Doombringer the 5th 52

Now you are reading Doombringer the 5th Chapter 52 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Ch.52 – บีสเทีย

Translator : YoyoTanya / Author

Ch. 52

บีสเทีย

 

Part 1

 

ทุกคนเดินทางออกจากมาลาไคท์คีปกันตั้งแต่เช้า ด้วยรถม้าคันเก่งของแซนโดรเหมือนเช่นเคย

เนื่องจากตอนเดินทางไปโครซิส ซาลได้วางดันเจียนเอาไว้ตามที่ต่าง ๆ มากมายจนพอสำหรับใช้ในการเลี้ยงสมุนหลายร้อยตัวได้อย่างสบาย แต่ตอนนี้เขามีพลังเวทพอเลี้ยงแค่ไม่กี่สิบตัวเท่านั้น การเดินทางครั้งนี้จึงมุ่งเน้นไปที่จุดหมายปลายทางเพียงอย่างเดียวโดยไม่มีการแวะตามทางเพื่อวางดันเจียน ทำให้สามารถเดินทางได้อย่างต่อเนื่อง

เมื่อประกอบกับการใช้วงเวทเคลื่อนย้ายของแซนโดรเพื่อร่นระยะทางแล้ว เพียงช่วงบ่ายพวกเขาก็เดินทางมาจนถึงเขตแดนฝั่งตะวันออกของจูริส ซึ่งอยู่ติดกับดินแดนซิลวาน

ระหว่างที่เดินทางผ่านที่ราบฝั่งตะวันออกของจูริส ซาลจ้องมองทิวทัศน์นอกหน้าต่างด้วยแววตาที่สื่อถึงความอาลัยอยู่บ้าง เพราะมันคือที่ ๆ เขาเคยใช้เวลาเกือบสามปีในการเติบโตและศึกษาเล่าเรียนที่โรงเรียนอีจิส แต่ก็ไม่ได้มีความเศร้าเจอปนอยู่ในแววตานั้น

หลังจากผ่านที่ราบเขียวขจีอันกว้างใหญ่มาได้อีกสักพัก รถม้าก็มาถึงชายป่าแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ด้านล่างของเทือกเขาสูงซึ่งเป็นพรมแดนธรรมชาติของดินแดนจูริส ที่นี่มีวงเวทเคลื่อนย้ายของผู้ใช้ศาสตร์มืดซุกซ่อนอยู่ หลังจากแล่นรถมาถึงตำแหน่งที่มีวงเวท แซนโดรก็ทำการเคลื่อนย้ายรถม้าผ่านวงเวทอีกครั้ง

เมื่อการเคลื่อนย้ายเสร็จสิ้น รถม้าก็มาปรากฏที่อีกฟากหนึ่งของเทือกเขา ที่บริเวณนี้ก็เป็นเขตชายป่าเช่นกัน แต่ต้นไม้ที่ขึ้นในบริเวณนี้มีความหนาทึบกว่าชายป่าฝั่งจูริสมาก

เมื่อออกจากชายป่าและกลับเข้ามายังเส้นทางสายหลักแล้ว ซาลก็พบว่าที่นี่ยังเต็มไปด้วยต้นไม้นานาพรรณที่ปกคลุมทั้งสองข้างทาง แม้ความหนาทึบของมันจะไม่เท่ากับชายป่าที่ผ่านมาก็ตาม ไม่ว่าจะมองไปทางไหน สอดสายตาออกไปไกลเท่าไร ก็เห็นแต่ต้นไม้ขึ้นอยู่เต็มไปหมด ทำให้ถนนสายหลักนี้เหมือนกับเป็นเส้นทางที่ถูกตัดผ่านป่ามากกว่า

ซาลที่เพิ่งเคยเห็นทิวทัศน์อันแปลกตานี้จึงเอ่ยถามขึ้นมา

“เห~ เขตซิลวานเนี่ยเป็นป่าทั้งหมดเลยเหรอ?”

“…ซิลวานเป็นดินแดนที่มีต้นไม้ปกคลุมอยู่เกือบ  70% ของพื้นที่น่ะ …แม้แต่ในเขตที่ราบก็ยังมีต้นไม้ปกคลุมอยู่ทั่วไป …แต่นี่น่ะยังไม่ใช่ป่าของซิลวานหรอก …เขตป่าจริง ๆ ของซิลวานจะเต็มไปด้วยต้นไม้อายุนับร้อยปีที่มีความสูงหลายสิบเมตร …พื้นที่ซึ่งมีต้นไม้ความสูงไม่เกินห้าเมตรและมีความหนาแน่นแค่นี้น่ะนับว่าเป็นทุ่งราบสำหรับเขตซิลวานแล้ว…”

“อืม… แล้วอีกไกลมั้ยกว่าจะถึงบีสเทียน่ะ?”

“…บีสเทียคือดินแดนที่อยู่เกือบสุดขอบตะวันออกของซิลวาน  …ระยะทางก็พอ ๆ กับที่เราเดินทางจากเขตเลนเทียมาที่นี่นั่นแหละ ดังนั้นคงต้องใช้เวลาเดินทางอีกราว ๆ หนึ่งวัน …เย็นนี้เราเลยจะหาที่พักกันแถวนี้ก่อนสักคืนหนึ่ง แล้วพรุ่งนี้เช้าค่อยเดินทางต่อ…”

“โอ้ เข้าใจล่ะ”

รถม้าของแซนโดรแล่นมาจนถึงเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในช่วงเวลาเย็น

อาจเพราะมันตั้งอยู่ในเขตชายแดนของซิลวาน ทำให้สถาปัตยกรรมต่าง ๆ ของเมืองมีความใกล้เคียงกับบ้านเรือนในเขตตะวันออกของจูริสมาก คือเป็นอาคารไสตล์ยุโรปที่สร้างด้วยไม้และปูนเป็นหลัก

แต่สิ่งที่ทำให้มันดูต่างออกไปก็คือความเขียวชอุ่มที่แผ่ปกคลุมไปทุกที่ ทั้งต้นไม้จำนวนมากที่แทรกตัวเบียดอยู่เคียงข้างอาคารบ้านเรือนเกือบทุกหลัง และตามฝาผนังหรือพื้นผิวถนนก็มีต้นอ่อนของพืชปกคลุมอยู่ทั่วไปหมด ราวกับมันเป็นเมืองที่กำลังกลับคืนสู่ธรรมชาติทีละน้อย

เมื่อลงจากรถม้าและเข้าไปจองห้องพักในโรงแรมเรียบร้อย ทุกคนก็มานั่งรับประทานอาหารเย็นกันที่ห้องโถงของโรงแรมนั้นเอง

 

——————————————————————————————————–

 

Part 2

 

ระหว่างที่ทานอาหารกันอยู่นั้นซาลก็สังเกตเห็นว่าเหล่านักเดินทางที่อยู่ในห้องโถงของโรงแรมนี้ประกอบไปด้วยผู้คนที่มาจากหลากหลายเผ่าพันธุ์ด้วยกัน มีทั้งพวกเอลฟ์ที่มีรูปร่างสูงโปร่งดูสง่างาม และเผ่าฮาลฟ์บีสซึ่งเป็นมนุษย์ที่มีหูเหมือนสัตว์อยู่ปะปนกับนักเดินทางทั่วไป อีกฟากหนึ่งของห้องยังมีพวกนักผจญภัยที่มีรูปลักษณ์เป็นครึ่งคนครึ่งสัตว์ เช่นมนุษย์เสือ หรือมนุษย์หมาป่าด้วย

เพราะในภาคกลางของจูริสที่เขาเติบโตมา ไม่ค่อยมีคนของเผ่าพันธุ์อื่น ๆ ให้ได้พบเห็นบ่อยนัก เขาจึงหันไปถามแซนโดรด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“นี่ ๆ แซนโดร พวกเผ่าฮาลฟ์บีสเนี่ย มีทั้งที่มีรูปร่างเป็นคนและเป็นครึ่งคนครึ่งสัตว์เหรอ?”

“…หืม? …ไม่ใช่หรอก …พวกที่มีรูปลักษณ์เป็นครึ่งคนครึ่งสัตว์น่ะคือพวก ‘เวอร์บีส’ (Were Beast) ต่างหาก…”

“เอ๋? เวอร์บีส กับ ฮาลฟ์บีส นี่ไม่ใช่พวกเดียวกันเหรอ?”

“…ไม่ใช่หรอก …จริง ๆ แล้วสองเผ่านี้มีความต่างกันมากในหลาย ๆ ด้านเลยทีเดียว…”

“เห? แตกต่างกันยังไงบ้างล่ะ?”

“…ทั้งสองเผ่านั้นมีความแตกต่างกันตั้งแต่ฐานรากเลยล่ะ …อย่างแรกคือ ‘ฮาลฟ์บีส’ (Half Beast) น่ะเป็นเผ่าพันธุ์ที่มาจากโลกเก่า …เป็นมนุษย์ที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรมให้มีคุณสมบัติของสัตว์เพิ่มเข้าไปเพื่อให้มีความสามารถในด้านต่าง ๆ เพิ่มขึ้น …เป็นเผ่าพันธุ์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อการสงคราม คล้าย ๆ กับพวกแวมไพร์นั่นแหละ…”

แซนโดรเล่าพลางเหลือบมองลานาเทลที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ซึ่งลานาเทลก็ยิ้มตอบกลับมาโดยไม่มีทีท่าขัดเคืองอะไร

“เห~ แบบนี้เองเหรอ? แล้วพวกเวอร์บีสล่ะ?”

“…พวก ‘เวอร์บีส’ (Were Beast) คือมนุษย์ที่สามารถจำแลงร่างเป็นสัตว์ได้ …เผ่านี้เกิดจากการทดลองทางเวทมนตร์เมื่อหลายร้อยปีก่อนแล้วเกิดความผิดพลาดทำให้มีเวทมนตร์ชนิดพิเศษไหลเวียนอยู่ในสายเลือด คนเหล่านี้จะสามารถแปลงร่างเป็นครึ่งคนครึ่งสัตว์ได้ …ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หมาป่า มนุษย์เสือ หรือสัตว์อื่น ๆ ทำให้มีความสามารถทางกายภาพสูงมาก แต่ความสามารถทางด้านเวทมนตร์กลับลดลง …สรุปง่าย ๆ คือต้นกำเนิดของฮาลฟ์บีสมาจากวิทยาศาสตร์ แต่ต้นกำเนิดของเวอร์บีสมาจากเวทมนตร์…”

“ฟังดูก็ไม่ค่อยต่างกันเลยนี่นา แบบนี้จะแยกยังไงล่ะว่าไหนคือฮาลฟ์บีส ไหนคือเวอร์บีสน่ะ”

“…พวกฮาลฟ์บีสคือมนุษย์ที่มียีนของสัตว์ …ดั้งนั้นร่างปกติจะเป็นมนุษย์แต่มีอวัยวะของสัตว์ปรากฏให้เห็นเป็นบางส่วน เช่นหู, หาง, ปีก, หรือเขา …พวกนี้จะไม่มีร่างที่เป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ หรือร่างที่เป็นครึ่งคนครึ่งสัตว์เหมือนพวกเวอร์บีส …เว้นแต่เป็นคนที่มีความสามารถพิเศษในการแปลงร่าง…

…ส่วนพวกเวอร์บีสปกติจะอยู่ในร่างมนุษย์ธรรมดา แต่สามารถใช้พลังของสายเลือดจำแลงร่างเป็นครึ่งคนครึ่งสัตว์เช่นมนุษย์หมาป่าได้ …บางคนก็ชอบอยู่ในร่างครึ่งคนครึ่งสัตว์มากกว่า เพราะมีความสามารถทางกายภาพสูงกว่า…

…โดยสรุปก็คือพวกที่มีร่างเป็นมนุษย์แต่มีอวัยวะของสัตว์ปรากฏให้เห็นคือพวกฮาลฟ์บีส …ส่วนพวกที่อยู่ในร่างครึ่งคนครึ่งสัตว์ก็คือพวกเวอร์บีส …แต่ถ้าเวอร์บีสอยู่ในร่างมนุษย์ก็ดูด้วยตาเปล่าไม่ออกหรอก…”

“เห~ แบบนี้นี่เอง แล้วบีสเทียที่เรากำลังจะไปนี่เป็นอาณาจักรของใครเหรอ?”

“…ความจริงมันเป็นดินแดนของพวกฮาลฟ์บีสน่ะ …แต่ในนั้นก็มีพวกเวอร์บีสที่อพยพมาจากโดมินาเรียอาศัยอยู่เยอะเหมือนกัน …และยังมีเรื่องกระทบกระทั่งกันเป็นระยะ ๆ ด้วย…”

“กระทบกระทั่งกันเหรอ? เป็นเผ่ากึ่งสัตว์เหมือนกันก็น่าจะสนิทกันไม่ใช่เหรอ?”

“…ถึงจะเป็นกึ่งสัตว์เหมือนกันแต่ทั้งสองเผ่าก็มีความต่างกันเยอะน่ะ …พวกเวอร์บีสที่อพยพมาจากโดมินาเรียต้องการจะแผ่อิทธิพลในภูมิภาคนี้ …ส่วนฮาลฟ์บีสในซิลวานก็ค่อนข้างจะอ่อนแออยู่แล้ว บวกกับพวกเอลฟ์ที่เป็นผู้ปกครองดินแดนก็ไม่ค่อยจะใส่ใจเท่าไหร่ ทำให้พวกฮาลฟ์บีสอยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยดีนัก…”

“อ่อนแอเหรอ? ทำไมล่ะ? ถ้าเป็นเผ่าพันธุ์สงครามเหมือนกับแวมไพร์ก็น่าจะเก่งนี่นา”

“…พวกฮาลฟ์บีสก็มีปัญหาคล้าย ๆ กับพวกแวมไพร์คือการสืบเผ่าพันธุ์ …เนื่องจากเผ่าฮาลฟ์บีสประกอบไปด้วยคนที่มียีนของสัตว์ต่าง ๆ มากมายหลากหลายสายพันธุ์ …แต่หากแต่งงานข้ามสายพันธุ์กันจะทำให้มีลูกยากขึ้น …จำนวนประชากรของฮาลฟ์บีสจึงลดลงเรื่อย ๆ …

…และจุดอ่อนอีกอย่างคือพวกฮาลฟ์บีสจะมีความสามารถทางเวทมนตร์ต่ำมาก …แม้จะสัมผัสถึงเวทมนตร์ได้และมีคนที่พอใช้งานเวทพื้นฐานได้บางประเภท แต่ก็ไม่สามารถฝึกฝนและใช้งานเวทระดับสูงได้ บางคนถึงกับไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้เลยด้วยซ้ำ จึงเสียเปรียบเผ่าพันธุ์อื่น ๆ ในโลกนี้มาก…”

“ใช้เวทมนตร์ไม่ได้เลยเหรอ? ผมเคยเรียนมาว่าเผ่าพันธุ์ที่มีความสามารถทางเวทมนตร์ต่ำจะสุ่มเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ได้เลยนะ”

“…ใช่ …แต่ก็ยังดีที่พวกฮาลฟ์บีสพอจะมีความสามารถพิเศษติดตัวอยู่บ้าง เลยพอชดเชยเรื่องความสามารถทางเวทมนตร์ได้…”

“ความสามารถพิเศษเหรอ?”

“…พวกฮาลฟ์บีสแต่ละคนจะมีพลังพิเศษเหนือธรรมชาติที่แตกต่างกันออกไป …หลาย ๆ อย่างเป็นพลังที่คล้ายกับเวทมนตร์แต่ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่กับกฎของเวทมนตร์ …เช่นบางคนสามารถสร้างเปลวไฟขึ้นมาได้โดยไม่ต้องร่ายเวทหรืออาศัยพลังเวท …บางคนก็มีพลังประเภทเทเลคิเนซิส สามารถเคลื่อนย้ายสิ่งของได้ เทเลพอร์ทได้ หรือแม้แต่สื่อสารทางจิตกับคนอื่นก็ได้…”

“เห~ ยอดไปเลยนี่นา แบบนี้มันดีกว่าใช้เวทมนตร์ได้อีกนะเนี่ย”

“…แต่คุณสมบัติพวกนี้น่ะ หนึ่งคนจะมีแค่หนึ่งความสามารถเท่านั้น …และไม่ใช่ทุกคนจะมีความสามารถที่เป็นประโยชน์หรือแข็งแกร่ง …หลาย ๆ คนก็มีความสามารถที่ไม่เกี่ยวกับการต่อสู้ …ดังนั้นกำลังรบจริง ๆ ของพวกฮาลฟ์บีสก็ยังต่ำอยู่ดี…”

“อืม… สรุปว่าพวกฮาลฟ์บีสเนี่ยเป็นเผ่าเจ้าถิ่น แต่ก็ยังถูกรังแกโดยเผ่าที่มาทีหลังอย่างเวอร์บีสเพราะว่าอ่อนแอสินะ?”

“…ก็ประมาณนั้นแหละ…”

ซาลมองไปยังกลุ่มนักเดินทางที่เป็นฮาลฟ์บีสอีกครั้งและสังเกตเห็นว่าพวกเขาต้องก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารเหมือนพยายามหลบสายตาของพวกเวอร์บีสที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ทำให้ซาลรู้สึกไม่สบายใจอยู่ลึก ๆ ซึ่งแม้เขาจะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่แซนโดรก็สังเกตเห็นได้

เมื่อรับประทานอาหารกันเสร็จแล้ว ทุกคนก็ออกไปเดินจับจ่ายในตลาดของเมืองอีกนิดหน่อยก่อนจะกลับเข้าที่พัก และออกเดินทางต่อในวันรุ่งขึ้น

 

——————————————————————————————————–

 

Part 3

 

การเดินทางในวันที่สองก็เป็นไปอย่างราบรื่น

แม้จะมีต้นไม้ปกคลุมอยู่ทั่วไป แต่ถนนสายหลักในดินแดนซิลวานกลับเป็นเส้นตรงการเดินทาง ราวกับมีใครลากเส้นตัดผ่านผืนป่าเป็นแนวตรงยาวสุดลูกหูลูกตาเพื่อสร้างถนนขึ้นมาเลยทีเดียว

เพราะรถม้าสามารถใช้ความเร็วได้เต็มที่ ประกอบกับการเคลื่อนย้ายผ่านวงเวทเพื่อร่นระยะทาง ทำให้พวกเขาเดินทางมาถึงเขตบีสเทียได้ภายในช่วงบ่าย

ระหว่างที่เดินทางผ่านบริเวณรอบนอกของบีสเทีย ซาลก็สังเกตเห็นว่ามีหมู่บ้านของพวกเวอร์บีสกระจายอยู่ทั่วไป

แม้จะมีสถาปัตยกรรมคล้าย ๆ กันแต่บ้านเรือนของพวกเวอร์บีสก็ดูดุดันและมืดทึบกว่ามาก เพราะเน้นสร้างบ้านเรือนและปูพื้นถนนด้วยก้อนอิฐสีเทาหม่น และไม่ค่อยปล่อยให้มีพืชพรรณเกาะตามผิวของสิ่งก่อสร้างมากนัก แถมยังสร้างบ้านเรือนอัดกันจนแน่นโดยไม่เหลือที่ว่างให้ต้นไม้หรือพืชพรรณแทรกตัวขึ้นมาด้วย

เมื่อเดินทางลึกเข้ามาในบีสเทียอีกหน่อยจึงจะเริ่มเห็นบ้านเรือนของพวกฮาลฟ์บีสซึ่งดูกลมกลืนกับธรรมชาติมากกว่า ทั้งอาคารบ้านเรือนที่สร้างกระจายกันอย่างหลวม ๆ ทำให้มีต้นไม้ขึ้นแทรกอยู่ทั่วไป และตามผนังกับพื้นถนนก็ยังมีต้นอ่อนของพืชปกคลุมอยู่ทั่ว เช่นเดียวกับเมืองที่ทุกคนแวะพักในคืนแรก

ในที่สุดรถม้าก็แล่นมาถึงบีสเทีย เมืองหลักของเผ่าฮาลฟ์บีสในซิลวาน แม้จะมีอาคารบ้านเรือนหนาแน่นและแผ่ขยายออกไปมากกว่าเมืองที่ผ่าน ๆ มา แต่มันก็ยังดูเป็นเมืองที่ปลอดโปร่ง ราวกับเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่มากกว่าจะเป็นเมือง

เมื่อเข้ามาในเมืองแล้ว ซาลก็พบว่าภายในเมืองเต็มไปด้วยเหล่าฮาลฟ์บีสสารพัดสายพันธุ์ ทุกคนมีร่างกายเป็นมนุษย์เหมือนกับคนปกติ แต่จะมีหูและหางสัตว์เป็นตัวบ่งบอกว่าพวกเขาคือฮาลฟ์บีสสายพันธุ์ไหน

เช่นบางคนก็มีหูและหางของสุนัขจิ้งจอก บางคนก็มีหูเหมือนแมว เด็กสาวบางคนก็มีผมฟูฟ่องและมีเขาแกะงอกออกมาด้วย

ซาลพยายามเก็บอาการตื่นเต้นระหว่างจ้องมองผู้คนในบีสเทียเพราะรู้ว่ามันเป็นการเสียมารยาท แต่ก็ระงับความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองเอาไว้ไม่ได้ จนต้องเกาะขอบหน้าต่างไปตลอดทางเพื่อมองดูผู้คนในเมืองอย่างไม่วางตา อัลดูอินกับวาเคียในร่างมินิที่เกาะไหล่ของเขาอยู่ก็ดูจะสนอกสนใจเหล่าฮาลฟ์บีสไม่แพ้กันด้วย

เพราะเดินทางมาถึงก่อนกำหนด แซนโดรจึงคิดว่าควรจะเข้าไปสืบข่าวในเมืองและจองบัตรสำหรับโดยสารเรือเหาะข้ามทวีปก่อนเป็นอันดับแรก จึงหยุดรถม้าที่ทางเข้าย่านการค้าเพื่อให้คนอื่น ๆ ได้ลงไปเดินจับจ่ายซื้อของตามอัธยาศัย

“…ฉันจะไปตรวจสอบข่าวสารกับเครือข่ายของผู้ใช้ศาสตร์มืดก่อน …และจะไปจองบัตรสำหรับโดยสารเรือเหาะด้วย …พวกเธอก็เดินซื้อของกันตามสบายนะ แล้วฉันจะวนมารับทีหลัง…”

เมื่อพูดจบแซนโดรก็เคลื่อนรถม้าออกไปโดยปล่อยซาลารัส, นิโคล, และอัลติม่า ไว้ด้านหน้าของย่านการค้า มีเพียงลานาเทลที่ไม่สนใจการเที่ยวในเมืองโดยสารรถม้าต่อไปพร้อมกับแซนโดร

กลุ่มของซาลเดินเที่ยวในย่านการค้าอย่างสบายอารมณ์ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นนิโคลกับอัลติม่าที่ตื่นเต้นกับสินค้าแปลก ๆ ในตลาดของบีสเทียคอยลากซาลไปทางโน้นทีทางนี้ทีมากกว่า ซึ่งเขาก็ไม่ได้แสดงอาการหงุดหงิดหรือรำคาญอะไร เพราะตลาดของบีสเทียมีข้าวของแปลกตาที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนอยู่มากมาย ทำให้เขาเดินดูได้จนไม่รู้สึกเบื่อเลย

สินค้าที่นี่หากมองผ่าน ๆ จะคิดว่าเป็นของป่าเหมือนตลาดตามเมืองชายป่าทั่วไป แต่หากเข้าไปดูจริง ๆ จะพบว่าไม่มีผลิตภัณฑ์ที่ทำจากสัตว์ป่าอยู่เลย ไม่ว่าจะเป็นของที่ทำจากหนังสัตว์หรือขนสัตว์ มีแต่ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากพืชซึ่งผ่านการแปรรูปจนกลายเป็นสารพัดสิ่งของอันทันสมัย ทั้งเสื้อผ้าที่ทำจากเส้นใยใบไม้ ที่ให้สัมผัสนุ่มและเบา สามารถระบายอากาศได้ดีแต่กลับกันน้ำได้ กระเป๋าและรองเท้าที่ทำจากเปลือกไม้นั้นก็ดูแข็ง แต่ความจริงกลับอ่อนนุ่มยืดหยุ่น สามารถขยายขนาดตามผู้สวมใส่ได้ ที่ขาดไม่ได้คือเครื่องสำอางสารพัดชนิดที่ให้กลิ่นหอมสดชื่นราวกับกลิ่นใบไม้สด สามอย่างนี้เป็นผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อของซิลวานซึ่งมีป่าอันอุดมสมบูรณ์

เพราะตลาดของบีสเทียมีผู้คนพลุกพล่านมากทีเดียว ในการเดินจับจ่ายทุกคนจึงต้องเข้าไปเบียดเสียดกับฝูงชนอยู่เป็นระยะ ๆ ทำเอาเมื่อยล้าไปหมด หลังจากซื้อของจนพอใจแล้ว อัลติม่าจึงชวนทุกคนมานั่งพักที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง

นิโคลเลือกที่นั่งด้านนอกร้านเพราะชอบอากาศอันปลอดโปร่งมากกว่า คนอื่น ๆ จึงพากันนั่งลงบนเก้าอี้แต่ละตัว เพราะชอบบรรยากาศอันปลอดโปร่งโล่งสบายเช่นกัน

หลังจากเข้ามานั่งได้สักพัก ก็มีพนักงานสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาเพื่อรับออเดอร์ แต่เมื่ออัลติม่าหันไปเพื่อจะสั่งเครื่องดื่ม เธอก็ต้องชะงักไป

เพราะเมื่อหันไปแล้ว เธอก็พบกับกำแพงตั้งอยู่ในระยะประชิด จนรู้สึกสับสนไปพักหนึ่งว่าตัวเองมานั่งติดกำแพงตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่พอเงยหน้ามองดูดี ๆ ก็พบว่าสิ่งที่คิดว่าเป็นกำแพงนั้นคือพนักงานสาวของร้านนั่นเอง

พนักงานสาวคนนี้เป็นหญิงสาวที่มีรูปร่างใหญ่มาก ความสูงของเธออาจจะไล่เลี่ยกับนิโคลที่สูงถึง 180 เซนติเมตร แต่ที่ทำให้เธอดูตัวใหญ่ขึ้นไปอีกก็คือรูปร่างอันบวมฉุ หรือพูดง่าย ๆ ว่าอ้วนนั่นแหละ

เธอเป็นหญิงสาวที่มีผมยาวสีดำขลับ เส้นผมนั้นกระเซอะกระเซิงจนดูรุงรังเล็กน้อย เธอสวมแว่นตาอันเล็ก ๆ อยู่ด้วย แม้ใบหน้าของเธอจะแค่ดูอวบอิ่มและจัดว่าเป็นคนสวยคนหนึ่ง แต่ร่างกายของเธอตั้งแต่ช่วงอกลงไปกลับบวมฉุ จนมองไกล ๆ แทบจะดูเหมือนกับเป็นระฆังใบใหญ่เลยทีเดียว

อัลติม่าเงยหน้ามองพนักงานสาวอยู่พักหนึ่งเหมือนจะพูดอะไรไม่ออก ส่วนพนักงานสาวก็ยิ้มและมองกลับลงมาด้วยสายตาอันเป็นมิตร

นิโคลที่กลัวว่าพนักงานสาวจะไม่พอใจกับท่าทีเสียมารยาทของอัลติม่าจึงรีบสั่งเครื่องดื่มทันที

“เอ่อ… ขอกาแฟเอสเปรสโซ่ร้อนที่นึงค่ะ แล้วก็วาฟเฟิลราดแยมบลูเบอรี่สองที่ด้วยนะคะ”

“ของผม… ขอเป็นโกโก้เย็นละกันครับ”

อัลติม่ายังคงเงยหน้ามองพนักงานสาวอย่างไม่วางตา พลางสั่งเครื่องดื่มของตัวเองไปด้วย

“ฉันเอา… คาปูชิโน่เย็น กับพายฟักทองก็แล้วกัน”

“รับทราบค่ะ เอสเปรสโซ่ร้อนหนึ่งที่ โกโก้เย็นหนึ่งที่ คาปูชิโน่เย็นหนึ่งที่ วาฟเฟิลราดแยมบลูเบอรี่สองที่ และพายฟักทองหนึ่งที่นะคะ รอสักครู่ค่ะ”

เมื่อรับรายการอาหารแล้ว พนักงานสาวก็ทวนรายการซ้ำอีกครั้ง ก่อนจะเดินจากไป

ซาลมองตามพนักงานสาวไปเพราะรู้สึกสนใจในตัวเธอหลาย ๆ อย่าง โดยเฉพาะบนหัวของเธอที่มีหูกระต่ายสีขาวติดอยู่ แปลว่าน่าจะเป็นฮาลฟ์บีสเผ่ากระต่าย แต่ก็ยังข้องใจว่าทำไมหูของเธอเป็นสีขาว ทั้ง ๆ ที่เส้นผมของเธอเป็นสีดำ แถมหูกระต่ายนั่นยังดูเหมือนกับเป็นเครื่องประดับมากกว่าจะเป็นหูสัตว์จริง ๆ ด้วย

“คุณอัลติม่าคะ ไปจ้องเขาแบบนั้นมันเสียมารยาทนะคะ”

“ก็มันแปลกนี่นา ฉันไม่เคยเห็นคนอ้วนขนาดนี้มาก่อนเลย ในโลกยุคปัจจุบันนี้น่ะมีสิ่งที่ช่วยเหลือในการควบคุมน้ำหนักมากมาย ทั้งวิทยาศาสตร์และเวทมนตร์ ต่อให้กินเก่งแค่ไหนแต่การจะสะสมไขมันขนาดนั้นได้น่ะ มีแต่ต้องเป็นพวกที่จงใจปล่อยตัวเท่านั้นแหละนะ”

พอมานึกดูแล้ว ซาลก็นึกได้ว่าตัวเองก็ไม่เคยเจอคนที่อ้วนขนาดนี้มาก่อนเหมือนกัน แม้จะมีคนที่มีรูปร่างอวบ ๆ หรือเจ้าเนื้อบ้าง แต่ก็อย่างที่อัลติม่าบอก เพราะวิทยาการก้าวไกลไปมากทำให้มีตัวช่วยในการควบคุมน้ำหนักอันหลากหลาย น้อยคนจึงจะปล่อยตัวให้อ้วนจนรูปร่างผิดสัดส่วนแบบนี้ได้

“หากไม่ปรับพฤติกรรมการกินหรือการใช้ชีวิต ต่อให้ใช้เวทมนตร์หรือวิทยาศาสตร์ช่วยแค่ไหนก็กลับมาอ้วนอีกอยู่ดีแหละนะคะ และการจะบำบัดความอ้วนไปเรื่อย ๆ ก็ทำให้ต้องใช้เงินมากตามไปด้วย เขาอาจไม่มีเงินสำหรับทำการบำบัดตลอดเวลาก็ได้ค่ะ”

“อืม… แต่ที่แปลกที่สุดก็คือ หูนั่นน่ะ เหมือนจะเป็นแค่เครื่องประดับนะ”

“ฉันเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกันค่ะ แต่ว่ากลิ่นอายของเขาก็…”

“อืม จากกลิ่นอายที่สัมผัสได้นี่ยังไงก็เป็นเผ่าฮาลฟ์บีสไม่ผิดแน่ แต่ไม่รู้ทำไมถึงต้องเอาหูกระต่ายปลอมมาสวมด้วย”

การสนทนาของนิโคลกับอัลติม่าทำให้ซาลคลายความสงสัยในบางเรื่องไปได้บ้าง แต่อีกหลาย ๆ เรื่องก็ยังไม่ชัดเจนอยู่ดี กระนั้นเขาก็คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญขนาดที่ต้องรู้ให้ได้ จึงได้แต่ฟังการสนทนาอยู่เงียบ ๆ โดยไม่ได้ออกความเห็นอะไร

 

——————————————————————————————————–

 

Part 4

 

ไม่นานนัก พนักงานสาวก็เดินกลับมาพร้อมกับรถเข็นที่มีอาหารและเครื่องดื่มตามที่สั่งไปอยู่ครบทุกรายการ

เมื่อเข็นรถมาถึง เธอก็บรรจงวางอาหารและเครื่องดื่มที่แต่ละคนสั่งลงตรงด้านหน้าของแต่ละคนอย่างถูกต้องและครบถ้วน แต่ก่อนจะกลับไปเธอก็เอ่ยคำพูดที่ทำให้ทุกคนแปลกใจออกมา

“ฉันคิดว่าคนเราไม่ควรจะโกหกตัวเอง ก็เลยไม่เคยทำการบำบัดความอ้วนด้วยยาหรือเวทมนตร์เลยสักครั้ง ส่วนหูนี่ที่เป็นหูปลอมเพราะหูจริงของฉันเสียไปในอุบัติเหตุเมื่อตอนเด็ก ๆ น่ะค่ะ”

ทั้งซาล, นิโคล, และอัลติม่า ต่างก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา เพราะพนักงานสาวตอบคำถามที่ทุกคนข้องใจออกมาราวกับได้ยินการสนทนาทั้งหมด แต่ก่อนที่จะมีคนพูดอะไร เธอก็เอ่ยคำอธิบายออกมา

“แม้จะไม่มีใบหูแล้ว แต่ฉันก็ยังมีความสามารถในการรับเสียงค่อนข้างดีอยู่ ขอโทษที่เสียมารยาทและฟังการสนทนาโดยพลการนะ แต่มันเป็นสิ่งที่ได้ยินเองตามปกติน่ะค่ะ”

“มะ..  ไม่หรอกค่ะ ทางนี้ต่างหากที่พูดเรื่องไม่สมควรออกไป ต้องขอโทษด้วยนะคะ”

“ไม่เป็นไรค่ะ ว่าแต่… พวกคุณแค่ผ่านทางมา หรือตั้งใจจะพักอยู่ที่นี่คะ?”

“เราแค่ผ่านทางมาน่ะค่ะ คงพักที่นี่แค่คืนเดียว แล้วพรุ่งนี้ก็จะขึ้นเรือเหาะไปโดมินาเรียแล้ว”

“พรุ่งนี้งั้นเหรอคะ อืม ๆ …”

พนักงานสาวแสดงสีหน้าเหมือนกับอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายเธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา นิโคลจึงเป็นผู้ดำเนินการสนทนาต่อ

“จะว่าไปแล้วบีสเทียเนี่ยค่อนข้างคึกคักกว่าที่คิดเยอะเลยนะคะ แต่เมืองท่าก็ต้องแบบนี้แหละนะคะ”

“อ๋อ เปล่าหรอกค่ะ ที่ช่วงนี้มีผู้คนพลุกพล่านเพราะว่ามีคณะทูตจากอีเว่นสตาร์แวะมาพักที่นี่ก่อนจะเดินทางไปยังอินิสตร้าน่ะค่ะ”

“เอ๋? คณะทูตเหรอคะ?”

“ใช่ค่ะ พวกเขาเป็นคณะทูตของเผ่าเอลฟ์ที่เดินทางออกมาจากเมืองหลวงอีเว่นสตาร์ เพื่อจะไปเจริญสัมพันธไมตรียังอินิสตร้า วันนี้ก็เลยส่งคณะทูตมายังบีสเทียเพื่อเป็นการแวะทักทาย ก่อนที่พรุ่งนี้เรือเหาะจากอีเว่นสตาร์จะมาแวะรับพวกเขาเพื่อเดินทางต่อไปยังโดมินาเรียค่ะ คณะทูตยังมีกองคาราวานพ่อค้าแม่ค้าที่ติดตามไปเพื่อจะขนของไปขายยังโดมินาเรียด้วย วันนี้ในตลาดจึงคึกคักมากเพราะมีกลุ่มพ่อค้าจากทั่วสารทิศแห่กันมาแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้าน่ะค่ะ”

เมื่อได้ฟังคำอธิบายของพนักงานสาว นิโคลก็พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ เพราะนั่นคือเหตุผลที่ทำให้ตลาดของเมืองคึกคักเป็นพิเศษ ทั้งยังมีพ่อค้าแม่ค้าจากหลายเผ่าพันธุ์ปรากฏตัวให้เห็นด้วย

“มีคณะทูตมาเรียกลูกค้าให้แบบนี้ กิจการของที่นี่ก็คงจะพลอยรุ่งเรืองไปด้วยสินะคะ”

“แหะ ๆ ๆ”

พนักงานสาวตอบรับคำพูดของนิโคลด้วยเสียงหัวเราะแห้ง ๆ แม้สีหน้าของเธอจะไม่ได้ดูผิดปกติอะไร แต่ซาลก็สังเกตเห็นว่าแวบหนึ่งแววตาของเธอส่องประกายอันเร้นลับออกมา เป็นแววตาที่ยากจะคาดเดาเจตนาได้ แต่มันก็ไม่ใช่แววตาที่กำลังยินดีหรือเห็นด้วยกับคำพูดของนิโคลเป็นแน่

ด้วยความเคลือบแคลงใจ เขาจึงกวาดสายตาไปดูยังป้ายชื่อของพนักงานซึ่งแปะติดอยู่บนหน้าอกขนาดมหึมาของเธอ บนป้ายนั้นเขียนว่า ‘ไซล่าร์ แองโกร่า’

ในระหว่างนั้นก็มีลูกค้าเดินเข้ามาในร้านพอดี พนักงานสาวร่างยักษ์จึงขอตัวไปต้อนรับลูกค้าที่โต๊ะอื่นต่อ การสนทนาของทั้งสองจึงจบลงแค่นั้น

ในเวลาไม่นาน แซนโดรก็ใช้แหวนสื่อสารติดต่อให้ทุกคนมารอที่จุดนัดพบหน้าทางเข้าย่านการค้า เมื่อทุกคนมาถึงก็พบว่ารถม้าของแซนโดรมารออยู่แล้ว ซึ่งพอทุกคนขึ้นมาบนรถครบแล้ว รถม้าก็แล่นไปยังโรงแรมที่พักซึ่งแซนโดรจองไว้สำหรับคืนนั้นในทันที

โรงแรมประจำเมืองของบีสเทียมีลักษณะค่อนข้างแปลก คือเมื่อเดินผ่านประตูห้องพักมาเข้ามาแล้วก็จะมาโผล่ยังพื้นที่เปิดโล่งซึ่งมีลักษณะคล้ายกับสวนหย่อมอันร่มรื่น ตรงกลางลานกว้างของสวนจะมีบ้านพักตากอากาศซึ่งทำด้วยไม้ตั้งอยู่หลังหนึ่ง บรรยากาศโดยรวมจึงเหมือนกับเป็นรีสอร์ทหรือบ้านพักที่อยู่กลางธรรมชาติ แน่นอนว่านี่เป็นพื้นที่ต่างมิติซึ่งสร้างขึ้นด้วยวิธีการแบบเดียวกับการสร้างดันเจียนนั่นเอง

แซนโดรจองห้องพักที่มีขนาดใหญ่ที่สุดสำหรับทุกคนเอาไว้ ทำให้ได้บ้านพักที่มีขนาดใหญ่พอสมควร เมื่อเข้าไปภายในก็พบว่าส่วนของห้องพักนั้นเป็นห้องนอนรวมที่มีเตียงเดี่ยวหกเตียงวางเรียงเป็นรูปครึ่งวงกลมอยู่ในห้องเดียวกัน และส่วนที่เหลือของกระโจมก็เป็นห้องน้ำ, ห้องครัว, และห้องแต่งตัว

“เห~ ทำไมเลือกห้องพักแบบนี้ล่ะคะคุณแซนโดร?”

ลานาเทลที่ดูจะไม่ค่อยชอบห้องพักที่ไม่มีความเป็นส่วนตัวแบบนี้เท่าไหร่เอ่ยถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ปนความไม่พอใจอยู่เล็กน้อย แซนโดรจึงต้องอธิบายเหตุผลให้ฟัง

“…จากที่สอบถามกับเครือข่ายของผู้ใช้ศาสตร์มืดมา …ดูเหมือนว่าสถานการณ์ในเมืองจะไม่สู้ดีเท่าไหร่ …ถึงห้องพักของที่นี่จะเป็นห้องแบบมิติปิดกั้น แต่คืนนี้เราพักรวมกันจะปลอดภัยกว่า …ยังไงพรุ่งนี้เราก็ออกเดินทางกันต่อแล้ว ทนอึดอัดไม่นานหรอก…”

เมื่อได้ยินคำพูดของแซนโดร ทั้งซาล, นิโคล, และอัลติม่า ต่างก็หันมามองหน้ากัน เพราะสิ่งที่แซนโดรพูดค่อนข้างขัดแย้งกับสภาพอันคึกคักแต่สงบเรียบร้อยของเมืองที่พวกเขาได้เห็นเมื่อตอนกลางวันมาก นิโคลจึงต้องเอ่ยถามขึ้น

“เอ่อ… ที่ว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีน่ะคืออะไรเหรอคะ? จากที่พวกเราเห็นเมื่อตอนกลางวัน ตัวเมืองก็ดูสงบเรียบร้อยดีนี่นา…”

“…อืม …ภายนอกอาจจะดูเป็นแบบนั้น แต่ความจริงแล้วบีสเทียกำลังมีปัญหาที่น่าเป็นห่วงอยู่หลายเรื่องทีเดียว…”

“เอ๋? หมายความว่ายังไงกันคะ?”

ทุกคนต่างก็หันมาจ้องมองแซนโดรเป็นสายตาเดียวกันเพื่อรอฟังคำตอบ แม้แต่ลานาเทลก็รอฟังอยู่เช่นกัน เพราะแซนโดรเข้าไปติดต่อกับสายข่าวเป็นการส่วนตัวโดยให้เธอรออยู่ในรถม้า เธอจึงยังไม่รู้รายละเอียดมากนัก แซนโดรจึงนั่งลงบนเตียงและค่อย ๆ เล่าเรื่องที่ได้ยินมาให้ทุกคนฟัง

“…เรื่องแรกคือ ในบีสเทียเนี่ยมีคดีคนหายอยู่ …เป็นคดีที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานแล้ว ซึ่งเหยื่อส่วนใหญ่จะเป็นเด็กเผ่าฮาลฟ์บีส …แต่ในช่วงหลายปีมานี้อัตราคนหายเริ่มจะพุ่งสูงขึ้นมาก แถมยังเกิดอย่างไม่จำกัดอายุอีกด้วย …ทว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังจับคนร้ายไม่ได้…”

“เห~ แปลกมากเลยนะคะเนี่ย ยุคสมัยนี้แล้ว กลับยังมีคดีที่ไขไม่ได้เนี่ย…”

ลานาเทลที่นั่งฟังอยู่จนถึงจุดนี้ก็ต้องเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงและท่าทีประหลาดใจ

เพราะยุคนี้เป็นยุคที่มีความก้าวหน้าทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์และเวทมนตร์ ทำให้ความรู้ความสามารถของผู้คนในเกือบทุก ๆ สายอาชีพถูกพัฒนาให้รุดหน้าตามไปด้วย ทุกอาณาจักรจึงต้องทุ่มเทให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพในการควบคุมดูแลเรื่องอาชญากรรมเป็นอันดับต้น ๆ เนื่องจากเมื่อผู้คนมีความสามารถเฉพาะตัวสูงขึ้น ความซับซ้อนของการก่ออาชญากรรมก็ยิ่งมากขึ้นเป็นเงาตามตัว หน่วยงานสำหรับป้องกันและปราบปราบอาชญากรรมที่มีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งจำเป็น

ซึ่งด้วยการให้การสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐทำให้หน่วยงานรักษาความสงบเรียบร้อยอย่างกองปราบหรือหน่วยสืบสวนสอบสวนล้วนแต่มีบุคลากรมากความสามารถมาทำงาน อีกทั้งในยุคนี้ยังมีสมาคมนักผจญภัยเป็นหน่วยงานเอกชนอันมีประสิทธิภาพคอยเสริมด้วยอีกแรงหนึ่ง ทำให้คนร้ายที่ก่อคดีอุกฉกรรจ์นั้นยากที่จะหนีการจับกุมไปได้ เพราะหากไม่ถูกหน่วยงานรัฐจัดการ ก็อาจถูกพวกนักผจญภัยมาล่าค่าหัว หรือถ้าเป็นคดีที่ปิดไม่ลงหรือเกินกว่าหน่วยงานท้องถิ่นจะรับมือจริง ๆ ก็ยังสามารถขอความช่วยเหลือไปยังพีชคีปเปอร์ให้ส่งทีมปฏิบัติการพิเศษมาจัดการได้

การที่บีสเทียมีคดีที่ยังปิดไม่ลงแถมยังค้างคามาเป็นเวลาหลายปีแบบนี้จึงนับเป็นเรื่องที่น่าแปลก

“…นั่นแค่เรื่องแรกเท่านั้นเอง ยังมีเรื่องที่สองอยู่อีก คือบีสเทียยังมีคดีฆาตกรรมอีกคดีหนึ่งที่ยังปิดไม่ลง แต่คดีนี้เป็นคดีที่เกิดกับพวกเวอร์บีสและเอลฟ์ด้วย …ต่างกับคดีคนหายของฮาลฟ์บีสที่ผู้คนจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย คดีฆาตกรรมนี้เหยื่อจะถูกทิ้งศพเอาไว้ในที่สาธารณะ ลักษณะคล้ายกับเป็นการประจาน โดยทุกศพจะถูกควักเอาหัวใจออกไปและแขวนไว้ตามที่สูง พร้อมกับมีอักษรเลือดเขียนไว้บนศพว่า ‘Guilty’ (มีความผิดจริง)…”

ซาลกับนิโคลต่างก็แสดงสีหน้าประหลาดใจปนผะอืดผะอมออกมาเมื่อได้ยินสิ่งที่แซนโดรเล่า ส่วนลานาเทลกับอัลติม่าแม้จะไม่ได้แสดงอาการตกใจออกมา แต่แววตาของทั้งสองคนที่ฟังเรื่องนี้อยู่ก็ดูจริงจังมากขึ้น

“ไม่ใช่แค่หนึ่งคดี แต่มีถึงสองคดีงั้นเหรอคะ… ความจริงบีสเทียก็อยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของพวกเอลฟ์ แถมในคดียังมีเหยื่อที่เป็นเผ่าเอลฟ์ด้วย ทางอีเว่นสตาร์คงไม่ยอมอยู่เฉยแน่ แต่ก็ยังจัดการไม่ได้แบบนี้… แล้วทางพีชคีปเปอร์ไม่ได้ลงมาดูเหรอคะ?”

ลานาเทลเอ่ยถามด้วยสายตาที่แสดงความรู้สึกรังเกียจออกมานิดหน่อยในช่วงที่ต้องพูดถึงพีชคีปเปอร์ ส่วนแซนโดรก็ยังคงตอบกลับมาด้วยสีหน้าอันเรียบเฉยเช่นเคย

“…รู้สึกว่าทางสภาของอีเว่นสตาร์จะไม่อยากเสียหน้าที่ต้องให้คนนอกมาช่วยจัดการกับเรื่องภายใน ก็เลยไม่เคยร้องขอความช่วยเหลือไปยังพีชคีปเปอร์น่ะ เรื่องนี้ก็พอจะเป็นสิ่งที่เข้าใจได้น่ะนะ…”

“อืม… นั่นสินะคะ… และเพราะแบบนี้เราถึงไม่ควรจะอยู่ที่นี่นาน ๆ สินะคะ”

“…นั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่ง แต่เรื่องที่ฉันกังวลคือปัญหาที่อยู่เบื้องหลังของคดีพวกนี้ต่างหาก…”

“เอ๋? เบื้องหลังเหรอคะ?”

“…จากที่ฉันสอบถามรายละเอียดจากแหล่งข่าวมา ว่ากันว่าคดีคนหายนั้นเป็นฝีมือของขบวนการค้ามนุษย์ของเผ่าเวอร์บีสซึ่งมีความเชื่อมโยงกับทางอินิสตร้า พวกนั้นเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการลักพาตัวคนของเผ่าฮาลฟ์บีสไป …เป็นธุรกิจใต้ดินที่ทำกันมานับสิบปีแล้ว…”

“อืม… พอมานึกดูแล้วก็มีเรื่องแบบนี้อยู่จริง ๆ ซะด้วย… เพราะตั้งแต่ท่านพ่อของดิฉันแผ่อิทธิพลเข้าไปในอินิสตร้า พวกเวอร์บีสซึ่งเคยมีกุมอำนาจอยู่ที่นั่นกลับกลายเป็นอยู่ในภาวะจนตรอก คุณแซนโดรเองเคยทำงานให้กับตระกูลโควิแนนท์ในอินิสตร้าก็คงจะรู้เรื่องนี้ดีสินะคะ ที่ท่านพ่อทำกับกลุ่มอิทธิพลเผ่าแวมไพร์ด้วยกันน่ะถือว่ายั้งมือรักษาไมตรีแล้ว แต่สำหรับเผ่าพันธุ์อื่นอย่างเวอร์บีสน่ะ ถ้าเข้ามาขวางทางละก็ ท่านพ่อจะกวาดล้างอย่างไม่ปราณีเลยทีเดียว”

“…ใช่ ด้วยเหตุนี้ทำให้กลุ่มอิทธิพลใต้ดินของเผ่าเวอร์บีสจำนวนมากต่างก็ย้ายฐานกำลังออกจากอินิสตร้าไป ส่วนหนึ่งก็หลบไปยังอาณาจักรใกล้เคียงอย่างอลาเรียหรือราวินคา …แต่อีกส่วนหนึ่งก็หนีมายังทวีปอื่นเช่นเทอร่าหรือจูริส ซึ่งที่ ๆ พวกนั้นเลือกลงหลักปักฐานในจูริสก็คือเขตบีสเทียในดินแดนซิลวานนี่แหละ…”

ซาลไม่รู้จักการค้ามนุษย์จึงไม่รู้ว่าการค้ามนุษย์คืออะไร เขาอยากจะเอ่ยถามแต่เพราะเห็นแซนโดรกับลานาเทลยังคุยกันอยู่จึงไม่อยากพูดแทรกเพราะจะเป็นการขัดจังหวะการสนทนา ก็เลยได้แต่นั่งฟังโดยเก็บความสงสัยเอาไว้

“แปลว่าพวกเวอร์บีสเป็นผู้เกี่ยวข้องกับคดีคนหายของเผ่าฮาลฟ์บีสสินะคะ แล้วคดีฆาตกรรมควักหัวใจล่ะคะ?”

“…นั่นแหละคือจุดที่เรื่องนี้ซับซ้อนขึ้น …ฆาตกรในคดีนี้น่ะจงใจทิ้งศพที่มีลักษณะพิเศษพร้อมกับข้อความเอาไว้ บางครั้งยังจงใจแสดงตัวให้คนเห็นด้วย …แม้รูปพรรณที่พยานบ่งบอกจะมีลักษณะคล้ายกับพวกไลเคน (มนุษย์หมาป่า) ของเผ่าเวอร์บีส แต่จากพฤติกรรมการฆ่าแล้ว เชื่อกันว่ามันเป็นฝีมือของเผ่าฮาลฟ์บีสที่พยายามแก้แค้นคนที่มีส่วนร่วมกับคดีลักพาตัวมากกว่า…”

“เห… หมายความว่าเบื้องหลังของสองคดีนี้เป็นความขัดแย้งระหว่างเผ่าพันธุ์ของเวอร์บีสกับฮาลฟ์บีสงั้นสินะคะ?”

“…จะเรียกว่าเป็นความขัดแย้งระหว่างเผ่าพันธุ์ก็อาจได้ เพราะความสัมพันธ์ของทั้งสองเผ่าก็ไม่สู้ดีนักมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว …แม้เรื่องนี้จะเป็นคดีที่เกิดจากคนกลุ่มเล็ก ๆ ของแต่ละเผ่า แต่เนื่องจากมันเป็นคดีที่ยังปิดไม่ลงและมีเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ การที่มันจะลุกลามขึ้นมาเป็นความขัดแย้งทางเผ่าพันธุ์เมื่อไหร่ก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น …ด้วยเหตุนี้ทางเผ่าเอลฟ์ถึงได้ส่งคณะทูตมาเยือนทั้งเมืองบีสเทียของฮาลฟ์บีส และเมืองเกรย์เมนของเวอร์บีสที่อยู่ใกล้ ๆ กันด้วย เพื่อเป็นการเจริญสัมพันธไมตรีและหาทางแก้ไขปัญหา…”

“แต่ปัญหาที่เกิดจากเรื่องในลักษณะนี้น่ะ…”

“…ใช่ วิธีทางการทูตคงแก้ไม่ได้ง่าย ๆ หรอก แต่จริง ๆ มันก็เป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเราน่ะนะ พรุ่งนี้เราก็จะไปจากที่นี่แล้ว คืนนี้แค่อยู่รวมกันไว้และอย่าออกไปเพ่นพ่านข้างนอกก็พอ…”

“เอ่อ… แต่เห็นว่าพรุ่งนี้คณะทูตของอีเว่นสตาร์จะเดินทางไปยังอินิสตร้าด้วย แบบนี้การตรวจตราผู้โดยสารที่ท่าเรือเหาะจะไม่เข้มงวดขึ้นเหรอคะ?”

นิโคลเอ่ยถามขึ้นเพราะเธอได้ยินเรื่องนี้มาจากพนักงานสาวร่างยักษ์ของร้านกาแฟ เธอรู้สึกกังวลเพราะหากต้องออกเดินทางในวันเดียวกับคณะทูต ก็น่าจะต้องพบกับการตรวจตราอันเข้มงวด ซึ่งไม่เป็นผลดีกับกลุ่มที่เต็มไปด้วยผู้มีประวัติอย่างพวกเธอเลย

“…ถึงจะใช้ท่าเทียบเดียวกัน แต่เรือเหาะของคณะทูตจะออกเดินทางในช่วงเช้า ส่วนเรือโดยสารของพวกเราน่ะจะออกในช่วงเที่ยง ซึ่งการเฝ้าระวังน่าจะคลายตัวลงแล้ว …อันที่จริงคือหลังจากคงการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดมานาน ช่วงที่คณะทูตออกเดินทางไปแล้วนี่แหละที่การป้องกันจะหละหลวมที่สุด เพราะไม่มีความจำเป็นต้องทำงานอย่างเคร่งครัดอีกแล้วไงล่ะ ดังนั้นการเดินทางของพวกเราน่าจะสะดวกขึ้น…”

เมื่อได้ฟังคำอธิบายของแซนโดร นิโคลก็รู้สึกคลายความกังวลลง และเมื่อไม่มีใครถามอะไรแล้ว แซนโดรจึงให้ทุกคนแยกย้ายกันไปพักผ่อน เพื่อคลายความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง และเตรียมตัวสำหรับการเดินทางในวันต่อไป

ลานาเทลนั้นรู้สึกใจไม่ค่อยสงบเท่าไหร่ที่ต้องนอนรวมกับคนเป็นจำนวนมากจึงเลือกที่จะอ่านหนังสือก่อนโดยเปิดโคมไฟดวงเล็ก ๆ บนโต๊ะข้าง ๆ หัวเตียงให้แสงสว่างไปด้วย ซึ่งแซนโดรก็ทำแบบเดียวกันเพราะเธอต้องการจะเฝ้ายามเพื่อความแน่ใจว่าคืนนี้จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น สำหรับเธอ การนอนไม่ใช่สิ่งจำเป็นเท่าไหร่นักอยู่แล้ว การอดนอนเพื่อเฝ้ายามจึงไม่ใช่ปัญหา

อีกด้านหนึ่ง ซาลก็รู้สึกไม่สบายใจจนนอนไม่ค่อยหลับเช่นกัน เพราะหลาย ๆ เรื่องที่ได้ยินได้ฟังมาทำให้เขาอดขบคิดถึงเรื่องต่าง ๆ ไม่ได้ ทั้งเรื่องการลักพาตัว การค้ามนุษย์ และการฆาตกรรม แม้เรื่องนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับเขา แต่ซาลที่รู้สึกชื่นชอบเผ่าฮาลฟ์บีสซึ่งมีรูปลักษณ์อันน่ารักและอัธยาศัยดีก็อยากให้ปัญหาทั้งหมดคลี่คลายไปโดยเร็ว

แม้การครุ่นคิดจะทำให้เขานอนไม่หลับ แต่ความเหน็ดเหนื่อยสะสมจากการเดินทางก็ทำให้เขาง่วงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุด ซาลก็ผลอยหลับไปในช่วงกลางดึกของคืนนั้น

ทว่านั่นเป็นเวลาเพียงไม่นานก่อนที่เสียงระฆังเตือนภัยของเมืองจะดังขึ้นจนทุกคนต้องลืมตาตื่นขึ้นมา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด