะ …เรื่องนี้นำมาซึ่งผลกระทบทางการเมืองและความน่าเชื่อถือของพีชคีปเปอร์ด้วย …ทั้งหมดนี้ทำให้พวกนั้นไม่สามารถปล่อยให้เธอคลาดสายตาไปได้…”

ซาลปาดเช็ดคราบน้ำตาที่เปรอะใบหน้าอยู่ออกและจ้องมองแซนโดรด้วยสีหน้าเหมือนกับยังไม่เข้าใจ

“…พ่อของเธอเคยเป็นสัญลักษณ์แห่งความรุ่งเรืองของพีชคีปเปอร์ แต่จู่ ๆ เขากลับกลายเป็นผู้สร้างหายนะซะเอง …เรื่องนี้ทำให้เกิดความระส่ำระสายขึ้นในองค์กร …หลัก ๆ แล้วมันก็เป็นเรื่องการชิงอำนาจกันของกลุ่มก้อนต่าง ๆ ในพีชคีปเปอร์เองนั่นแหละ …เพราะพีชคีปเปอร์เป็นองค์กรที่เกิดจากการรวมตัวกันของตัวแทนจากทั้งสามทวีปคือ จูริส, โดมินาเรีย, และ เทอร่า กลายเป็นสามขั้วอำนาจขององค์กรที่ถ่วงดุลกันอยู่ ซึ่งกลุ่มจูริสที่เป็นทั้งผู้ก่อตั้งองค์กรและมีผลงานสูงสุดได้คุมอำนาจเหนืออีกสองกลุ่มมาโดยตลอด

…แต่เมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้น อีกสองกลุ่มก็อาศัยโอกาสนี้ทำลายความน่าเชื่อถือของกลุ่มจูริสเพื่อหาทางช่วงชิงอำนาจเพิ่มเติมให้กับตนเอง …ทั้งตั้งคำถามกับผู้นำระดับสูงว่าทำไมถึงปล่อยให้ผู้สร้างสันติภาพอันดับหนึ่งกลายเป็นผู้สร้างหายนะไปได้ อีกด้านหนึ่งก็รวบรวมเหล่าผู้คนที่สนับสนุนพ่อของเธอมาเข้าสังกัด …เรื่องนี้ทำให้กลุ่มจูริสสูญเสียอำนาจในองค์กรไปไม่น้อยทีเดียว พวกนั้นจึงคิดหาทางแก้ขึ้นมา…”

“ทางแก้เหรอ?”

ซาลเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย แซนโดรจึงกล่าวต่อ

“…ด้วยการให้ทายาทของตระกูลสืบทอดตำแหน่งในองค์กรต่อไงล่ะ …อย่างที่บอกว่าแค่ชื่อตระกูลแฮลเซียนก็สามารถระดมผู้คนได้มากมาย หากให้ทายาทของซารามอธเข้ามาสืบทอดตำแหน่งต่อจะทำให้เกิดผลสองประการ …หนึ่งคือซื้อใจของเหล่าผู้ที่สนับสนุนพ่อของเธอไม่ให้มีใจออกห่างหรือไปเข้ากับกลุ่มอื่น สองคือทำให้เหล่าผู้ที่แยกตัวออกไปแล้วหมดความชอบธรรมในการอ้างชื่อของพ่อเธอในการดำเนินการใด ๆ …แต่จะทำแบบนั้นได้ก็ต้องปั้นเธอให้เป็นคนขององค์กรฝั่งจูริสอย่างเต็มตัวซะก่อน…”

เมื่อได้ฟังคำอธิบายของแซนโดร ซาลก็เริ่มจะจับประเด็นอะไรขึ้นมาได้บ้างแล้ว

“ด้วยโรงเรียนนี้สินะ…”

ซาลเอ่ยคำพูดออกมาหลังจากทอดสายตามองไปยังที่ว่างโดยรอบด้วยแววตาอันเศร้าสร้อย ส่วนแซนโดรก็พยักหน้ารับ พลางอธิบายต่อ

“…ใช่แล้ว …พวกนั้นมีแผนการที่จะเลี้ยงดูเธอให้กลายเป็นคนที่ภักดีและซื่อสัตย์ต่อองค์กรอย่างสมบูรณ์ …ถ้าถามฉันมันก็เหมือนกับการล้างสมองมากกว่าน่ะนะ …เพราะเหตุผลนั้นพวกมันถึงได้ลงทุนทำทั้งหมดนี่ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมอันสมบูรณ์แบบให้เธอได้เติบโตไปในทางที่พวกมันต้องการ… แต่นั่นก็ยังไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดหรอก…”

“ยังมีอย่างอื่นอีกเหรอ?”

ซาลหันไปถามแซนโดรด้วยท่าทีสงสัยยิ่งกว่าเดิม เพราะเขาไม่คิดว่าจะมีเหตุผลอื่นอีก ส่วนแซนโดรก็ขยับตัวเข้ามาใกล้เอีกเล็กน้อยและเอ่ยคำถามขึ้น

“…เธอรู้ความหมายของดวงตาสีทองนี่รึเปล่า?…”

แซนโดรใช้นิ้วที่เป็นโครงกระดูกแตะสัมผัสเหนือแก้มของซาลไปด้วยระหว่างถามคำถามนี้ ทำให้เขารู้สึกขนลุกและทำหน้าแหยงขึ้นมานิดหน่อย ก่อนจะส่ายหัวปฏิเสธให้กับคำถามนั้นไป

“…ดวงตาสีทองนี้คือลักษณะเฉพาะของผู้ที่มีสายเลือดของชาวสวรรค์ …เป็นผู้มีสิทธิในการเปิดประตูเชื่อมภพได้ทั้งสามภพ …ไม่ว่าจะเป็นโลก นรก หรือสวรรค์ …ดังนั้นจึงปล่อยให้มันไปตกอยู่ในมือของฝ่ายอื่นไม่ได้เด็ดขาด…”

คำพูดของแซนโดรทำให้ดวงตาของซาลเบิกโพลงด้วยความตกใจ เขารีบถามย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก

“ดะ.. เดี๋ยวก่อนซิ! ที่ว่ามีสายเลือดของชาวสวรรค์น่ะหมายความว่าไงกัน!?”

“…ตอนนั้นเธอยังเด็กเลยไม่รู้เรื่องสินะ …แถมหลังจากการรุกรานครั้งที่สี่ เรื่องนี้ก็เป็นข้อมูลที่ถูกปกปิดเอาไว้ด้วย …เรื่องนี้ก็มีความเป็นมาสืบเนื่องมาจากความก้าวหน้าของพ่อเธอนั่นแหละ…”

“ความก้าวหน้าของพ่อเหรอ?”

ซาลเอียงคอถามด้วยด้วยสีหน้าประหลาดใจ แซนโดรจึงเริ่มอธิบายให้เขาฟัง

“…ด้วยผลงานที่ช่วยยับยั้งสงครามโลกและทำให้โลกเข้าสู่ภาวะสันติสุขที่แท้จริง พ่อของเธอจึงได้รับการปูนบำเหน็จและอวยยศมากมาย …แม้แต่สวรรค์ก็มอบรางวัลให้กับเขาเป็นการขอพรได้หนึ่งข้อ …แต่สิ่งที่พ่อของเธอขอ กลับเป็น ‘ภรรยา’ แทนที่จะเป็นพลังอำนาจหรือทรัพย์สินใด ๆ สร้างความตกตะลึงและประหลาดใจให้กับเหล่าผู้นำของพีชคีปเปอร์ รวมไปถึงเทวทูตตัวแทนจากสวรรค์ด้วย…”

“ภรรยา!? หมายถึงพ่อขอแม่มาจากสวรรค์งั้นเหรอ!?”

สิ่งที่ได้ยินทำให้ซาลยิ่งตกตะลึงขึ้นไปอีก ในความตกตะลึงนั้นเจือปนไปด้วยความเคลือบแคลงสงสัยว่าพ่อของเขาเป็นคนยังไงกันแน่ ถึงได้ขอภรรยาเป็นรางวัลจากสวรรค์แบบนี้

“…ความจริงเรื่องนี้ก็มีที่มาที่ไปอยู่อีก แต่โดยสรุปคือ ด้วยผลของพรข้อนี้ ทำให้พ่อของเธอได้แต่งงานกับทูตสวรรค์ผู้งดงามนางหนึ่ง นั่นก็คือแม่ของเธอ…”

ซาลรู้สึกอึ้งกับสิ่งที่แซนโดรพูด นี่เป็นเรื่องที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลย และไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นไปได้ด้วย แม่ของเขาหายตัวไปตั้งแต่เขาอายุหกขวบ ความทรงจำที่เขามีต่อแม่จึงค่อนข้างเลือนลาง แถมยังไม่เคยมีใครเล่าปูมหลังของแม่ให้เขาฟังมาก่อนด้วย

“…ฉันเคยพบกับแม่ของเธอครั้งนึง …ทีแรกก็ไม่รู้หรอกนะว่าเขาเป็นใครเพราะว่าตอนนั้นเธออยู่ในร่างของมนุษย์ …จนกระทั่งได้เห็นปีกแห่งแสงนั่นน่ะแหละ …ถึงได้รู้ว่ารูปลักษณ์ของทูตสวรรค์น่ะแท้จริงเป็นอย่างนี้นี่เอง…”

สีหน้าของซาลยังเต็มไปด้วยความสับสน เขารู้สึกว่ายังปรับตัวกับเรื่องนี้ไม่ทัน แต่ก็ยังเอ่ยคำถามที่เขาอยากรู้ออกมาด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา

“แม่ของผม… เป็นคนยังไงเหรอ?…”

“…เป็นคนที่จิตใจดีมาก …แถมยังซื่อจนเกือบจะบื้อด้วย …ไม่สิ ในสายตาคนอื่นคงจะต้องเรียกว่าเป็นคนดีสินะ …นิสัยของผู้หญิงคนนั้นน่ะคู่ควรกับการจะถูกเรียกว่า ‘นางฟ้า’ เลยล่ะ…”

อันที่จริงไม่ใช่แค่เรื่องของแม่ที่ซาลอยากจะถาม แม้แต่เรื่องของพ่อเขาก็อยากจะถามด้วย เพราะเขามีความทรงจำเกี่ยวกับคนทั้งสองน้อยมาก แต่ตอนนี้ยังมีเรื่องอื่นที่คาใจเขามากกว่า มันเป็นเรื่องที่เขาอยากจะรู้เหตุผลมาโดยตลอด

“นี่… ทำไมพ่อของผมถึงกลายเป็นผู้สร้างหายนะล่ะ?…”

แซนโดรนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งเหมือนกับลังเลว่าควรจะตอบคำถามนี้ดีหรือไม่ แต่สุดท้ายก็ยอมพูดออกมา

“…เรื่องนั้น …ก็เกี่ยวข้องกับแม่ของเธอนั่นแหละ…”

“แม่เหรอ?…”

“…หลังจากอยู่กับพวกเธอได้หกปี …ไม่รู้ว่าจู่ ๆ ทำไมแม่ของเธอก็ถูกเรียกตัวกลับสวรรค์ไปซะเฉย ๆ …ทั้งที่ความจริงแล้วควรจะได้อยู่ที่โลกนี้ตลอดไปตามคำสัญญาที่สวรรค์เคยให้ไว้ …พ่อของเธอจึงไม่พอใจกับเรื่องนี้มาก …ในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหวและบุกขึ้นไปบนสวรรค์เพื่อจะพาตัวแม่ของเธอกลับมา…”

เรื่องนี้ตรงกับข้อสันนิษฐานถึงสาเหตุการเป็นผู้สร้างหายนะที่ซาลารัสเคยได้ยินมา แต่ในคำเล่าลือนั้นจะมีการเสริมแต่งว่าพ่อของเขาถูกครอบงำโดยพวกปิศาจด้วย

“พ่อผมไม่ได้ถูกปิศาจครอบงำอย่างที่คนเขาว่ากัน จริง ๆ สินะ?”

“…ตอนที่หมอนั่นมาหาฉันก็ดูมีสติสมบูรณ์ดีนะ …ฉันยังจำได้แม่นเลย …ในวันที่เขามาก้มหัวขอร้อง ให้ชั้นช่วยพาลูก ๆ ทั้งสี่คนหนีไปยังที่ปลอดภัยน่ะ …แต่ฉันช่วยออกมาได้แค่พี่ ๆ ของเธอเท่านั้น …ส่วนเธอกับน้องสาวน่ะฉันไปพาตัวออกมาไม่ทันจริง ๆ …ไม่งั้นคงไม่เกิดเรื่องน่าเศร้าอย่างวันนี้…”

แม้น้ำเสียงอันแหบแห้งของแซนโดรจะทำให้อ่านความรู้สึกได้ลำบาก แต่ซาลก็สัมผัสได้ว่ามีความรู้สึกผิดเจือปนอยู่ในคำพูดนั้นจริง ๆ

ทันใดนั้นเองเขาก็ฉุกคิดถึงเรื่องสำคัญอีกอย่างหนึ่งขึ้นมาได้

“จริงสิ! ลาซารัส! น้องสาวของผมน่ะ ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?”

แซนโดรมองไปยังทิวทัศน์ที่อยู่เบื้องหน้าและนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เหมือนกับลังเลที่จะบอกเรื่องนี้

“…ฉันเองก็พยายามหาข้อมูลแล้ว แต่ทำยังไงก็ไม่รู้ที่อยู่ที่ชัดเจน …รู้แต่ว่าเธอถูกรับอุปการะโดยคนในองค์กรและเข้าเรียนโรงเรียนสตรีของพวกชนชั้นสูงในเมืองหลวงของจูริส …แต่ถ้าหาตัวไม่เจอก็มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะถูกส่งไปเรียนที่อื่น …และอาจเป็นโรงเรียนแบบนี้ด้วย ถึงได้มีการปกปิดข้อมูลที่แน่นหนานัก…”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซาลก็กำหมัดแน่นด้วยความเจ็บแค้น

เขารู้สึกโกรธกับสิ่งที่พวกนั้นทำอยู่แล้ว แต่ยิ่งโกรธมากขึ้นเมื่อรู้ว่าน้องสาวอาจกำลังพบกับชะตากรรมเดียวกันด้วย

“แล้ว… พวกพี่ ๆ ล่ะ?…”

“…ฉันส่งพวกเขาข้ามไปอยู่กับคนสนิทของพ่อเธอที่ทวีปโดมินาเรียแล้ว …ถึงจะต้องใช้ชื่อปลอม แต่ก็น่าจะอยู่กันอย่างสงบสุขได้นะ…”

ซาลไม่ได้พูดอะไรต่ออีก การสนทนาจึงหยุดชะงักลง ทั้งสองคนนั่งมองทิวทัศน์ที่ปลายขอบฟ้านั้นเงียบ ๆ อยู่พักใหญ่ จนกระทั่งซาลเอ่ยคำพูดขึ้นอีกครั้ง

“สรุปว่าเพราะผมเป็นทั้งลูกของผู้สร้างหายนะและทูตสวรรค์ เลยเป็นภัยคุกคามต่อโลกนี้ ถึงต้องเอาผมมาเลี้ยงไว้ในโรงเรียนมายานี่สินะ…”

“…คนที่เป็นภัยต่อโลกนี้คือคนที่ไม่เลือกวิธีการเพื่อรักษาอำนาจอย่างพวกนั้นต่างหาก …ส่วนเธอจะเป็นภัยคุกคามต่อโลกหรือไม่ก็ขึ้นกับการตัดสินใจของเธอเอง …ขึ้นกับว่าสิ่งที่เธอต้องการคืออะไร…”

“สิ่งที่ผมต้องการ…”

น้ำตาของซาลเอ่อล้นขึ้นมาก่อนที่จะพูดประโยคนั้นได้จบ เขาพูดส่วนที่เหลือด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ และริมฝีปากที่บิดเบี้ยว

“ผมอยากให้เรื่องนี้เป็นแค่ความฝัน…”

แม้จะรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่เขาก็ยังอยากจะพูดมันออกมา

ถ้าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นแค่ฝันร้ายได้ก็คงจะดีไม่น้อย ซาลยังอยากกลับไปใช้ชีวิตแสนสงบสุขกับเพื่อน ๆ อีกครั้ง แม้มันจะเป็นแค่ภาพลวงตาก็ตาม

“…จะหนีความจริงเพื่อไขว่คว้าภาพฝันที่เสียไปแล้วก็ไม่มีประโยชน์หรอกนะ …ฉันจะถามเธออีกครั้ง …สิ่งที่เธอต้องการคืออะไร?…”

เมื่อถูกแซนโดรถามย้ำ ซาลก็ครุ่นคิดอย่างจริงจังอยู่เป็นเวลานาน

แม้เขาจะรู้สึกโกรธแค้นต่อพีชคีปเปอร์ แต่ก็ไม่กล้าคิดที่จะแก้แค้น เพราะอีกฝ่ายเป็นองค์กรที่มีฐานะเปรียบเสมือนผู้ที่ปกครองโลกใบนี้อยู่ การต่อสู้กับพีชคีปเปอร์จึงไม่ต่างกับการพยายามฆ่าตัวตายเลย ซาลจึงละความคิดเรื่องการแก้แค้นเอาไว้ แล้วนึกถึงสิ่งที่เขาต้องการจริง ๆ

“ผม… อยากให้ทุกคนกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง… ทั้งพี่ชาย พี่สาว และน้องสาว… กลับมาเป็นครอบครัวเดียวกันและอยู่อย่างพร้อมหน้า…”

ในใจของซาลอยากให้แม่กับพ่อกลับมารวมกันในครอบครัวนั้นด้วย แต่มันคงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว จึงไม่ได้พูดออกไป แต่แซนโดรกลับพูดในสิ่งที่จี้ใจดำของเขาออกมา

“…ไม่รวมพ่อกับแม่เข้าไปด้วยเหรอ?…”

คำพูดที่เหมือนจะอ่านใจของเขาได้นั้นทำให้ซาลรู้สึกประหลาดใจมาก แต่ที่ประหลาดใจยิ่งกว่าคือมันออกมาจากปากของคนที่เพิ่งจะเหน็บแนมไม่ให้เขาคิดถึงเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ จนเขาคิดว่าอีกฝ่ายแค่หยอกเขาเล่นเท่านั้น

“คิดจะหาเรื่องกันรึไง?”

ซาลพูดสวนกลับไปด้วยน้ำเสียงอันแข็งกร้าว แต่แซนโดรก็ไม่ได้ใส่ใจและตอบกลับมาด้วยคำพูดที่ทำให้เขาคาดไม่ถึง

“…มันไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้หรอกนะ …ถ้าเธอเป็นผู้สร้างหายนะละก็…”

“เอ๋? มะ… หมายความว่ายังไง?”

ซาลยิ่งมีสีหน้างุนงงมากขึ้นเพราะคำพูดนั้น นี่แซนโดรกำลังบอกให้เขาเป็นผู้สร้างหายนะงั้นเหรอ? แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการทำให้ทุกคนได้กลับมาอยู่กันอย่างพร้อมหน้าล่ะ?

แซนโดรที่รู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายคงไม่เข้าใจความหมายของคำพูดนั้นจึงเริ่มอธิบาย

“…ผู้สร้างหายนะคือผู้ที่ได้รับการสนับสนุนจากนรก การจะทำข้อตกลงเพื่อปลดปล่อยตัวพ่อของเธอออกมาจากนรกก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ …และการเป็นผู้สร้างหายนะของพ่อเธอก็เป็นเรื่องที่ถูกประโคมเสริมแต่งโดยพีชคีปเปอร์จนเกินจริงด้วย …หากกระชากหน้ากากของพีชคีปเปอร์ ล้างมลทินให้กับพ่อของเธอได้ ตระกูลแฮลเซียนก็จะพ้นทุกข้อกล่าวหา และสามารถกลับมาอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขได้อีกครั้ง…”

เมื่อได้ฟังคำอธิบายของแซนโดร ซาลก็ตาเบิกโพลงด้วยความประหลาดใจ

“ดะ.. เดี๋ยวก่อน! ที่ว่าถูกประโคมเสริมแต่งนั่นหมายความว่ายังไงกัน? พ่อของผมไม่ได้เป็นผู้สร้างหายนะหรอกเหรอ?”

“…เป็นสิ เพียงแต่ถ้าว่ากันตามความจริงแล้ว พ่อของเธอไม่ใช่ผู้รุกรานโลกเท่านั้นเอง…”

คำตอบนั้นทำให้ซาลขมวดคิ้วด้วยความงุนงง แซนโดรจึงต้องอธิบายต่อ

“…พ่อของเธอนำกองทัพนรกขึ้นไปบุกสวรรค์โดยตรง เขาไม่ได้แวะผ่านโลกหรือทำอันตรายใด ๆ ต่อมนุษย์ ความจริงมันไม่ใช่การรุกรานโลกเลยแม้แต่น้อย …ผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ที่มีต่อโลกก็แค่พวกมอนสเตอร์ตามที่ต่าง ๆ เกิดการคลุ้มคลั่งอาละวาดเข้ามาในเขตเมืองบ้าง ถ้าเทียบกับการรุกรานจริง ๆ แล้วยังห่างชั้นกันมากนัก

…แต่เพราะมันเป็นภัยคุกคามที่ประชาชนทั่วไปพบเห็นด้วยตาตัวเอง ไม่เหมือนข่าวการรบจากแดนไกลอย่างการรุกรานครั้งก่อน ๆ ผู้คนจึงรู้สึกว่ามันเป็นภัยคุกคามที่อยู่ใกล้ตัว ทางพีชคีปเปอร์เลยอาศัยโอกาสนี้ประกาศว่านี่เป็นการรุกรานครั้งที่สี่เพื่อกอบโกยศรัทธาจากประชาชน …ที่ว่าการรุกรานถูกสยบลงในวันเดียวนั่นก็เพราะเมื่อทัพนรกพ่ายแพ้บนสวรรค์ ประตูนรกถูกปิด พวกมอนสเตอร์ก็หายคลุ้มคลั่งและหนีกลับเข้าป่าไป เลยดูเหมือนกับพีชคีปเปอร์จัดการกับสถานการณ์ทุกอย่างได้ในวันเดียวจริง ๆ เป็นการเสริมบารมีและสร้างชื่อเสียงให้กับพีชคีปเปอร์อย่างมาก…”

เมื่อได้ฟังคำบอกเล่าของแซนโดร ซาลก็ยิ่งรู้สึกเคียดแค้นพีชคีปเปอร์มากขึ้นไปอีก เขาไม่เคยคิดเลยว่าพีชคีปเปอร์จะเป็นองค์กรที่ต่ำช้าขนาดนี้

“แปลว่าความจริงแล้วพ่อของผมไม่ใช่ผู้ที่รุกรานโลก และไม่ควรถูกเรียกว่าผู้สร้างหายนะเลยสินะ?”

“…ใช่ …หากวัดด้วยการกระทำแล้ว พ่อของแทบไม่ได้สร้างความเสียหายใด ๆ ต่อโลกเลยด้วยซ้ำ หรืออย่างน้อยผลกระทบจากการกระทำของเขาก็ไม่อยู่ในระดับที่เรียกว่าเป็นผู้สร้างหายนะต่อโลกได้หรอก …การบันทึกให้ซารามอธ แฮลเซียน เป็นผู้สร้างหายนะคนที่สี่ก็เพื่อที่พีชคีปเปอร์จะได้แอบอ้างความสำเร็จจากการรุกรานจอมปลอมนี่เท่านั้น …หากเราสามารถโค่นล้มพีชคีปเปอร์และเปิดเผยความจริงเรื่องนี้ได้ละก็ …ครอบครัวของเธอก็จะได้รับการล้างมลทิน…”

คำพูดของแซนโดรทำให้แววตาของซาลเป็นประกายขึ้นมาวูบหนึ่งเพราะความดีใจ แต่เพียงแวบเดียวสีหน้าของเขาก็กลับกลายเป็นเคร่งเครียดอีกครั้ง เพราะรู้สึกว่าเรื่องนี้ยังมีปัญหาอีกหลายอย่าง

“ถึงจะไม่ได้รุกรานโลก แต่พ่อผมก็เป็นผู้รุกรานสวรรค์ไม่ใช่เหรอ? ยังไงเรื่องนี้ก็น่าจะเป็นความผิดร้ายแรงอยู่ดี…”

ข้อสงสัยของซาลนั้นนับว่าถูกต้อง เพราะแม้การกระทำของซารามอธจะไม่ใช่การรุกรานโลกโดยตรง แต่การนำทัพนรกไปรุกรานสวรรค์ก็เป็นเรื่องที่ถือว่าเป็นภัยคุกคามต่อโลกในทางอ้อม และยากที่จะได้รับการอภัยโทษได้โดยง่าย

เมื่อได้ยินเรื่องนั้น แซนโดรก็หันมามองเขาเหมือนกับกำลังส่งยิ้มให้ (แต่ด้วยใบหน้าที่เป็นหัวกะโหลกนั้นทำให้ซาลได้แต่จ้องมองด้วยความสงสัยเพราะอ่านสีหน้าไม่ออก) ก่อนจะพูดต่อ

“…เรื่องนี้เราสามารถใช้สิ่งที่พีชคีปเปอร์ใส่ร้ายพ่อของเธอมาทำให้เขาพ้นผิดได้ …พวกนั้นโยนความผิดไปให้พวกปิศาจ บอกว่าพ่อของเธอถูกปิศาจครอบงำ เพราะแบบนี้มันดีกว่าจะให้คนคิดว่าผู้สร้างสันติภาพอันดับหนึ่งขององค์กรทำการทรยศด้วยตัวเอง

…ดังนั้นเราก็จะโยนความผิดทั้งหมดไปให้พวกปิศาจเช่นกัน ถ้าบอกว่าตอนนั้นพ่อของเธอถูกพวกปิศาจครอบงำให้กระทำไปโดยไม่รู้สึกตัว …พอเรื่องนี้รวมเข้ากับเรื่องที่การรุกรานครั้งนั้นไม่ได้กระทำต่อโลกโดยตรง บวกกับอาศัยความดีความชอบที่พ่อของเธอเคยทำเอาไว้ ก็น่าจะช่วยลดหย่อนความผิดให้กับพ่อของเธอได้ไม่น้อย…”

คำอธิบายของแซนโดรนั้นทั้งมีเหตุผลและถูกต้องตามหลักการ หากกระทำในทางนี้น่าจะทำให้พ่อของเขาหลุดพ้นจากข้อกล่าวหาได้อีกหลายข้อ แม้จะไม่ถึงกับไร้ความผิด แต่ก็ไม่น่าจะต้องโทษร้ายแรงทั้งตระกูลเหมือนเดิมอีกแล้ว แววตาของซาลจึงทอประกายแห่งความหวังขึ้นมาอีกครั้ง แต่เขาก็ยังมีเรื่องที่กังวลอยู่อีก

“แต่พ่อของผมไปก่อเรื่องไว้บนสวรรค์แบบนี้แล้วทางสวรรค์จะยังยอมปล่อยตัวแม่ของผมให้กลับมาอยู่บนโลกได้อีกเหรอ? แล้วแซนโดรบอกว่าแม่ของผมถูกเรียกตัวกลับไปยังสวรรค์ เป็นสาเหตุให้พ่อของผมคิดเป็นผู้สร้างหายนะ แปลว่าสวรรค์ไม่ต้องการให้มีทูตสวรรค์อยู่บนโลกตั้งแต่แรกแล้วน่ะสิ?”

“…เรื่องนั้น …คนที่ไม่อยากให้ทูตสวรรค์อยู่บนโลกคือมนุษย์ต่างหาก…”

สีหน้าของซาลเต็มไปด้วยความงุนงงอีกครั้ง ไม่รู้ว่านี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วในการสนทนาครั้งนี้ที่เขาได้รับรู้เรื่องที่เหมือนจะเข้าใจ แต่ก็ไม่เข้าใจ จึงได้แต่รอฟังคำอธิบายจากแซนโดร

“…ความจริงทางพีชคีปเปอร์ซึ่งมีคณะกรรมการเป็นเหล่าผู้นำของแต่ละอาณาจักรจากทั้งสามทวีปน่ะได้ดำเนินนโยบายกีดกันโลกกับสวรรค์มาตั้งแต่หลังการรุกรานครั้งที่สามแล้ว …พวกนั้นไม่อยากให้สวรรค์มีอิทธิพลกับมนุษย์มากเกินไป จึงค่อย ๆ ทำการผลักไสเหล่าทูตสวรรค์ออกจากโลก …การที่แม่ของเธอถูกเรียกตัวกลับไปสวรรค์ก็น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้นั่นแหละ …สรุปว่าเดิมทีแล้วสวรรค์ไม่ได้มีปัญหาเรื่องที่ทูตสวรรค์จะอยู่บนโลกหรอก…”

เมื่อได้ฟังคำอธิบายของแซนโดร ซาลก็ต้องหยุดครุ่นคิดอีกครั้ง

หากจะล้างมลทินให้กับพ่อ เขาก็ต้องเปิดโปงเรื่องที่พีชคีปเปอร์โหมเรื่องราวการรุกรานครั้งที่สี่และโยนให้พ่อของเขาเป็นผู้สร้างหายนะ ซึ่งทางพีชคีปเปอร์คงไม่ยอมทำลายชื่อเสียงบารมีและศรัทธาประชาชนที่สั่งสมมาด้วยการยอมรับว่าใส่ร้ายคนอื่นเพื่อสร้างกระแสเกินจริงแน่ หากต้องการเปิดเผยความจริงเรื่องนี้และล้างข้อหาที่พีชคีปเปอร์ตั้งให้กับพ่อของเขา ทางเดียวก็คือต้องโค่นพีชคีปเปอร์ลงมา นอกจากนี้พีชคีปเปอร์ยังมีนโยบายกีดกันสวรรค์ออกจากโลกด้วย การจะล้มล้างนโยบายนี้ก็ต้องทำอะไรสักอย่างกับพีชคีปเปอร์เช่นกัน สรุปว่าไม่ว่าจะต้องการนำใครกลับมา ก็ต้องต่อสู้กับพีชคีปเปอร์ทั้งนั้น

แต่พีชคีปเปอร์คือองค์กรที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลก เป็นผู้ที่ปกครองโลกนี้อยู่ก็ว่าได้

องค์กรนี้ประกอบไปด้วยตัวแทนจากสามทวีป สิบเจ็ดอาณาจักร ถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อต่อต้านการรุกรานของผู้สร้างหายนะและคอยดูแลความสงบเรียบร้อยของโลก

พวกเขามีสายลับนับหมื่นและนักผจญภัยนับแสนอยู่ในสังกัด ทั้งยังมี ‘ผู้สร้างสันติภาพ’ เหล่านักรบชั้นยอดที่ถูกคัดเลือกมาจากนักผจญภัยระดับสูงสุดของแต่ละทวีปอีกหลายร้อยคน และหากจำเป็นยังสามารถระดมเหล่านักผจญภัยอิสระทั่วทั้งแผ่นดินมาช่วยงานได้ด้วย เพราะภารกิจของพีชคีปเปอร์ถือเป็นภารกิจเกี่ยวกับความมั่นคงของโลก

การพยายามโค่นล้มพีชคีปเปอร์จึงไม่ต่างไปจากการเป็นศัตรูกับโลกหรือพยายามยึดครองโลกเลย นี่เป็นเป้าหมายที่ไม่น่าจะมีทางทำให้เป็นจริงได้

แซนโดรที่เห็นอีกฝ่ายครุ่นคิดด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดก็เหมือนจะเดาความคิดของเขาออก จึงเอ่ยคำพูดกับซาลอีกครั้ง

“…เธอคงจะมองเห็นศัตรูที่ต้องต่อสู้ด้วยแล้วใช่มั้ย?…”

ซาลรู้สึกลังเลอยู่บ้าง แต่ในใจเขายังคงคิดว่าการต่อสู้กับพีชคีปเปอร์เป็นเรื่องที่เกินความสามารถอยู่ดี จึงตอบคำถามของแซนโดรโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา

“ไม่ว่าคิดจะช่วยใครก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับพีชคีปเปอร์ได้… แต่ว่าพีชคีปเปอร์น่ะ… พวกเขาเป็นองค์กรที่ปกครองโลกอยู่เชียวนะ สำหรับคนอย่างผมน่ะ ยังไงก็ไม่มีทาง…

“…เพราะแบบนั้นฉันถึงได้เสนอให้เธอเป็นผู้สร้างหายนะไงล่ะ…”

“เอ๋?”

ซาลเกือบจะลืมไปแล้วว่านี่คือทางออกแรกที่แซนโดรเสนอให้กับเขา แต่เพราะเขาไม่เข้าใจความหมายของมันแซนโดรจึงอธิบายเรื่องทั้งหมดอย่างยืดยาวจนเขาลืมเรื่องนี้ไป ที่น่าตลกคือพอแซนโดรพูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีกครั้งเขาก็ยังไม่แน่ใจความหมายของมันอยู่ดี

“…ถึงพวกนั้นจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสวรรค์ …แต่หากได้รับการสนับสนุนจากนรกละก็ การทำลายพีชคีปเปอร์ก็ไม่ใช่เรื่องที่ไกลเกินเอื้อมหรอกนะ …ด้วยขุมกำลังของพวกนั้น ต้องโค่นล้มพีชคีปเปอร์ได้แน่ หลังจากนั้นเธอก็จะสามารถนำครอบครัวทุกคนกลับมาอยู่กันอย่างพร้อมหน้าได้…”

คำพูดนั้นฟังดูมีส่วนที่ไม่ถูกต้องอยู่ ซาลจึงแย้งขึ้นมา

“ถ้าไม่นับการรุกรานครั้งที่สี่ละก็ นรกก็พยายามรุกรานโลกมาสามครั้งแล้ว แต่ก็ไม่เคยสำเร็จเลยไม่ใช่เหรอ ความพยายามที่ล้มเหลวมาตลอดแบบนี้ จู่ ๆ จะประสบความสำเร็จด้วยฝีมือผมได้ยังไงกันล่ะ?”

“…ความล้มเหลวเหล่านั้นเกิดจากเหตุผลสองประการด้วยกัน หนึ่งคือก่อนหน้านี้สวรรค์ให้ความคุ้มครองโลกในการต้านทานนรกอยู่ สองคือฝ่ายนรกดีแต่ใช้กำลังแบบโง่ ๆ ไม่เคยปรับเปลี่ยนยุทธวิธีเลย …แต่ตอนนี้แตกต่างออกไป พวกพีชคีปเปอร์กีดกันสวรรค์ไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับโลก และเป้าหมายครั้งนี้ก็ไม่ใช่การโจมตีโลก แต่เป็นการโจมตีพีชคีปเปอร์ เรื่องนี้ถ้าทำดี ๆ ก็จะไม่สะกิดความสนใจของสวรรค์ รวมถึงพวกพีชคีปเปอร์คงไม่บากหน้าไปขอความช่วยเหลือจากคนที่ตัวเองขับไล่ไสส่งไปแต่แรกง่าย ๆ …อาศัยการสนับสนุนจากนรก ประกอบกับการเปลี่ยนยุทธวิธีเป็นการโจมตีจากภายใน ค่อย ๆ บั่นทอนกำลังของพวกมันไปทีละน้อย ต่อให้พีชคีปเปอร์เป็นไม้ใหญ่ที่หยั่งรากมั่นคงแค่ไหน ก็ต้องถูกกัดเซาะรากฐานจนล้มครืนลงมาได้…”

คำพูดเหล่านั้นกระตุ้นความหวังของซาลขึ้นมาอีกครั้ง แต่ถึงผลตอบแทนของมันจะเย้ายวนแค่ไหน เขาก็ไม่คิดที่จะทำลายชีวิตผู้บริสุทธิ์เพื่อความสุขอันเลือนลางของตัวเองอยู่ดี

“ตะ.. แต่ว่าผมไม่อยากเป็นผู้ทำลายโลกนี่นา”

“…ก็ไม่จำเป็นต้องทำนี่…”

“หน้าที่ของผู้สร้างหายนะก็คือการทำลายโลกไม่ใช่เหรอ?”

“…ถ้าเป็นผู้สร้างหายนะจริง ๆ น่ะนะ…”

คำพูดของแซนโดรทำให้ซาลยิ่งงุนงงเข้าไปอีก เมื่อเห็นใบหน้าที่บ่งบอกว่าไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิดของเขา แซนโดรจึงเริ่มอธิบายต่อ

“…เธอสามารถเป็นผู้สร้างหายนะและรับการสนับสนุนจากนรกได้โดยไม่จำเป็นต้องทำตามคำสั่งของพวกนั้น …แค่แกล้งทำเป็นทำตามคำสั่งก็พอแล้ว …ยังไงการโจมตีโลกก็จะไม่เกิดขึ้นจนกว่าการจัดเตรียมกำลังพลจะพร้อม …ซึ่งจะพร้อมเมื่อไหร่ และโจมตีที่ไหน มันก็ขึ้นกับการวางแผนของผู้สร้างหายนะ ซึ่งก็คือเธอ…”

“หมายถึงผมสามารถถ่วงเวลาไปเรื่อย ๆ ได้งั้นเหรอ?”

“…ใช่แล้ว …ระหว่างนั้นเธอก็จะสามารถใช้การสนับสนุนจากนรกสะสมอำนาจบนโลกและโค่นพีชคีปเปอร์ได้ …ที่ผ่านมาผู้สร้างหายนะเป็นเพียงตัวหมากที่ถูกนรกหลอกใช้มาโดยตลอด …แต่คราวนี้เธอจะเป็นผู้ใช้ประโยชน์จากนรกแทนไงล่ะ…”

“ถ้าไม่ทำตามคำสั่งของนรก จะไม่เป็นไรจริง ๆ เหรอ?”

“…พวกนั้นไม่ได้มีอิทธิพลมากอย่างที่เธอคิดหรอกนะ …เพราะแบบนั้นถึงต้องพึ่งผู้สร้างหายนะไงล่ะ …สิ่งที่เธอต้องทำก็แค่แสร้งเป็นผู้สร้างหายนะที่พวกนั้นต้องการก็พอ …ถึงจะผิดสัญญาในภายหลังแต่พวกมันก็ทำอะไรไม่ได้หรอก…”

ซาลเริ่มรู้สึกคล้อยตามคำพูดของแซนโดรแล้ว แต่ก็ยังมีความลังเลอยู่

“แต่การโค่นพีชคีปเปอร์น่ะมันก็เหมือนการทำลายโลกทางอ้อมไม่ใช่เหรอ? ถ้าไม่มีพีชคีปเปอร์ละก็ โลกอาจตกอยู่ในความยุ่งเหยิงและทำให้ผู้คนตกอยู่ในอันตรายได้”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น แซนโดรก็เค่นเสียง ฮึ ออกมาทางจมูก (ทั้ง ๆ ที่ไม่มีจมูก) ก่อนจะหันมองไปยังเส้นขอบฟ้าและกล่าวต่อ

” …นั่นเป็นแค่เรื่องที่พวกนั้นปลูกฝังให้ผู้คนเชื่อเท่านั้น …ยุคสมัยที่โลกต้องพึ่งพาพีชคีปเปอร์น่ะได้ผ่านไปตั้งนานแล้ว …มองไปรอบ ๆ สิ ภัยคุกคามที่มีต่อโลกน่ะคืออะไรกัน? …มีแต่ความหวาดระแวงที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้หล่อเลี้ยงอำนาจของพวกมัน …และพวกมันก็ทำได้ทุกวิถีทางเพื่อรักษาอำนาจของตัวเอง …เหมือนอย่างเรื่องของเธอไงล่ะ…”

เมื่อได้ยินคำพูดนั้น ซาลก็ถึงกับนิ่งเงียบไป

แม้เขาจะไม่ได้รู้เบื้องลึกเกี่ยวกับพีชคีปเปอร์มากนัก แต่สิ่งที่เขาประสบมาก็ทำให้พอจะจินตนาการวิธีการทำงานขององค์กรได้

“…พวกนั้นแค่พยายามรักษาอำนาจและฐานะของตัวเองมากกว่าจะทำเพื่อโลกจริง ๆ …สร้างความหวาดกลัวขึ้นมาให้กับผู้คนและใช้เป็นข้ออ้างในการกำจัดศัตรู …เป็นองค์กรที่รังแต่จะสร้างปัญหาให้กับโลก และต้องถูกชำระล้างเท่านั้น…”

คำพูดของแซนโดรนั้นมีเหตุผลและทำให้รู้สึกคล้อยตาม แต่ซาลก็ยังไม่มีความมั่นใจที่จะทำเรื่องเหล่านี้ได้อยู่ดี

“แต่ผมน่ะ… จะทำเรื่องแบบนั้นได้จริง ๆ น่ะเหรอ… จะเริ่มต้นยังไงก็ยังไม่รู้เลย…”

“…มันอยู่ที่ความตั้งใจมากกว่า …และถ้าเธอคิดจะทำจริง ๆ ละก็ ฉันจะเป็นคนช่วยเธอเอง…”

คำพูดของแซนโดรทำให้ซาลทั้งรู้สึกประหลาดใจและตื่นเต้น

แม้เขาจะไม่คิดว่าตัวเองมีความสามารถถึงขนาดทำเรื่องระดับพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินอย่างการโค่นพีชคีปเปอร์ได้ แต่หากว่าเป็นแซนโดร หรือมีแซนโดรคอยเป็นผู้ช่วยเหลือ มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ความคิดนี้ทำให้เขายิ่งรู้สึกตื่นเต้นเป็นทวีคูณ ทุกอย่างจะเป็นไปได้จริง ๆ น่ะเหรอ? ทุกคนจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันงั้นเหรอ? ซาลทั้งรู้สึกตื่นเต้นและดีใจจนเริ่มเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่ แต่เขาก็ยังมีเรื่องที่คาใจอยู่บ้าง

“แต่ว่า… ทำไมกัน? ทำไมนายถึงคิดจะช่วยล่ะ?

“… ฉันมีเรื่องที่ยังติดค้างพ่อของเธออยู่ …และมีเหตุผลส่วนตัวด้วย…”

“เหตุผลส่วนตัวงั้นเหรอ?”

แซนโดรลุกขึ้นยืนและทอดสายตามองออกไปยังขอบฟ้าไกลเหมือนกำลังหวนนึกถึงเรื่องราวบางอย่าง ก่อนจะเอ่ยคำพูดออกมาอีกครั้ง

“…พวกเราเหล่าผู้ศึกษาศาสตร์มืดน่ะ ใช่ว่าจะเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับปิศาจทั้งหมด …สมัยก่อนการศึกษาศาสตร์มืดไม่ใช่เรื่องผิดอะไร …แต่จู่ ๆ มันกลับถูกประกาศให้เป็นวิชานอกรีตด้วยเหตุผลอันคับแคบ …ผู้ที่พยายามสืบทอดวิชาความรู้เหล่านี้ต่างก็ถูกไล่ล่าและถูกฆ่าไปมากมาย …ทั้งที่หลายคนไม่ได้ทำความผิดอะไรเลย…”

แม้ใบหน้าที่เป็นหัวกะโหลกและน้ำเสียงอันแหบแห้งนั้นจะไม่สื่ออารมณ์ใด ๆ ออกมา แต่ซาลก็สัมผัสได้ว่าแซนโดรกำลังพูดด้วยความรู้สึกที่เศร้าโศก

“…ด้วยเหตุนี้ฉันจึงอยากจะโค่นล้มองค์กรชั่วร้ายนั่น …เพื่อแก้แค้นให้กับทุกคน …และเพื่อเปลี่ยนกฎ ให้การศึกษาศาสตร์มืดกลับมาเป็นวิชาที่ถูกต้องอีกครั้ง …นั่นคือความต้องการของอาจารย์ฉัน และเป็นความต้องการของฉัน…”

“แต่ผม… พวกเราน่ะ จะทำเรื่องนี้ได้จริง ๆ น่ะเหรอ? นี่มันไม่ต่างจากการพยายามยึดครองโลกเลยนะ?”

“…เราไม่ได้จะทำมันให้สำเร็จภายในวันนี้ …แค่จะเริ่มจากวันนี้เท่านั้น …ถึงองค์กรนั่นจะเป็นเหมือนไม้ใหญ่ …แต่ถ้าค่อย ๆ ใช้เวลา กัดเซาะรากฐานของมันไปทีละน้อยละก็ …เราต้องโค่นมันลงมาได้แน่…”

หลอกใช้นรกเพื่อโค่นล้มองค์กรที่ปกครองโลก ฟังดูยังไงก็เป็นแผนการที่สิ้นคิดเกินกว่าจะเป็นจริงได้ แต่ไม่รู้ทำไมซาลถึงรู้สึกเชื่อว่ามันสามารถเป็นไปได้ อาจเพราะคนที่พูดขึ้นมาคือแซนโดร นักเวทที่แข็งแกร่งราวกับปิศาจซึ่งเขาเคยเห็นมาด้วยตาของตนเองแล้ว ถ้าเป็นคนระดับแซนโดรละก็ แผนการนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เขาจึงลุกขึ้นยืนแล้วพูดกับแซนโดรด้วยแววตาอันมุ่งมั่น

“ถ้างั้น… ผมต้องทำอะไรบ้าง?”

แซนโดรหันมามองซาลด้วยท่าทางที่เหมือนกับจะแสดงความพึงพอใจออกมา

ทั้ง ๆ ที่มันเป็นใบหน้ารูปหัวกะโหลกและมีดวงตาเป็นเปลวไฟสีเขียวอยู่ในเบ้าตาอันกลวงโบ๋ แต่ซาลก็มีความรู้สึกว่าแซนโดรกำลังจ้องมองเขาด้วยสีหน้าพึงพอใจอยู่จริง ๆ

“…ขั้นแรกก็ต้องแข็งแกร่งขึ้นซะก่อน เพื่อให้เป็นคนที่คู่ควรกับตำแหน่งผู้สร้างหายนะ …พวกปิศาจน่ะไม่มอบอำนาจให้กับคนที่คาดหวังไม่ได้หรอกนะ …ฉันจะช่วยฝึกฝนเธอเอง…”

หลังพูดจบ แซนโดรก็หยิบขวดแก้วเล็ก ๆ ที่บรรจุน้ำยาสีเทาออกมา และพรมมันลงบนหัวของซาล

“นะ.. นี่! นายจะทำอะไรน่ะ!?”

“…เดี๋ยวเราจะต้องเข้าไปในเมืองเพื่อเตรียมเสบียงก่อนออกเดินทาง …จริง ๆ พวกนั้นหยุดการค้นหาในเขตนี้และขยายวงการค้นหาออกไปยังเมืองอื่นแล้ว …แต่อาจมีคนจำรูปพรรณของเธอโดยเฉพาะสีผมนี่ได้ …ดังนั้นเพื่อความไม่ประมาทก็ปลอมตัวไว้ซะหน่อยดีกว่า…”

แซนโดรขยี้น้ำยาลงบนหัวของซาลสักครู่หนึ่ง ผมทุกเส้นของเขาก็ค่อย ๆ เปลี่ยนจากสีแดงสดกลายเป็นสีเทาไปแทน แม้แต่คิ้วที่ถูกป้ายน้ำยาเพียงเล็กน้อยก็กลายเป็นสีเทาด้วย

“นี่ แล้วตัวนายเองล่ะ? อย่าบอกนะว่าจะเข้าเมืองไปด้วยสารรูปแบบนี้น่ะ?”

“…จริงสินะ …เกือบลืมไปเลย…”

เมื่อพูดจบก็มีม่านหมอกสีขาวขุ่นปรากฏขึ้นมาห่อหุ้มตัวของแซนโดรเอาไว้ เพียงครู่เดียวม่านหมอกนั้นก็หดกลับเข้าไปในร่างของแซนโดรอีกครั้ง เผยให้เห็นรูปลักษณ์ใหม่ของแซนโดรที่ตอนนี้กลายเป็นมนุษย์ไปแล้ว

“นะ.. นาย!? ไม่สิ เธอ!”

ร่างมนุษย์ของแซนโดรนั้นทำให้ซาลต้องตกใจจนตาค้าง

เพราะร่างที่เคยมีรูปลักษณ์ดุจยมทูตนั้นกลับกลายเป็นหญิงสาวผู้มีใบหน้าอันงดงาม เธอมีผิวขาวเนียนราวกับหิมะ ผมยาวสีเทาซึ่งทอประกายเป็นสีเงินยามต้องแสงอาทิตย์ และมีดวงตาสีเขียวเข้มราวกับมรกต แม้แววตาและสีหน้าจะดูเฉยชาไร้ความรู้สึกใด ๆ แต่มันก็ดูงดงามจนผู้ที่พบเห็นนั้นยากจะละสายตาไปได้

รูปลักษณ์แบบนี้เป็นสิ่งที่ซาลไม่เคยคาดคิดมาก่อน

“นี่เธอเป็นผู้หญิงงั้นเหรอ!?”

“…ก็เป็นผู้หญิงมาตลอดนี่นา …ดูไม่ออกงั้นเหรอ?…”

“เป็นโครงกระดูกแบบนั้นใครจะไปดูออกกันเล่า!?”

ด้วยเหตุนี้ การเดินทางเพื่อเป็นผู้สร้างหายนะ (แบบปลอม ๆ) ของซาลกับแซนโดรจึงได้เริ่มต้นขึ้น และดูเหมือนมันจะเป็นการผจญภัยที่เต็มไปด้วยเรื่องที่ไม่คาดคิดซะด้วย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด