Doombringer the 5th 61

Now you are reading Doombringer the 5th Chapter 61 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Ch.61 – คนที่อยากพบ

Translator : YoyoTanya / Author

Ch. 61

คนที่อยากพบ

 

Part 1

 

ซาลไม่ได้บอกเรื่องของไซล่าร์กับใครเลย เพราะไม่แน่ใจว่าคนอื่น ๆ จะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับเรื่องนี้

แซนโดรที่กลับมาเห็นซาลมีท่าทีสดใสขึ้นกว่าเดิมก็รู้สึกแปลกใจนิดหน่อย แต่เธอคิดว่าอาจเพราะการได้คุยเล่นกับวาเคียและอัลดูอินทำให้เขารู้สึกดีขึ้นก็เลยไม่ได้ติดใจอะไรมาก

หลังจากทานอาหารเย็นกันเสร็จแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนตามอัธยาศัย ซึ่งซาลก็อาศัยจังหวะนี้กลับเข้าห้องของตนเอง เพราะอยากลองอัญเชิญพันธสัญญาที่ได้มาใหม่

เมื่อเข้ามาในห้องแล้ว เขาก็อัญเชิญร่างเสมือนของไซล่าร์ออกมา โดยกำหนดให้เป็นร่างมินิขนาดเท่าฝ่ามือ เพราะแค่อยากจะทดสอบความสามารถดูเฉย ๆ จึงปรากฏไซล่าร์ในร่างอวบอ้วนขึ้นมาบนพื้นข้าง ๆ เตียงของเขา

ในทีแรกเขาคิดว่าร่างเสมือนของไซล่าร์คงกินพลังเวทมากน่าดู เพราะเธอเป็นนักสู้ที่มีความสามารถสูงมาก แต่ปรากฏว่าร่างอัญเชิญพลัง 1% ของไซล่าร์กลับกินพลังเวทน้อยอย่างน่าประหลาด

เขาลองอ่านคุณสมบัติของเธอดู ก็พบว่ามีทักษะเฉพาะตัวมากมายยาวเป็นหางว่าวจนอ่านแทบไม่หวาดไม่ไหว และส่วนใหญ่เป็นความสามารถที่เขายังไม่เคยเห็นด้วย

ความสามารถที่ปรากฏในรายชื่อทักษะของไซล่าร์ก็คือ

[Acceleration] ความสามารถในการเร่งความเร็วของตนเอง

[Amphibious] ความสามารถในการหายใจและใช้ชีวิตในน้ำได้

[Cryokinesis] ความสามารถในการหยุดการเคลื่อนไหวของสสารในระดับโมเลกุล จนถึงจุดเยือกแข็ง

[Devour] ความสามารถในการซึมซับความสามารถพิเศษของผู้อื่นผ่านทางการกิน

[Disintegration] ความสามารถในการทำให้สสารแตกสลายเป็นผุยผง

[Electrokinesis] ความสามารถในการรวบรวมหรือสร้างพลังงานไฟฟ้าขึ้นด้วยความคิด

[Enhanced Intellect] ความสามารถในการเรียนรู้และเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว

[Enhanced Senses] ความสามารถในการเพิ่มประสิทธิภาพของประสาทสัมผัสทั้งห้า

[Enhanced Strength] ความสามารถในการเพิ่มทั้งพละกำลังและความทนทานของร่างกาย

[Flight] ความสามารถในการบินด้วยความคิด

[Hibernate] ความสามารถในการจำศีลเมื่อร่างกายอยู่ในภาวะวิกฤติ

[Immortality] ไม่มีอายุขัย

[Imprinting] ความสามารถในการเปลี่ยนแปลงข้อมูลในสื่อบันทึกต่างๆได้ดังใจคิด

[Invisibility] ความสามารถในการล่องหน

[Regeneration] ความสามารถในการฟื้นฟูอาการบาดเจ็บด้วยความเร็วสูง

[Shape Shifting] ความสามารถในการจำแลงรูปลักษณ์เป็นบุคคลอื่น

[Telekinesis] ความสามารถในการควบคุมสสารด้วยความคิด

[Telepathy] ความสามารถในการอ่านหรือแทรกแซงความคิดของผู้อื่น

[Teleportation] ความสามารถในการเคลื่อนย้ายผ่านมิติ

 

“มีความสามารถพิเศษเพียบเลยแฮะ กินคนไปเท่าไหร่เนี่ย…”

ซาลรู้สึกอึดอัดนิดหน่อยเพราะรู้ว่าแต่ละความสามารถของไซล่าร์ได้มาจากการกินหัวใจของพวกฮาลฟ์บีสด้วยกัน แต่อย่างน้อยคนพวกนั้นก็ไม่ใช่คนดีสักเท่าไหร่ เพราะเป็นพวกที่ขายกระทั่งเด็ก ๆ ของเผ่าพันธุ์ตัวเองเพื่อเงิน เขาจึงคลายความรู้สึกกระอักกระอ่วนลงบ้าง

ซาลลองสั่งให้ร่างเสมือนของไซล่าร์ใช้ความสามารถหลาย ๆ อย่างดู พบว่าการใช้ความสามารถพิเศษนั้นมีข้อจำกัดอยู่ คือความสามารถบางอันจะไม่สามารถใช้ร่วมกับความสามารถอีกอันหนึ่งได้ โดยเฉพาะความสามารถที่เป็นคนละสาย

มีความสามารถเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้นที่สามารถใช้ร่วมกันได้ในเวลาเดียวกัน แต่ความสามารถทางกายภาพมักใช้ร่วมกับความสามารถที่เป็นพลังจิตไม่ได้ (เช่นไม่สามารถเร่งความเร็วพร้อมกับเทเลพอร์ทได้) อีกทั้งความสามารถส่วนใหญ่ก็มีจำนวนครั้งหรือระยะเวลาจำกัด เมื่อใช้จนครบกำหนดแล้วต้องทำการพักฟื้นเป็นระยะเวลาหนึ่งจึงจะใช้ได้อีก นั่นเป็นช่องโหว่เดียวของไซล่าร์ แต่ซาลก็ยังคิดว่ามันยอดเยี่ยมมากอยู่ดี

หลังจากทดสอบความสามารถไปสักพัก ร่างเสมือนของไซล่าร์ก็สลายไป ทำให้เขารู้สึกแปลกใจ เพราะมันยังไม่น่าจะถึงเวลาที่กำหนดเอาไว้เลย

เขาลองอัญเชิญร่างเสมือนตัวใหม่ออกมา แต่เมื่อทดสอบไปได้สักพัก ร่างเสมือนก็สลายไปก่อนเวลาอีก ซาลจึงได้ข้อสรุปว่ายิ่งใช้ความสามารถพิเศษมาก เวลาในการคงอยู่ของร่างเสมือนก็จะลดลง

นี่เป็นรูปแบบที่เขาไม่เคยเจอมาก่อน อาจเพราะความสามารถพิเศษของเผ่าฮาลฟ์บีสไม่ได้ใช้พลังเวทเป็นแหล่งพลังงานเหมือนกับเวทมนตร์ทั่วไป แต่มีข้อจำกัดการใช้ที่ลึกลับกว่านั้นมาก ยิ่งใช้ความสามารถบ่อยก็เลยยิ่งลดระยะเวลาของร่างอัญเชิญไปด้วย

แม้จะยังอยากทดสอบอะไรอีกหลาย ๆ อย่าง แต่เขาก็รู้สึกง่วงนอนเต็มที เพราะในคืนที่ผ่านมานั้นแทบไม่ได้นอนเลย เนื่องจากคิดมากเรื่องของไซล่าร์ ทำให้แม้จะยังไม่ถึงเวลานอนตามปกติของเขา แต่หนังตาของg-kก็แทบจะปิดลงแล้ว ซาลจึงตัดสินใจเข้านอนในที่สุด

 

——————————————————————————————————–

 

Part 2

 

ผ่านไปหนึ่งคืน เรือเหาะก็ข้ามมหาสมุทรมาจนใกล้จะถึงทวีปโดมินาเรียแล้ว

แซนโดรลองคำนวณตำแหน่งดูแล้วคิดว่าเรือเหาะน่าจะถึงอินิสตร้า (อาณาจักรทางตะวันตกเฉียงเหนือของโดมินาเรีย) ในช่วงสาย ๆ ของวันนี้ จึงให้ทุกคนเตรียมตัวกันให้เรียบร้อยก่อนจะถึงที่หมาย

ความจริงหากนั่งเรือเหาะลำอื่นไปลงที่ราวินคา อาณาจักรทางตะวันตกเฉียงใต้ของโดมินาเรีย ก็จะใช้เวลาเดินทางน้อยกว่าราว ๆ หกชั่วโมง แต่ราวินคาเป็นเขตอิทธิพลของพีชคีปเปอร์ ผิดกับอินิสตร้าซึ่งเป็นอาณาจักรอิสระแถมทั้งแซนโดรและลานาเทลยังมีเส้นสายอยู่ในนั้นด้วย ทำให้การเข้าโดมินาเรียทางอินิสตร้าเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

เพราะเมื่อวานนี้เอาแต่อยู่ในห้องโดยไม่ได้ไปเที่ยวดูอะไรเท่าไหร่ วันนี้ซาลจึงออกวิ่งเล่นตามระเบียงทางเดินของเรือเหาะเพื่อชมวิวทิวทัศน์พร้อมกับวาเคียและอัลดูอินอย่างสนุกสนาน โดยมีนิโคลกับอัลติม่าเดินตามดูอยู่ห่าง ๆ ด้วย

แซนโดรรู้สึกสงสัยนิดหน่อยที่ซาลกลับมาร่าเริ่งได้เร็วกว่าที่คาด แต่เธอก็คิดว่าอาจเป็นเพราะเขายังเด็กอยู่ทำให้ปรับตัวกับเรื่องราวต่าง ๆ ได้ง่าย ซึ่งการที่เขากลับมาเป็นปกติก็นับเป็นเรื่องที่ดีแล้ว

ส่วนระเบียงรอบนอกของเรือเหาะเป็นระเบียงกระจกที่ทำให้ผู้โดยสารสามารถมองเห็นกลุ่มเมฆและท้องฟ้าได้อย่างชัดเจน แถมพื้นระเบียงบางส่วนก็ยังเป็นกระจกใสทำให้มองเห็นท้องฟ้าเบื้องล่างได้ การชมวิวในบริเวณนี้จึงให้ความรู้สึกเหมือนกำลังบินอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆเลยทีเดียว

ซาลวิ่งเล่นไปรอบ ๆ พร้อมกับวาเคียอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย จนนิโคลแอบยิ้มให้กับความน่ารัก ส่วนอัลติม่ากลับทำหน้าเซ็งเพราะเริ่มจะรู้สึกเบื่อแล้ว

“อืม… เด็กก็ยังคงเป็นเด็กสินะ… แย่จริง ๆ เลย เมื่อไหร่จะโตซะทีเนี่ย… ตอนนี้อายุเท่าไหร่หว่า? สิบขวบ? ต้องรออีกสามปีหรือห้าปีกันเนี่ย… ไม่อยากรอแล้วอ่า…”

“บ่นอุบอิบอะไรกันคะคุณอัลติม่า คุณซาลารัสเป็นเด็กอยู่แบบนี้ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอคะ?”

“ดีอะไรกันล่ะ ไม่รู้ประสีประสาแบบนี้ก็ใช้งานไม่ได้น่ะสิ ชั้นอยากจะให้เขาเป็น ‘ผู้ใหญ่’ เร็ว ๆ น่ะ อยากจะทำให้เป็น ‘ผู้ใหญ่’ ด้วยตัวเองเลย แล้วก็จะสอนเรื่องราวของ ‘ผู้ใหญ่’ ให้หมดทุกอย่างเลยด้วย”

อัลติม่าเน้นย้ำคำว่า ‘ผู้ใหญ่’ ด้วยแววตาและรอยยิ้มมีเลศนัยจนดูน่าขนลุก ทำให้นิโคลรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา

“พูดอะไรกันน่ะคะ!? อย่างน้อย ๆ ก็ต้องรอให้อายุถึง 18 ก่อนไม่ใช่เหรอคะ!?”

“แหม่~ สมัยโลกเก่าน่ะแค่อายุ 11-12 ก็โอเคแล้วน่า ไม่ต้องรอถึง 18 หรอก”

“จะเอาโลกที่ล่มสลายไปแล้วมาเป็นมาตรฐานได้ยังไงกันคะ!? ที่สำคัญคือต้องแต่งงานกันให้เรียบร้อยก่อนด้วยค่ะ แต่ถ้าคุณอัลติม่าทำตัวแบบนี้ละก็ ฉันไม่ยอมให้แต่งกับคุณซาลารัสหรอกนะคะ!”

“หา? แบบนี้มันแบบไหนกันล่ะ?”

“ก็พูดจาไร้ยางอายแบบนี้ไงคะ! คนที่จะแต่งงานกับซาลารัสน่ะจะต้องเป็นกุลสตรีที่สุภาพเรียบร้อย สำรวมทั้งกิริยาและคำพูด แบบนั้นฉันถึงจะยอมรับได้ค่ะ!”

นิโคลพูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าจริงจัง ทำให้อัลติม่าเริ่มรู้สึกสับสน

“นี่เธอ… เป็นแม่ของเจ้าหมอนั่นรึไง?”

“ตอนนี้ยังไม่สายหรอกนะคะ ฉันเข้าใจว่าคุณอัลติม่าเป็นปิศาจและไม่ได้รับการอบรมเรื่องมารยาทมาสักเท่าไหร่ แต่ถ้ามีความตั้งใจจริงละก็ ฉันจะช่วยสอนเรื่องมารยาทและการวางตัวให้เองค่ะ”

“ดะ.. เดี๋ยวก่อน ไม่เห็นต้องจริงจังขนาดนั้นเลยนี่นา…”

“จะบอกว่าคุณอัลติม่าไม่ได้คิดจริงจังกับซาลารัสเหรอคะ?”

“จะ.. จริงจังสิ แต่ว่า… เรื่องนั้นกับเรื่องนี้น่ะมัน…”

“งั้นก็ตกลงตามนี้นะคะ เอาล่ะ มาทางนี้เถอะค่ะ เดี๋ยวฉันจะให้คุณลานาเทลช่วยสอนอีกแรงด้วย”

“เอ่อ… เดี๋ยวสิ… คะ คือ…”

โดยไม่ได้สนใจคำทักท้วง นิโคลก็ฉุดกระชากลากถูอัลติม่าที่มีสีหน้าไม่ค่อยเต็มใจนักกลับไปยังห้องพักเพื่อรับการติวเข้มในการเป็นกุลสตรี

 

เวลาล่วงเลยผ่านไป เรือเหาะก็บินมาถึงทวีปโดมินาเรีย  ทำให้มองเห็นแผ่นดินของอินิสตร้าปรากฏอยู่เบื้องล่าง ซาลและวาเคียจึงคลานเข่าลงบนพื้นกระจกเพื่อมองดูทิวทัศน์ของแผ่นดินใหญ่จากมุมมองด้านบนด้วยความรู้สึกตื่นเต้น

เรือเหาะเริ่มลดระดับลงจนเห็นแผ่นดินเบื้องล่างชัดเจนขึ้น สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาของพวกเขาก็คือเมืองอินิสตร้า เมืองหลวงของอาณาจักรอินิสตร้า ซึ่งอาคารบ้านเรือนต่าง ๆ มีลักษณะคล้ายกับบ้านเรือนของพวกเวอร์บีสที่เขาเคยเห็นในซิลวาน แต่ในอินิสตร้าจะมีอาคารขนาดใหญ่อยู่เยอะกว่ามาก

มีเสียงประกาศเตือนให้ผู้โดยสารหาที่ยึดเกาะเพราะเรือกำลังจะเทียบท่าแล้ว ซาลจึงลุกขึ้นมาและจับราวยึดที่ติดอยู่บนกำแพงเอาไว้ เมื่อเห็นเช่นนั้นวาเคียก็ลุกขึ้นมาทำแบบเดียวกัน แล้วเรือเหาะก็ค่อย ๆ ลดระดับลงอย่างช้า ๆ

ในที่สุดเรือเหาะก็ลงจอดยังลานจอดขนาดใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งมีความกว้างกว่าท่าเทียบเรือเหาะของบีสเทียหลายเท่าตัว

ซาลมองออกไปด้านนอกอีกครั้งและพบว่ามีเรือเหาะขนาดใหญ่อีกหลายลำกำลังเทียบท่าอยู่ด้วยเช่นกัน บางลำก็มีลักษณะคล้ายกับบอลลูนที่มีเรือห้อยอยู่ด้านล่าง บางลำก็เป็นยานบินรูปทรงทันสมัยเหมือนกับสร้างขึ้นด้วยวิทยาการทางวิทยาศาสตร์ ดูน่าตื่นตาตื่นใจ

ระหว่างที่ซาลกับวาเคียกำลังเกาะกระจกและจ้องมองดูเรือเหาะแบบต่าง ๆ ด้วยความตื่นเต้นอยู่นั้น แซนโดรก็เดินออกมาพร้อมกับคนอื่น ๆ และบอกให้เขาเตรียมตัวลงจากเรือได้แล้ว ซาลจึงส่งวาเคียกับอัลดูอินกลับเข้าช่องมิติอีกครั้งก่อนจะเดินตามไป

เมื่อทุกคนเดินมาถึงด้านหน้าของดาดฟ้าเรือซึ่งมีวงเวทเคลื่อนย้ายอยู่ เจ้าหน้าที่ก็ให้ทุกคนเข้าไปยืนภายในวงเวท ก่อนจะเริ่มการเคลื่อนย้ายเพื่อส่งทุกคนลงจากเรือในทันที

หลังจากการเคลื่อนย้ายเสร็จสิ้น ทุกคนก็มาโผล่ภายในห้อง ๆ หนึ่งซึ่งอยู่ในตัวอาคาร เพราะวงเวทเคลื่อนย้ายของที่นี่จะส่งผู้โดยสารเข้ามาในอาคารโดยตรง แทนที่จะแค่ส่งลงจากเรือเหมือนที่บีสเทีย

พอเดินออกมาจากห้องเคลื่อนย้าย ทุกคนก็พบกับส่วนที่พักของผู้โดยสารซึ่งกำลังรอการตรวจคนเข้าเมืองอยู่ เมื่อแซนโดรนำเอกสารรับรองจากอีเว่นสตาร์และบีสเทียไปยื่นให้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองดู เขาก็ปล่อยให้ทุกคนผ่านไปได้ในเวลาไม่นานนัก

เมื่อออกมาจากส่วนตรวจคนเข้าเมืองแล้วก็เป็นส่วนต้อนรับผู้โดยสารขาเข้า ซึ่งที่นั่นมีผู้หญิงสองคนในชุดกระโปรงยาวสีขาวดำไสตล์โกธิคกำลังยืนรอการมาของทุกคนอยู่แล้ว

คนหนึ่งเป็นผู้หญิงผมสั้นสีดำ มีสีหน้าเฉยชาและแววตาคมกริบ อีกคนเป็นผู้หญิงผมสีทองยาวประบ่าท่าทางขี้เล่น สองคนนี้ก็คือเคเลเซ็ทกับวาลานาร์ สาวใช้ประจำตัวของลานาเทลนั่นเอง

 

——————————————————————————————————–

 

Part 3

 

ในระหว่างโดยสารอยู่บนเรือเหาะ ลานาเทลก็ติดต่อมายังเคเลเซ็ทซึ่งอยู่ในอินิสตร้าและกำลังดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องการแผ่ขยายอิทธิพลของตระกูลซันรีเวอร์เข้ามาในโดมินาเรีย เพื่อให้เคเลเซ็ทเตรียมการต้อนรับและจัดแจงลู่ทางต่าง ๆ ไว้เพื่อป้องกันปัญหาด้วย

เมื่อเห็นกลุ่มของลานาเทลเดินออกมาจากส่วนตรวจคนเข้าเมือง วาลานาร์ก็กระโดดโลดเต้นโบกมือเพื่อเรียกให้เธอไปหา

“ท่านลานาเท… แอ๊ก!”

“จะแหกปากทำไม แถมยังตะโกนชื่อจริงของท่านลานาเทลอีกต่างหาก กลัวคนเขาไม่รู้รึไง?”

เคเลเซ็ทเหวี่ยงหลังมือเข้ากระแทกปากของวาลานาร์เพราะดันตะโกนชื่อของลานาเทลออกมา จนวาลานาร์ต้องคู้ตัวลงไปด้วยความเจ็บปวด

ลานาเทลถอนหายใจเล็กน้อยแต่ก็ยังมีสีหน้ายิ้มแย้มอยู่เพราะดูเหมือนนี่จะเป็นเรื่องปกติในกลุ่มสาวใช้ของเธอ ซึ่งเธอก็ค่อย ๆ เดินไปหาทั้งสองคนโดยมีคนอื่น ๆ เดินตามไปด้วย

“ออมมือบ้างสิเคเลเซ็ท เดี๋ยววาลานาร์เขาก็หน้ายุบกันพอดี”

“ใช่แล้วค่ะ! ท่านลานาเทลคะ! ยัยนี่น่ะชอบใช้กำลังกับฉันประจำเลย! พอไม่มีท่านลานาเทลอยู่ใกล้ ๆ แล้วก็ยิ่งได้ใจมากเลยค่ะ!”

“วาลานาร์เองก็เถอะ ควรจะทำอะไรให้รอบคอบมากกว่านี้หน่อยนะ งานของพวกเราน่ะมีอันตรายอยู่รอบด้านนะรู้มั้ย ความเลินเล่อแค่เสี้ยววินาทีก็อาจหมายถึงชีวิตได้นะ”

“งือ~ เข้าใจแล้วค่ะ ขอออภัยด้วยค่ะ…”

วาลานาร์ครางในลำคอก่อนจะก้มหน้ารับคำด้วยท่าทีสำนึกผิด ซึ่งลานาเทลก็ยิ้มหวานก่อนจะลูบหัวของเธอเบา ๆ เป็นการปลอบใจ แล้วหันไปถามเคเลเซ็ท

“ทุกอย่างทางนี้เรียบร้อยดีใช่มั้ย?”

“ค่ะ ทุกอย่างเป็นไปตามแผนการที่ท่านลานาเทลวางเอาไว้ ตอนนี้ทัลดาแรมกำลังไปขยายอิทธิพลของซันรีเวอร์ในราวินคา ส่วนฉันเอง เดือนหน้าก็คงจะเริ่มไปดำเนินงานในอลาเรียได้ค่ะ”

“อืม ดีแล้วล่ะ ว่าแต่เตรียมที่พักเอาไว้เรียบร้อยแล้วใช่มั้ย? ช่วยนำทางไปทีสิ”

“ได้ค่ะ เชิญทางนี้เลยค่ะ”

เคเลเซ็ทเดินนำลานาเทลเพื่อพาเธอออกไปจากอาคารผู้โดยสาร ส่วนทุกคนก็เดินตามไปในระยะที่ไม่ห่างกันนัก

วาลานาร์ยืนรอทุกคนเดินนำไปก่อนแล้วจึงเดินตามเป็นคนปิดท้ายขบวน ซึ่งซาลสังเกตเห็นว่าเธอแอบส่งสายตาอาฆาตมายังนิโคลด้วย ก่อนจะเชิดหน้าหลบไปเหมือนแสดงอาการไม่พอใจ ซึ่งนิโคลก็ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ตอบกลับไป

เมื่อลงมาจนถึงด้านหน้าของอาคาร ที่นั่นก็มีรถม้าคันใหญ่สองคันกำลังรอทุกคนอยู่แล้ว

ลานาเทลขึ้นรถม้าคันแรกไปพร้อม ๆ กับเคเลเซ็ทและวาลานาร์ ส่วนซาลกับคนอื่น ๆ ก็ขึ้นรถม้าคันที่สอง พอทุกคนขึ้นไปบนรถหมดแล้ว รถม้าก็ค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากด้านหน้าของอาคารไป

ซาลสอดส่ายสายตามองดูทิวทัศน์ด้านนอกหน้าต่างแล้วพบว่าสถาปัตยกรรมของบ้านเรือนในอินิสตร้านี่คล้ายคลึงกับหมู่บ้านของพวกเวอร์บีสที่เขาเคยเห็นในซิลวานมาก

อาคารทุกหลังเป็นอาคารสไตล์ยุโรปยุคกลางที่ทำจากอิฐและก้อนศิลา ทำให้มีกำแพงที่หนา เทอะทะ แต่ดูทนทานแข็งแรง พื้นถนนเองก็ปูด้วยแผ่นหินและก้อนอิฐ คล้ายกับเมืองป้อมปราการในเอ็นซิสหรือโครซิส ทั้งพื้นถนนและตัวอาคารส่วนใหญ่ต่างก็มีสีเทาแก่ทำให้บรรยากาศโดยรวมของเมืองมีลักษณะอึมครึมและมืดทึบ

เมืองอินิสตร้าเป็นเมืองที่ค่อนข้างกว้างขวาง แม้ตัวอาคารจะตั้งเบียดกันจนดูแออัด แต่ถนนหนทางก็ยังกว้างพอให้รถม้าขนาดใหญ่สองคันวิ่งสวนกันได้อย่างสบาย และอาคารในเมืองนี้ยังมีความสูงเฉลี่ยเพียงสองถึงสามชั้น ทำให้มันดูไม่แออัดมากนัก

ผู้คนในเมืองก็เดินกันอย่างขวักไขว่บนทางเท้าซึ่งอยู่สองข้างทางของถนน ส่วนใหญ่ก็สวมชุดเหมือนกับนักผจญภัยด้วย แต่คนในอินิสตร้าจะสวมเสื้อผ้าที่ทำจากหนังกันเป็นปกติ ทำให้แยกออกยากว่าคนไหนคือคนทั่วไปและคนไหนคือนักผจญภัย

รถม้าแล่นต่อมาจนถึงเขตอาคารสูงของเมือง แถวนี้อาคารบ้านเรือนจะมีความสูงห้าถึงหกชั้นขึ้นไปทำให้ดูมืดทึบยิ่งขึ้นไปอีกเพราะแสงอาทิตย์ถูกอาคารสูงบดบังจนตกต้องลงมาไม่ถึงพื้นถนน

ในที่สุดรถม้าก็มาหยุดอยู่หน้าอาคารหลังใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งมีขนาดใหญ่โตราวกับเป็นที่ทำการรัฐ หรือพระราชวังขนาดย่อม ๆ เลยทีเดียว

เมื่อลงจากรถแล้ว เคเลเซ็ทก็นำทุกคนเข้าไปในอาคาร ซึ่งในระหว่างที่เดินอยู่ภายในนั้นซาลก็สังเกตเห็นผู้คนมากมายในอาคารต่างหันมามองและก้มหัวแสดงความเคารพเมื่อกลุ่มของพวกตนเดินผ่าน ราวกับเป็นขบวนของบุคคลสำคัญ

ลานาเทลเองก็ดูจะสงสัยอยู่นิดหน่อย จึงเอ่ยถามกับเคเลเซ็ท

“ทุกคนดูเกรงใจกันจังเลยนะ บอกพวกเขาไปว่ายังไงจ๊ะเนี่ย?”

“ดิฉันบอกทุกคนไปว่าจะมีญาติของท่านลานาเทลเดินทางมาตรวจความเรียบร้อยในโดมินาเรียน่ะค่ะ และวันนี้ก็จะมาพักที่สาขาอินิสตร้าของเราเป็นเวลาหนึ่งคืน พวกเขาเข้าใจว่าท่านลานาเทลคือญาติและผู้ตรวจการคนนั้นน่ะค่ะ”

“อืม ก็ไม่เลวนะ”

ความจริงแล้วคนสนิทของลานาเทลในวาลาเชียต่างก็รู้เรื่องที่เธอจัดฉากการตายของตนเองดี แต่สำหรับคนในสาขาอื่น ๆ ที่อยู่นอกวาลาเชีย เธอยังไม่ให้ความไว้วางใจขนาดนั้น จึงยังปกปิดเรื่องนี้จากคนนอกเอาไว้ก่อน สมาชิกของตระกูลที่อยู่นอกวาลาเชียจึงยังไม่ทราบเรื่องเช่นกัน

เคเลเซ็ทเดินนำทุกคนขึ้นมายังชั้นที่สามของอาคารและพาเข้าไปยังห้องโถงขนาดใหญ่ห้องหนึ่ง

ห้องนี้มีลักษณะเหมือนกับเป็นห้องนั่งเล่น เพราะมันมีชุดโซฟารับแขกชุดใหญ่หนึ่งชุดอยู่กลางห้อง และรอบ ๆ ห้องก็เป็นชั้นหนังสือมากมายเรียงรายกันอยู่บนผนังทุกด้าน จากการตกแต่งนี้ทำให้ทราบได้ว่ามันเป็นห้องที่จัดเตรียมไว้เพื่อเอาใจลานาเทลโดยเฉพาะ

“หากต้องการอะไรเพิ่มเติมก็สั่นกระดิ่งที่อยู่บนโต๊ะเพื่อเรียกสาวใช้มาได้เลยนะคะ และถ้าต้องการไปยังห้องพักก็สามารถขอให้พวกเธอช่วยนำทางไปได้ค่ะ”

เมื่อพูดจบ เคเลเซ็ทก็ก้มศีรษะแสดงความเคารพต่อลานาเทลก่อนจะเดินออกไปจากห้อง ส่วนทุกคนก็มานั่งล้อมวงกันที่ชุดโซฟารับแขกเพื่อฟังกำหนดการเดินทางจากแซนโดร

“…ความจริงจากอินิสตร้านี่ ถ้าเดินทางไปทางตะวันออกจนสุดเขตแดนก็จะถึงลิลลี่โฮไรซอนแล้ว ซึ่งคงใช้เวลาไม่เกินสองวันหรอก …แต่ไหน ๆ มาถึงนี่แล้ว ฉันก็มีที่ ๆ หนึ่งที่คิดว่าซาลารัสอาจจะอยากแวะไปก่อน…”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซาลก็เลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย เพราะหากพูดถึงโดมินาเรียแล้ว ที่ ๆ เขาอยากไปเยือนสักครั้งก็คืออาณาจักรคามิเท็นซึ่งเป็นศูนย์กลางแห่งวัฒนธรรมตะวันออก แต่คามิเท็นก็อยู่สุดขอบตะวันออกของทวีป ไม่ได้อยู่ระหว่างทางไปลิลลี่โฮไรซอน เขาจึงไม่เข้าใจว่าแซนโดรหมายถึงที่ไหน

“ที่ ๆ ผมอยากไปเหรอ?”

“…ฉันเคยบอกไปแล้วใช่มั้ย ว่าเคยส่งพี่ชายและพี่สาวของเธอหนีมาที่โดมินาเรียน่ะ…”

“จริงด้วยสิ! แล้วพวกเขาอยู่ใกล้ ๆ นี้เหรอ!?”

“…จะว่าใกล้ก็ไม่เชิงหรอก …พวกเขาอยู่แถบตอนกลางของอลาเรีย …อาณาจักรที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของอินิสตร้า และอยู่ทางใต้ของลิลลี่โฮไรซอน …หากเดินทางไปหาพวกเขาก็คงทำให้เราไปถึงลิลลี่โฮไรซอนช้าลงไปสองสามวันน่ะนะ …แต่ถ้าเธออยากพบกับพวกเขา ฉันก็จะพาไป…”

“ไปสิ! ผมไม่ได้เจอพวกพี่ ๆ มาตั้งหลายปีแล้วนะ! อยากรู้มากเลยว่าตอนนี้พวกเขาเป็นยังไงกันบ้างน่ะ! ช่วยพาไปทีนะ!”

ซาลพูดด้วยอาการตื่นเต้นจนลิ้นแทบจะพันกัน ทำให้นิโคลกับลานาเทลอดอมยิ้มไม่ได้ ส่วนแซนโดรก็พยักหน้ารับด้วยสีหน้าที่ไม่ได้แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมาเหมือนเช่นเคย

นิโคลรู้สึกชื่นชมแซนโดรอยู่ในใจ เพราะแม้แซนโดรจะให้ความสำคัญกับความเร็วในการเดินทางมาก จนดูเหมือนว่าจะไม่สนใจในเรื่องอื่น ๆ ขอแค่ให้เดินทางไปถึงจุดหมายให้เร็วที่สุดเท่านั้น แต่ในเวลานี้เธอกลับยอมออกนอกเส้นทางเพื่อพาซาลไปพบกับพี่ ๆ แสดงให้เห็นว่าแซนโดรก็ไม่ใช่คนที่ไม่แคร์อะไรเลยซะทีเดียว

ด้วยเหตุนี้ เป้าหมายต่อไปของการเดินทางจึงเป็นอลาเรีย ดินแดนอันสงบสุขของโดมินาเรีย ที่ซึ่งพี่ชายและพี่สาวของซาลซ่อนตัวอยู่

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด