Doombringer the 5th 56

Now you are reading Doombringer the 5th Chapter 56 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Ch.56 – คนร้าย

Translator : YoyoTanya / Author

Ch. 56

คนร้าย

 

Part 1

 

เมื่อมาถึงที่ทำการสมาคมนักผจญภัยแห่งบีสเทีย เซร่าก็พาทุกคนไปยังห้องของหัวหน้าสมาคมในทันที ซึ่งที่นั่น คอร์แมคก็กำลังรออยู่แล้ว

“กำลังรออยู่เลยครับคุณเซร่า นี่คือข้อมูลทั้งหมดของผู้ที่ถูกขึ้นทะเบียนว่าไม่มีความสามารถพิเศษครับ”

คอร์แมคชี้ไปยังจอภาพสามมิติซึ่งถูกฉายขึ้นบนผนังของห้องด้วยอุปกรณ์ฉายภาพ ซึ่งบนหน้าจอมีข้อมูลประวัติของคนเผ่าฮาลฟ์บีสอยู่เป็นจำนวนมาก ทางซ้ายล่างของหน้าจอมีตัวเลขระบุจำนวนคนในแฟ้มประวัติอยู่ทั้งหมด 632 คน ซึ่งนี่นับเป็นจำนวนที่น้อยแล้ว

เพราะปกติเผ่าฮาลฟ์บีสจะมีความสามารถพิเศษติดตัวกันแทบทุกคน ต่อให้เป็นความสามารถเล็กน้อยแค่ไหนก็จะถูกขึ้นทะเบียนเอาไว้ว่ามี กลุ่มที่ถูกขึ้นทะเบียนว่าไม่มีความสามารถพิเศษเลยจึงนับว่าหายาก เว้นแต่ในกลุ่มคนรุ่นหลัง ๆ ที่มีการแต่งงานข้ามสายพันธุ์กันมากขึ้นจนสายเลือดเจือจางลง ทำให้อัตราส่วนของผู้ที่ไม่มีความสามารถพิเศษเริ่มเยอะขึ้นด้วย

“เหตุฆาตกรรมนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อแปดปีก่อน แน่นอนว่าคนร้ายต้องมีอายุไม่ต่ำกว่าแปดปี แต่ดูจากการลงมือที่เป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีแบบแผนก็ทำให้เชื่อได้ว่าคนร้ายน่าจะมีอายุพอสมควรแล้วในตอนที่ลงมือ แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นแบบนั้นเสมอไปซะทีเดียว…”

เซร่าที่จ้องมองแฟ้มประวัติบนหน้าจออยู่แสดงความเห็นออกมา ก่อนจะเหลือบตามามองซาลที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แซนโดร

“คุณซาลาแน ตอนนี้อายุเท่าไหร่เหรอคะ?”

“เอ๋? อ่า… ตอนนี้ก็ เก้าขวบกับเจ็ดเดือนครับ”

ซาลรู้สึกประหลาดใจนิดหน่อยที่จู่ ๆ ก็ถูกเซร่าถามอายุ ส่วนอีกฝ่ายเมื่อได้รับคำตอบแล้วก็หันไปครุ่นคิดต่อ

“เก้า บวก แปด ก็เท่ากับสิบเจ็ดสินะคะ คุณคอร์แมคลองตัดคนที่อายุต่ำกว่าสิบเจ็ดปีออกให้หมดค่ะ

พอได้ยินเช่นนั้น ซาลก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความข้องใจ

เพราะที่เซร่าพูดนั้นหมายความว่าคนอายุเท่ากับเขาก็มีสิทธิ์เป็นฆาตกรจอมวางแผนได้ เพราะเธอได้เห็นความฉลาดเฉลียวของเด็กตัวเล็ก ๆ อย่างซาลนั่นเอง เรื่องนี้ส่วนหนึ่งเหมือนจะเป็นการชื่นชมในความฉลาด แต่อีกส่วนก็เหมือนบอกอ้อม ๆ ว่าเขาเป็นฆาตกรได้ ทำให้ซาลไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดี

เซร่าเองเมื่อเห็นสีหน้ากึ่งไม่พอใจของอีกฝ่ายก็ยกมือขึ้นมาป้องปากเพื่อซ่อนอาการอมยิ้มของตนเองไว้ เพราะนอกจากจะวิเคราะห์แบบนี้เพื่อหาคนร้ายแล้ว เธอยังมีเจตนาอยากจะหยอกล้อเขาเล่นอยู่นิดหน่อยด้วย

ทางด้านคอร์แมคก็ใส่คำสั่งลงบนแป้นพิมพ์สามมิติที่อยู่ข้าง ๆ อุปกรณ์ฉายภาพ ตามที่เซร่าบอก ทำให้จำนวนแฟ้มประวัติที่แสดงอยู่เหลือเพียง 84 คน

“อืม… จากการกระทำทั้งหมดนี้ เป้าหมายของคนร้ายคือการสร้างความบาดหมางระหว่างเวอร์บีสกับเอลฟ์ ในระดับที่ทำให้เผ่าเวอร์บีสไม่สามารถอยู่ในซิลวานได้อีกต่อไป แปลว่าคนร้ายต้องมีความแค้นอันใหญ่หลวงกับเผ่าเวอร์บีสหรือสมาพันธ์ชาโดวแฟง ลองเพิ่มเงื่อนไขให้แสดงเฉพาะคนที่มีประวัติว่าคนในครอบครัวเคยถูกลักพาตัวหรือสาบสูญไปดูซิคะ”

หลังจากคอร์แมคปรับข้อมูลอีกครั้ง บนหน้าจอก็เหลือแฟ้มประวัติของคนอยู่เพียง 24 คน

“โอเค… ทีนี้ก็ลองใส่รายละเอียดวันที่เกิดเหตุของคดีฆาตกรรมทั้งหมดลงไปเป็นเงื่อนไข แล้วเทียบกับประวัติการเดินทางของทั้ง 24 คนนี้ดู ว่าใครอยู่ในบีสเทียในวันที่เกิดเหตุฆาตกรรมของบีสเทีย และไม่อยู่ในบีสเทียในวันที่เกิดเหตุฆาตกรรมของที่อื่นบ้าง สำหรับช่วงที่ยืนยันตำแหน่งไม่ได้ก็ไม่ต้องไปนับ นำแค่ช่วงที่ระบุที่อยู่ชัดเจนได้มาใช้เทียบเคียงก็พอค่ะ”

คอร์แมนกดแป้นพิมพ์ด้วยนิ้วทั้งสิบของเขาอย่างคล่องแคล่วและพริ้วไหว เงื่อนไขที่เซร่าให้เพิ่มลงไปนั้นต้องใช้การปรับแต่งอัลกอรึทึมของโปรแกรมแสดงแฟ้มประวัติค่อนข้างมาก จึงต้องใช้เวลาอยู่พักหนึ่ง แต่ด้วยความรวดเร็วในการปรับแต่งของคอร์แมค ในที่สุดโปรแกรมก็เริ่มทำงานและกลั่นกรองผู้คนที่ไม่ตรงตามเงื่อนไขออก จนในที่สุดก็เหลืออยู่เพียงคนเดียว

แต่เมื่อได้เห็นใบหน้าของบุคคลเพียงหนึ่งเดียวที่ตรงตามเงื่อนไขนั้น คอร์แมคก็แสดงสีหน้าตกตะลึงออกมา เช่นเดียวกับซาลและนิโคลที่แสดงสีหน้าตกใจออกมาพร้อมกันด้วย

เพราะคนที่อยู่ในภาพก็คือพนักงานสาวหูกระต่ายผู้มีรูปร่างเหมือนภูเขาก้อนเนื้อที่พวกซาลเคยเจอในคาเฟ่ของบีสเทียนั่นเอง

“หา? ยัยนี่เองเหรอเนี่ย ที่ว่ากินแค่หัวใจ (มายด์รีเวอร์) นั่นน่ะผิดแล้วม้าง แม่นี่น่ะน่าจะกินเหยื่อลงไปทั้งตัวเลยมากกว่า ถึงได้บวมฉุแบบนี้น่ะ”

อัลติม่าพูดออกมาด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยและระดับเสียงที่ไม่สูงนัก ทำให้มีแค่ซาลกับนิโคลที่ได้ยินคำพูดของเธอ ดูท่าเธอจะไม่ตกใจเท่าไหร่ที่เห็นพนักงานสาวที่เคยพบเป็นคนร้าย หรืออาจแค่ไม่ใส่ใจก็ได้

“พูดเป็นเล่นไปได้นะคะคุณอัลติม่า! นี่มันอันตรายมากเลยไม่ใช่เหรอคะ? พวกเราน่ะเฉียดเข้าไปใกล้กับคนที่เป็นฆาตกรตั้งขนาดนั้นแล้วน่ะ ถ้าคุณซาลารัสเป็นอันตรายขึ้นมาละก็…”

แม้จะพูดด้วยท่าทางร้อนรน แต่น้ำเสียงของนิโคลก็ค่อนข้างแผ่วเบาจนเหมือนกับการกระซิบ เพราะเธอไม่อยากให้คนอื่นตกใจไปด้วย

“คิดมากอะไรของเธอ? ยัยนั่นมันไม่ได้ฆ่าคนสะเปะสะปะซะหน่อย คนนอกอย่างเจ้าหนูนี่น่ะไม่ใช่เป้าหมายหรอกน่า”

แม้จะฟังดูขัดหูนิดหน่อย แต่คำพูดของอัลติม่าก็มีเหตุผล นิโคลจึงไม่ได้โต้แย้งอะไรอีก

ส่วนซาล เมื่อได้รู้โฉมหน้าของคนร้ายแล้วก็ยิ่งรู้สึกสนใจคดีนี้มากขึ้นไปอีก และเฝ้าดูการสืบสวนด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด

“คน ๆ นี้… เอ๋? เป็นอะไรไปเหรอคะคุณคอร์แมค?”

เซร่าที่หันไปเห็นสีหน้าผิดปกติของคอร์แมคก็รู้สึกเอะใจขึ้นมาจึงเอ่ยถามขึ้น แต่คอร์แมคก็ยังคงนิ่งเงียบไปอีกพักใหญ่ กว่าจะเอ่ยคำตอบออกมาได้ด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกับยังหายใจติดขัด

“ผมแค่… คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคน ๆ นี้น่ะครับ แต่พอมาลองนึกดูดี ๆ แล้ว เธอก็มีแรงจูงใจพอที่จะให้ทำเรื่องแบบนี้จริง ๆ ซะด้วย…”

“คุณคอร์แมครู้จักผู้หญิงคนนี้ด้วยเหรอคะ? เธอเป็นใครกันคะ?”

เมื่อเซร่าถามจบ ทุกคนก็หันมารอฟังคำตอบของคอร์แมคอย่างพร้อมเพรียงกัน

คอร์แมคหลับตาครุ่นคิดไปอีกพักหนึ่งเหมือนกำลังตั้งสติ ก่อนที่จะอธิบายเรื่องราวให้ทุกคนฟัง

“ผู้หญิงคนนี้คือ ไซล่าร์ แองโกร่า เป็นฮาลฟ์บีสสายพันธุ์กระต่ายที่เปิดคาเฟ่อยู่ในย่านการค้าของบีสเทียนี้เอง… ปกติแล้วเธอเป็นคนที่มีอัธยาศัยดีมาก เป็นมิตรกับทุกคน และคอยช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ ผมเลยไม่อยากจะเชื่อว่าเธอเป็นคนร้ายจริง ๆ …”

“การมีฉากหน้าที่ดูกลมกลืนไม่สะดุดตาก็อาจเป็นหนึ่งในแผนของคนร้ายก็ได้นะคะ ฆาตกรที่ก่อคดีอย่างต่อเนื่องส่วนใหญ่ก็จะใช้วิธีนี้ในการอำพรางตัวเอง ว่าแต่เมื่อครู่นี้คุณคอร์แมคบอกว่าเธอมีแรงจูงใจ หมายถึงยังไงเหรอคะ?”

เมื่อได้ยินคำถามของเซร่า คอร์แมคเหม่อมองลวดลายไม้บนผนังของห้องทำงานอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตอบคำถามของนั้นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา

“ไซล่าร์น่ะ เคยเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์มาก่อนครับ… ตอนที่อายุได้ 11 ปี เธอกับน้องสาววัยเดียวกันอีกคนก็ถูกคนลักพาตัวไปจากเมือง แม้สมัยนั้นพีชคีปเปอร์จะพยายามกวดขันเรื่องการค้ามนุษย์แล้ว แต่พอกลายเป็นของหายากก็ทำให้ราคาของเด็กสาวเผ่าฮาลฟ์บีสในตลาดมืดยิ่งสูงขึ้นไปอีก จนเป็นที่ล่อตาล่อใจให้พวกสมาคมใต้ดินยอมเสี่ยงมากขึ้น โดยเฉพาะเด็กสาวเผ่ากระต่ายที่มีใบหูอันโดดเด่นนั้นมีราคาสูงกว่าฮาลฟ์บีสสายพันธุ์อื่น ๆ หลายเท่าตัวทีเดียว พวกเธอถึงได้ตกเป็นเป้าหมาย”

คอร์แมคเล่าเรื่องด้วยแววตาอันเศร้าสร้อยปนด้วยความคับแค้น ทำให้แม้แต่เซร่าซึ่งเป็นผู้ถามก็นิ่งเงียบไปและมีสีหน้าหดหู่เช่นกัน

ระหว่างนั้นซาลที่ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องการค้ามนุษย์จึงแอบกระซิบถามแซนโดร

“นี่ ๆ การค้ามนุษย์นี่มันคือยังไงเหรอ? หมายถึงเอาคนไปขายเหรอ?”

“…อืม ก็ตามนั้นแหละ มันคือการซื้อขายมนุษย์ด้วยเงิน เหมือนกับซื้อขายสิ่งของน่ะ…”

“เอ๋!? แต่คนไม่ใช่สิ่งของนะ! จะมาซื้อขายกันแบบนั้นได้ยังไงล่ะ!?”

“…สำหรับคนบางคนหรือบางจำพวก ก็เห็นมนุษย์คนอื่นเป็นแค่สิ่งของเท่านั้นแหละนะ …โดยเฉพาะพวกที่ถูกผลประโยชน์บังตาก็ยิ่งพร้อมที่จะขายทุกอย่างแม้แต่ความเป็นคนของตัวเอง นับประสาอะไรกับการขายชีวิตผู้อื่นล่ะ?…”

คำตอบของแซนโดรทำให้ซาลนิ่งเงียบไปด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดมากขึ้น ในใจของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกอัดอั้นและอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก

“…เรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องปกติเหรอ? มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นตลอดเวลาเลยเหรอ?”

“…ก็นะ …ถึงจะมีการเพิ่มโทษเป็นพิเศษแต่ก็ยังมีขบวนการค้ามนุษย์ที่ยอมเสี่ยงกับบทลงโทษอยู่ดี …โดยเฉพาะเผ่าพันธุ์ที่มีความพิเศษอย่างฮาลฟ์บีสแล้วจัดเป็น ‘สินค้า’ ระดับพรีเมี่ยม ซึ่งมีค่าตอบแทนล่อตาล่อใจจนยอมแลกด้วยชีวิตได้เลยล่ะ…”

“เอ๋? ทำไมล่ะ?”

“…เพราะความนิยมหูสัตว์ไงล่ะ …พวกฮาลฟ์บีสซึ่งมีหูเหมือนสัตว์น่ะเป็นที่นิยมมากในคนหลาย ๆ กลุ่ม …ไม่ว่าจะเป็นพวกชนชั้นสูงของบางอาณาจักรที่ชอบนำไปเป็นสัตว์เลี้ยง หรือสถานบันเทิงบางแห่งก็ชอบใช้พนักงานสาวที่เป็นเผ่าฮาลฟ์บีสในการเรียกลูกค้าด้วย …แถมพวกฮาลฟ์บีสส่วนใหญ่ยังมีความสามารถพิเศษที่นำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย ตั้งแต่สร้างความบันเทิลเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปจนถึงฝึกฝนเพื่อเป็นนักฆ่า …ทำให้เมื่อก่อนนี้การค้าขายมนุษย์เผ่าฮาลฟ์บีสเป็นธุรกิจใต้ดินที่เฟื่องฟูมากทีเดียว…”

แม้จะไม่ได้เข้าใจคำอธิบายของแซนโดรทั้งหมด แต่ซาลก็พอจะรู้ว่าเพราะมูลค่าในพลังพิเศษและรูปลักษณ์ทำให้เผ่าฮาลฟ์บีสเป็นที่หมายตาของขบวนการค้ามนุษย์มาโดยตลอด ยิ่งคิดถึงคนที่ต้องถูกพรากจากครอบครัวไปขายให้กับคนแปลกหน้าเหมือนเป็นสิ่งของแล้ว เขาก็ยิ่งรู้สึกเจ็บแค้นมากขึ้นเรื่อย ๆ จนต้องขบเม้มริมฝีปากเพื่อระงับโทสะเอาไว้

หลังจากเว้นช่วงให้คอร์แมคทำใจอยู่พักหนึ่งแล้ว เซร่าก็เริ่มถามต่อ

“…สรุปว่าผู้หญิงคนนั้นเคยถูกขบวนการค้ามนุษย์จับไป แต่ก็ได้รับการช่วยเหลือออกมาทันสินะคะ”

“เปล่าครับ เธอหนีกลับมาได้ด้วยตัวเอง”

“เอ๋? ทั้งที่ยังเด็กอยู่ และน่าจะยังไม่มีพลังพิเศษเนี่ยนะคะ? ทำไมถึงหนีออกมาได้ล่ะ?”

คอร์แมคไม่ได้ตอบคำถามของเซร่าในทันที เขาเพียงนิ่งเงียบไปด้วยสีหน้าและแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวด ราวกับมันเป็นสิ่งที่เขาไม่อยากจะพูดมันออกมา หรือไม่ต้องการแม้แต่จะนึกถึง

เซร่าเองก็รู้จักกับคอร์แมคมานานแล้วแต่ก็ยังไม่เคยเห็นเขามีท่าทางลังเลและลำบากใจขนาดนี้มาก่อน จึงคิดว่ารายละเอียดของเรื่องนี้คงไม่ใช่สิ่งที่น่าฟังนัก เพราะแม้แต่นักผจญภัยระดับสูงที่เคยผ่านพบเรื่องราวมามากมายอย่างคอร์แมคก็ยังแสดงท่าทีหวั่นไหวขนาดนี้

หลังจากใช้เวลาทำใจอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดคอร์แมคก็เอ่ยปากเล่าต่อ

“เพราะรู้ว่าใบหูอันโดดเด่นของเผ่ากระต่ายคือสิ่งที่ทำให้พวกเธอตกเป็นเป้าหมาย ไซล่าร์กับน้องสาวก็เลยผลัดกันกัดหูของอีกฝ่ายจนขาด เพื่อให้ตัวเองกลายเป็นของชำรุดที่ขายไม่ได้… การตัดสินใจครั้งนั้นนับว่าได้ผลเพราะทำให้เธอกับน้องไม่ได้ถูกส่งออกนอกซิลวานในทันที แล้วเธอก็อาศัยช่วงที่พักฟื้นจากบาดแผลหนีออกมา แต่มีเพียงเธอคนเดียวเท่านั้นที่หนีรอดกลับมาได้ ส่วนน้องสาวของเธอ…”

คำตอบของคอร์แมคทำให้ทุกคนรู้สึกช็อคจนทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงัน แม้แต่อัลติม่าเองที่ปกติจะไม่แยแสเรื่องของคนอื่นเท่าไหร่ก็ยังมีสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก

ทว่าสิ่งที่ทำให้เธอแสดงสีหน้าเช่นนั้นออกมาไม่ใช่ความเศร้าหรือความเห็นใจ แต่เป็นความรังเกียจ

เรื่องราวอันโหดร้ายที่คอร์แมคเล่าให้ฟังได้ตีแผ่ด้านมืดของมนุษย์อีกด้านหนึ่งออกมา จนความรู้สึกรังเกียจในตัวมนุษย์ของอัลติม่าเริ่มกลับคืนมาอีกครั้ง มันเป็นความรู้สึกที่เธอไม่ได้สัมผัสมานานพอดูแล้ว เธอจึงยิ้มเยาะให้กับตัวเองคราหนึ่ง ที่ดันลืมธาตุแท้ของมนุษย์จนเผลอตกใจกับเรื่องแบบนี้ไปซะได้

ทางด้านซาลก็เกิดความรู้สึกอันซับซ้อนขึ้นมามากมาย ทั้งโกรธ ทั้งเศร้า ทั้งเจ็บแค้น จนหัวใจเต้นแรงไม่หยุด นิโคลที่ยืนอยู่ข้าง ๆ จึงต้องโอบไหล่ของเขาเอาไว้และลูบหัวของเขาเบา ๆ เพื่อให้เขาสงบลง

เซร่าถึงกับรู้สึกผิดที่ถามเรื่องนี้ออกไป จึงได้แต่ยืนเงียบด้วยสีหน้าเศร้าหมองและไม่ถามอะไรอีก

 

หลังจากนั้น คอร์แมคก็ระดมคนของสมาคมนักผจญภัยแห่งบีสเทียไปล้อมจับไซล่าร์ ซึ่งเซร่าก็นำยอดฝีมือของอีเว่นสตาร์ตามไปด้วยอีกแรงด้วย โดยมีแซนโดรและคนอื่น ๆ ติดตามไปสนับสนุนอีกแรง

ทว่าไม่ว่าจะไปค้นหาในสถานที่ใด พวกเขาก็หาตัวไซล่าร์ไม่พบ ราวกับเธอไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว

 

——————————————————————————————————–

 

Part 2

 

คอร์แมคและคนของบีสเทียแยกตัวออกไปเพื่อกระจายกำลังกันค้นหาต่อ ในขณะที่เซร่าและกลุ่มของซาลกลับมายังที่พัก เพื่อปรึกษาหาวิธีกันอีกครั้ง

“…ยังไงตอนนี้เราก็คลี่คลายปริศนาไปได้ค่อนข้างมากแล้ว …ถ้าเอาเรื่องนี้ไปบอกกับทางสภาเอลฟ์ จะพอยับยั้งการเคลื่อนทัพของอีเว่นสตาร์ได้รึเปล่า?…”

แซนโดรเสนอความคิดออกมา แต่เซร่าก็ส่ายหน้า ก่อนจะชี้แจงให้ฟัง

“ยังไงตอนนี้เราก็มีแค่ข้อสันนิษฐานกับทฤษฎีเท่านั้นค่ะ แม้ทุกอย่างจะดูเข้าเค้า แต่ก็ยังขาดหลักฐานที่ชัดเจน ถ้าไม่ได้ตัวไซล่าร์มาละก็ คำกล่าวอ้างนี้คงไม่มีน้ำหนักพอจะทำให้ทางสภาสูงยอมวางมือหรอกค่ะ”

“…อืม …แต่อีกฝ่ายสามารถแปลงร่างเป็นใครก็ได้ แบบนี้การจะหาตัวให้พบคงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย …แถมเรายังถูกเงื่อนเวลาจำกัดเอาไว้ด้วย …สำหรับไซล่าร์ขอแค่ซ่อนตัวจนถึงเส้นตายที่สภาเอลฟ์ให้เอาไว้ก็นับว่าชนะแล้ว …บางทีตอนนี้เจ้าตัวอาจหนีออกนอกซิลวานไปแล้วก็ได้…”

ทุกคนในห้องต่างก็นิ่งเงียบเพราะนึกวิธีดี ๆ ไม่ออก จนกระทั่งซาลเอ่ยคำพูดขึ้นมา

“เรื่องนั้น…”

ทุกคนหันไปมองด้วยสายตาคาดหวัง เพราะทุกกครั้งที่เขาพูดก็มักจะมีความคิดที่เหนือคาดและเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีออกมาเสมอ ๆ แต่คราวนี้เขากลับหยุดพูดไปกลางคัน เหมือนกำลังลังเลอะไรอยู่

ในใจของซาลกำลังรู้สึกสับสนอย่างบอกไม่ถูก เขารู้สึกเห็นใจในชะตากรรมของไซล่าร์ และคิดว่าเธอมีสิทธิ์ที่จะโกรธแค้น จึงไม่อยากให้ไซล่าร์ถูกจับได้ แต่หากปล่อยให้เหตุการณ์ดำเนินไปก็จะมีผู้บริสุทธิ์มากมายต้องมารับเคราะห์ด้วย จึงเกิดความลังเลขึ้นมา

แต่ในที่สุด เขาก็คิดว่าควรคลี่คลายสถานการณ์เพื่อคนหมู่มากก่อน ส่วนเรื่องไซล่าร์นั้นค่อยหาวิธีเอาภายหลังก็ได้ จึงตัดสินใจพูดต่อ

“เรื่องครั้งนี้เป็นแผนที่ใช้เวลาเตรียมการมานานหลายปี และนี่ก็เป็นขั้นตอนสุดท้ายของแผนการแล้ว ดังนั้นผมคิดว่าเธอน่าจะยังไม่ได้ไปไหน เพื่อรอดูให้แน่ใจว่าแผนการทั้งหมดบรรลุผลตามเป้าหมายที่วางเอาไว้”

“…นั่นก็ถูก …แต่การจะหาตัวเธอให้พบก็ยังเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากอยู่ดี…”

แซนโดรกล่าวย้ำ แต่ซาลก็เสนอความเห็นที่ทำให้เธอต้องรู้สึกแปลกใจออกมา

“ถึงการตามหาตัวเธอจะเป็นเรื่องยาก แต่เราก็ยังพอมีวิธีทำให้เธอออกมาหาเราเองได้นี่นา”

เมื่อได้ยินคำพูดนั้น แซนโดรก็มีสีหน้าเหมือนกับว่านึกอะไรออกเช่นกัน

“…จริงด้วยสินะ …ยังไงแผนการทั้งหมดก็ยังไม่บรรลุผล …ถ้าเป็นตอนนี้ละก็ …อาจทำให้แม่นั่นยอมโผล่ออกมาก็ได้…”

คนอื่น ๆ ในห้องดูเหมือนจะยังตามบทสนทนาของทั้งสองคนไม่ทัน เซร่าที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุดจึงเอ่ยถามขึ้น

“หมายความว่ายังไงเหรอคะ?”

“…อย่างที่ซาลา..แน ว่านั่นแหละ …แม่นั่นอุตส่าห์เตรียมการเพื่อวันนี้มาตั้งหลายปี …เพราะงั้นคงยังไม่หนีไปไหนแน่ เพื่อรอดูให้แน่ใจว่าทุกอย่างเป็นไปตามแผนการที่วางเอาไว้  …แปลว่าถ้าทำให้แผนการของเธอส่อแววว่ากำลังจะล้มเหลวขึ้นมาละก็…”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ เซร่าและคนอื่น ๆ ก็เริ่มเข้าใจความหมายที่ทั้งสองคนพยายามจะสื่อ

“เขาก็ต้องเคลื่อนไหวอีกครั้งเพื่อหาทางแก้ไขแผนการให้ดำเนินต่อไปได้สินะคะ?”

“…ใช่แล้ว…”

“แต่เราจะทำแบบนั้นได้ยังไงกันล่ะคะ?”

“…เป้าหมายของไซล่าร์คือทำให้เกิดสงครามระหว่างเอลฟ์กับเวอร์บีส …จริง ๆ คืออยากให้เอลฟ์กวาดล้างเวอร์บีสออกจากซิลวานน่ะนะ …ดังนั้นถ้ามีเค้าลางว่าฝ่ายเอลฟ์จะทบทวนการโจมตีละก็ ไซล่าร์ต้องมีการเคลื่อนไหวอีกครั้ง เพื่อเติมเชื้อไฟให้กับสถานการณ์นี้ …ซึ่งเรื่องนี้คงต้องอาศัยเธอแล้วล่ะนะ”

“ฉันเหรอคะ?”

“…อืม …เธอเอาข้อมูลทั้งหมดที่เราสืบมาได้นี้กลับไปรายงานกับทางสภาเอลฟ์ซะ …และขอให้พวกเขาช่วยแสร้งทำเป็นถอนกำลังพลออก บอกกับพวกเขาว่านี่เป็นแผนสำหรับล่อผู้อยู่เบื้องหลังตัวจริงออกมา ไม่ต้องถึงกับถอนกำลังพลจริง ๆ ก็ได้ แค่คลายวงล้อมสักนิดให้ดูเหมือนฝ่ายอีเว่นสตาร์กำลังทบทวนเรื่องการถอนกำลังก็พอ พอจะทำได้รึเปล่า?…”

“ความจริงในสภาสูงก็ยังมีคนที่ไม่เห็นด้วยกับการโจมตีอยู่พอสมควรค่ะ พวกเขาแค่ไม่มีข้ออ้างที่หนักแน่นพอจะมาคัดค้านเท่านั้นเอง ถึงข้อสันนิษฐานของเราจะยังไม่มีน้ำหนักพอให้ยกเลิกการโจมตี แต่แค่เรื่องที่คนร้ายมีความสามารถในการจัดฉากและสร้างหลักฐานเท็จได้ก็น่าจะทำให้พวกเขายอมชะลอการโจมตีลงได้ค่ะ เรื่องนี้ฉันจะหาทางไปเจรจาดูเอง”

“…อืม …ส่วนอีกด้านหนึ่ง หลังจากกองกำลังของอีเว่นสตาร์มีความเคลื่อนไหวแล้ว ฉันอยากให้คุณคอร์แมคช่วยใช้เครือข่ายของสมาคมนักผจญภัยปล่อยข่าวลือว่าทางอีเว่นสตาร์กำลังทบทวนเรื่องการโจมตีเผ่าเวอร์บีส และอาจยกเลิกการโจมตีเลยก็ได้ เพราะทางสภาเอลฟ์ยังมีคนที่ไม่เห็นด้วยกับการโจมตีอยู่ …เมื่อข่าวลือนี้ประกอบกับการโยกย้ายกำลังพลของอีเว่นสตาร์ ก็น่าจะสร้างแรงกดดันได้มากพอที่จะทำให้ไซลาร์ต้องออกมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง…”

“เข้าใจแล้วครับ”

คอร์แมคพยักหน้ารับคำ ส่วนแซนโดรก็หันมาพูดกับเซร่าอีกครั้ง

“…หลังจากดำเนินการทั้งสองเรื่องนี้เสร็จแล้ว ขั้นต่อไปก็คือ…”

แซนโดรอธิบายแผนการขั้นต่อไปกับเซร่าและทุก ๆ คน ก่อนจะให้แต่ละฝ่ายแยกย้ายกันไปทำงานของตนเองตามที่วางแผนไว้

เซร่าเดินทางกลับไปยังอีเว่นสตาร์และเกลี้ยกล่อมสภาสูงให้ยอมผ่อนปรนมาตรการได้เป็นผลสำเร็จ พวกเขาจึงประกาศว่าจะยืดเวลาให้กับทางสมาพันธ์ชาโดวแฟงในการยอมจำนนอีกหนึ่งวันและเคลื่อนทหารออกห่างจากตัวเมืองมากขึ้นเพื่อคลายความตึงเครียด

ทันทีที่ได้รับข่าวนี้ คนของสมาคมนักผจญภัยแห่งบีสเทียก็ช่วยกันกระจายข่าวลือว่าอีเว่นสตาร์อาจยกเลิกการโจมตีออกไปทั่วเมืองในทันที

 

——————————————————————————————————–

 

Part 3

 

เย็นวันนั้น ที่เส้นทางเลียบชายป่าซึ่งอยู่ห่างออกมาจากเมืองเกรย์เมนไม่ไกลนัก

มีโต๊ะตัวหนึ่งพร้อมกับเก้าอี้อีกสองตัวถูกตั้งอยู่บริเวณที่ราบโล่งข้างทาง โดยมีเซร่าและผู้ติดตามจากอีเว่นสตาร์อีกสี่คนยืนอยู่ใกล้ ๆ

หลังจากปล่อยข่าวลือออกไปแล้ว เซร่าก็ไปทำการติดต่อกับทางเกรย์เมนอีกครั้ง เพื่อขอทำการเจรจากับแรนดอลฟ์ ซึ่งคราวนี้เขายอมตกลง และรับปากที่จะเดินทางออกมาเจรจายังจุดนัดพบ นั่นอาจเป็นเพราะทางสภาเอลฟ์ย่อมผ่อนคลายท่าทีลงแล้วก็ได้

ด้านหลังแนวไม้บริเวณชายป่าซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งกำลังแอบซุ่มเพื่อเฝ้าดูสถานการณ์ คนเหล่านั้นก็คือคณะเดินทางของซาลนั่นเอง

ความจริงแซนโดรตั้งใจจะมากับลานาเทลแค่สองคน แต่ซาลต้องการจะมาด้วยให้ได้ สุดท้ายเลยต้องมากันทั้งหมด

เวลาผ่านไปได้ไม่นาน ก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งเดินทางมาถึง พวกเขามีทั้งหมดห้าคนด้วยกัน ทุกคนขี่ม้าสีดำท่าทางพ่วงพีและสวมชุดหนังกับเสื้อโค้ทหนังสีเทาเข้มลักษณะเดียวกับชุดของนักผจญภัยทำให้ทั้งดูมืดทะมึน, ดุดัน, และ น่าเกรงขาม

เมื่อมาถึง คนทั้งหมดก็ลงจากหลังม้า และโบกมือเพื่อยกเลิกการอัญเชิญ ทำให้ม้าทั้งห้าตัวสลายร่างกลายเป็นละอองแสงไป บ่งบอกว่าพวกมันเป็นเพียงพาหนะอัญเชิญ ไม่ใช่ม้าจริง ๆ และคนเหล่านี้ต้องเป็นนักผจญภัยฝีมือสูงทีเดียว เพราะการจะอัญเชิญพาหนะได้ต้องเป็นผู้ที่มีคลาสรองเป็นซัมมอนเนอร์ แปลว่าพวกเขาเลื่อนระดับคลาสหลักไปไกลพอสมควรแล้ว

ผู้ที่นำขบวน เป็นชายวัยกลางคนซึ่งมีผมสีเทาดูกระเซอะกระเซิงยาวไปถึงกลางหลัง มันไม่ใช่เส้นผมที่กลายเป็นสีเทาเพราะการหงอกขาว แต่เป็นผมสีเทาตามธรรมชาติ ซึ่งดูด้านและหยาบ ใบหน้าของเขามีริ้วรอยจากความชราอยู่เล็กน้อย แต่นั่นก็ยิ่งทำให้ดูมีราศีสมกับวัย คน ๆ นี้ก็คือแรนดอลฟ์ เกรย์เมน เจ้าเมืองเกรย์เมนและผู้นำแห่งสมาพันธ์ชาโดวแฟง กลุ่มอิทธิพลที่ใหญ่ที่สุดของเผ่าเวอร์บีส หรืออาจพูดได้ว่าเขาเป็นผู้นำของเผ่าเวอร์บีสทั้งมวลในซิลวานก็ว่าได้

เมื่อเห็นอีกฝ่ายมาถึง เซร่าก็ก้าวออกไปเพื่อกล่าวคำต้อนรับและแนะนำตัว

“ขอบคุณที่ยอมเดินทางมานะคะคุณแรนดอลฟ์ เชิญทางนี้ค่ะ”

เซร่าผายมือเชิญแรนดอลฟ์ไปยังโต๊ะเจรจา แต่ผู้ติดตามทั้งสี่คนของเขากลับชักดาบออกมาและพุ่งตรงเข้าจู่โจมเซร่าในทันที

สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่คาดฝันนี้ ทำให้ทุกคนตกอยู่ในความตะลึง

ทางด้านเซร่าแม้จะตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เธอก็เป็นนักผจญภัยมีระดับเช่นกัน จึงสืบเท้าหลบออกมาได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่ผู้คุ้มกันของเธอพุ่งสวนเข้าไปเพื่อรับมือกับคนของแรนดอลฟ์

ฝ่ายเอลฟ์ชักดาบทรงโค้งรูปร่างเพรียวบางที่มีลวดลายแกะสลักอันวิจิตรออกมา แต่มันกลับสามารถต้านทานแรงปะทะจากดาบที่ทั้งใหญ่และหยาบหนาของฝ่ายเวอร์บีสได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ ความเพรียวบางของมันดูจะทำให้เกิดการซึมซับแรงกระแทกและส่งกลับไปยังผู้โจมตี ทำให้คมดาบของเหล่าเวอร์บีสถูกดีดกลับไปยังผู้ถือ จนพวกเขาต้องผละตัวถอยออกไป

ทันใดนั้นเหล่าเวอร์บีสแต่ละคนก็กลายร่างเป็นไลเคน ทำให้เส้นขนอันดกหนาเริ่มงอกออกมาจนปกคลุมไปทั่วทั้งร่างกายที่ขยายขนาดขึ้นเป็นเกือบเท่าตัวของพวกเขา เช่นเดียวกับใบหน้าที่กลายเป็นหมาป่าไปด้วย

ทันทีที่กลายร่างเสร็จ ไลเคนทั้งสี่ก็โถมเข้าโจมตีเหล่าเอลฟ์อย่างรวดเร็วและดุดัน พละกำลังและความเร็วที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดของพวกเขาทำให้พวกเอลฟ์ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และได้แต่ตั้งรับจนต้องถอยร่นไปเรื่อย ๆ

เซร่าที่ตั้งหลักได้และเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดีจึงชักธนูของเธอออกมาพร้อมกับผนึกพลังลงไปจนลูกศรที่ถูกง้างอยู่ถูกห่อหุ้มด้วยแสงสีขาวอันเจิดจ้า ทันทีที่ปล่อยมือออก มันก็พุ่งออกไปเป็นศรแสงสี่ลูกตรงเข้าปักที่ร่างกายของไลเคนทั้งสี่คนอย่างแม่นยำ

เพราะการโจมตีของเซร่าทำให้ฝ่ายไลเคนได้รับบาดเจ็บจนต้องชะงักไป เหล่าเอลฟ์จึงอาศัยจังหวะนี้โฉบเข้าโจมตีใส่จุดตายของคู่ต่อสู้ในทันที ทั้งการตวัดดาบเข้าปาดที่คอหอย หรือเสียบจนทะลุต้นคอ ทุกคนสามารถลงมือได้อย่างแม่นยำและเฉียบขาด ทำให้เวอร์บีสทั้งสี่ตัวถูกจัดการโดยพร้อมเพรียงกันในพริบตา

ทว่ายังไม่ทันที่พวกเขาจะดึงดาบออก ก็มีเงาร่างของคนอีกคนหนึ่งพุ่งผ่านตัวไป พร้อมกับความรู้สึกเหมือนกับถูกกระแสลมเข้าปะทะ แต่ในขณะจะหันตัวตามไปมอง เหล่าเอลฟ์แต่ละคนก็ค่อย ๆ เสียการทรงตัวและล้มลงบนพื้นราวกับหุ่นเชิดที่ถูกตัดสาย

ภาพสุดท้ายที่พวกเขาเห็นในระหว่างที่ใบหน้ากำลังแนบอยู่กับพื้นก็คือ ใส้พุงของตัวเองที่ไหลทะลักออกมาเกลื่อนทั่วพื้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

เซร่ามีประสาทสัมผัสที่ดีกว่าจึงมองเห็นการโจมตีนั้นอย่างชัดเจน มันเป็นฝีมือของแรนดอลฟ์ผู้ที่ตอนนี้อยู่ในร่างไลเคนเช่นกัน ทำให้เขามีรูปลักษณ์ของมนุษย์หมาป่าซึ่งมีขนแผงคอสีเทาอ่อนพาดผ่านขนส่วนอื่น ๆ ที่เป็นสีเทาเข้ม แรนดอลฟ์ยังคงพุ่งตัวต่อมาทางเซร่าพร้อมกับกางกรงเล็บออกเพื่อหมายจะเอาชีวิตของเธอ ความรวดเร็วนั้นทำให้เซร่าได้แต่ยกคันธนูขึ้นมาป้องกันด้วยความจนตรอก

แรนดอลฟ์ตะปบกรงเล็บเข้าใส่เซร่าอย่างเต็มแรง ทำให้คันธนูที่ตั้งขวางอยู่ถูกเฉือนออกเป็นเสี่ยง ๆ ส่วนตัวเซร่าเองก็ถูกแรงกระแทกจนตัวลอยกระเด็นออกไปไกลนับสิบเมตรอีกด้วย

การโจมตีนั้นปาดโดนช่วงเอวของเซร่าจนเป็นแผลลึก ทำให้มีเลือดไหลนองออกมา โชคยังดีที่ได้คันธนูช่วยผ่อนแรงกระแทกไปบ้าง ไม่เช่นนั้นเครื่องในของเซร่าก็คงหลุดออกมากองเช่นเดียวกับเหล่าผู้ติดตามไปแล้ว

แรนดอลฟ์ยังคงพุ่งเข้าโจมตีอีกครั้งเพื่อหวังจะซ้ำเซร่าให้ตายสนิท แต่ยังไม่ทันที่จะดีดเท้ากระโจนตัวเข้าไปก็มีลำแสงสีเขียวพุ่งเข้าใส่จนต้องเปลี่ยนท่วงท้าเป็นการกระโดดพลิกตัวหลบการโจมตีนั้นแทน

เมื่อยันเท้าลงพื้นและเหลือบตาขึ้นมามองอีกครั้ง สิ่งที่แรนดอลฟ์เห็นก็คือหญิงสาวผมดำผู้มีใบหน้างดงามราวกับจันทร์เพ็ญกำลังกระโจนเข้ามาพร้อมกับเงื้อดาบเคลย์มอร์เล่มเขื่องสุดวงสวิง เขาสัมผัสได้ถึงกระแสพลังและความอันตรายจากการโจมตีนั้นจึงรีบดีดตัวหลบออกให้พ้นระยะการโจมตีในทันที

พอตั้งหลักได้อีกครั้ง แรนดอลฟ์ก็พบว่าที่เบื้องหน้าของเขานั้นมีคนอีกกลุ่มหนึ่งกำลังยืนรายล้อมเซร่าอยู่ เป็นผู้หญิงสี่คนและเด็กอีกหนึ่งคน แต่สองคนที่ยืนนำอยู่ด้านหน้าซึ่งเป็นหญิงสาวผมสีเทากับหญิงสาวผมสีดำนั้นแผ่จิตสังหารออกมาในระดับที่ทำให้เขารู้สึกว่าจะประมาทคนเหล่านี้ไม่ได้ จึงยังไม่บุ่มบ่ามเข้าไปโจมตี

อีกด้านหนึ่ง ซาลที่เข้าไปดูอาการของเซร่าก็ร้องเรียกชื่อเธอด้วยน้ำเสียงร้อนรน

“คุณเซร่า! ทำใจดี ๆ เอาไว้นะครับ!”

ในระหว่างนั้น นิโคลก็ย่อตัวลงเพื่อใช้เวทรักษาในการปฐมพยาบาลให้กับเธอ แต่บาดแผลนั้นก็ยังสาหัสมากจนทำให้เธอไม่รู้สึกตัว

“ไม่ต้องห่วงนะคะ เธอแค่หมดสติไปเท่านั้นเอง ถึงแผลจะค่อนข้างสาหัส แต่ฉันก็ห้ามเลือดและสมานแผลให้แล้ว ยังไงตอนนี้ก็คงยังไม่มีอันตรายถึงชีวิตค่ะ แต่เพื่อความแน่ใจก็ควรจะรีบพาเธอไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจสอบอย่างละเอียดอีกที”

เมื่อได้ยินคำวินิจฉัยของนิโคล ซาลก็รู้สึกโล่งอกและมีสีหน้าผ่อนคลายลง ก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับศัตรูที่ทุกคนกำลังเผชิญหน้าอีกครั้ง

ลานาเทลจ้องมองดวงตาที่เหมือนกับสัตว์ป่าของแรนดอลฟ์อย่างไม่สะทกสะท้านอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยคำพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ สบาย ๆ

“ดูไม่เหมือนคนที่ถูกควบคุมอยู่หรือถูกเปลี่ยนความทรงจำเลยนะคะ ทั้งการกระทำและสายตานั่นน่ะเป็นอะไรที่มุ่งมั่นมากทีเดียว แบบนี้เขาก็คือคนร้ายตัวจริงสินะคะ?”

“…อืม …นี่แหละคือคนร้ายตัวจริง และเป็นคนที่พวกเรากำลังตามหาอยู่ …ไซล่าร์ แองโกร่า ไงล่ะ…”

เมื่อได้ยินคำพูดของแซนโดร คิ้วหมาป่าของแรนดอลฟ์ก็ขมวดย่นเข้าหากันด้วยอาการข้องใจ ก่อนที่เจ้าตัวจะเอ่ยถามกลับมายังผู้ที่เข้ามาแทรกการลงมือในครั้งนี้

“พูดอะไรของเธอน่ะ?”

แซนโดรก้าวเดินต่อไปอีกหลายก้าว แต่แรนดอลฟ์ก็ยังไม่มีการขยับตัว เขาเพียงแต่จ้องมองหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าด้วยอาการสงสัยเท่านั้น ซึ่งแซนโดรก็หยุดเท้าลงอีกครั้งก่อนจะไขข้อข้องใจให้กับเขา

“…ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องแปลกอยู่แล้วที่แรนดอลฟ์ไม่ยอมทำการเจรจากับทางอีเว่นสตาร์มาจนป่านนี้ …ถึงตอนแรกที่ไล่พวกเอลฟ์ออกจากเมืองจะอ้างว่าเป็นการกระทำเพราะความเศร้าและความโกรธที่เพิ่งเสียลูกชายไปก็เถอะ …แต่เมื่อเวลาผ่านไป คนอย่างเขาต้องคิดได้แน่ว่าเรื่องนี้เหมือนกับเป็นการขุดหลุมฝังตัวเอง เพราะทั้งเหมือนกับเป็นการร้อนตัวและเป็นผู้ร้ายปากแข็ง …อีกทั้งสมาพันธ์เวอร์บีสก็ไม่อยู่ในสภาพที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของอีเว่นสตาร์ได้เลย หากเกิดสงครามขึ้นมาจริง ๆ เผ่าเวอร์บีสมีแต่จะถูกกวาดล้างเท่านั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีแต่เสียกับเสีย…

…อีกอย่างคือฉันอ่านประวัติของเขามาแล้ว แรนดอลฟ์น่ะเป็นผู้นำที่โหดเหี้ยม …เพื่อความอยู่รอดของตนเอง เขาเคยทอดทิ้งลูกชายคนโตเพื่อเอาตัวรอดในสงครามระหว่างกลุ่มอิทธิพลใต้ดินที่อินิสตร้าด้วย …คนแบบนี้น่ะเหรอที่จะรู้สึกเจ็บแค้นกับการตายของลูกชายจนยอมเอาชีวิตของตนเองและเผ่าพันธุ์ไปทิ้ง …นี่ยังไม่นับเรื่องที่รูดอลฟ์ไม่ใช่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเขาด้วยซ้ำ…

…ท่าทีของแรนดอลฟ์ตั้งแต่เกิดเรื่องนั้น แม้คนทั่วไปอาจมองว่ามีเหตุผล สำหรับฉันแล้ว คนแบบนี้น่ะไม่มีทางถูกเรื่องส่วนตัวบังตาจนทิ้งแม้กระทั่งชีวิตหรอก …พฤติกรรมของเขานั้นเป็นไปด้วยจุดประสงค์เพียงอย่างเดียว คือยั่วยุและชักจูงให้ทางอีเว่นสตาร์เชื่อว่าเผ่าเวอร์บีสเป็นคนร้าย หรือก็คือเป็นไปตามแผนการของเธอไงล่ะ ไซล่าร์ แองโกร่า…”

ดวงตาของแรนดอลฟ์ตอนนี้เบิกโพลงขึ้นด้วยความตกตะลึงและประหลาดใจ ผิดกับคนอื่น ๆ ที่มีท่าทีสงบนิ่งเพราะรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว

แซนโดรบอกข้อสันนิษฐานนี้ให้กับทุกคนในตอนที่อธิบายแผนการ เธอเชื่อว่ามีความเป็นไปได้สูงที่แรนดอลฟ์จะถูกสวมรอยโดยไซล่าร์ เพราะนั่นเป็นตำแหน่งที่จะชักจูงเรื่องราวให้เป็นไปตามต้องการได้ดีที่สุด และท่าทีของแรนดอลฟ์ตั้งแต่แรกก็เข้าทางแผนการของไซล่าร์หมดทุกอย่างด้วย

การให้เซร่าทำการนัดพบเพื่อขอเจรจาก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนการ ซึ่งแซนโดรประเมินว่าในขณะที่ทั้งสองฝ่ายมีทีท่าว่าจะจบเรื่องอย่างสันติได้ ไซล่าร์ก็ต้องมีการเคลื่อนไหวอะไรสักอย่างเพื่อเป็นการโหมความขัดแย้งขึ้นมาอีกครั้ง

แต่การจะนั่งรอให้อีกฝ่ายลงมือก่อนแล้วค่อยไปตรวจสอบหลังเกิดเรื่องก็ดูจะเป็นอะไรที่หวังผลได้ยาก แซนโดรจึงจงใจวางหมากตานี้เพื่อเป็นเหยื่อล่อ เพราะถ้าคิดจะโหมความขัดแย้งระหว่างสองเผ่าพันธุ์ ก็ไม่มีอะไรเหมาะสมไปกว่าการฆ่าตัวแทนที่มาทำการเจรจาอีกแล้ว ต่อให้แรนดอลฟ์ไม่ใช่ไซล่าร์ปลอมตัวมา แต่ไซล่าร์ตัวจริงก็ต้องไม่ปล่อยโอกาสทองแบบนี้ให้หลุดลอยไปแน่

เซร่ายอมรับในแผนการนี้โดยเข้าใจถึงความเสี่ยงดี เธอไม่ถือที่ต้องถูกใช้เป็นเหยื่อล่อ เพราะเธอพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อลากตัวคนร้ายออกมาและคลี่คลายเรื่องวุ่นวายทั้งหมดนี้ลงให้ได้ ทุกอย่างจึงถูกดำเนินการตามแผนที่แซนโดรได้วางเอาไว้

เมื่อได้ฟังคำอธิบายของแซนโดร แรนดอลฟ์ก็แสยะยิ้มขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่รูปลักษณ์ของเขาจะค่อย ๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างช้า ๆ

ร่างมนุษย์หมาป่าอันใหญ่โตกำยำนั้นค่อย ๆ หดเล็กลงจนกลายเป็นร่างกายของหญิงสาวที่มีทรวดทรงได้สัดส่วน เส้นขนสีเทาเข้มที่ปกคลุมร่างกายอยู่ก็หดหายไปจนเหลือแต่เรือนผมสีดำยาวที่ดูกระเซอะกระเซิงเล็กน้อย ใบหน้าที่เคยเป็นหมาป่าก็กลับกลายเป็นใบหน้าของหญิงสาวผิวขาวนวลที่มีความงามได้รูป

เธอหยิบแว่นทรงรีพร้อมกับหูกระต่ายสีขาวขึ้นมาสวม ก่อนที่จะมองกลับมายังแซนโดรด้วยรอยยิ้มอันเย็นยะเยือกและแววตาอันคมกริบ

แม้รูปร่างของเธอจะต่างจากที่เขาเคยเห็นไปมาก แต่ด้วยเค้าหน้าและแววตาแบบนั้นก็ทำให้ซาลแน่ใจว่าผู้หญิงคนนี้คือไซล่าร์ แองโกร่า พนักงานสาวหูกระต่ายที่เขาเคยพบในร้านน้ำชานั่นเอง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด