Doombringer the 5th 43

Now you are reading Doombringer the 5th Chapter 43 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Ch.43 – ชายผู้คู่ควรกับนาม

Translator : YoyoTanya / Author

Ch. 43

ชายผู้คู่ควรกับนาม

 

Part 1

 

ที่ห้องผู้บัญชาการของแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรส

ออแลนด์พิจารณารูปลักษณ์ของแซนโดรกับลานาเทลที่อยู่ในชุดปิศาจอย่างละเอียด พลางเอามือคลึงเคราของตัวเองไปด้วย

“นี่ ฮัมเมล.. ที่เขาว่าผู้ชายยิ่งอายุมากก็จะยิ่งมีเสน่ห์น่ะท่าจะเป็นเรื่องจริงนะ ดูสิ ขนาดปิศาจสาวที่มาบุกยังส่งยิ้มให้ฉันเลย”

คำพูดของออแลนด์ทำให้แซนโดรต้องหันไปมองลานาเทลด้วยความแปลกใจ ซึ่งแม้จะมีหน้ากากปิดบังใบหน้าครึ่งบนเอาไว้ แต่ริมฝีปากของลานาเทลก็กำลังยิ้มอยู่จริง ๆ

แม้เธอจะยายามเก็บอาการไม่ให้ยิ้มออกมา แต่ก็ยังฝืนหุบยิ้มไม่ลงอยู่ดี มันเป็นรอยยิ้มที่แสดงความตื่นเต้นระคนดีใจออกมาในเวลาเดียวกัน ท่าทางอันน่าแปลกใจนั้นทำให้แซนโดรต้องแอบกระซิบถาม

“…ลานาเทล?…”

“คุณแซนโดรคะ… นั่นน่ะคือ ‘เทพสายฟ้า’ ตัวจริงเสียงจริงเลยนะคะ… นักดาบที่ถูกยกย่องว่าแข็งแกร่งที่สุดในโลก… ฉันน่ะ อยากพบกับเขามานานแล้วล่ะค่ะ”

“…จะปลื้มใครฉันก็ไม่ว่าหรอกนะ …แต่ตอนนี้หมอนี่คือคนที่เราไม่ควรเผชิญหน้าด้วยที่สุดเลย …ถ้าอยากจะขอลายเซ็นก็เอาไว้โอกาสหน้าเถอะนะ…”

“ผิดแล้วค่ะ ตอนนี้เวลานี้นี่แหละที่เหมาะที่สุดเลย เพราะเรากำลังเป็นศัตรูกันอยู่ไงล่ะคะ”

“…หา?…”

“ในโลกนี้น่ะมีคนมากมายที่ใช้ชื่อตามบุคคลในตำนานของโลกเก่า แต่มีแค่ไม่กี่คนหรอกนะคะที่มีความสามารถคู่ควรกับชื่อนั้นจริง ๆ และออแลนด์ก็เป็นหนึ่งในนั้นค่ะ โอกาสจะได้ประลองกับบุคคลระดับตำนานแบบนี้น่ะ หายากนะคะ”

“…พูดบ้าอะไรของเธอน่ะ …ตอนนี้เราต้องรีบหนีกันต่างหาก…”

“คุณแซนโดรก็ทำตามใจตัวเองไปแล้ว ตอนนี้ขอฉันทำตามใจตัวเองบ้างเถอะนะคะ”

ลานาเทลตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นไหวเล็กน้อยเพราะความตื่นเต้น แต่จิตสังหารที่แผ่ออกมาจากตัวเธอนั้นกลับแสดงถึงเจตนาอันแน่วแน่

แซนโดรรู้สึกหงุดหงิดจนหนังตาแทบกระตุก แต่ก็ไม่รู้จะห้ามปรามอย่างไรดี ในระหว่างที่กำลังคิดหาทางอยู่นั้นเอง ลานาเทลก็พุ่งเข้าใส่ออแลนด์พร้อมกับดาบเคลย์มอร์ที่ห่อหุ้มด้วยเลือดจนกลายเป็นสีดำสนิท เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเห็นลักษณะพิเศษของดาบเขี้ยวแวมไพร์ที่ซ่อนอยู่ภายใน

เธอเหวี่ยงเป็นวงเฉียงเข้าฟันที่ไหล่ขวาของออแลนด์ด้วยความรวดเร็ว แต่เขาก็ยกดาบขึ้นมารับการโจมตีเอาไว้ได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนท่ายืนเลยสักนิดเดียว เพียงแค่ใช้วงแขนพลิกดาบขึ้นมารับการโจมตีเอาไว้เท่านั้น ที่น่าประหลาดคือท่วงท่าง่าย ๆ นี้สามารถรับการโจมตีอันหนักหน่วงของดาบเคลย์มอร์ที่มีขนาดใหญ่กว่าดาบทั่วไปถึงสองเท่าได้อย่างสบาย หากเป็นคนทั่วไปคงรู้สึกตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ลานาเทลกลับยิ่งตื่นเต้นเมื่อได้เห็นความแข็งแกร่งของฝ่ายตรงข้าม จนเผลอยิ้มออกมาอีกครั้ง

ทว่าพริบตาที่เธอกำลังจะถอนดาบกลับมานั้นเอง ดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์ที่ใช้ป้องกันการโจมตีอยู่เมื่อสักครู่นี้ก็เปลี่ยนท่วงท่าจากการกันมาเป็นการโจมตีในพริบตา คมดาบที่โฉบตามการเคลื่อนไหวมาอย่างกระชั้นชิดนั้นราวกับเป็นเงาแขนของเธอเองที่ไล่ตามมา แต่มันกลับรวดเร็วยิ่งกว่า แม้ลานาเทลจะชักแขนหลบการโจมตีนั้นไปได้แบบฉิวเฉียดแต่ ปลอกแขนที่เธอสวมอยู่ก็ถูกปลายดาบเฉี่ยวไปจนกลายเป็นรอยบาก

เพราะถูกโจมตีสวนกลับแบบไม่ทันตั้งตัวทำให้ท่วงท่าของลานาเทลเริ่มเสียสมดุลจนเกิดช่องโหว่

ออแลนด์อาศัยจังหวะนั้นก้าวเท้าอย่างรวดเร็วและตวัดดาบเข้าใส่ลำตัวของลานาเทล ซึ่งการโจมตีครั้งที่สองนี้เกิดขึ้นโดยที่เธอยังไม่ทันจะได้หยั่งขาลงกับพื้นให้มั่นคงด้วยซ้ำ

ลานาเทลทำได้เพียงใช้ข้อมือหมุนวงดาบกลับมาป้องกันในท่วงท่าที่ไม่ถนัดนัก และเพราะไม่มีแรงช่วยจากแขนข้างที่จับดาบอยู่ บวกกับสองเท้าก็ยังยืนไม่มั่นคง เธอจึงต้องใช้แขนอีกข้างช่วยยันตัวดาบเอาไว้

เสียงโลหะกระทบกันดังก้องไปทั่วห้องทันทีที่ดาบทั้งสองปะทะกัน

ลานาเทลป้องกันการโจมตีเอาไว้ได้แต่ร่างกายก็เสียสมดุลเล็กน้อย ออแลนด์ฉวยจังหวะนั้นหมุนตัวตามแรงตวัดดาบแล้วถีบเข้าที่ดาบของลานาเทลอย่างเต็มแรงจนตัวเธอลอยกระเด็นออกไป

แม้จะโดนถีบจนลอยกระเด็นออกมา แต่ลานาเทลก็ยังปรับสมดุลร่างกายและเหยียบลงพื้นด้วยเท้าทั้งสองข้างได้อย่างมั่นคง ก่อนจะรีบตั้งท่าเพื่อเตรียมรับการโจมตีอีกครั้ง แต่ออแลนด์ก็ไม่ได้พุ่งตามเข้ามา

เขายังคงยืนอยู่ ณ จุดเดิมโดยไม่ได้รุกไล่ลานาเทลต่อ เพียงแค่ชี้ดาบและจ้องมองมายังเธอด้วยท่าทีที่เยือกเย็น

 

——————————————————————————————————–

 

Part 2

 

แม้เธอจะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำในการต่อสู้ยกแรก แต่ลานาเทลกลับยิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิม

“เร็วจริง ๆ … แถมการโจมตียังหนักหน่วงและเฉียบคมด้วย สมกับฉายาเทพสายฟ้าเลยนะคะ”

“ความจริงฉายานั่นได้มาเพราะเหตุผลอื่นน่ะนะ แต่เธอเองก็ไม่เบานี่นา เหวี่ยงดาบเคลย์มอร์ด้วยความเร็วขนาดนั้นได้ ถ้าเปลี่ยนเป็นดาบที่เล็กกว่านี้ละก็ น่าจะมีช่องว่างน้อยลงนะ”

“แหม~ ขอรับคำแนะนำนั้นไว้เลยก็แล้วกันนะคะ”

 

ลานาเทลยกดาบเคลย์มอร์ขึ้นมาถือในระดับอกด้วยสองมือ จากนั้นเธอก็ทำท่าเหมือนกับกำลังดึงด้ามจับของดาบออกไปคนละทาง

ทันใดนั้นด้ามจับดาบเคลย์มอร์ก็แยกออกเป็นสองส่วน เช่นเดียวกับตัวดาบที่ค่อย ๆ แบ่งออกเป็นสองซีกและเปลี่ยนรูปร่างไป ในที่สุดมันก็กลายเป็นดาบขนาดกลางสองเล่มอยู่ในมือแต่ละข้างของลานาเทล

ปกติแล้วดาบเขี้ยวแวมไพร์จะไม่สามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ได้แม้จะใช้ทักษะเฉพาะตัวของเผ่าแวมไพร์อย่าง ‘บลัดคราฟท์’ ก็ตาม แต่ลานาเทลเป็นแวมไพร์ระดับสูงที่มีความเชี่ยวชาญด้านนี้เป็นพิเศษ จึงสามารถแปรสภาพได้แม้กระทั่งตัวดาบ ซึ่งความจริงแล้วดาบเคลย์มอร์ของเธอถูกสร้างขึ้นจากการหลอมรวมดาบเขี้ยวแวมไพร์สองเล่มด้วยกัน เล่มหนึ่งก็คือดาบเขี้ยวแวมไพร์ที่ติดตัวเธอมาตั้งแต่เกิด ส่วนอีกเล่มคือดาบของฮาร์คอน ซันรีเวอร์ พ่อของเธอซึ่งถูกเธอสังหาร จึงกล่าวได้ว่าดาบทั้งสองเพียงแค่กลับคืนสู่สภาพเดิมของมันเท่านั้น เพียงแต่คมดาบก็ยังคงถูกหุ้มเอาไว้ด้วยเลือดสีดำสนิท เพื่ออำพรางรูปลักษณ์เช่นเคย

ออแลนด์เลิกคิ้วขึ้นด้วยท่าทางประหลาดใจเล็กน้อย เพราะอาวุธที่เปลี่ยนรูปลักษณ์ได้ตามใจชอบนั้นเป็นของที่หาได้ยาก แต่เขาก็ยังไม่นึกระแคะระคายว่านั่นเป็นความสามารถของเผ่าแวมไพร์ ตัวตนที่แท้จริงของลานาเทลจึงยังไม่ถูกเปิดเผย

เมื่อเตรียมตัวพร้อมแล้ว ลานาเทลก็พุ่งเข้าหาออแลนด์อีกครั้งและกระหน่ำโจมตีด้วยดาบคู่ที่อยู่ในมือ

เพราะเปลี่ยนมาเป็นดาบขนาดกลางทำให้มีความคล่องตัวเพิ่มมากขึ้น เธอจึงสามารถตวัดดาบด้วยความเร็วที่เหนือกว่าก่อนหน้านี้มาก ดาบทั้งสองของลานาเทลเหวี่ยงสะบัดเป็นจังหวะนำและจังหวะตาม เล่มหนึ่งโจมตีอย่างหนักหน่วงซึ่ง ๆ หน้าราวกับกรงเล็บของราชสีห์ ส่วนอีกเล่มก็ฉกฉวยโอกาสที่ดาบเล่มแรกเปิดทางให้ฉกเข้าโจมตีในมุมอับราวกับอสรพิษ สองดาบโจมตีสอดประสานกันอย่างต่อเนื่องราวกับเป็นพายุใบมีด แต่การโจมตีเหล่านั้นก็ยังไม่สามารถเข้าถึงตัวฝ่ายตรงข้ามได้

แม้จะมีดาบเพียงเล่มเดียว แต่ออแลนด์ก็สามารถเปลี่ยนทิศทางของดาบได้ในพริบตาด้วยการพลิกข้อมือ ดาบของเขาทำได้ทั้งรุกและรับทั้งยังสลับสับเปลี่ยนท่วงท่าได้ในเสี้ยววินาทีจนเกิดเป็นภาพติดตาราวกับมีดาบหลายเล่มกวัดแกว่งอยู่ จนการโจมตีด้วยดาบสองเล่มของลานาเทลแทบจะไม่ได้สร้างความได้เปรียบเลย ที่น่าตกใจคือการเคลื่อนไหวของออแลนด์ที่เป็นฝ่ายตั้งรับอยู่นั้นกลับนำหน้าอีกฝ่ายอยู่ก้าวหนึ่ง เขาโยกย้ายดาบไปรอยังทิศทางที่กำลังจะถูกโจมตีได้ก่อนเสมอ ราวกับมองเห็นการเคลื่อนไหวได้ล่วงหน้า หรืออาจพูดได้ว่าการโจมตีของลานาเทลนั้นถูกอีกฝ่ายอ่านออกจนหมด

ทั้งสองคนมีความเร็วใกล้เคียงกัน แต่เพราะความสามารถในการอ่านทางดาบที่เหนือกว่าทำให้การโจมตีด้วยดาบสองเล่มของลานาเทลไม่ทำให้เกิดความได้เปรียบมากนัก ถึงกระนั้นเธอก็ยังสามารถกดดันฝ่ายตรงข้ามจนต้องตั้งรับอยู่เพียงฝ่ายเดียวได้ ในลักษณะนี้ลานาเทลคิดว่าการที่อีกฝ่ายจะเพลี่ยงพล้ำเมื่อไหร่ก็ขึ้นกับเวลาเท่านั้น เพราะการจะใช้ดาบเพียงเล่มเดียวตั้งรับการโจมตีจากสองทิศทางพร้อมกันไปเรื่อย ๆ นั้นเป็นเรื่องที่ต้องใช้สมาธิและกำลังกายสูงมาก เธอจึงไม่รีบร้อนและคงการกดดันไว้เพื่อรอให้ออแลนด์พลาดไปเอง

ทันใดนั้นดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์ก็เรืองแสงสีส้มขึ้นอีกครั้ง คราวนี้แสงนั่นได้แผ่ขยายและอาบไปทั่วร่างของออแลนด์ จนเหมือนกับตัวเขากำลังเรืองแสงอยู่ ทำให้ลานาเทลต้องเพิ่มความระวังตัวขึ้น

ชั่วพริบตานั้นเอง ความเร็วของออแลนด์ก็เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด เขาตวัดดาบปัดการโจมตีทั้งสองจังหวะทิ้งไปได้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะพุ่งดาบสวนกลับไปในขณะที่เกิดช่องว่าง ทำให้ลานาเทลต้องเอี้ยวตัวเพื่อหลบการโจมตีนั้น พายุดาบของเธอจึงหยุดชะงักลง

เพียงชั่วครู่ที่การโจมตีเกิดการขาดช่วง ออแลนด์ก็พลิกกลับมาเป็นฝ่ายรุกแทน ด้วยการเหวี่ยงดาบเข้าใส่ลานาเทลอย่างรวดเร็วและแม่นยำ แม้เธอจะยกดาบขึ้นมาป้องกันการโจมตีสองจังหวะแรกได้ แต่ดาบอันรวดเร็วของเขาก็ยังมีการโจมตีในจังหวะที่สามแทรกเข้ามาในช่องว่างของการป้องกันและเฉี่ยวโดนปลายหน้ากากของลานาเทลไป

ด้วยความกลัวว่าหน้ากากจะหลุด ลานาเทลจึงดีดตัวถอยกลับออกมา ซึ่งทางออแลนด์ก็ไม่ได้ตามมาเช่นเคย แม้หน้ากากของเธอจะถูกฟันจนเกิดรอยร้าวเป็นแนวยาว แต่มันก็ยังไม่แตก ลานาเทลจึงเตรียมตั้งท่าต่อสู้อีกครั้ง

“เมื่อกี้คือพลังของดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์สินะคะ? ถ้างั้นละก็…”

ลานาเทลเตรียมจะสยายผ้าคลุมเลือดออกมาเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายก็เริ่มเอาจริงแล้ว ทันใดนั้นก็มีวงเวทสีเขียวขนาดใหญ่ซึ่งครอบคลุมพื้นห้องไปกว่าครึ่งปรากฏขึ้น ก่อนจะมีมังกรโครงกระดูกขนาดใหญ่โผล่ขึ้นมาจากวงเวทนั้น

ด้วยขนาดอันใหญ่โตของมังกรโครงกระดู ทำให้ทำให้พื้นและเพดานของห้องถูกร่างของมันเบียดใส่จนพังทลาย ออแลนด์จึงรีบอุ้มตัวฮัมเมลแล้วพาเขาหลบออกไปจากห้องผ่านทางประตูด้านหลัง

อีกฟากหนึ่ง ลานาเทลก็โดนอัศวินชุดเกราะสี่ตัวช่วยกันแบกขึ้นบ่าแล้ววิ่งออกมาจากห้องนั้นพร้อม ๆ กับแซนโดร

“ทำอะไรน่ะคะคุณแซนโดร!? ปล่อยฉันลงนะคะ!”

“…เธอน่ะกำลังจะเผยตัวจริงไม่ใช่เหรอ …ถ้าใช้ผ้าคลุมเลือดละก็ อีกฝ่ายก็ได้รู้ตัวจริงเข้าพอดี…”

“แต่เรายังดวลกันไม่รู้ผลเลยนะคะ!”

“…ยังไงสักวันเราก็ต้องได้เผชิญหน้ากับหมอนั่นอีกอยู่แล้ว …ไว้ถึงตอนนั้นค่อยสู้แบบเต็มฝีมือเถอะ…”

“ฮึ~”

ลานาเทลเค่นเสียงในลำคอด้วยความรู้สึกไม่พอใจ เธอเชิดหน้าไปทางอื่นด้วยอาการแง่งอน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น

เมื่อเห็นว่ามาไกลพอแล้วแซนโดรก็ให้พวกสมุนวางลานาเทลลง ก่อนที่ทั้งสองจะมุ่งหน้าไปยังทางลงชั้นใต้ดินเพื่อใช้ทางระบายน้ำกลับออกไปจากแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรส

 

อีกด้านหนึ่ง ที่ห้องของผู้บัญชาการแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรส

มีเสียงกึกก้องกัมปนาทคล้ายกับเสียงฟ้าผ่าดังขึ้นจนทำให้ตัวอาคารสั่นสะเทือนไปทั่ว เป็นเวลาเดียงกับที่มังกรโครงกระดูกซึ่งเคยอยู่ในห้องนั้นค่อย ๆ สลายร่างกลายเป็นละอองแสงไป

ออแลนด์เดินกลับมาหาฮัมเมลโดยทิ้งมังกรโครงกระดูกที่กำลังสลายร่างอยู่นั้นเอาไว้เบื้องหลัง ก่อนจะเอ่ยคำพูดกับเขา

“รู้สึกว่าสองคนนั่นจะได้ไบฟรอสไปสินะ นายรออยู่นี่ละกัน เดี๋ยวชั้นจะตามพวกนั้นไป”

“ไม่ เรื่องนั้นน่ะช่างเถอะ ตอนนี้การปิดประตูนรกสำคัญกว่า นายรีบไปสมทบที่เคออสอารีน่าเถอะนะ”

“หืม? ที่นั่นน่าจะมีพวกเด็ก ๆ ไปจัดการแล้วนี่? เกิดปัญหาอะไรขึ้นเหรอ?”

“อืม… มีการติดต่อเข้ามาว่า กำแพงฝั่งตะวันออกน่ะ ทำท่าว่าจะแตกแล้วล่ะ…”

คำพูดนั้นทำให้ออแลนด์มีสีหน้าที่เคร่งเครียดขึ้นมา เพราะนั่นหมายถึงสถานการณ์เลวร้ายกว่าที่คาดคิดเอาไว้ และลูกศิษย์ทั้งสี่คนของเขากำลังตกอยู่ในอันตรายนั่นเอง

 

——————————————————————————————————–

 

Part 3

 

ที่กำแพงฝั่งตะวันออกของเคออสอารีน่า

ตัวกำแพงด้านในของป้อมถูกทำลายจนถล่มลงมากองกับพื้นไปร่วมสองชั้นแล้ว เหลือกำแพงอีกสามชั้นเท่านั้นที่ยังคงตั้งตระหง่านอยู่

เพราะกำแพงพังไปแถบหนึ่งทำให้การป้องกันฟากนั้นเบาบางลงไม่น้อย พวกอสูรนรกจึงบุกเข้ามาประชิดกำแพงได้ง่ายขึ้น แต่ในขณะเดียวกันกำลังทหารและนักผจญภัยจากด้านอื่น ๆ ก็เริ่มบีบวงแคบเข้ามามากเช่นกัน อัลติม่าจึงต้องส่งสมุนทั้งสามไปช่วยตรึงการรุกคืบไว้ไม่ให้พวกนักผจญภัยเข้ามาเสริมได้

ห่างจากตัวกำแพงไปไม่กี่ร้อยเมตร สี่นักดาบก็กำลังต่อสู้กับอัลติม่าซึ่งแม้จะยังมีสรีระคล้ายหญิงสาวอยู่บ้าง แต่รูปลักษณ์โดยรวมก็กลายเป็นปิศาจไปแล้ว

ทั้งร่างกายของเธอเป็นกลายเป็นมัดกล้ามเนื้อสีแดงซึ่งถูกห่อหุ้มเอาไว้ด้วยเปลือกแข็งสีขาวที่ปกคลุมไปทั่วทั้งตัวราวกับเป็นชุดเกราะ ศรีษะของเธอก็ถูกห่อหุ้มด้วยเปลือกสีขาวที่ปิดคลุมทั้งใบหน้า เหลือเพียงช่องดวงตาอันเรียวเล็กสี่ช่องเอาไว้ จนมันกลายเป็นใบหน้าที่ไร้ชีวิตและเย็นยะเยือก ท้ายทอยของเธอมีเขาสัตว์รูปทรงอัปลักษณ์ม้วนห้อยลงมาคล้ายกับเขาแกะ ที่หลังของเธอตอนนี้มีปีกเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคู่ เป็นปีกสีดำที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิมเกือบเท่าตัว สอดรับกับขนาดร่างกายที่ใหญ่ขึ้นเป็นสองเท่าเช่นกัน เมื่อรวมกับปีกอีกหนึ่งคู่ตรงช่วงบั้นเอวแล้ว อัลติม่าตอนนี้จึงมีปีกถึงสามคู่ และกำลังบินลอยอยู่เหนือพื้นด้วยปีกทั้งหกนั้น

นี่คือร่างที่แท้จริงของเพียวอีวิลซึ่งปลดปล่อยพลังแห่งความมืดออกมาเต็มพิกัด กลิ่นอายปิศาจที่แผ่ออกมานั้นทำให้ทั้งทหารและนักผจญภัยที่เดินทางมาป้องกันแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสต่างรู้สึกเย็นเยียบไปจนถึงกระดูกสันหลัง ทั้งที่พวกเขาอยู่ห่างออกไปเกือบสุดระยะสายตา ผิดกับเหล่าอสูรนรกที่เมื่อได้สัมผัสกับกลิ่นอายนั้นก็ยิ่งฮึกเหิมและคลุ้มคลั่งมากขึ้น

สี่นักดาบได้ต่อสู้กับอัลติม่าในร่างนี้มาพักหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถโค่นเธอลงได้ เพราะอีกฝ่ายลอยอยู่กลางอากาศตลอดเวลา แม้พวกเขาจะมีท่าโจมตีระยะไกลอยู่ แต่มันก็ไม่เพียงพอกับการกดดันให้เธอยอมลงมา อีกทั้งในสภาพนี้ทุกคนยังไม่สามารถใช้การโจมตีสอดประสานกันได้อย่างเต็มที่ เพราะเมื่อกระโจนขึ้นไปบนอากาศแล้วการเคลื่อนไหวของแต่ละคนก็จะถูกจำกัด ผิดกับอีกฝ่ายที่เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระแถมยังป้องกันและตอบโต้การโจมตีได้จากรอบทิศด้วยปีกทั้งหก ในสภาพที่ไม่สามารถใช้ฝีมือได้อย่างเต็มที่แบบนี้ พวกเขาจึงตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แม้จะมีจำนวนถึงสี่ต่อหนึ่งก็ตาม

คอนคอร์ทกับพีชเปิดการโจมตีอีกครั้งด้วยการฟาดดาบซัดคลื่นพลังรูปใบมีดขนาดใหญ่เข้าใส่อัลติม่า แต่เพียงแค่การตวัดปีกคู่ใหญ่ของเธอไปด้านหน้าเหมือนกับการกระพือลมก็สามารถสร้างคลื่นพลังในระดับใกล้เคียงกันเข้าต้านการโจมตีนั้นจนสลายไป

เลนิตี้กระโจนขึ้นไปเพื่อโจมตีในระยะประชิด แต่อัลติม่าก็สามารถใช้มือข้างเดียวจับดาบนั้นเอาไว้ได้ ก่อนจะใช้มืออีกข้างยิงเวทสวนกลับไป แต่ไลฟ์ก็กางม่านป้องกันเวทมนตร์ให้กับเลนิตี้ได้ทัน เธอจึงถูกแรงระเบิดผลักออกมาโดยไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก

เมื่อเกิดช่องว่าง อัลติม่าก็เกร็งพลังเวทและสาดบอลแสงสีขาวจำนวนมากเข้าใส่เหล่านักดาบ

มันเป็นบอลพลังงานที่มีความเร็วไม่สูงนัก ทำให้ง่ายต่อการหลบหลีก แต่คุณลักษณะที่ทำให้เป็นปัญหาคือมันไม่สามารถถูกลบล้างหรือทำให้สลายไปด้วยการโจมตีหรือเวทมนตร์ใด ๆ ยิ่งโจมตีเข้าใส่ บอลเหล่านั้นก็จะซึมซับการโจมตีมาเป็นพลังงานของตนเองและทำให้เกิดการระเบิดที่รุนแรงยิ่งขึ้นกว่าเดิม แม้แต่โลเวทมนตร์ที่ใช้ป้องกันเวทโดยเฉพาะก็ยังถูกดูดกลืนไปด้วย มันจึงเป็นการโจมตีที่ไม่สามารถป้องกันได้

ที่กำแพงทั้งสองชั้นของแพนเดโมเนี่ยมฟอเทรสพังทลายลงก็เพราะเวทนี้ ซึ่งอัลติม่าจงใจสาดพลังบางส่วนออกไปให้โดนกำแพงด้วย ซึ่งเพราะมันเป็นท่าที่ไม่สามารถถูกสกัดกั้นได้ เหล่านักดาบจึงได้แต่มองดูกำแพงป้อมถูกทำลายไปทีละน้อยด้วยความเจ็บใจ

“หนอย… ยัยนี่มันคิดจะขุดจนกว่าจะทะลุกำแพงอีกด้านจริง ๆ เหรอเนี่ย แล้วเวทนั่นมันอะไรกันน่ะ? ไม่มีอะไรพอจะใช้ป้องกันหรือลบล้างได้เลยเหรอ? ไลฟ์?”

เลนิตี้เปิดหมวกเหล็กออกแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด เพราะการโจมตีของเธอรวมถึงคนอื่น ๆ ไม่สามารถทำอะไรอัลติม่าได้มาพักหนึ่งแล้ว

“เวทนั่นดูเหมือนจะเป็นเวทศักดิ์สิทธิ์ ‘อัลติม่า’ มันสามารถเจาะทะลุการป้องกันทั้งทางกายภาพและทางเวทมนตร์ได้ทุกชนิด ไม่มีทางที่จะสกัดหรือป้องกันได้หรอก”

“หา!? แล้วทำไมปิศาจถึงใช้เวทนั้นได้ล่ะ? นั่นมันเวทธาตุแสงไม่ใช่เหรอ?”

“ในหมู่ปิศาจก็มีพวกที่มีความสามารถพิเศษหรือมีคุณสมบัติที่จะใช้เวทธาตุแสงได้เหมือนกันนะ แปลว่าแม่นี่ก็เป็นปิศาจระดับสูงเชียวล่ะ”

ในระหว่างที่เหล่านักดาบยังคุยกันอยู่ อัลติม่าก็ชาร์จพลังเวทแล้วปล่อยลำแสงสีขาวอันรุนแรงเข้าใส่ทุกคน ทำให้พวกเขาต้องกระโดดหลบกันออกไปคนละทิศคนละทาง เธอยังเล็งลำแสงขั้นลากขึ้นไปโดนกำแพงที่อยู่ด้านหลังด้วยทำให้กำแพงชั้นที่สามถล่มลงมาจนเกือบจะหมดแล้ว

นักดาบทั้งสี่ตั้งขบวนอีกครั้ง พวกเขาวิ่งเข้าล้อมอัลติม่าเป็นรูปครึ่งวงกลมก่อนจะตวัดดาบปล่อยคลื่นพลังงานรูปใบมีดเข้าใส่เธอโดยพร้อมเพรียงกัน

อัลติม่าพับปีกเข้ามาห่อหุ้มร่างกายเอาไว้จนมีสภาพเหมือนกับดักแด้สีดำสนิท ใบมีดพลังงานเหล่านั้นแม้จะถากเอาผิวนอกของปีกจนยุบลงไปเป็นรอยบากแต่ก็ไม่สามารถเจาะทะลุเข้าไปได้ เมื่อป้องกันการโจมตีทั้งหมดเอาไว้ได้แล้ว อัลติม่าจึงสะบัดปีกออกอีกครั้ง ก่อให้เกิดคลื่นกระแทกแผ่ออกไปรอบทิศ จนทั้งสี่คนต้องใช้ดาบปักยันพื้นเอาไว้เพื่อไม่ให้ถูกแรงอัดกระแทกนี้พัดจนปลิวไป

ทันใดนั้น ดาบแสงขนาดใหญ่สองเล่มก็พุ่งทะลุพื้นขึ้นมาและพุ่งตรงไปยังอัลติม่าที่ลอยอยู่บนอากาศ มันการโจมตีจากไลฟ์และเลนิตี้ซึ่งอัดพลังลงไปพร้อม ๆ กับการปักดาบลงพื้น ทำให้เกิดคมดาบพลังงานพุ่งขึ้นมาโจมตีเป้าหมายที่อยู่เบื้องบน แต่แม้จะเป็นการโจมตีอย่างรวดเร็วในทีเผลอ อัลติม่าก็ยังเบี่ยงตัวหลบไปได้อย่างฉิวเฉียด

ในเวลาไล่เลี่ยกัน คอนคอร์ทและพีชก็กระโจนขึ้นไปบนอากาศแล้วทำท่าตวัดดาบโจมตีใส่อัลติม่าเช่นกัน แต่จุดที่พวกเขาอยู่นั้นห่างจากจุดที่เธออยู่ไปมาก แถมยังไม่มีคลื่นพลังใด ๆ แผ่ออกมาจากการตวัดดาบนั้นเลย อัลิตม่าจึงเริ่มผิดสังเกต

เพียงเสี้ยววินาที ที่เหนือหัวของเธอก็ปรากฏดาบแสงขนาดใหญ่สองเล่มขึ้นบนอากาศ มันพุ่งปักลงมาด้วยความเร็วสูงจนอัลติม่าได้แต่ยกปีกขึ้นมาป้องกัน ดาบพลังงานนั้นกระทบกับปีกของอัลติม่าแล้วแตกออกก่อนจะสลายไป แต่แรงกระแทกก็ทำให้ปีกของอัลติม่าเสียหายจนฉีกออกเป็นริ้ว ๆ และทำให้เธอเสียการทรงตัวจนร่วงหล่นลงไปบนพื้น แต่ก็ยังสามารถหยั่งเท้าลงรับแรงกระแทกได้

เธอรีบยันตัวขึ้นเพื่อเตรียมจะรับการโจมตี แต่ก็พบว่านักดาบทั้งสี่กำลังกระโจนเข้าหาเธอโดยพร้อมเพียงกันจากรอบด้าน คมดาบของพวกเขาห่อหุ้มด้วยออร่าสีฟ้าอันลุกโชนราวกับเปลวเพลิง แถมใบดาบก็ยังเปล่งแสงสีขาวเจิดจ้าออกมา มองเพียงแวบเดียวก็ดูออกว่าเป็นท่วงท่าสังหารซึ่งมีพลังทำลายอันรุนแรงแฝงอยู่ ซึ่งในสภาพที่ปีกยังเสียหายอยู่แบบนี้การจะปัดป้องการโจมตีเหล่านั้นได้ทั้งหมดคงเป็นไปได้ยาก อัลติม่าจึงตัดสินใจใช้ท่าไม้ตายก้นหีบออกมา

ก่อนที่คมดาบเพลิงเหล่านั้นจะสัมผัสถึงตัวเธอ คลื่นพลังงานสีขาวอันรุนแรงก็ระเบิดออกมาจากร่างของอัลติม่าและแผ่พุ่งออกไปรอบทิศ ความแรงของมันส่งนักดาบทั้งสี่ให้ปลิวกระเด็นกันไปคนละทิศคนละทาง

เพราะอยู่ใกล้จุดศูนย์กลางของการระเบิดทำให้แต่ละคนได้รับความเสียหายหนักไปด้วย ไลฟ์ซึ่งลงมานอนคลุกฝุ่นโดยชุดเกราะบางส่วนหลุดกระจายไปก็พยายามยันตัวขึ้นเพื่อร่ายเวทรักษาตัวเอง

“นี่มัน… เวท ‘แกรนด์ครอส’ (Grand Cross) งั้นเหรอ? ประมาทไปจริง ๆ … ถ้าใช้เวท ‘อัลติม่า’ ได้ก็น่าจะใช้เวทธาตุแสงได้เกือบหมดสินะ… แต่การยิงเวทกับปลดปล่อยเวทออกจากร่างกายน่ะไม่เหมือนกัน ถ้าใช้ร่างของปิศาจปลดปล่อยเวทธาตุแสงระดับสูงอย่างแกรนด์ครอสละก็…”

ไลฟ์ทำการรักษาตัวเองพลางหันกลับไปมองร่างของอัลติม่า ซึ่งสิ่งที่เธอเห็นก็เป็นไปดังคาด

ร่างของอัลติม่ามีไอร้อนแผ่ออกมาจากเกือบทั่วทั้งตัว เปลือกแข็งสี่ขาวที่ห่อหุ้มร่างกายอยู่บางส่วนถึงกับละลายกลายเป็นของเหลวไป ส่วนมัดกล้ามเนื้อตามร่างกายก็เกิดร่องรอยการถูกเผาไหม้จนเนื้อแหว่ง ดูสภาพแล้วเธอเองก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อยเช่นกัน

อัลติม่ากัดฟันทนกับอาการบาดเจ็บและเดินตรงเข้ามาหาไลฟ์ซึ่งเป็นศัตรูที่อยู่ใกล้ที่สุด ก่อนจะสะบัดปีกและแปรสภาพมันจนมีลักษณะเหมือนกับคมเคียวสีดำสนิท เธอเงื้อคมเคียวมรณะนั้นขึ้นฟ้าเพื่อเตรียมจะเกี่ยวปักลงมายังร่างของเหยื่อที่อยู่ตรงหน้า

ไลฟ์ยังมีอาการบาดเจ็บจนขยับตัวไม่ได้ เธอจึงได้แต่จ้องมองการโจมตีนั้นด้วยอาการตกตะลึง นักดาบคนอื่น ๆ ที่เห็นเหตุการณ์ก็พยายามลุกขึ้นเช่นกัน แต่ด้วยอาการบาดเจ็บนี้แค่ยันตัวขึ้นจากพื้นก็ยังลำบากแล้ว ดูยังไงพวกเขาก็คงเข้าไปช่วยไลฟ์ไม่ทันการแน่ นักดาบทั้งสามจึงได้แต่จ้องมองคมเคียวมรณะของอัลติม่าที่พุ่งจิกลงมาใส่ร่างของไลฟ์ราวกับเป็นภาพช้า

ทันใดนั้นก็มีเสียงฟ้าร้องดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ พลันก็ปรากฏดาบพลังงานขนาดใหญ่พุ่งลงมาจากท้องฟ้าอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาดและปักเข้าที่กลางปีกของอัลติม่าจนขาดกระเด็นไป ทำให้ไลฟ์รอดพ้นจากความตายมาได้

อัลติม่าชักปีกกลับมาและกวาดสายตามองหาผู้ที่เข้ามาขัดขวางการลงมือในครั้งนี้

ดาบพลังงาเล่มใหญ่ซึ่งปักคาอยู่บนพื้นนั้นค่อย ๆ แตกสลายกลายเป็นละอองแสงไป เป็นเวลาเดียวกับที่ชายวัยกลางคนคนหนึ่งกระโดดลงมายืนขวางระหว่างอัลติม่าและไลฟ์ ตรงจุดที่ดาบนั้นเคยปักอยู่

เขาก็คือนักดาบศักดิ์สิทธิ์ ออแลนด์นั่นเอง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด