Doombringer the 5th 83

Now you are reading Doombringer the 5th Chapter 83 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Ch.83 – ผู้สร้างหายนะแห่งโลกเก่า

Translator : YoyoTanya / Author

Ch. 83

ผู้สร้างหายนะแห่งโลกเก่า

 

Part 1

 

อาร์วินทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการพัฒนาโครงการเนเมซิส ซึ่งในแง่ของการสร้างอสูรสงครามขึ้นมาเป็นอาวุธก็ดำเนินไปได้ด้วยดี แต่กระบวนการถ่ายทอดคลื่นสมองให้กับตัวอ่อนของเนเมซิสกลับล้มเหลว

ไม่ว่าจะพยายามสักกี่ครั้ง ตัวอ่อนของเนเมซิสก็ไม่สามารถเข้าใจในรายละเอียดและความหมายของข้อมูลที่ได้รับจากการถ่ายทอดคลื่นสมองได้ จึงไม่ทำให้มันเกิดพัฒนาการทางปัญญาดังที่อาร์วินหวังเอาไว้

เธอสันนิษฐานว่าอาจเพราะเป็นสิ่งมีชีวิตคนละรูปแบบกัน มีพื้นฐานทางชีวภาพและทางสมองแตกต่างกันมาก จึงไม่สามารถเข้าใจในข้อมูลซึ่งถูกสร้างและจัดเก็บด้วยสมองของมนุษย์ได้

แม้จะพยายามหาวิธีต่าง ๆ มาแก้ไขเรื่องนี้ แม้แต่ปรับแต่ง DNA และสมองของมันให้มีความใกล้เคียงกับมนุษย์มากขึ้น การถ่ายทอดคลื่นสมองก็ยังล้มเหลวอยู่ดี จนในที่สุดก็มาถึงวันที่ปฏิบัติการเจเนซิสจะเริ่มขึ้น

ผู้คนในฐานหมายเลข 101 ต่างวิ่งวุ่นกันตามหน้าที่ของตัวเองที่ได้รับมอบหมาย หน่วยทหารก็แยกเป็นกองกำลังภาคพื้นดินที่จะโจมตีแนวป้องกันด้านล่างของพวกจักรกลกับนักบินที่มีหน้าที่ขับเครื่องบินจู่โจมขึ้นไปเพื่อคุ้มกันขบวนยานขนส่งที่จะพากลุ่มผู้อพยพหนีออกไปทางโพรงบนท้องฟ้า

ในช่วงสายของวัน ขบวนรบจากฐานอื่น ๆ อีก 120 แห่งก็ใกล้จะเข้าประจำตำแหน่งที่กำหนดเอาไว้ครบหมดแล้ว ฐาน 101 ซึ่งอยู่ใกล้กับโพรงที่สุดจึงเริ่มการส่งขบวนรบตามออกไป

เอมิลี่ไปรอที่ยานขนส่งพร้อมกับผู้อพยพคนอื่น ๆ แต่เพราะยังไม่เห็นอาร์วินมาตามที่นัด เธอจึงรู้สึกเป็นกังวล เลยใช้กำไลสื่อสารที่ข้อมือติดต่อไปหาอาร์วิน

“พี่คะ ยังไม่มาอีกเหรอคะ? ขบวนอพยพเที่ยวแรกกำลังจะออกเดินทางแล้วนะ”

“ฉันได้รับมอบหมายให้คอยดูแลการขนส่งจนกว่าจะเสร็จสิ้นน่ะ คงได้ออกไปเป็นกลุ่มสุดท้ายแหละ เพราะงั้นไม่ต้องเป็นห่วงนะ เธอไปเถอะ”

“ได้ยังไงกันล่ะคะ!? เราต้องไปด้วยกันสิ!”

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ฉันจะตามไปแน่นอน เราสองคนจะต้องรอดไปด้วยกัน เธออย่าทำให้ฉันต้องเป็นห่วงเลยนะ รีบไปเถอะ”

เมื่ออาร์วินยืนยันเช่นนั้น เอมิลี่จึงได้แต่ยอมรับและตัดสายไป ทว่าเธอก็ไม่ยอมไปกับกองยานอพยพกลุ่มแรก แต่ขอเปลี่ยนตำแหน่งเพื่อไปกับกองยานกลุ่มสุดท้ายพร้อมกับอาร์วินแทน

เจสที่ยังอยู่กับอาร์วินได้ยินทุกอย่างโดยตลอด เขารู้ว่าความพยายามของอาร์วินในการสร้างเนเมซิสในช่วงหลายวันมานี้จบลงด้วยความล้มเหลว จึงพยายามพูดกล่อมให้เธอไปกับเอมิลี่ซะ

“เธอน่ะตัดใจซะเถอะนะ ในเมื่อการสร้างเนเมซิสล้มเหลว ทางเลือกที่เหลืออยู่ก็คือเข้าร่วมกับปฏิบัติการนี้ซะ รีบไปขึ้นยานเถอะ”

“ยังพอมีเวลาเหลืออยู่ ฉันยังอยากจะลองอะไรดูอีกนิด”

“เวลาที่ไหนกันล่ะ!? การโจมตีจะเริ่มขึ้นในอีกไม่ถึงชั่วโมงแล้วนะ! หลายวันมานี้เธอก็ทำทุกอย่างที่ทำได้ไปหมดแล้ว! ยอมรับความจริงซะทีสิ!”

อาร์วินยังคงนิ่งเงียบด้วยสีหน้าที่สื่อว่ายังไม่อยากยอมรับเรื่องนี้ แต่ทันใดนั้นเองสัญญาณเตือนภัยของฐานก็ดังขึ้น ทำให้เธอต้องรีบเปิดหน้าจอขึ้นมาติดต่อกับห้องควบคุม ทำให้มีภาพของโอเปเรเตอร์สาวประจำห้องควบคุมปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอ

“เกิดอะไรขึ้นน่ะ? ทำไมถึงมีการเปิดสัญญาณเตือนภัยล่ะ?”

“ปฏิบัติการเจเนซิสเริ่มแล้วค่ะ! พวกจักรกลมันส่งหน่วยรบออกมาโจมตีกองกำลังของฐานอื่น ๆ ที่กำลังเข้าประจำที่อยู่ ทำให้เราต้องเริ่มปฏิบัติการเร็วกว่ากำหนด! มีพวกจักรกลกลุ่มหนึ่งกำลังมุ่งมาทางนี้ด้วยค่ะ เลยมีคำสั่งให้ทุกคนสละฐานเดี๋ยวนี้! คุณอาร์วินก็รีบมาที่โรงเก็บยานเถอะนะคะ!”

เมื่อพูดจบ โอเปอเรเตอร์สาวก็ตัดการสื่อสารไป อาร์วินจึงเรียกดูภาพสถานการณ์การรบภายนอกฐานให้แสดงขึ้นมาบนหน้าจอต่าง ๆ นับสิบหน้าจอที่อยู่ในห้องนี้

มันเป็นภาพการต่อสู้ทั้งทางบกและทางอากาศ ระหว่างกองกำลังของฐานต่าง ๆ กับกองทัพของพวกจักรกล ซึ่งเป็นไปอย่างก้ำกึ่ง แต่อาร์วินเห็นว่านั่นยังไม่ใช่กำลังหลักของพวกจักรกลเลยด้วยซ้ำ

“แย่จริง ๆ … ดันถูกโจมตีในขณะที่ยังกระจายตัวกันเป็นวงกว้างแบบนี้ การจะสร้างโอกาสให้ขบวนอพยพฝ่าแนวป้องกันไปที่โพรงได้ยิ่งยากเข้าไปอีก”

“มัวดูอะไรอยู่ล่ะอาร์วิน! รีบไปที่ยานเร็ว ๆ เข้าเถอะ!”

เจสรู้สึกร้อนใจมากขึ้นจึงเร่งให้อีกฝ่ายรีบไปยังยานลำเลียง แต่อาร์วินก็ส่ายหน้า

“ไม่มีประโยชน์หรอก ปฏิบัติการนี้ล้มเหลวแล้วล่ะ… แผนของเราคือบุกโจมตีจากทุกทิศทาง บีบให้พวกจักรกลอยู่แต่ในวงที่จำกัดและตรึงความสนใจของแนวป้องกันไว้เพื่อให้กองยานคุ้มกันพาขบวนอพยพหนีออกไปได้ง่ายขึ้น แต่ตอนนี้พวกมันเป็นฝ่ายส่งกำลังออกมาโจมตีเราแทน แนวป้องกันภาคพื้นดินที่ใต้โพรงยังไม่มีใครไปเบี่ยงเบนความสนใจเลยด้วยซ้ำ แบบนี้ไม่มีทางฝ่าไปได้หรอก”

“เลิกพูดแบบนั้นซะทีจะได้มั้ย!? ไม่ใช่ทุกอย่างมันจะตีค่าเป็นตัวเลขหรือเป็นเปอร์เซ็นต์ได้หรอกนะ! ถ้าพยายามจนถึงที่สุดโดยไม่ตัดใจละก็ อาจเกิดปาฏิหาริย์ขึ้นมาก็ได้!”

“สำหรับคนบางคน ให้มีความเป็นไปได้น้อยแค่ไหนก็ถือเป็นความหวังได้ แต่สำหรับฉัน สิ่งที่แทบไม่มีโอกาสเกิดขึ้นได้น่ะไม่ควรค่าต่อการคาดหวังหรอก”

“แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ!? เธอจะรอความตายอยู่ที่นี่รึไง!?”

อาร์วินนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งโดยสายตายังคงจับจ้องการรบบนหน้าจออยู่ไม่เปลี่ยน ส่วนเจสก็กำลังชั่งใจว่าจะใช้กำลังบังคับพาเธอไปที่ยานดีหรือไม่

แต่ก่อนที่เจสจะตัดสินใจได้ อาร์วินก็เป็นฝ่ายพูดออกมา

“ยังไงเราก็ต้องสร้างโอกาสให้กับกองยานอพยพให้ได้… ฉันจะปล่อยเนเมซิสออกไป”

เจสคัดค้านเสียงแข็งเพราะสิ่งที่อาร์วินจะทำนั้นอาจลดโอกาสรอดของทุกคนให้น้อยลงกว่าเดิมซะอีก

“หา!? เธอจะบ้ารึไง!? ปล่อยอสูรที่ควบคุมไม่ได้ออกไปตอนนี้จะมีประโยชน์อะไรล่ะ? มันจะวิ่งไปหาพวกจักรกลอย่างที่เราต้องการรึเปล่าก็ไม่รู้เลย! เผลอ ๆ อาจหันมากินพวกเราก่อนด้วยซ้ำ!”

“การสร้างอสูรสงครามที่มีความนึกคิดตามที่เราต้องการเป็นเรื่องยาก ความล้มเหลวในช่วงหลายวันมานี้ทำให้ฉันรู้ดี แต่ถ้าเราทำในมุมกลับกันล่ะ?”

“มุมกลับเหรอ?”

“แทนที่จะสร้างอสูรที่มีความนึกคิด ก็ให้คนที่มีความนึกคิดมีพลังของอสูรแทน แบบนั้นไม่ง่ายกว่าเหรอ?”

อาร์วินหันมาพูดกับเจสด้วยรอยยิ้มและแววตาอันเย็นเยียบ ไม่รู้ว่านั่นเป็นความตั้งใจของเธอรึไม่ แต่นั่นก็ทำให้เจสถึงกับผงะและต้องถอยออกมา

“นี่เธอ… จะให้ฉันกลายเป็นเนเมซิสงั้นเหรอ!?”

“ก็บอกแล้วไงว่าจะให้ ‘คนที่มีความนึกคิด’ มีพลังของอสูร แล้วมันจะเป็นนายได้ยังไงกันล่ะ? คนที่จะทำเรื่องนี้ก็ต้องเป็นชั้นอยู่แล้ว”

อาร์วินปฏิเสธด้วยแววตาเบื่อหน่ายจนเหมือนกับกำลังดูแคลนอีกฝ่ายอยู่ ทำให้เจสรู้สึกตะหงิด ๆ เพราะรู้สึกเหมือนถูกด่าทางอ้อม แต่เขาก็ยังตกใจกับเรื่องที่เธอพูดมากกว่า

“ดะ… เดี๋ยวก่อน! แบบนั้นมันก็เสี่ยงเกินไปอยู่ดีนั่นแหละ! ถ้าล้มเหลวขึ้นมาล่ะ!?”

“ฉันก็แค่ตาย อย่างที่ควรจะเป็นเมื่อปฏิบัติการนี้ล้มเหลวไงล่ะ ซึ่งมันกำลังจะล้มเหลวอย่างแน่นอน แต่ถ้าทำสำเร็จละก็ ทุกคนอาจรอดไปได้… เอมี่จะรอดไปได้… ไม่คิดว่ามันคุ้มค่าที่จะเสี่ยงบ้างเหรอ?”

อาร์วินพูดด้วยแววตาอันมุ่งมั่น ทำให้เจสที่เคยคิดอยู่แวบหนึ่งว่าอีกฝ่ายเสียสติไปแล้วต้องเปลี่ยนความคิดอีกครั้ง เพราะสิ่งที่เขาเห็นเป็นแววตาของคนที่มีสติสัมปชัญญะครบถ้วน และตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้ว

เมื่อไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้ เขาจึงได้แต่ยอมทำตามแผนการของอาร์วิน โดยไม่โต้แย้งอะไรอีก

 

——————————————————————————————————–

 

Part 2

 

ที่โรงเก็บยาน เอมิลี่กำลังนั่งรออย่างกระวนกระวาย เพราะยานลำนี้เป็นยานลำสุดท้ายที่กำลังจะออกบินแล้ว แต่อาร์วินกับเจสก็ยังไม่มาซะที

เมื่อดูเหมือนว่าคนในฐานจะมากันครบหมดแล้ว เจ้าหน้าที่ประจำเครื่องจึงเตรียมปิดประตูด้านหลังของห้องโดยสาร  ทำให้เอมิลี่ต้องรีบห้ามไว้

“เดี๋ยวก่อนค่ะ! ยังมีอีกสองคนที่ยังไม่มานะคะ!”

“นี่เราก็รอมานานมากแล้วนะ! รอนานกว่านี้ไม่ได้แล้วล่ะ! ถ้าคลาดกับขบวนอพยพกลุ่มอื่น ๆ ละก็ โอกาสรอดของเราจะยิ่งต่ำลงอีก! แถมพวกจักรกลก็ใกล้จะมาถึงที่นี่แล้วนะ!”

“ตะ… แต่ว่า…”

เอมิลี่ไม่สามารถโต้แย้งเจ้าหน้าที่ประจำเครื่องได้ และเธอก็ไม่อยากให้ทุกคนต้องมาเสี่ยงด้วยเหมือนกัน แต่เธอก็ไม่อยากทิ้งอาร์วินกับเจสไว้ที่นี่แล้วหนีไปคนเดียวอยู่ดี เธอจึงตัดสินใจวิ่งสวนกับเจ้าหน้าที่ประจำเครื่องและลงจากยานขนส่งไปก่อนที่ประตูจะปิดลง

“เฮ้! เดี๋ยวก่อน!”

“ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ! ฉันจะหาทางอื่นดู! ทุกคนรีบไปเถอะค่ะ”

เมื่อพูดจบ เอมิลี่ก็วิ่งกลับเข้าไปในฐาน ทำให้เจ้าหน้าที่ประจำเครื่องไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากปิดประตูของยานขนส่ง และสั่งให้นักบินนำเครื่องขึ้นบิน

 

——————————————————————————————————–

 

Part 3

 

อีกด้านหนึ่ง ที่ห้องวิจัยพันธุกรรม อาร์วินก็ขึ้นไปยืนบนฐานของหลอดแก้วทดลองซึ่งตั้งอยู่บนลิฟต์ขนส่งขนาดใหญ่ที่ใช้เคลื่อนย้ายอุปกรณ์หนัก ก่อนจะสั่งการกับเจสเป็นครั้งสุดท้าย

“เข้าใจแล้วนะ? ถ้าเห็นท่าไม่ดีหรือมีอะไรผิดปกติละก็ ให้กดปุ่มเริ่มการทำงานของลิฟต์ขนส่งซะ มันจะได้ส่งฉันกับหลอดทดลองนี่ออกไปนอกฐาน”

“เธอจะไม่ทบทวนเรื่องนี้ดูอีกครั้งเหรอ?”

“ยานขนส่งลำสุดท้ายน่าจะออกไปแล้วนะ ถ้าไม่เร่งมือเข้าละก็คงเปิดทางให้กับขบวนอพยพไม่ทันกันพอดี มีแต่ทางนี้ทางเดียวที่จะเพิ่มโอกาสรอดให้กับเอมี่ได้”

เมื่อเห็นแววตาอันมุ่งมั่นและได้ยินเป้าหมายที่ชัดเจนจากปากของอาร์วินแล้ว เจสก็ไม่ถามอะไรอีก และเดินไปรอที่แผงควบคุมตามที่ตกลงกับเธอเอาไว้

อาร์วินยกหน้ากากออกซิเจนขึ้นมาเพื่อเตรียมสวม แต่ก่อนที่จะสวมมัน เธอก็หันไปพูดกับเจสอีกครั้งด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบาซึ่งปนความรู้สึกผิดอยู่

“ขอโทษด้วยนะที่ทำให้นายต้องอยู่ที่นี่…”

คำขอโทษของอาร์วินทำให้เจสรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าเธอจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมา แต่การแสดงความอ่อนโยนของอาร์วินก็ทำให้เขายิ้มได้อีกครั้ง

“ไม่ต้องคิดมากหรอก ยังไงฉันก็ไม่กะจะไปกับกลุ่มอพยพอยู่แล้ว”

“แค่กลายเป็นผู้หญิงก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วงั้นเหรอ? เป็นลูกผู้ชายรึเปล่าเนี่ย?”

อาร์วินกล่าวหยอกล้อด้วยสีหน้าเย้ยหยัน ซึ่งเจสก็ยิ้มรับอย่างไม่ถือสา

“คำพูดของเธอมันขัดกันแปลก ๆ นะ… แต่ไม่ใช่เพราะเรื่องกลายเป็นผู้หญิงหรอก ฉันแค่…”

“พอรู้ว่าเป็นแค่ร่างโคลนเลยไม่รู้จะอยู่ไปทำไมสินะ…”

เจสมองกลับไปยังอาร์วินอีกครั้งและนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายก็อยู่ในสภาพหม่นหมองราวกับคนเบื่อโลกมาตลอดนับแต่รู้ความจริงเหมือนกัน แต่ตอนนี้เธอกลับแสดงความมุ่งมั่นในการมีชีวิตอยู่อย่างเต็มเปี่ยม ซึ่งเขาก็อยากจะถามเธอในเรื่องนี้เช่นกัน แต่ยังไม่ทันที่จะเอ่ยปาก อาร์วินเป็นฝ่ายพูดออกมาซะก่อน

“ถ้าหากหาเหตุผลที่จะอยู่เพื่อตัวเองไม่ได้ ก็ลองหาเหตุผลในการอยู่เพื่อคนอื่น… เพื่อคนที่เรารักดู ก็แค่นั้นแหละ”

อาร์วินบอกกับเจสด้วยแววตาอันอ่อนโยน ก่อนจะสวมหน้ากากออกซิเจนและกดเริ่มการทำงานของหลอดทดลอง ทันใดนั้นหลอดแก้วขนาดใหญ่ก็เลื่อนลงมาครอบร่างของเธอเอาไว้ แล้วปล่อยของเหลวสีเขียวอ่อนออกมาจนเต็มหลอด ก่อนที่สายทั้งหมดที่เชื่อมต่อกับหลอดแก้วจะปลดตัวเองและถูกดึงออกมาจากลิฟต์เพื่อไม่ให้มีอะไรขวางการปิดประตู

กระบวนการนี้คือการถ่ายทอดพันธุกรรมเนเมซิสเข้าไปในร่างของอาร์วิน ทำให้เกิดการกลายพันธุ์ขึ้นมา โดยอาร์วินหวังว่าหากเธอผ่านกระบวนการนี้ไปโดยยังครองสติเอาไว้ได้ก็จะทำให้เธอมีพลังของเนเมซิส และจะใช้มันในการต่อสู้กับพวกจักรกล

แต่หากทุกอย่างล้มเหลว อาร์วินเกิดอาการคลุ้มคลั่ง เจสก็จะเป็นคนกดปุ่มส่งหลอดทดลองที่อาร์วินอยู่ออกไปนอกฐานแทน ซึ่งเขาก็ได้แต่เฝ้ามองหลอดแก้วที่อาร์วินกำลังแช่อยู่ด้วยใจเต้นระส่ำ เพราะไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของมันจะออกมาเช่นไร

ระหว่างที่กำลังเฝ้ามองอาร์วินอยู่นั้นเอง ประตูห้องก็เปิดออก ทำให้เจสต้องหันไปมองด้วยความแปลกใจ เพราะในฐานนี้ไม่น่าจะมีใครเหลืออยู่อีกแล้วนอกจากพวกเขา

สิ่งที่เจสพบทำให้เขาต้องตกใจขึ้นไปอีก เพราะคนที่มาก็คือเอมิลี่นั่นเอง

“เอมี่!? ทำไมถึงอยู่ที่นี่ล่ะ!?”

“ยังจะถามอีกเหรอ!? ก็เธอกับพี่ยังไม่ไป แล้วฉันจะไปได้ยังไงล่ะ! ไหนสัญญาว่าจะไปด้วยกันไง!? แล้วนี่อาร์วินอยู่ไหน!?”

“อะ… อาร์วินน่ะ…”

เจสพูดตะกุกตะกักเพราะไม่รู้จะอธิบายเรื่องอาร์วินกับเอมิลี่อย่างไรดี ด้วยความสับสนทำให้เขาอดเหลือบไปมองอาร์วินที่อยู่ในหลอดทดลองไม่ได้ แต่ทันใดนั้นเองเขาก็สังเกตเห็นความผิดปกติ

อาร์วินที่อยู่ในหลอดทดลองกำลังเอามือกุมขมับด้วยท่าทางทุรนทุราย ถือเป็นสัญญาณที่ไม่ค่อยดีนัก เจสจึงเลื่อนมือไปที่แผงควบคุมเพื่อเตรียมจะกดปุ่มส่งหลอดทดลองออกนอกฐานไป ทว่าเอมิลี่ซึ่งมองตามเจสไปก็เห็นอาร์วินกำลังทุรนทุรายอยู่ในหลอดทดลองเช่นกัน เธอจึงรู้สึกตกใจมาก

“นี่นายทำอะไรน่ะ!? ทำไมพี่ถึงไปอยู่ในนั้นล่ะ!?”

“ยะ.. หยุดก่อนเอมี่! ไม่ได้นะ!!”

เอมี่พยายามจะเข้าไปกดปุ่มเพื่อหยุดการทำงานของเครื่องและปล่อยอาร์วินออกมา เจสจึงต้องหันมารั้งตัวเธอเอาไว้เพื่อไม่ให้เอมิลี่ไปถึงแผงควบคุมได้

“ปล่อยนะ! นายคิดจะทำอะไรกันแน่!?”

“ใจเย็น ๆ ก่อนสิเอมี่! ฟังฉันอธิบายก่อน!”

ระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังยื้อยุดกันอยู่นั้นเอง เจสก็ได้ยินเสียงแตกของหลอดแก้วดังสนั่น ตามมาด้วยเสียงน้ำไหลทะลักอย่างรุนแรง เมื่อหันกลับไปดู สิ่งที่เขาพบก็คืออาร์วินที่พังหลอดแก้วออกมายืนอยู่ด้านนอก

เจสรู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งตัว เขาสัมผัสได้ว่าอาร์วินที่ออกมาจากหลอดแก้วนี้ไม่ใช่อาร์วินคนเดิมอีกต่อไปแล้ว แต่เอมิลี่ที่ไม่รู้เรื่องต่าง ๆ เลย เมื่อได้เห็นอาร์วินออกมาจากหลอดแก้วจึงรีบวิ่งเข้าไปหาด้วยความดีใจ

“พี่คะ!”

“เอมี่! หยุดก่อน!”

เพราะมัวแต่ยืนตะลึง เจสจึงรั้งตัวเอมิลี่เอาไว้ไม่ทัน ในขณะนั้นอาร์วินก็เงยหน้าขึ้นมามองทั้งสองคน เผยให้เห็นดวงตาอันแดงก่ำที่ตอนนี้เอมิลี่ยังไม่ทันได้สังเกตเลยสักนิด

มือขวาของอาร์วิน กลายสภาพเป็นกรงเล็บขนาดใหญ่ก่อนจะตวัดเสยเข้าแทงร่างของสาวน้อยที่วิ่งเข้าไปเพื่อจะกอดเธอ เอมิลี่จึงหยุดชะงักไปด้วยอาการตกตะลึง

“พี่คะ…?”

เอมิลี่เงยหน้าขึ้นมาสบตากับอาร์วิน ซึ่งตอนนี้นัยน์ตาของเธอเป็นสีแดงก่ำ รูม่านตาก็เรียวเล็กราวกับเป็นดวงตาของสัตว์ร้าย แต่เอมิลี่ก็พยายามจะเรียกชื่อของอาร์วินต่อไป ทว่าแทนที่จะมีเสียงออกมา กลับมีเพียงแต่เลือดไหลล้นออกมาจากริมฝีปากของเธอแทน

“เอมี่!!!”

เจสตะโกนเรียกเอมิลี่อย่างสิ้นหวังเพราะเขาไม่อาจทำอะไรเพื่อช่วยเธอได้ และในเวลานั้นเองก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น

ร่างของเอมิลี่ที่ถูกกรงเล็บเสียบคาอยู่เริ่มมีเส้นเลือดปูดขึ้นมาตามผิวหนัง เส้นเลือดพวกนี้ยังมีการเคลื่อนไหวเหมือนกำลังสูบฉีดอะไรบางอย่างไปตามร่างกายของเธออย่างต่อเนื่อง จากนั้นไม่นานก็มีรยางค์หลายเส้นแทงออกมาจากร่างของเอมิลี่ และพุ่งไปเกี่ยวรัดกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง

รยางค์เหล่านั้นปล่อยของเหลวบางอย่างออกมาทำให้สิ่งของที่มันเกี่ยวรัดอยู่เริ่มหลอมละลายและถูกดูดกลืนผ่านทางสายรยางค์นั้นส่งผ่านร่างของเอมิลี่ที่ค่อย ๆ ซูบลงเรื่อย ๆ กลับไปยังอาร์วิน ซึ่งตอนนี้กำลังกลายสภาพไปทีละน้อย

ร่างของอาร์วินเริ่มมีกระดูกและกล้ามเนื้องอกออกมาทั่วร่างและขดตัวซ้อนกันไปเรื่อยๆ ซึ่งเมื่อดูดกลืนอุปกรณ์โดยรอบรวมถึงร่างของเอมิลี่เข้าไปจนหมดแล้ว อาร์วินก็กลายสภาพเป็นอสูรกายโดยสมบูรณ์

อสูรตัวนั้นมีสี่ขาสี่แขน ร่างกายกำยำราวกับนักกล้าม และมีรยางค์จำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งงอกออกมาจากแผ่นหลังหวัดแกว่งไปมาราวกับฝูงงู บริเวณกรามและปากถูกแบ่งออกเป็นชิ้น ๆ คล้ายกับปากแมลง แต่ภายในนั้นกลับเต็มไปด้วยคมเขี้ยวซี่เล็ก ๆ อันถี่ยิบที่ทับซ้อนกันหลายต่อหลายชั้น ราวกับฟันปลาฉลาม

เจสซึ่งกำลังเหงื่อแตกเพราะความหวาดกลัวต่อสิ่งที่ได้เห็นอยู่ตรงหน้าคิดอยากจะหนีไปใจจะขาด แต่ในเวลานั้นเขาก็นึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมา

หลังจากได้รู้เรื่องที่ตัวเองเป็นโคลนมาตั้งแต่ร่างก่อน เขาก็ไม่รู้สึกว่าชีวิตตัวเองมีค่าหรือมีความหมายอีกต่อไป ถึงได้ตกอยู่ในภาวะหมดอาลัยตายอยากเป็นเวลานาน แต่ตอนนี้กลับจะมากลัวตายซะได้ ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองช่างน่าหัวเราะซะจริง

อีกอย่างคือเขานึกถึงสิ่งที่อาร์วินพูด เกี่ยวกับการหาเหตุผลในการชีวิตอยู่เพื่อคนอื่น ซึ่งตอนนี้เหล่าผู้คนในโครงการโนอาห์ต่างก็กำลังต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดไปจากโลกนี้ ส่วนเนเมซิสนี่คือผลงานจากการเสียสละตัวเองของอาร์วิน ซึ่งเพิ่งจะกลืนชีวิตของเอมิลี่ไปด้วย เขาไม่อยากให้ชีวิตของทั้งสองคนต้องเสียเปล่า จึงอยากจะเดิมพันครั้งสุดท้ายกับการส่งเนเมซิสขึ้นไปบนพื้นโลกดู

เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้ว เจสจึงตัดสินใจว่าจะพยายามล่อเนเมซิสไปที่ลิฟต์ เพื่อส่งมันออกไปนอกฐาน

อาร์วินที่กลายเป็นเนเมซิสเริ่มขยับตัวเข้ามาหาเจสอย่างช้า ๆ ซึ่งเมื่อรอให้มันเข้ามาถึงจุดที่เหมาะสม เขาก็วิ่งอ้อมหลอดทดลองไปยังอีกด้านหนึ่งของห้อง เพื่อตรงไปยังลิฟต์ที่เตรียมเอาไว้ในทีแรก

เนเมซิสพยายามพุ่งตามเจสไปในทันที แต่เพราะพื้นที่ในห้องค่อนข้างแคบและมีอุปกรณ์วางระเกะระกะอยู่มากมาย เป็นอุปสรรคต่อร่างกายอันใหญ่โตเทอะทะนั้น ทำให้เจสสามารถไปถึงลิฟต์ได้ก่อน เจ้าอสูรกายก็อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก

เมื่อไปถึงลิฟต์แล้ว เจสก็กดปุ่มให้ลิฟต์ทำงานทันที ประตูลิฟท์จึงเริ่มปิดตัวลง ในเวลาเดียวกันเนเมซิสก็พุ่งเข้าหาเจสที่ยืนอยู่ในลิฟต์ด้วยความเร็วเต็มที่ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาตั้งใจเอาไว้อยู่แล้ว

เมื่อเจ้าอสูรกายพุ่งเข้าไปในลิฟต์ เจสก็กลิ้งตัวหลบการพุ่งเข้าใส่ของมันได้แบบฉิวเฉียด ทำให้ร่างของเนเมซิสชนเข้ากับผนังของลิฟต์อย่างจัง ส่วนเจสก็อาศัยจังหวะนั้นรีบโดดออกมาจากลิฟต์ก่อนที่ประตูจะปิด

ในเสี้ยววินาทีที่เจสกำลังจะออกมาพ้นประตูลิฟต์นั้นเอง กรงเล็บของเนเมซิสที่บิดตัวกลับมาเหวี่ยงฝ่ามือสกัดเป็นครั้งสุดท้ายก็ปาดเข้าที่ชายโครงของเจสจนเกิดเป็นแผลฉกรรจ์ แต่เขาก็สามารถพุ่งตัวออกมาจากลิฟต์ได้ทันท่วงทีก่อนที่ประตูลิฟต์จะปิดสนิท ทำให้มีเพียงเจ้าอสูรร้ายที่ถูกส่งขึ้นไปยังโลกเบื้องบน

 

——————————————————————————————————–

 

Part 4

 

เจสคบคลานมานอนพิงแผงบนควบคุมอันหนึ่งในห้องด้วยอาการเหนื่อยหอบ บาดแผลที่ถูกกรงเล็บบาดนั้นค่อนข้างลึกและยังมีเลือดไหลออกมาตลอดเวลา ทำให้เจสรู้ตัวว่าเขาคงเหลือเวลาอยู่อีกไม่นานแล้ว

ในระหว่างที่กำลังพักหายใจอยู่นั้นเอง แสงไฟภายในฐานก็เปลี่ยนเป็นสีแดงพร้อมกับเสียงสัญญาณเตือนภัยที่กลายเป็นระดับสูงสุด

“โธ่เว้ย… อะไรอีกล่ะเนี่ย…”

เจสพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อนเพราะเสียเลือดไปมาก เขาคิดจะขยับตัวไปเปิดหน้าจอสอดแนมเพื่อดูสถานการณ์ภายนอกอีกครั้ง แต่แม้ว่าปุ่มควบคุมจะอยู่บนแผงควบคุมเหนือหัวของเขาที่พอจะเอื้อมแขนไปกดได้ สำหรับเจสในตอนนี้มันก็เป็นเรื่องที่ยากเย็นเหลือเกิน

ระหว่างที่เขากำลังสูดลมหายใจรวบรวมกำลังเพื่อเอื้อมมือไปกดปุ่มนั้น ภาพโฮโลแกรมของเหล่าผู้ดูแลทั้งสามก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของเขา ทำให้เจสรู้สึกแปลกใจ

“พวกนายเองก็ไปไหนไม่ได้เหมือนกันสินะ? ก็เป็นแค่ระบบปฏิบัติการนี่นา”

เหล่าผู้ดูแลทั้งสามเป็นคลื่นสมองที่ถูกถ่ายทอดเข้ามาเก็บไว้ในระบบเพื่อให้เป็นผู้ดูแลโครงการโนอาห์ในช่วงเวลาหลายร้อยปีมานี้ แม้เจสจะเคยรู้สึกเคียดแค้นพวกเขาเรื่องที่หลอกมาเข้าโครงการโนอาห์โดยไม่ได้บอกว่าเป็นการเก็บเฉพาะความทรงจำไว้แล้วสร้างร่างโคลนขึ้นมาใหม่ แต่ในตอนนี้ทุกอย่างมันก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว

พวกผู้ดูแลกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้องอยู่พักหนึ่งเหมือนกับจะสำรวจสภาพห้องที่พังเสียหายไปเกือบครึ่ง ก่อนที่หนึ่งในผู้ดูแลจะหันมาพูดกับเจส

“เธอคือคนที่ปล่อยเจ้าสิ่งนั้นขึ้นไปข้างบนงั้นรึ?”

“ถ้าหมายถึงอสูรกายที่ถูกส่งขึ้นไปทางลิฟต์ละก็ คงจะใช่แหละนะ มันกำลังทำลายฐานอยู่เหรอ?”

ผู้ดูแลไม่ได้ตอบคำถามของเจส แต่เปิดหน้าจอสอดแนมขึ้นมาเพื่อให้เขาได้ดูสถานการณ์ภายนอก

ที่ด้านนอกฐาน มีกองกำลังจักรกลจำนวนมากบุกเข้ามา เป็นสาเหตุของสัญญาณเตือนภัยระดับสูงสุด

แต่ที่เจสแปลกใจก็คือพวกมันกำลังต่อสู้กันเองอยู่ ไม่ได้สู้กับกองกำลังของฐาน 101 หรือกับเนเมซิสอย่างที่เขาคาดไว้

“อะไรกัน? ทำไมพวกมันถึงสู้กันเองล่ะ?”

เมื่อได้ยินคำถามนั้น ผู้ดูแลก็ซูมภาพระยะใกล้ให้เขาดูชัด ๆ เขาจึงเห็นว่าพวกจักรกลส่วนหนึ่งมีลักษณะผิดแปลกไปอย่างเห็นได้ชัด

แม้สภาพโดยรวมจะยังคงเป็นหุ่นยนต์ที่มีรูปร่างเหมือนกับจักรกลตัวอื่น ๆ แต่ตามข้อต่อและภายในเกราะเหล็กที่หุ้มตัวมันอยู่นั้นกลับเป็นมัดกล้ามเนื้อที่แผ่กิ่งก้านสาขาเหมือนกับรากไม้เกาะก่ายไปทั่วทุกส่วน ราวกับเป็นกาฝากที่มีชีวิต ทำให้จักรกลพวกนี้มีลักษณะเหมือนกับเป็นไซบอร์ก (จักรกลผสมชีวะ)

พวกจักรกลที่ถูกกาฝากนี้เกาะได้หันไปสู้กับจักรกลตัวอื่น ๆ และระหว่างที่สู้กันก็ยังปล่อยรยางค์ออกไปรัดพันศัตรูที่อยู่ในระยะประชิด ก่อนที่รยางค์นั้นจะชอนไชไปภายในตัวของเหล่าเครื่องจักรและแผ่กิ่งก้านสาขาแตกแขนงออกมาเกาะเหยื่อร่ายใหม่ จนกลายเป็นไซบอร์กตัวต่อไป

แม้แต่เศษซากของพวกจักรกลที่ถูกทำลายไปแล้วก็ยังโดนรยางค์ของพวกไซบอร์กชอนไชแล้วปลุกชีพขึ้นมาให้กลายเป็นไซบอร์กตัวใหม่ ราวกับเป็นการแพร่กระจายของเชื้อซอมบี้ ในเวลาไม่นานกองกำลังจักรกลที่มาบุกฐาน 101 ก็ถูกกาฝากเหล่านี้ยึดครองและกลายเป็นกองทัพไซบอร์กไปทั้งหมด

ภาพที่ได้เห็นทำให้เจสรู้สึกตกตะลึงอยู่ไม่น้อย เพราะนี่เป็นอะไรที่เหนือกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก

“นั่นน่ะเหรอการกลืนกินที่อาร์วินบอก… พลังของเนเมซิส… ถ้าแบบนี้ละก็…”

เมื่อได้เห็นพลังของเนเมซิสแล้ว เจสก็เริ่มรู้สึกมีความหวังขึ้นมา เพราะถ้าทำได้แบบนี้ละก็ ขอเพียงแค่เนเมซิสมุ่งหน้าไปยังแนวป้องกันของพวกจักรกลอย่างที่เขาหวังไว้ ก็อาจเปิดทางให้กับกลุ่มผู้อพยพตามที่เขากับอาร์วินต้องการได้

พวกไซบอร์กที่เกิดจากเนเมซิสยืนนิ่งอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะมีปีกใส ๆ คล้ายกับปีกแมลงงอกออกมาตามร่างกาย จากนั้นพวกมันก็บินขึ้นไปบนฟ้าและมุ่งตรงไปยังแนวป้องกันของพวกจักรกล

“สำเร็จงั้นเหรอ… เจตนาของเธอยังหลงเหลืออยู่ในนั้นสินะอาร์วิน…”

เจสถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาคิดว่าความตั้งใจของอาร์วินคงยังหลงเหลืออยู่บ้างบางส่วน พวกไซบอร์กของเนเมซิสจึงมีการเคลื่อนไหวแบบนั้น แต่เหล่าผู้ดูแลกลับเห็นเป็นอีกอย่างหนึ่ง

“เนเมซิสน่ะไม่มีความนึกคิดอะไรหรอก เมื่อถูกปล่อยออกไปข้างนอกแล้ว มันก็คงจะกลืนกินทุกอย่างที่ขวางหน้านั่นแหละ”

“หา? แต่ว่ามันก็มุ่งหน้าไปที่ฐานของพวกจักรกลตามความตั้งใจของอาร์วินนะ”

“มันแค่ไปยังที่ ๆ มีเหยื่ออยู่ต่างหากล่ะ ดูนั่นสิ”

เมื่อได้ยินที่ผู้ดูแลบอก เจสก็หันกลับไปมองที่หน้าจออีกครั้ง และพบว่าฝูงไซบอร์กกำลังโจมตีกองกำลังภาคพื้นดินของมนุษย์กลุ่มหนึ่งอยู่ เพราะพวกเขาอยู่ระหว่างทางที่จะไปยังฐานของพวกจักรกล

ผู้คนที่นั่นถูกไล่สังหารอย่างไม่ปราณี แถมหลายคนก็ยังโดนรยางค์ชอนไชปล่อยกาฝากเข้าไปในตัวจนกลายสภาพเป็นอสูรกายไล่ทำร้ายคนอื่นต่อไปเรื่อย ๆ เหล่าทหารที่เหลือจึงได้แต่หนีตายเอาตัวรอด แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครที่สามารถรอดจากพวกเนเมซิสไปได้

ระหว่างที่กลุ่มหนึ่งกำลังกัดกินครอบงำกองกำลังของมนุษย์อยู่ อีกส่วนก็ไปโจมตีกองกำลังของพวกจักรกลเพื่อยึดครองร่างและเพิ่มจำนวนต่อไปเรื่อย ๆ กองกำลังทั้งสองจึงถูกทำลายและกลายเป็นสมุนของเนเมซิสไปทั้งหมดในเวลาไล่เลี่ยกัน

“บ้าน่า… โจมตีแบบไม่เลือกเลยงั้นเหรอ… แต่อย่างน้อยถ้ามุ่งหน้าต่อไปยังฐานของพวกจักรกลละก็”

“อืม… หากกลุ่มเนเมซิสไปถึงฐานของพวกจักรกลได้ก็น่าจะพอสร้างโอกาสให้กับขบวนอพยพได้ล่ะ”

ในเมื่อเป็นแบบนี้ เจสก็ได้แต่ภาวณาให้พวกเนเมซิสสร้างโอกาสให้กับขบวนอพยพได้สำเร็จเท่านั้น ซึ่งเมื่อกองกำลังของเนเมซิสเคลื่อนที่เข้าไปใกล้แนวป้องกันของพวกจักรกลก็ถูกระดมยิงโจมตีอย่างหนักทันที

พวกไซบอร์กและอสูรกายของเนเมซิสแม้จะถูกโจมตีจนบาดเจ็บหนักก็ยังฟื้นฟูร่างกายอย่างรวดเร็วจนกลับมาเคลื่อนไหวได้อีกครั้ง จึงรุกคืบเข้าไปใกล้แนวป้องกันของพวกจักรกลมากขึ้นเรื่อย ๆ พวกจักรกลเลยต้องทุ่มการป้องกันทั้งหมดมาสกัดเหล่าเนเมซิสเทน

การหันเหความสนใจนี้ทำให้การป้องกันเกิดช่องโหว่ขึ้นในที่สุด กองยานคุ้มกันของฝ่ายมนุษย์จึงนำขบวนผู้อพยพตีฝ่ากองกำลังทางอากาศของพวกจักรกลเพื่อตรงไปยังโพรงบนฟ้าในทันที

 

——————————————————————————————————–

 

Part 5

 

เพราะกองกำลังทางอากาศส่วนหนึ่งของพวกจักรกลถูกส่งลงไปต้านทานการบุกของพวกเนเมซิสด้วย ทำให้การป้องกันบนฟ้าเบาบางลงไปมาก ประกอบกับการร่วมมือกันของหน่วยอากาศยานจากทุกฐาน ทำให้สามารถฝ่าแนวป้องกันของพวกจักรกลขึ้นไปถึงโพรงบนฟ้าได้ในที่สุด

บริเวณปากโพรงยังมีฐานทัพของพวกจักรกลฝังตัวอยู่โดยรอบ แต่ฐานเหล่านี้เหมือนถูกสร้างขึ้นเพื่อการขุดเจาะมากกว่า ไม่ได้มีอาวุธหรืออุปกรณ์ต่อต้านอากาศยานติดตั้งเอาไว้มากนัก กองยานคุ้มกันจึงสามารถเข้าตรึงพื้นที่และให้ขบวนยานขนส่งของผู้อพยพผ่านเข้าไปในโพรงได้อย่างปลอดภัย

ด้านในโพรงนั้นมีแต่ความมืดและเงียบสงบ ผิดกับภายนอกที่โกลาหลวุ่นวายราวกับนรกเป็นคนละเรื่อง เมื่อผ่านเข้ามาถึงส่วนนี้ทำให้เหล่านักบินของยานแต่ละลำเริ่มเก็บอาการดีใจเอาไว้ไม่อยู่

“ด้านในนี้ไม่มีพวกมันอยู่เลย! ทางสะดวกมาก! แถมยังเริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอีกฟากนึงแล้วด้วย! แบบนี้เราต้องรอดไปได้แน่!

“อย่าเพิ่งประมาทล่ะ ที่ปลายทางอีกด้านอาจมีพวกจักรกลดักรออยู่ก็ได้ เตรียมพร้อมเอาไว้!”

แม้จะพูดเช่นนั้น แต่ผู้นำฝูงบินคุ้มกันอดถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาไม่ได้ เพราะเหมือนกับพวกเขาได้ผ่านส่วนที่ยากที่สุดของปฏิบัติการนี้มาแล้ว

ถึงจะมีการคาดการณ์ว่าปลายทางอีกด้านอาจมีพวกจักรกลดักรออยู่ แต่ดูจากความเงียบนี้ รวมทั้งไม่มียานจู่โจมจากอีกฝั่งหนึ่งถูกส่งลงมาสกัดพวกเขา ทำให้หัวหน้าฝูงบินเริ่มมีความหวังว่าอีกฟากหนึ่งอาจไม่มีอะไรอยู่เลยก็ได้ แปลว่าพวกเขาหนีพ้นแล้ว

แต่เมื่อมาได้เพียงครึ่งทาง ยานคุ้มกันที่นำหน้าฝูงบินทั้งหมดอยู่ก็เกิดการระเบิดอย่างไม่ทราบสาเหตุ

“อะไรน่ะ!? เราถูกโจมตีเหรอ!?”

“เรดาร์ตรวจไม่พบศัตรูในบริเวณนี้เลยนะครับ! และเราก็ไม่เห็นการโจมตีจากทิศไหน ๆ เลยด้วย!”

“ถ้างั้นยานนำขบวนจะระเบิดได้ยังไงกันล่ะ!?”

ระหว่างที่หัวหน้าฝูงบินกำลังถกเถียงกับผู้นำฝูงอีกกลุ่มหนึ่งอยู่ ยานนำขบวนอีกหลายลำก็ถูกทำลายเมื่อบินไปถึงจุดเดียวกับยาน ซึ่งการระเบิดอย่างไม่ทราบสาเหตุนี้ทำให้ทุกคนเริ่มตกอยู่ในภาวะสับสน

เมื่อเข้ามาใกล้จุดเกิดเหตุมากขึ้น หัวหน้าฝูงบินก็พบสาเหตุที่ทำให้ยานเหล่านั้นถูกทำลาย

มีกำแพงที่เกิดจากลวดลายอักขระเรืองแสงจำนวนมากถักทอกันขึ้นมาขวางกั้นโพรงเอาไว้ทั่วบริเวณ มันคือสิ่งที่กั้นระหว่างส่วนล่างกับส่วนบนของโพรง และทำให้ยานที่พุ่งชนมันเข้าเกิดการระเบิด

“นั่นมันอะไรน่ะ!? สนามพลังงั้นเหรอ!? ผู้นำฝูงทุกฝูง! ใช้อาวุธทั้งหมดที่มียิงโจมตีสนามพลังนั่นพร้อมกันเดี๋ยวนี้! ถ้าสร้างความเสียหายได้มากพอก็ต้องทำให้มันเกิดช่องโหว่ได้บ้างแหละน่า!”

เมื่อได้รับคำสั่ง ยานทุกลำก็ระดมอาวุธทั้งหมดที่มีระดมยิงใส่ม่านเรืองแสงนั่นในทันที แต่ไม่ว่าจะโจมตีเข้าไปเท่าไหร่ก็ดูเหมือนว่ากำแพงแสงที่ขวางกั้นระหว่างพวกเขากับอิสรภาพอยู่นี้จะไม่มีท่าทีระคายเคืองเลย

“บ้าน่า… ไอ้ของแบบนี้มัน… ไม่น่าจะเป็นไปได้เลยนี่นา…”

เพราะสนามพลังที่ขวางกั้นอยู่แข็งแกร่งจนไม่สามารถทำลายได้ กองยานจึงต้องชะลอความเร็วลงอย่างไม่มีทางเลือก แต่ในระหว่างที่หัวหน้าฝูงบินคุ้มกันกำลังลังเลว่าจะหันขบวนอพยพกลับลงไปดีรึไม่นั้นเอง ก็มีรายงานจากกองยานคุ้มกันที่ท้ายขบวนส่งมา

“หัวหน้าฝูงครับ! มีพวกจักรกลตามเราขึ้นมา! ไม่สิ! พวกมันเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้!”

เมื่อได้ยินการรายงานของผู้นำฝูงบินท้ายขบวน หัวหน้าฝูงบินก็เรียกดูภาพจากท้ายขวนขึ้นมา และพบว่ามีหุ่นจักรกลรูปร่างแปลกประหลาดจำนวนมากกำลังบินด้วยปีกคู่ใส ๆ คล้ายกับปีกของแมลงและมุ่งตรงขึ้นมาหาพวกเขาอย่างรวดเร็ว

จักรกลเหล่านั้นเกาะเข้ากับยานขนส่งก่อนจะปล่อยรยางค์ออกมาชอนไชเข้าไปด้านในแล้วดึงผู้คนออกมาทีละคน

ผู้คนที่ถูกรยางค์นั้นรัดพันและดึงออกมาก็ค่อย ๆ เปลี่ยนสภาพเป็นอสูรกายไปทีละน้อย เมื่อรยางค์ที่พันอยู่คลายตัวออกพวกเขาก็กางปีกที่เหมือนกับแมลงออกมาบินด้วยตัวเอง ก่อนจะมุ่งตรงไปโจมตียานลำอื่น ๆ ต่อไป

ภาพอันน่าสยดสยองนี้ทำให้ทุกคนตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก กองยานที่เหลือได้แต่พยายามหนีตายจากเหล่าอสูรกาย ส่วนหัวหน้าฝูงบินก็ได้แต่แหงนหน้ามองกำแพงเรืองแสงที่กั้นท้องฟ้าอยู่อีกครั้งด้วยความสิ้นหวัง

“ที่นี่มันกลายเป็นนรกไปแล้วงั้นเรอะ… แถมยังไม่มีทางออกไปจากนรกนี่มาตั้งแต่แรกแล้วด้วย… เรื่องแบบนี้มัน…”

หัวหน้าฝูงบินทั้งรู้สึกสิ้นหวังและเจ็บแค้นกับชะตากรรมอันน่าหดหู่ของตนเองและทุกคน แต่เขาก็ตั้งสติอีกครั้งก่อนจะขับยานกลับลงไปสู้กับพวกอสูรกาย โดยหวังเพียงว่าจะได้ตายสมกับเป็นชายชาติทหารในวาระสุดท้าย

 

——————————————————————————————————–

 

Part 6

 

เจสได้เห็นความพยายามอันล้มเหลวนี้โดยตลอดผ่านทางหน้าจอสอดแนมที่เหล่าผู้ดูแลเปิดให้ดู

กองยานคุ้มกันและยานขนส่งทั้งหมด ถ้าไม่ถูกทำลายจนร่วงลงมาจากฟากฟ้า ก็ถูกกลืนกินโดยพวกเนเมซิสไปทีละน้อย

ที่ด้านล่าง พวกเนเมซิสก็เข้าถึงฐานหลักของพวกจักรกลและเริ่มยึดครองฐานนั้นด้วยเช่นกัน แถมยังส่งพวกไซบอร์กชุดใหม่ ๆ ที่สร้างขึ้นมาได้ออกไปยังแนวรบอื่น ๆ ที่เหล่าผู้รอดชีวิตกำลังต่อสู้กับพวกจักรกลอยู่ ซึ่งเจสก็พอจะเดาผลลัพธ์ของมันได้อยู่แล้ว

“นี่… แปลว่าพวกเรา… มนุษย์ชาติจบสิ้นแล้วสินะ… ไม่สิ… มนุษย์ชาติที่แท้จริงน่ะได้จบสิ้นไปตั้งนานแล้ว ตั้งแต่วันที่พวกเราเข้าไปนอนในหลอดจำศีลนั่นต่างหาก…”

เจสพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโรยเพราะร่างกายของเขาใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว เขารู้ดีว่าคงเหลือเวลาอีกไม่มาก และทำใจยอมรับกับความตายที่กำลังจะมาถึง

“ยังไม่จบหรอกนะ”

คำพูดของผู้ดูแลคนหนึ่งทำให้เจสที่หลับตาลงเพื่อเตรียมจะตายอย่างสงบต้องลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งไม่ทันที่จะเอ่ยถาม ผู้ดูแลก็บอกถึงทางเลือกที่เหลืออยู่ให้กับเขา

“เรายังมีข้อมูลพันธุกรรมกับคลื่นสมองของทุกคนในฐานนี้บันทึกเอาไว้อยู่ ทำให้สามารถโคลนทุกคนกลับขึ้นมาใหม่ได้ ขอเพียงแค่เธอไปทำการปลดล็อคข้อมูลที่แผงควบคุมนั่นเท่านั้น”

เจสยังรู้สึกสับสนกับสิ่งที่ผู้ดูแลบอก แต่ที่เขาสงสัยมากที่สุดคือทำให้ต้องให้เขาเป็นคนทำเรื่องนี้ด้วย

“เรื่องนั้นพวกนายน่าจะทำเองก็ได้ไม่ใช่เหรอ? ทำไมต้องมาอาศัยฉันด้วยล่ะ?”

“อาร์วิน สโลน น่ะ ได้แอบทำการแฮคระบบปฏิบัติการของเราและล็อคข้อมูลพันธุกรรมกับคลื่นสมองเอาไว้ไม่ให้เราสามารถเข้าถึงได้ การจะปลดล็อคต้องทำจากแผงควบคุมภายนอกเท่านั้น แถมเรายังไม่รู้รหัสที่อาร์วินใช้ล็อคมันด้วย แต่ถ้าเป็นเธอละก็อาจจะรู้ก็ได้”

คำอธิบายของผู้ดูแลยิ่งทำให้เจสประหลาดใจขึ้นไปอีก เพราะไม่คิดว่าอาร์วินจะทำเรื่องแบบนี้เอาไว้ด้วย แต่เมื่อทบทวนดูดี ๆ แล้วก็ทำให้เขาเข้าใจ

“แบบนี้นี่เอง… นี่ก็เป็นเจตนาของเธอสินะ…”

เขากล่าวคำพูดกับตัวเองด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เหล่าผู้ดูแลจึงถามเขาอีกครั้ง

“อย่ามัวเสียเวลาอยู่อีกเลย เจส บริสตัน รีบทำการปลดล็อคข้อมูลซะ หรืออย่างน้อยก็บอกสิ่งที่น่าจะเป็นรหัสกับเรามา ขอเพียงเข้าถึงข้อมูลนี้ได้เราก็จะสร้างผู้รอดชีวิตขึ้นมาได้อีกครั้ง และมนุษย์ชาติก็จะยังมีหวังในการดำรงอยู่ต่อไป”

เจสทอดสายตามองไปยังพื้นห้องอันว่างเปล่าอยู่พักหนึ่งเหมือนกำลังรำลึกถึงเรื่องราวบางอย่าง แม้อาร์วินจะไม่เคยบอกรหัสอะไรกับเขา แต่จากคำพูดและการกระทำที่ผ่านมาของเธอก็ทำให้เขาพอจะเดาสิ่งที่เธอใช้เป็นรหัสได้อยู่สองสามอย่าง แต่ไม่ว่ามันจะถูกหรือไม่ เจสก็ไม่คิดจะบอกสิ่งเหล่านั้นกับผู้ดูแล

“ของแบบนั้นมันไม่ใช่ชีวิต… ไม่ใช่การอยู่รอดหรอก… ชะตากรรมอันน่ารันทดนี้น่ะ ให้มันจบลงแค่ที่พวกเราเถอะนะ…”

นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายของเจสที่พูดออกมาด้วยรอยยิ้มก่อนที่เขาจะหลับตาลงอีกครั้ง และไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย

เหล่าผู้ดูแลซึ่งรับรู้ถึงการตายของเจสก็พบว่าคงไม่มีทางที่จะปลดล็อคข้อมูลเหล่านั้นได้อีกแล้ว พวกเขาทั้งสามจึงปรึกษากันถึงแนวทางต่อไปที่พอจะทำได้

“ในเมื่อเป็นแบบนี้จะทำยังไงดี? เท่ากับทุกอย่างจบสิ้นแล้วงั้นรึ?”

“ด้านนอกอาจมีคนรอดชีวิตบ้างก็ได้ เรายังไม่รู้แน่ชัดหรอก”

“โอกาสต่ำเกินไป โดยเฉพาะเมื่อสิ่งที่อาละวาดอยู่บนพื้นพิภพตอนนี้คือเนเมซิสที่พัฒนาจนสมบูรณ์ด้วยละก็ บนโลกคงไม่มีใครเหลือรอดหรอก”

ภาพโฮโลแกรมของผู้ดูแลทั้งสามต่างก็นิ่งเงียบไปเพราะหาทางออกในเรื่องนี้ไม่ได้ แต่ทันใดนั้นหนึ่งในผู้ดูแลก็เสนอความคิดออกมา

“ในหลอดโคลนนิ่งที่ถูกใช้ไปล่าสุดน่าจะยังมีต้นแบบข้อมูลที่ใช้โคลนเจส บริสตัน อยู่ เราน่าจะใช้ข้อมูลนั้นในการโคลนเขาขึ้นมาอีกครั้งได้”

“ทำไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร? เจ้าตัวคงไม่ยอมร่วมมือกับเราอยู่ดี หรืออาจไม่รู้รหัสของอาร์วินเลยก็ได้”

“ถึงเป็นอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยเราก็ยังมีมนุษย์เหลืออยู่ เราจะโคลนเจส บริสตัน ขึ้นมาเป็นผู้รอดชีวิตกลุ่มใหม่ของโลก เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนในตัวตนของร่างโคลนที่ถูกสร้างซ้ำคงต้องถ่ายทอดความทรงจำแค่เท่าที่จำเป็นและลดความยึดมั่นในตัวตนของแต่ละคนลง แบบนี้เราก็จะได้กลุ่มผู้รอดชีวิตสำหรับใช้ในการปฏิบัติการเพื่อหาทางออกให้กับมนุษย์ชาติต่อไป”

ผู้ดูแลคนอื่น ๆ เห็นด้วยกับแผนการนี้ เพราะไม่มีทางเลือกอื่นที่จะรักษาการคงอยู่ของมนุษย์ชาติอีกต่อไปด้วย พวกเขาจึงโคลนร่างของเจสขึ้นมาเป็นจำนวนมากเพื่อใช้งานตามที่ตั้งใจเอาไว้

 

——————————————————————————————————–

 

Part 7

 

อีกด้านหนึ่ง ที่ด้านล่างของโพรงบนท้องฟ้าซึ่งเคยเป็นฐานทัพของพวกจักรกล บัดนี้ได้ถูกทำลายจนราบพนาสูญและแทบไม่เหลือเค้าเดิมเลย เป็นเวลาเดียวกับที่พระอาทิตย์โคจรมาตั้งฉากกับโพรงบนท้องฟ้าพอดี ทำให้แสงอาทิตย์สาดส่องลงมายังพื้นดินเบื้องล่าง

ที่ตรงนั้นมีเนเมซิสเพียงหนึ่งตัวกำลังยืนอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัง เพราะเหล่าเนเมซิสตัวอื่น ๆ ต่างกระจัดกระจายกันออกไปกวาดล้างพวกจักรกลและมนุษย์ที่ยังเหลือรอดอยู่

พอได้ต้องแสงตะวันอันอบอุ่น ร่างของเนเมซิสตัวนั้นก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง

เปลือกและกล้ามเนื้อที่ห่อหุ้มร่างกายอันใหญ่โตของมันอยู่ค่อย ๆ หลุดร่อนออกไปทีละส่วน เผยให้เห็นหญิงสาวผมสีขาวที่อยู่ภายใน

กล้ามเนื้อบางส่วนแปรสภาพไปเป็นเส้นใยสังเคราะห์และห่อหุ้มร่างของหญิงสาวเอาไว้เหมือนกับเป็นอาภรณ์ ส่วนเปลือกนอกที่เหลือก็หลุดออกไปจนหมด ในที่สุดก็ปรากฏร่างของอาร์วินในชุดกาวน์สีขาวที่เธอใส่ประจำยืนอยู่ท่ามกลางแสงสว่าง

สายตาของอาร์วินยังคงเลื่อนลอยเหมือนกับคนไม่มีสติ ส่วนร่างกายและชุดของเธอก็ยังเปียกชื้นด้วยเมือกเหนียวจากการลอกคราบ แต่หลังจากยืนนิ่งอยู่สักพัก เธอก็เริ่มขยับตัว

เธอยกมือของตัวเองขึ้นมาจ้องมองอยู่พักหนึ่ง แล้วแววตาของเธอก็ค่อย ๆ ใสขึ้นเหมือนกับได้สติกลับคืนมาทีละน้อย

แต่สติที่กลับคืนมานั้น มาพร้อมกับความทรงจำที่ขาดหายไปด้วย

ในระหว่างที่จ้องมองมือของตัวเองอยู่ อาร์วินก็เห็นภาพเหตุการณ์ทุกอย่างตั้งแต่เธอเริ่มการทำงานของหลอดทดลองเพื่อถ่ายทอดความสามารถของเนเมซิสเข้าไปในร่างกาย จนกระทั่งถึงตอนที่เธอพังหลอดทดลองออกมา และใช้มือข้างนี้แทงร่างของเอมิลี่ ก่อนจะกลืนกินเธอเข้าไปทั้งตัว

เมื่อรำลึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทั้งหมด สติของอาร์วินก็เริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรงอีกครั้ง

“ไม่… มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ…”

อาร์วินพูดด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ และกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แต่เธอกลับได้เห็นภาพต่าง ๆ ส่งเข้ามาในหัวมากขึ้นเรื่อย ๆ

มันเป็นภาพของเหล่าอสูรที่เธอสร้างขึ้นค่อย ๆ ไล่ฆ่าและดูดกลืนเหล่าผู้รอดชีวิตไปทีละคน ๆ การกระทำของสมุนทุกตัวถูกส่งผ่านเป็นภาพมาให้เธอเห็นหมดทุกขั้นตอน มันเป็นภาพการสังหารหมู่ครั้งใหญ่ โดยมีเหยื่อเป็นมนุษย์ทุกคนที่เหลืออยู่บนโลกนี้

“มันต้องไม่ใช่แบบนี้!!!!!”

อาร์วินเอามือจิกลงไปในกระโหลกของตัวเองจนเลือดไหลนองออกมาแต่ก็ไม่สามารถหยุดภาพที่แล่นเข้ามาในหัวได้ และในที่สุดสติของเธอก็เริ่มเลือนลางไปอีกครั้ง

 

——————————————————————————————————–

 

Part 8

 

ที่ห้องสอบสวนของฐานโนอาห์หมายเลข 101 เวลาปัจจุบัน

ซาลกับซิสเตอร์ ที่ดูบันทึกในฐานข้อมูลจนจบ ต่างก็นิ่งเงียบไปด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกัน

ซิสเตอร์ มีท่าทีเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างโดยที่สีหน้าไม่ได้เปลี่ยนไปนัก ผิดกับซาลที่ทั้งรู้สึกแย่และหดหู่กับเรื่องราวทั้งหมดจนไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้

“นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นงั้นเหรอ… สุดท้ายคือพวกเขาก็ตายหมดงั้นเหรอ?”

“อืม… ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นนะ”

“ผู้คนที่เราได้เห็นอยู่ตอนนี้ก็คือร่างโคลนของเจสที่ผู้ดูแลสร้างขึ้นมาใช้งาน เพราะงั้นทุกคนถึงได้มีหน้าตาเหมือนกันหมดสินะ?”

“มันคงเป็นความพยายามอย่างจนตรอกที่จะรักษาการคงอยู่ของมนุษย์ชาติเอาไว้น่ะ ไม่ว่าจะเป็นการดำรงอยู่ในสภาพไหนก็ตาม”

ซาลยิ่งรู้สึกหดหู่และเศร้ามากขึ้นอีกเมื่อได้รู้เรื่องนี้ แต่เขาก็พยายามข่มใจเอาไว้ไม่ให้ปล่อยความรู้สึกไปกับมันมากเกินไป

“แล้วผู้หญิงคนที่เราเจอตอนลงมาน่ะ คน ๆ นั้นคืออาร์วินที่กลายเป็นเนเมซิสงั้นเหรอ?”

“จริงด้วย! ผู้หญิงคนนั้น!?”

เมื่อซาลพูดถึงอาร์วิน ซิสเตอร์ ก็ทรุดตัวลงกับพื้น เหมือนกำลังจิตตกกับอะไรสักอย่าง แต่ยังไม่ทันที่ซาลจะถาม เธอก็เป็นฝ่ายพึมพำออกมาด้วยสีหน้าอันเจ็บปวด

“นี่เรา… กอดตัวแบบนั้นไปซะแล้วรึเนี่ย… แถมยังลูบคลำไปซะตั้งเยอะด้วย… นึกไม่ถึงว่าร่างที่แท้จริงจะอุบาทว์ขนาดนี้… ไม่สิ… ยังไงตอนนั้นก็เป็นร่างสาวน้อยอยู่นี่นา… แบบนี้ก็น่าจะพอหยวน ๆ กันได้… แต่ความรู้สึกที่ตกค้างอยู่นี่มัน…”

พี่สาวบ่นพึมพำกับตัวเองในสิ่งที่ซาลเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่เขาก็พอจะจับใจความได้ว่าเธอกำลังจิตตกเพราะไปลวนลามเนเมซิสเข้าโดยไม่รู้ตัว

เพราะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ ซาลจึงคิดจะเร่งให้อีกฝ่ายรีบตั้งสติกลับมาอีกครั้งเพื่อจะได้คุยกันถึงเรื่องที่ควรจะทำต่อไป แต่ทันใดนั้นประตูของห้องก็เปิดออก และเหล่าทหารก็กรูกันเข้ามาพร้อมทั้งเล็งปืนมาที่ทั้งสองคน

ซาลรู้สึกตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ส่วนซิสเตอร์ ก็เหลือบตาขึ้นมองพวกทหารก่อนจะลุกขึ้นอย่างช้า ๆ และถามพวกเธอถึงการกระทำนี้

“เราก็อยู่ในนี้มาตั้งนานแล้วนะ พวกเธอความรู้สึกช้าเกินไปรึเปล่า?”

ซิสเตอร์ เอ่ยถามด้วยแววตาที่แสดงความเบื่อหน่ายออกมาเล็กน้อย ผิดกับเหล่าทหารที่จ้องมองเธอด้วยสายตาที่เคียดแค้น โดยเฉพาะนายกองของพวกทหารซึ่งยืนอยู่หน้าสุดและตวาดใส่อีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงอันแข็งกร้าว

“ไม่ต้องมาทำเป็นเล่นลิ้นเลยนะ! พวกเรารู้แล้วว่าเธอเป็นใคร!”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซาลก็หันไปมองซิสเตอร์ด้วยสีหน้างุนงง เพราะคนเหล่านี้ไม่น่าจะรู้จักกับเธอได้เลย ซึ่งทางเจ้าตัวก็มีสีหน้าเหมือนกับกำลังประหลาดใจอยู่เช่นกัน นายกองที่คิดว่าอีกฝ่ายแกล้งตีหน้าเซ่อจึงเอ่ยคำพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงอันเคียดแค้นอีกครั้ง

“ไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงยังมีชีวิตอยู่จนทุกวันนี้ได้… อาจเป็นเทคโนโลยีจำศีล? หรือการโคลนนิ่ง? ถึงจะพยายามใช้ผ้าพันคอผืนใหญ่นั่นปกปิดใบหน้าเอาไว้ แต่รูปพรรณอื่น ๆ ก็ตรงกับที่ฐานข้อมูลของเราบันทึกเอาไว้ไม่ผิดแน่นอน”

ซาลขมวดคิ้วเพราะไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร แต่ไม่ทันที่เขาจะได้ถาม เธอก็บอกในสิ่งที่ทำให้เขาต้องตกใจออกมา

“เธอคือ ‘เพสทิเลนซ์’ (Pestilence) ผู้สร้างไวรัส X-Dominance ขึ้นมาและแพร่มันออกไปทั่วโลก เป็นสาเหตุที่ทำให้โลกต้องพบกับการล่มสลาย… เธอคือผู้ที่ทำให้โลกต้องพบกับความหายนะ!!”

คำประกาศของนายกอง ทำให้ซาลรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก เขามองไปยังซิสเตอร์ อีกครั้งเพื่อดูท่าทางของเธอว่าจะยอมรับหรือปฏิเสธ แต่สิ่งที่เขาได้เห็นก็คือแววตาอันเย็นชาที่เธอมองกลับไปยังอีกฝ่าย โดยไม่ได้กล่าวคำปฏิเสธใด ๆ

สิ่งนั้นทำให้เขาเริ่มรู้สึกหวั่นใจขึ้นมาว่าเรื่องที่อีกฝ่ายพูดเป็นเรื่องจริง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด