Doombringer the 5th 85

Now you are reading Doombringer the 5th Chapter 85 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Ch.85 – ปิศาจสีขาว

Translator : YoyoTanya / Author

Ch. 85

ปิศาจสีขาว

 

Part 1

 

ซิสเตอร์คิดจะอุ้มซาลบินกลับไปยังจุดที่เนเมซิสอยู่ แต่เธอเห็นว่าอาการของเขายังไม่สู้ดีนัก จึงแบกเขาขึ้นหลังแทน ก่อนที่จะพาทะยานขึ้นไปบนฟ้า

เมื่อบินขึ้นมาสูงถึงระดับหนึ่งแล้ว เธอก็สอดส่ายสายตามองไปรอบ ๆ เพื่อหาจุดที่แสงอาทิตย์ส่องถึง แล้วก็พบที่แห่งนั้นอยู่ห่างออกไปเกือบสุดเส้นขอบฟ้า เธอจึงพาซาลบินตรงไปที่นั่นในทันที โดยใช้ความเร็วไม่มากนัก เพื่อไม่ให้เขากระทบกระเทือน

ระหว่างที่บินอยู่นั้น เธอก็รู้สึกได้ว่าเด็กน้อยที่เกาะอยู่บนหลังยังคงมีอาการสั่นเทา แถมเธอยังได้ยินเสียงสะอื้นนิด ๆ ดังแว่วมาเหมือนเขากำลังร้องไห้ด้วย ยิ่งเพราะตอนนี้มันเป็นเสียงสะอื้นของเด็กผู้หญิงจึงทำให้เธอรู้สึกเห็นใจมากเป็นพิเศษ ความรู้สึกผิดจึงเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ

“เฮ้อ… ยังเร็วเกินไปสินะ… ไม่สิ ต่อให้เป็นผู้ใหญ่ถ้าได้สัมผัสกับ ‘คัมภีร์แห่งความมืด’ โดยตรงก็คงส่งผลต่อจิตใจไม่น้อยเหมือนกัน… ฉัน… ผิดเองแหละ”

ซาลไม่ได้ตอบรับคำพูดยอมรับผิดนั้น แต่เขาก็พยายามสงบอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยคำถามกับเธอเบา ๆ

“ทำไมคนเราถึงทำเรื่องโหดร้ายแบบนั้นได้… พวกเขาเป็นมนุษย์จริง ๆ น่ะเหรอ? ไม่ใช่ว่าถูกปิศาจครอบงำเหรอ?”

“ฮ่ะ ๆ ๆ คิดได้สมกับเป็นเด็กของโลกใหม่ที่ถูกสอนว่าความชั่วร้ายเกิดจากการกระทำของปิศาจเลยนะ แต่เสียใจด้วย เพราะว่านั่นคือการกระทำของมนุษย์แท้ ๆ ไม่มีพวกปิศาจมาเกี่ยวข้องหรอก อันที่จริงไม่ว่าจะเป็นปิศาจแบบไหน เลซเซอร์อีวิล หรือเพียวอีวิล ต่างก็กำเนิดมาจากความมืดในจิตใจของมนุษย์ด้วยกันทั้งนั้น สรุปว่าต้นตอของความชั่วร้ายทั้งหมดก็คือมนุษย์นี่แหละ”

“…แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามนุษย์ทั้งหมดคือต้นตอของความชั่วร้ายใช่มั้ย?”

“โฮ่ ยังคิดแบบนั้นได้อยู่รึเนี่ย ไม่เลวนี่นา ก็ถูกอย่างที่เธอว่านั่นแหละ ความชั่วร้ายเป็นเพียงส่วนหนึ่งของมนุษย์เท่านั้น ด้านอื่น ๆ ที่เป็นแง่ดีของมนุษย์ก็มีอีกมากมาย แต่ก็อย่างที่เห็น การกระทำอันชั่วร้ายบางอย่าง ต่อให้เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวในชีวิตคนก็สามารถลบล้างสิ่งดี ๆ ทั้งหมดที่เคยเผชิญมาได้แล้ว”

“เพราะงั้นพี่สาวถึงได้ตั้งกฎนั่นขึ้นมาสินะ…”

“ใช่… ยังคิดว่าฉันทำเกินไปอยู่รึเปล่า?”

“เรื่องนั้น… ผม…”

ในใจของซาลรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก เพราะเขาได้เห็นและได้สัมผัสความทรมานของหญิงสาวที่ตกเป็นเหยื่อมาแล้วทำให้เข้าใจถึงความร้ายแรงของการกระทำนี้ดี ทำให้เขาไม่แน่ใจอีกต่อไปแล้วว่าสิ่งที่ตนเองเชื่อมาโดยตลอดนั้นยังถูกต้องอยู่รึเปล่า จึงไม่อาจตอบคำถามของซิสเตอร์กลับไปได้

อีกฝ่ายที่เห็นซาลนิ่งเงียบไปก็ไม่คิดจะซักไซ้ต่อ และเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นแทน

“เธอน่ะยังเด็กเกินไป ตัดใจเรื่องที่จะเป็นผู้สร้างหายนะซะเถอะนะ”

“เอ๋? ตะ… แต่ว่า”

“ที่พูดแบบนี้ก็เพราะเห็นว่าเธอเป็นคนประเภทเดียวกับยัยนั่น… เธอจะสามารถเหยียบย่ำชีวิตคนอื่นเพื่อเป้าหมายของตัวเองได้จริง ๆ น่ะเหรอ? ต่อให้รวบรวมครอบครัวทั้งหมดกลับมาอยู่กันพร้อมหน้าได้แต่เธอจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างมีความสุขได้เหรอ?”

“ผมก็พอเข้าใจว่าการยึดครองโลกโดยไม่มีใครตายเลยคงจะเป็นไปไม่ได้… แต่อย่างน้อยถ้าแค่หลีกเลี่ยงชีวิตของผู้บริสุทธิ์ละก็…”

“แล้วจะแยกแยะยังไงว่าใครคือผู้บริสุทธิ์หรือใครคือผู้สมควรตายกันล่ะ? เธอในตอนนี้จะสามารถแยกแยะได้จริง ๆ น่ะเหรอ? และถึงตัวเธอเองจะมีเจตนาที่จะรักษาชีวิตคนให้ได้มากที่สุด แต่คนอื่น ๆ ล่ะ? แม่ลิชคนนั้น แวมไพร์นั่น และยังมีปิศาจอีก พวกเขาให้ความสำคัญกับชีวิตคนเป็นอันดับแรกเหมือนกับเธอรึเปล่า?”

“ระ… เรื่องนั้น ถ้าผมคุยกับพวกเขาดี ๆ ละก็…”

“ถ้าทำแบบนั้นได้จริง เรื่องที่อินิสตร้าคงไม่เกิดขึ้นหรอก รู้รึเปล่าว่ามีคนตายไปเท่าไหร่น่ะ?”

ซาลรู้สึกแปลกใจที่อีกฝ่ายก็รู้เรื่องนี้ด้วย แต่มาคิดดูดี ๆ แล้ว การที่คนระดับเธอจะรู้ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไรนัก

“นั่นเพราะแซนโดรไปเจอกับคู่อริเข้าต่างหาก ก็เลย…”

“เรื่องนั้นฉันรู้ แล้วถ้าไปเจอกับคู่อริคนนั้นเข้าอีกล่ะ? จะไม่เกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันขึ้นอีกเหรอ? ถ้าลิชคนนั้นทำแบบเดิม เธอมีวิธีอะไรที่จะหยุดเขาได้รึเปล่า?”

“อึก…”

“อีกอย่างนึงคือ ทุกคนเป็นคนสำคัญสำหรับเธอทั้งนั้นสินะ? แล้วถ้าในระหว่างความพยายามยึดครองโลก เกิดมีใครสักคนถูกฆ่าตายโดยพีชคีปเปอร์ขึ้นมา เธอจะยังรักษาจุดยืนนี้เอาไว้ได้รึเปล่า? แน่ใจเหรอว่าจะไม่ถูกความแค้นบังตาจนเห็นพวกนั้นเป็นศัตรูไปทั้งหมดน่ะ?”

ซาลนิ่งเงียบไปเพราะเขาไม่สามารถนึกคำพูดใดมาโต้แย้งอีกฝ่ายได้เลย เพราะสิ่งที่เธอพูดมานั้นถูกต้องทุกอย่าง หากมีใครทำตามใจตัวเอง เขาก็ไม่มีหนทางใด ๆ ที่จะไปหยุดยั้งการกระทำนั้นได้

สำหรับเรื่องของตัวเอง หากเป็นก่อนหน้านี้เขาอาจตอบกลับไปอย่างมั่นใจว่าตัวเขาจะไม่มีทางจมดิ่งลงสู่ความแค้น แต่หลังจากได้สัมผัสกับความเจ็บปวดจาก ‘คัมภีร์แห่งความมืด’ แล้ว เขาก็เริ่มไม่แน่ใจว่าหากได้พบเจอกับความรู้สึกสูญเสียและหดหู่ขนาดนั้นจะยังคงความคิดแบบเดิมเอาไว้ได้หรือไม่

ซิสเตอร์ก็ไม่ได้คิดจะคาดคั้นเอาคำตอบอะไรจากเด็กน้อยคนนี้ เธอแค่อยากจะชี้ให้เห็นประเด็นปัญหาที่เขาอาจยังมองไม่ถี่ถ้วน ประกอบกับทั้งสองคนบินมาจนใกล้จะถึงที่หมายแล้ว เธอจึงตัดบทการสนทนาลงไว้เพียงแค่นั้น

“เอาเถอะ เรื่องนี้เธอลองเก็บไปคิดดูนะ ไว้จบเรื่องนี้แล้วเราค่อยมาคุยกันต่อก็แล้วกัน”

ทั้งสองคนบินมาจนถึงเขตที่แสงสว่างส่องถึงพอดี ซิสเตอร์จึงกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วก็พบเนเมซิสนั่งอยู่ตรงกลางของลานกว้างที่เกิดจากการทับถมของซากปรักหักพังนั้นเอง

เมื่อเห็นเป้าหมายแล้ว เธอก็พาซาลร่อนลงไปบนพื้นในทันที

 

——————————————————————————————————–

 

Part 2

 

หญิงสาวสีขาวมีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นคนแปลกหน้าทั้งสองกลับมาด้วยการบิน แต่เธอก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรมากไปกว่านั้นและยิ้มต้อนรับทั้งสองคนเหมือนเช่นเคย

เมื่อวางซาลลงแล้ว ซิสเตอร์ก็ทำท่าจะเดินเข้าไปหาอสูรกายในร่างหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า แต่เธอก็ถูกซาลดึงรั้งชายเสื้อเอาไว้ซะก่อน

“เดี๋ยวก่อนสิ พี่สาวคิดจะทำยังไงกับเขาเหรอ?”

“ทำยังไงน่ะเหรอ? ก็ต้องกำจัดทิ้งอยู่แล้วน่ะสิ เจ้าสิ่งนั้นน่ะไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้วนะ”

“แต่ตอนที่เรามาเขาก็ยังพูดคุยกับเราอย่างเป็นมิตรอยู่เลยนะ บางทีถ้าคุยกับเขาดี ๆ ละก็…”

“ก็บอกแล้วไงว่านั่นไม่ใช่มนุษย์อีกแล้ว มันคือเนเมซิส สัตว์สงครามที่ถูกสร้างขึ้น ถึงภายนอกจะมีรูปลักษณ์เหมือนกับอาร์วินก็เถอะ แต่ตัวตนของอาร์วินคงสูญสลายไปแล้วล่ะ”

“เรื่องนั้นก็ยังไม่แน่เลยไม่ใช่เหรอ? ถ้าเราทำให้เขาได้สติละก็ อาจไม่จำเป็นต้องฆ่าก็ได้นะ”

เมื่อได้ยินคำพูดอันไร้เดียงสานั้น ซิสเตอร์ก็จ้องมองไปยังอีกฝ่ายด้วยสายตาที่แสดงความเหนื่อยหน่ายอย่างชัดเจน เพราะสุดท้ายแล้วเขาก็ยังเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีและใจอ่อนเหมือนเดิม แต่อีกใจหนึ่งเธอก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจอะไรกับความไร้เดียงสานั้น เพราะมันเป็นนิสัยที่เหมือนกับคนสำคัญของเธอ

“เฮ้อ… เอ้า ถ้างั้นก็ลองดูสิ”

“เอ๋?”

“ก็เธออยากจะลองคุยกับเขาดูไม่ใช่เหรอ? งั้นก็ลองดูสิ ฉันก็อยากเห็นเหมือนกัน”

เมื่ออีกฝ่ายพูดเช่นนั้น ซาลจึงต้องเดินเข้าไปคุยกับเนเมซิสด้วยตนเอง ทั้งที่ยังรู้สึกหวั่น ๆ ก็ตาม

ทางด้านหญิงสาวสีขาว เมื่อเห็นเด็กน้อยเดินเข้ามาใกล้ก็โปรยยิ้มหวานมาให้มากขึ้นอีก แต่ซาลก็ไม่รู้ว่าควรจะเบาใจลงหรือหวาดระแวงกับรอยยิ้มนั้นดี

“พะ… พี่สาวครับ”

“หืม~”

“พี่สาวจำชื่อของตัวเองได้รึเปล่าครับ?”

“ก็ เนเมซิสไง”

“ไม่เอาชื่อที่คนอื่นเรียกกันสิครับ ขอชื่อจริง ๆ ของพี่สาวน่ะ”

“เอ~ ไม่รู้สินะ…”

หญิงสาวทำท่าครุ่นคิดจนหน้านิ่วคิ้วขมวด แต่เธอก็นึกไม่ออกซะที ซาลจึงตัดสินใจบอกชื่อกับเธอ

“พี่สาวน่ะชื่อ ‘อาร์วิน’ ครับ”

เมื่อได้ยินชื่อนั้น หญิงสาวก็มีท่าทีเปลี่ยนไปในทันที สีหน้าของเธอเหมือนกำลังตื่นตระหนกหรือได้รับรู้ความจริงอะไรบางอย่าง

“อาร์วิน… เหรอ?”

“ใช่แล้วครับ ‘อาร์วิน สโลน’ ไงครับ”

“อาร์วิน สโลน…”

หญิงสาวที่ได้รู้ชื่อของตัวเองเริ่มมีท่าทีแปลก ๆ เธอยกมือขึ้นมากุมหน้าผากและเริ่มมีสีหน้าไม่เป็นมิตร แม้สายตาของเธอจะไม่ได้จ้องมองมายังซาลเลยก็ตาม

“อาร์วินนนนนน สโลนนนนนนนนน”

หญิงสาวเอานิ้วมือจิกลึกเข้าไปในศีรษะของตัวเองจนมีเลือดไหลออกมา เช่นเดียวกับดวงตาของเธอที่จ้องถมึงไปยังพื้นดินอันว่างเปล่าก็เริ่มมีเลือดทะลักออกมาจากขอบตาด้วย

ซาลารัสที่เห็นท่าไม่ดีจึงรีบวิ่งกลับไปหาซิสเตอร์ซึ่งมองดูสถานการณ์ทั้งหมดด้วยแววตาที่แสดงความเบื่อหน่ายออกมายิ่งกว่าเดิม

“ไม่คุยต่อแล้วเหรอ?”

“กะ… ก็…”

ซาลปั้นสีหน้าไม่ถูกเพราะรู้ว่าตัวเองก่อเรื่องขึ้นมาอีกแล้ว และระหว่างที่คุยกันอยู่ พื้นดินก็เริ่มสั่นไหว ทำให้ทั้งสองคนต้องมองไปรอบ ๆ และพบว่ามีอะไรบางอย่างค่อย ๆ ผุดขึ้นมาจากพื้นดินที่เป็นซากปรักหักพัง

มันคือจักรกลผสมชีวะ หรือก็คือสมุนของเนเมซิสที่เกิดจากการแบ่งส่วนไปครอบงำพวกจักรกลนั่นเอง ในจำนวนนี้ยังมีร่างของมนุษย์ที่ถูกยึดครองจนกลายสภาพเป็นอสูรกายอีกเป็นจำนวนมาก

อสูรเหล่านี้ค่อย ๆ ลุกขึ้นมาจากพื้นดินโดยรอบโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด จำนวนของอสูรที่ลุกขึ้นมาจากพื้นดินมีมากขึ้นเรื่อย ๆ และผุดออกมาจากทุกหย่อมหญ้า ผืนดินที่เคยเป็นแค่กองทับถมของซากปรักหักพังจึงถูกปกคลุมไปด้วยอสูรจักรกลผสมชีวะสีดำสนิทจำนวนนับไม่ถ้วน ราวกับฝูงมดที่แตกฮือออกมาจากรัง

ขบวนอสูรปริมาณมหาศาลที่แผ่ปกคลุมทิวทัศน์โดยรอบออกไปไกลจนเกือบถึงเส้นขอบฟ้านี้ทำให้พวกมันดูราวกับเป็นคลื่นในมหาสมุทร

เมื่อเห็นภาพนั้นแล้ว ซิสเตอร์ก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ

“อืม… เคยมีใครบอกเธอบ้างรึเปล่า ว่าคำว่า ‘ผู้สร้างหายนะ’ น่ะ มันเป็นแค่ชื่อเรียกเฉย ๆ ไม่ได้หมายความว่าต้องคอยก่อความหายนะไปทั่วหรอกนะ”

“เรื่องนั้นรู้อยู่แล้วน่า! แต่ใครจะไปคิดว่ามันจะกลายเป็นแบบนี้เล่า!?”

“คำว่าไม่ได้คิด ใช้เป็นข้ออ้างไม่ได้หรอกนะ เพราะมันก็เหมือนกับความประมาทเลินเล่อนั่นแหละ อืม… ดูแล้วน่าจะมีเป็นหลักแสนเลยนะเนี่ย… ความจริงก็ไม่ใช่ว่าจะจัดการไม่ได้ แต่ปัญหาคือเวลานี่สิ… ที่สำคัญคือดันมีตัวถ่วงซะอีก”

“ถ้าหมายถึงผมละก็ไม่ต้องห่วงหรอกน่า! ดูนี่นะ จงออกมา! กองทัพซาลารัส!”

เมื่อพูดจบ ซาลก็อัญเชิญสมุนทั้งหมดออกมาพร้อมกัน โดยสมุนของเขามีมังกรขนาดกลาง 15 ตัว, วาไครี่ (ที่มีรูปลักษณ์เหมือนฟอลเลนแชมเปี้ยน) 15 ตัว, หมาป่า 3 ตัว, และอัลดูอินกับวาเคียก็ออกมาพร้อมกันด้วย

การอัญเชิญนี้ทำให้ต้องใช้พลังเวทไปเกือบหมด ซาลจึงรีบกินมานาโพชั่นเพื่อฟื้นฟูพลังเวทกลับมา เผื่อว่าต้องใช้การอัญเชิญร่างเสมือนของคนอื่น ๆ มาช่วย

“โอ้~ อัญเชิญได้เยอะดีนี่นา แถมยังเป็นสมุนระดับกลางไปจนถึงระดับสูงซะด้วย ไม่เลว ๆ แต่จำนวนแค่หยิบมือนี่น่ะมันไม่พอหรอก พวกนั้นมีกันเป็นแสนเชียวนะ แค่โดนมันวิ่งเหยียบก็คงไม่เหลือซากแล้ว”

“ละ… แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ? หรือว่าเราควรจะถอยกลับไปตั้งหลักกันก่อนดี?”

“เสียเวลาเปล่าน่า ยังไงก็ต้องจัดการพวกมันให้หมดอยู่แล้ว ก็สู้ลุยมันซะที่นี่เลยเนี่ยแหละ”

“งั้นจะให้ผมหนีไปก่อนมั้ย? จะได้ไม่เป็นภาระของพี่สาวไงล่ะ”

“ไม่เป็นไร เธอรออยู่ตรงนี้แหละ ไม่มีพวกมันเข้ามาถึงตัวเธอได้หรอก”

“เห? แต่พี่สาวแค่คนเดียวจะสู้กับพวกมันไปพร้อม ๆ กับป้องกันให้ผมได้เหรอ? พวกมันมีตั้งเยอะขนาดนี้น่ะนะ”

“ถ้าแค่คนเดียวอาจทำไม่ได้ แต่ถ้าสักพันคนละก็ ถึงจะมีศัตรูเป็นล้านก็ไม่มีปัญหา”

“หา?”

เมื่อพูดจบ ซิสเตอร์ก็ยกมือขึ้นมาเหมือนกับจะร่ายเวทอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นก็มีละอองแสงเล็ก ๆ จำนวนมากปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเธอ

เธอโยนละอองแสงนั้นขึ้นไปบนฟ้า ซึ่งเมื่อแสงเหล่านั้นหลุดออกจากมือของเธอแล้ว พวกมันก็ขยายขนาดและพุ่งกระจายกันขึ้นไปบนฟ้า ก่อนจะเปลี่ยนรูปร่างเป็นอาวุธสารพัดชนิด

อาวุธเหล่านั้นมีทั้งดาบสารพัดขนาดและรูปลักษณ์ ทั้งดาบคู่ ดาบยาว และดาบขนาดใหญ่เท่าตัวคน ไปจนถึงอาวุธชนิดอื่น ๆ อย่าง ขวาน, ค้อน, หอก, ง้าว, หรือแม้แต่อาวุธแปลก ๆ อย่างพลองที่มีเลื่อยยนต์ติดอยู่ตรงปลายทั้งสองข้าง รวม ๆ แล้วมีอาวุธพวกนี้ลอยอยู่กลางอากาศนับพันชิ้นเลยทีเดียว

“ต้องย้อนกลับมาที่นี่ตั้งพันครั้ง… แค่คิดก็เอียนจนแทบกระอักแล้วแฮะ แต่มันก็ช่วยไม่ได้น่ะนะ”

ซาลยังไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดสักเท่าไหร่นัก แต่ทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงอีกอย่างเกิดขึ้นในบริเวณที่อาวุธทั้งหลายกำลังลอยอยู่

มีวงเวทซึ่งมีรูปทรงอักขระคล้ายกับหน้าปัดของนาฬิกาปรากฏขึ้นมาที่ด้านหลังของอาวุธแต่ละชิ้น ก่อนที่เข็มนาฬิกาบนหน้าปัดของวงเวทแต่ละวงจะหมุนไปอย่างรวดเร็ว และหยุดลง ณ ช่วงเวลาที่แตกต่างกัน

หลังจากเข็มนาฬิกาหยุดลงแล้ว จุดศูนย์กลางของวงเวทก็เปิดออกเหมือนกับเป็นประตูมิติ ทันใดนั้นก็มีร่างของซิสเตอร์ปรากฏตัวออกมาจากวงเวทแต่ละวง และคว้าอาวุธที่ลอยอยู่ตรงหน้ามาถือไว้

สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าซาลารัสในตอนนี้ก็คือซิสเตอร์นับพันคนที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศ

“นะ… นี่มัน!?”

“อืม ตัวฉันในอนาคตไงล่ะ ฉันเรียกมาเพื่อช่วยจัดการกับเจ้าพวกนี้ จะได้จบเรื่องได้เร็วขึ้น ความจริงมันก็เร็วขึ้นแค่สำหรับเธอน่ะนะ แต่สำหรับฉันแล้วมันก็ไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่ เพราะต้องย้อนกลับมาที่นี่ให้ครบจำนวนครั้งอยู่ดี สรุปคือฉันก็เสียเวลาเท่าเดิมนั่นแหละ”

ระหว่างที่พูดอยู่ ซิสเตอร์คนอื่น ๆ ก็พุ่งลงจากฟ้าแล้วแยกย้ายกันออกไปปะทะกับเหล่าสมุนของเนเมซิสที่รายล้อมอยู่ทั่วบริเวณในทันที

ทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นตัวจริงของซิสเตอร์จึงมีพลังมหาศาลไม่ด้อยไปกว่ากัน ไม่ว่าจะกวัดแกว่งอาวุธไปทางไหนก็สามารถทำให้พวกอสูรเหล็กล้มตายกันเป็นใบไม้ร่วง แม้พวกอสูรจะมีจำนวนมหาศาลและพยายามบีบวงเข้ามา แต่ด้วยความแข็งแกร่งและจำนวนถึงหนึ่งพันคนก็ทำให้กองทัพซิสเตอร์สามารถยันพวกมันกลับออกไปได้ วงล้อมของเหล่าอสูรจักรกลที่พยายามบีบเข้ามาจึงมีแต่จะถูกดันออกไปเรื่อย ๆ

ทางด้านซิสเตอร์ที่ยืนอยู่กับซาลก็นำค้อนศึกคู่ใจออกมาและเตรียมจะเข้าไปสู้กับอาร์วินที่กำลังคลุ้มคลั่ง แต่อีกฝ่ายก็เริ่มมีความเปลี่ยนแปลงเช่นกัน

มีรยางค์หลายเส้นพุ่งออกมาจากตัวของอาร์วินและเกี่ยวรัดเข้ากับพวกสมุนที่อยู่โดยรอบ ก่อนที่สมุนพวกนั้นจะถูกดูดกลืนผ่านรยางค์เข้าไปรวมกับร่างของเธอ ทำให้เธอมีรยางค์สีแดงพุ่งออกมาจากร่างทีละเส้น ทีละเส้น และเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ จนร่างของเธอแทบจะกลายเป็นก้อนกลมที่เกิดจากรยางค์จำนวนมหาศาลที่แผ่พุ่งออกมาจากร่างและโบกสะบัดไปทุกทิศทาง

ไม่นานนัก รยางค์เหล่านั้นก็รัดพันและขดตัวเข้าด้วยกันเหมือนกับมัดกล้ามเนื้อและค่อย ๆ ก่อรูปร่างเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา จนกลายเป็นอสูรกายร่างยักษ์ที่มีสี่แขนสี่ขาซึ่งมีรยางค์จำนวนมากแผ่ออกมาจากแผ่นหลัง อีกทั้งยังมีหนามที่คล้ายกับขนเม่นที่ทั้งใหญ่และหยาบงอกออกมาปกคลุมเกือบทั่วทั้งตัวอีกด้วย

ซิสเตอร์ที่เห็นรูปร่างอันอัปลักษณ์นั้นก็ทรุดลงคุกเข่ากับพื้นดื้อ ๆ

“นี่มัน… อุบาทว์กว่าที่เคยเห็นอีกนี่นา… เรากอดไอ้นั่นไปแล้วจริง ๆ รึเนี่ย… ขอโทษด้วยนะทุกคน… ท่านพี่คนนี้น่ะ… แปดเปื้อนไปซะแล้ว…”

“พี่สาว! นี่มันใช่เวลามาพูดเรื่องแบบนี้มั้ยเนี่ย!?”

ซาลรู้สึกร้อนใจเพราะเนเมซิสเริ่มมีทีท่าว่าจะขยับตัวแล้ว ส่วนซิสเตอร์ที่ยังทรุดอยู่ก็ท่องคำพูดอะไรบางอย่างเหมือนกับเป็นการเตรียมใจ

“ยังไงตอนนั้นก็เป็นสาวน้อย… สาวน้อย ๆ ๆ ๆ …”

ซิสเตอร์ยังคงพูดถ้อยคำซ้ำ ๆ เหมือนกับเป็นการสะกดจิตตัวเองอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่เธอจะมีสีหน้าดีขึ้น

“โอเค… ไปละนะ”

เมื่อเกลี้ยกล่อมตัวเองให้สลัดความรู้สึกขยะแขยงนั้นออกไปได้แล้ว เธอก็ลุกขึ้นและพุ่งเข้าหาเนเมซิสในทันที โดยทิ้งซาลที่กำลังขมวดคิ้วเพราะความไม่เข้าใจในความคิดของอีกฝ่ายเอาไว้เบื้องหลัง

 

——————————————————————————————————–

 

Part 3

 

เมื่อเห็นศัตรูพุ่งเข้ามาใกล้ รยางค์ของเนเมซิสที่เลื้อยอยู่บนพื้นดินราวกับสิ่งมีชีวิตก็พุ่งเข้าโจมตีอีกฝ่ายในทันที

ซิสเตอร์เหวี่ยงค้อนจนเกิดแรงอัดมหาศาลพัดเข้ากระแทกกับรยางค์เหล่านั้นทำให้มันสะบัดไปทางอื่น ทว่าแม้แรงอัดจากการเหวี่ยงค้อนจะรุนแรงจนทำให้พื้นดินเกิดรอยแยกและผิวนอกบางส่วนของรยางค์แตกออก แต่ส่วนแกนของรยางค์เหล่านั้นก็ยังคงอยู่และฟื้นฟูสภาพกลับมาเหมือนเดิมก่อนจะพุ่งเข้าโจมตีเธออีกครั้ง

“โอ้ ระดับสูงกว่าพวกสมุนพอตัวเลยนะเนี่ย”

เมื่อเห็นว่าการโจมตีแบบฉาบฉวยไม่ได้ผล เธอจึงกลับลงไปยืนบนพื้นเพื่อตั้งหลักให้มั่นแล้วเหวี่ยงค้อนด้วยสองมือ อย่างสุดแรง ทำให้คราวนี้เกิดคลื่นพลังอันรุนแรงโถมเข้าใส่รยางค์เหล่านั้นจนถูกฉีกกระชากออกเป็นเสี่ยง ๆ และปลิวกระเด็นตามแรงปะทะไป

คลื่นพลังนั้นยังพุ่งต่อไปและเข้าปะทะกับร่างของเนเมซิสจนทำให้เปลือกที่หุ้มตัวของมันอยู่เกิดรอยปริร้าว ขนแหลมที่เหมือนกับขนแม่นก็หักออกและปลิวกระเด็นไป แต่ตัวของเนเมซิสยังคงยืนอยู่บนพื้นได้อย่างมั่นคงด้วยเท้าทั้งสี แม้จะถูกแรงอัดผลักให้ครูดถอยหลังไปเล็กน้อย

เมื่อแรงปะทะหมดไปแล้ว เจ้าอสูรกายก็เป็นฝ่ายพุ่งเข้าหาซิสเตอร์บ้าง ซึ่งด้วยการกระโจนเพียงครั้งเดียวมันก็สามารถเข้ามาในระยะประชิดได้ แต่ซิสเตอร์ที่ตั้งท่ารออยู่แล้วก็ง้างค้อนในมือทุบเข้าที่หัวของมันอย่างรวดเร็ว จนทำให้ส่วนหัวรวมไปถึงหน้าอกบางส่วนถูกแรงอัดจากค้อนฉีกกระชากจนหลุดออกจากตัว กลายเป็นร่างไร้หัวที่มีรออยถากขนาดยักษ์ลงไปถึงช่วงอก ทว่าแม้จะไม่มีส่วนหัว ร่างกายส่วนอื่น ๆ ของมันก็ยังขยับได้และพยายามเข้าโจมตีอีกฝ่ายเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ซิสเตอร์เร่งความเร็วของตัวเองทำให้สามารถหลบกรงเล็บและรยางค์ของมันได้อย่างง่ายดาย จากนั้นเธอก็รวบรวมพลังแล้วหวดค้อนเข้าใส่เนเมซิสอย่างเต็มเหนี่ยวอีกครั้ง คราวนี้แรงอัดจากการเหวี่ยงซัดจนร่างครึ่งบนของเนเมซิสถูกฉีกออกจากตัวแล้วกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ

เธอยังคงโจมตีอย่างต่อเนื่องเพราะรู้ว่าร่างของเนเมซิสยังไม่สิ้นฤทธิ์ง่าย ๆ จึงเงื้อค้อนแล้วทุบเข้าใส่ท่อนล่างที่เหลืออยู่ของมันย่างเต็มแรง ด้วยพลังงานมหาศาลที่ห่อหุ้มค้อนอยู่จนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ทำให้ร่างส่วนที่เหลือของเนเมซิสถูกอัดเข้ากับพื้นจนแทบไม่เหลือซาก

พื้นดินจุดที่ถูกค้อนทุบลงไปเกิดการยุบตัวจนกลายเป็นหลุมกว้างราวกับหลุมอุกาบาต แถมยังมีเปลวไฟแผ่พุ่งออกมาจากหัวค้นและเผาผลาญซากที่เหลือของเนเมซิสจนมอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน

แต่ยังไม่ทันที่ซิสเตอร์จะถอนค้อนกลับขึ้นมา พื้นดินตรงนั้นก็ยุบตัวลงไปอีก ทำให้เธอต้องรีบดีดตัวออกมา แต่เพราะเป็นการกระโดดจากพื้นที่กำลังทรุดตัวทำให้เธอพุ่งออกมาได้ไม่เต็มความเร็วนัก ทันใดนั้นเองปากหลุมโดยรอบก็ยกตัวขึ้น ก่อนจะเผยให้เห็นรยางค์จำนวนมากที่พุ่งขึ้นมาปิดทางหนีของเธอเอาไว้ทั้งหมด

เธอเหวี่ยงค้อนเข้าใส่รยางค์เหล่านั้นเพื่อเปิดทาง แต่เพราะอยู่ในท่าที่ไม่ถนัดแถมยังลอยอยู่กลางอากาศแบบเก้ ๆ กัง ๆ ทำให้ใช้พลังได้ไม่เต็มที่ ประกอบกับรยางค์เหล่านั้นเริ่มซ้อนตัวประสานกันจนคล้ายกับเชือกเกลียว ทำให้สามารถต้านทานแรงอัดจากค้อนของอีกฝ่ายได้

เมื่อเห็นว่าค้อนใช้การไม่ได้ ซิสเตอร์จึงนำอาวุธอีกชิ้นออกมาแทน มันเป็นดาบเล่มเรียวยาวที่เหมือนกับอาวุธสองมือ แต่เธอก็ถือมันได้ด้วยมือข้างเดียวเช่นเคย ทว่ายังไม่ทันที่จะได้ง้างดาบ เธอก็ถูกรยางค์ที่พุ่งขึ้นมาจากพื้นเบื้องล่างพุ่งเข้ารัดทั้งแขนและขา ก่อนจะถูกดึงกลับลงไป

“โอ๊ะโอะ…”

เมื่อจับตัวเหยื่อเอาไว้ได้แล้ว รยางค์ทั้งหมดที่อยู่ด้านบนก็รัดตัวเข้ามาพร้อมกันและบีบอัดซิสเตอร์เข้ากับพื้นเบื้องล่าง จนมีเลือดปริมาณมหาศาลพุ่งกระฉูดออกมาจากช่องว่างระหว่างรยางค์เหล่านั้นราวกับเป็นน้ำพุสีแดงสด

“พี่สาว!!!”

ซาลตะโกนออกมาด้วยความตกใจสุดขีดเพราะเห็นซิสเตอร์พลาดท่า แม้ดูจากภาพที่เห็นเธอน่าจะถูกบดขยี้จนร่างกายแหลกเหลวไปแล้ว แต่เขาก็ยังคิดจะเข้าไปช่วยอยู่ดี

เขาให้สมุนทั้งหมดล้อมวงเข้ามาและตามเขาไปเพื่อเข้าไปช่วยเธอ แต่ยังไม่ทันจะออกวิ่งไปก็มีคนมาแตะที่ไหล่ของเขาเพื่อรั้งตัวเอาไว้ซะก่อน

“จะไปไหนของเธอน่ะ?”

เมื่อซาลหันกลับมา เขาก็พบว่าผู้ที่รั้งเขาไว้ก็คือซิสเตอร์อีกคนหนึ่ง แต่เขาเข้าใจว่านั่นเป็นร่างในอนาคตของเธอ จึงบอกให้อีกฝ่ายรีบเข้าไปช่วย

“ก็พี่สาวพลาดท่าแล้วนี่นา! มาก็ดีแล้ว! รีบเข้าไปช่วยพี่สาวคนปัจจุบันหน่อยสิ!”

“ฉันนี่แหละร่างปัจจุบัน”

“อ้าว? เอ๊ะ?”

ซาลารัสมองดูอีกฝ่ายด้วยสีหน้างงงวย เขาหันกลับไปดูจุดที่เธอพลาดท่าอีกครั้งและพบว่าที่ตรงนั้นเหลือแต่เพียงรยางค์ของเนเมซิสกำลังกวัดแกว่งอยู่อย่างเกรี้ยวกราด แต่ไม่มีซากของซิสเตอร์หรือแม้แต่คราบเลือดที่เขาเห็นจากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้อยู่เลย

“พี่สาวคือร่างปัจจุบันเหรอ? แต่ตะกี้นี้…”

“อืม น่าอายจริง ๆ เลยแฮะ แต่ฉันคงจะพลาดสินะ ถึงได้มายืนอยู่ตรงนี้น่ะ”

“เอ๋? หมายความว่ายังไงเนี่ย ผมงงไปหมดแล้วนะ”

“ความจริงคือฉันย้อนเวลาของตัวเองกลับมาน่ะ สาเหตุที่ใช้ความสามารถนี้คงจะเพราะดันไปพลาดโดนอะไรสักอย่างเข้า ทำให้ตายหรือปางตาย ก็เลยต้องใช้การย้อนเวลากลับมาก่อนที่จะพลาดท่า ถึงจะรู้ตัวว่าย้อนเวลากลับมา แต่ก็จะไม่มีความทรงจำในช่วงนั้นอยู่เลย หรือก็คือจำไม่ได้ว่าเข้าไปพลาดยังไงนั่นแหละ เพราะงั้นเธอช่วยบอกฉันทีได้มั้ย?”

ซาลยังคงนิ่งเงียบไปพักหนึ่งเพราะสับสนในเรื่องความสามารถของอีกฝ่าย แต่เมื่อพอจะทำความเข้าใจกับสิ่งที่เธอพูดได้แล้ว เขาก็เริ่มอธิบายให้เธอฟัง

“เอ่อ… ก็ ดูเหมือนว่าพี่สาวจะจัดการกับเนเมซิสได้แล้วนะ ใช้ค้อนบดขยี้จนเป็นผงเลย แถมยังเผาเศษซากจนแทบไม่เหลือด้วย แต่รู้สึกว่าร่างจริงของเนเมซิสจะไม่ได้จำกัดอยู่แค่ร่างที่เราเห็น อาจมีร่างจริงฝังอยู่ใต้พื้นนี้อีก หรือสมุนตัวอื่น ๆ สามารถกลายเป็นร่างจริงได้ด้วย อันนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แล้วมันก็โผล่ออกมาเล่นงานพี่สาวในทีเผลอจนพลาดท่าไป”

“อืม… ประมาทไปหน่อยรึเปล่านะ ถึงได้โดนไอ้ตัวแบบนั้นฆ่าเอาได้… ถ้าหลบไม่พ้นแปลว่าเป็นการโจมตีที่คาดไม่ถึงหรือถูกทำให้อยู่ในสภาพที่ใช้ความเร็วได้ไม่เต็มที่สินะ… ดูท่าจะเป็นปัญหามากกว่าที่คิดแฮะ แบบนี้สงสัยคงจะต้องเผาดาวดวงนี้ทิ้งซะแล้วล่ะมั้ง มานี่เถอะ ฉันจะพาเธอไปหลบในระยะปลอดภัยก่อน”

ซิสเตอร์อ้าแขนออกเพื่อจะพาซาลไปหลบยังที่ปลอดภัย แต่เขาก็หันมองกลับไปยังเนเมซิสซึ่งตอนนี้กำลังก่อตัวเป็นรูปร่างขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ก่อนจะหันมาพูดกับเธอ

“ถ้ายังไง… ให้ผมลองอะไรหน่อยได้มั้ย?”

“หืม? จะลองอะไรอีกล่ะ?”

“ผมอยากคุยกับอาร์วินดูอีกสักครั้งน่ะ”

คำพูดของซาลทำให้ซิสเตอร์แสดงอาการแปลกใจออกมาอีกครั้ง เพราะดูยังไงในตอนนี้อาร์วินที่กลายเป็นเนเมซิสโดยสมบูรณ์แบบไปแล้วก็ไม่น่าจะอยู่ในสภาพที่พูดคุยเจรจาได้เลย แต่สายตาอันมุ่งมั่นของเด็กน้อยที่อยู่ตรงหน้าก็บ่งบอกว่าเขาไม่ได้พูดเรื่องนี้ขึ้นมาเล่น ๆ ทำให้เธอเริ่มรู้สึกสนใจว่าเขาจะใช้วิธีอะไร

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด