Doombringer the 5th 9

Now you are reading Doombringer the 5th Chapter 9 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Ch.9 – ธรรมชาติของนักผจญภัย

Translator : YoyoTanya / Author

Part 1

 

“ว้าว ข้างในนี่ดูไม่เลวเลยนี่นา”

 

ชายหนุ่มผมทองในชุดเกราะหนังสีน้ำตาลเอ่ยขึ้นทันทีที่เข้ามาในดันเจียน

 

ในมือของเขาถือธนูคันใหญ่ขนาดเกือบเมตรครึ่ง และยังสะพายมีดอีกสองเล่มไว้ที่เอวด้วย

 

“สวยจริงๆเลย แบบนี้ยิ่งน่าเก็บไว้ก่อนนะเนี่ย”

 

สาวน้อยผมสีฟ้าในชุดนักเวทสีดำเอ่ยขึ้นหลังจากมองไปรอบๆ

 

เธอสวมหมวกปลายเหลมเหมือนกับแม่มด ในมือก็ถือคทาสีดำซึ่งประดับด้วยลูกแก้วสีฟ้าอยู่ตรงปลาย

 

“เรื่องนั้นเอาไว้ค่อยตัดสินใจหลังจากเคลียร์มอนสเตอร์หมดก่อนเถอะนะ”

 

ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลในชุดเกราะเหล็กสีเทาตอบกลับเพื่อนทั้งสอง

 

ที่หลังของเขาสะพายโล่อันใหญ่เกือบหนึ่งเมตร และมีดาบอีกเล่มที่มีความยาวไม่แพ้กันสะพายไขว้อยู่

 

ทั้งสามคนดูเป็นนักผจญภัยที่มีประสบการณ์ อุปกรณ์สวมใส่ที่พวกเขาใช้ก็ดูเป็นของชั้นดีด้วย

 

ซาลารัสมองเห็นรายละเอียดของทั้งสามคนได้อย่างชัดเจนด้วยสิทธิ์ของผู้เป็นเจ้าของดันเจียน แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงว่าพวกเขาคุยอะไรกัน

 

เขาเฝ้ามองนักผจญภัยทั้งสามอยู่เป็นนาน ราวกับกำลังคิดถึงเรื่องอะไรบางอย่าง จนแซนโดรเริ่มสังเกตเห็น

 

“…ซาลารัส?…”

 

“อ๊ะ เอ่อ… ไม่มีอะไรหรอก…”

 

แซนโดรคิดว่าการได้เห็นกลุ่มนักผจญภัยทำให้ซาลารัสหวนนึกถึงสมัยที่ยังอยู่กับเพื่อนๆ แต่เพราะไม่อยากหยิบประเด็นนี้ขึ้นมาย้ำจึงไม่ได้พูดอะไรออกไป

 

“…..นี่ แซนโดร เราไม่ได้ยินเสียงข้างในดันเจียนหรอกเหรอ?”

 

“…ไม่ได้ยินหรอก …มีแค่ภาพเท่านั้นแหละ…”

 

“ทำไงดีนะ อยากรู้จังว่าคุยอะไรกันอยู่….. อ๊ะจริงด้วย!”

 

ซาลารัสแก้ไขวงเวทอันหนึ่งของเขาให้มีอักขระสำหรับใช้อัญเชิญสมุนเข้าไปในดันเจียนได้ จากนั้นก็เริ่มการอัญเชิญ

 

แมลงตัวเล็กๆโผล่ขึ้นมาด้านหลังของกลุ่มนักผจญภัยทั้งสาม แต่ก็ไม่มีใครสังเกตเห็น

 

ซาลารัสใช้ ‘มิเนี่ยนวิชั่น’ ทันที เพื่อฟังว่าพวกเขาคุยอะไรกัน

 

“…อ้อ …เจ้าแมลงที่เธอใช้ตอนนั้นสินะ…”

 

“เอ๋? รู้ด้วยงั้นเหรอ?”

 

แม้แซนโดรจะไม่ได้ตอบอะไร แต่ซาลารัสก็พอจะรู้คำตอบอยู่แล้ว แต่นี่ยังไม่ใช่เวลาจะมาคุยเรื่องในตอนนั้น เขาจึงเพ่งสมาธิและตั้งใจฟังสิ่งที่เหล่านักผจญภัยกำลังพูด

 

“ดันเจียนแมปปิ้ง”

 

หญิงสาวในชุดนักเวทเอ่ยขึ้น พลันก็มีคลื่นเวทมนตร์เปล่งออกมาจากปลายคทาของเธอและวิ่งแผ่ไปตามผนังของดันเจียนอย่างรวดเร็ว

 

‘ดันเจียนแมปปิ้ง’ (Dungeon Mapping) เป็นเวทระดับกลางสำหรับตรวจสอบโครงสร้างของดันเจียน มันจะกางอาณาเขตรอบตัวผู้ร่ายเพื่อเก็บข้อมูลรูปร่างและลักษณะของดันเจียนแล้วส่งกลับมาวาดเป็นแผนที่ ทำให้สามารถมองเห็นโครงสร้างของดันเจียนในรัศมีหลายสิบเมตรได้ตลอดเวลา

 

ลูกแก้วที่ปลายคทาของหญิงสาวฉายภาพแผนที่ของดันเจียนขึ้นมาทันทีที่เวทมนตร์ทำงานเสร็จ ทำให้เธอรู้ถึงภูมิประเทศเบื้องหน้า

 

“อืม… ตรงโค้งด้านหน้ามีทางแยกสองทาง ทางซ้ายจะมีห้องเล็กๆอยู่ห้องนึง ส่วนทางขวาน่าจะเป็นทางหลักที่ไปยังส่วนอื่นๆของดันเจียน”

 

“งั้นก็เริ่มสำรวจจากห้องซ้ายนั่นก่อนละกัน เอ้าร่ายเวทเสริมพลังแล้วไปกันได้”

 

ชายหนุ่มในชุดเกราะเป็นคนตัดสินใจและออกคำสั่ง  ดูเหมือนเขาจะเป็นหัวหน้าปาร์ตี้

 

นักเวทสาวร่ายเวทเสริมพลังให้กับทุกคนในกลุ่ม แม้ซาลารัสจะได้ยินไม่ถนัดแต่ดูเหมือนจะเป็นเวทเสริมพลังป้องกันอย่าง ‘โปรเทคชั่น’ กับเวทเสริมพลังโจมตีทางกายภาพอีกสักอย่าง

 

เมื่อทุกคนในปาร์ตี้ได้รับบัพครบแล้วทั้งสามคนก็เริ่มออกเดินทางเพื่อสำรวจดันเจียน

 

———————————————————————————————————-

 

Part 2

 

“…ขั้นแรกต้องตรวจสอบระดับฝีมือของพวกนั้นซะก่อน …หืม? …ทำไมถึงมีสมุนกระจายอยู่เต็มดันเจียนเลยล่ะ?…”

 

ในแผนที่สามมิติของดันเจียนนั้นมอนสเตอร์ตามธรรมชาติจะแสดงเป็นสีเขียว ส่วนสมุนอัญเชิญของซาลารัสจะแสดงเป็นสีเหลือง

 

แซนโดรที่เห็นโครงร่างสีเหลืองกระจายอยู่ทั่วดันเจียนจึงถามขึ้น

 

“อ่า… พอดีเมื่อคืนลองแหย่พวกมอนสเตอร์ดูน่ะ… คือเวลาที่จู่ๆอัญเชิญสมุนไปโผล่ตรงหน้า พวกมันก็จะต๊กใจวิ่งหนีกันขาขวิดเลยใช่ม้า มันตลกดีอะ ยิ่งแกล้งก็ยิ่งรู้สึกสนุก เลยเสกสมุนไปดักตรงโน้นทีตรงนี้ที ให้พวกมันวิ่งเล่น รู้สึกตัวอีกทีก็อัญเชิญสมุนลงไปหมดทุกตัวแล้วน่ะ ฮะๆๆ… โอ๊ย!!”

 

แซนโดรเขกหัวซาลารัสจนหน้าคะมำ แม้จะไม่ได้พูดอะไรต่อแต่สายตานั้นก็แสดงความไม่พอใจและหงุดหงิดสุดๆ ซาลารัสที่กะจะโวยที่โดนเขกหัวพอเห็นสายตานั้นแล้วเลยต้องหงอยไป

 

“…เฮ้อ …รีบสั่งทุกตัวให้มารวมกันซะ …เอาสักแถวๆนี้ก็แล้วกัน…”

 

แซนโดรชี้ไปยังห้องโถงใหญ่ซึ่งอยู่แถวๆกลางดันเจียน ห่างไปจากทางเข้าพอสมควร

 

ทีแรกซาลารัสยังคิดว่าคงเสียเวลาน่าดูถ้าต้องสั่งการทีละตัว แต่พอคิดให้พวกมันไปรวมตัวกันตรงจุดนั้น เหล่าสมุนทั้งหมดก็เริ่มเคลื่อนที่ไปเองโดยพร้อมเพรียง ทำให้เขาเพิ่งรู้ว่าสามารถสั่งการทุกตัวพร้อมกันได้จากตรงนี้

 

ระหว่างนั้นแซนโดรก็มองสำรวจแผนที่ดันเจียน เพื่อดูจุดแรกที่จะเกิดการต่อสู้

 

“…ห้องแรกที่เจ้าพวกนั้นน่าจะไปเจอกับมอนสเตอร์ …น่าจะเป็นห้องนี้สินะ…”

 

“ใช่แล้วล่ะ เห็นเขาว่าจะสำรวจห้องเล็กนั่นก่อน”

 

“…มอนสเตอร์ที่อยู่ในห้องนั้นคือ …ทาลันทูล่า ห้าตัวงั้นเหรอ …ใช้หินเวทมนตร์เม็ดใหญ่ไปหน่อยรึเปล่านะ …แค่หน้าทางเข้าก็เป็นมอนสเตอร์กลุ่มใหญ่ขนาดนี้…”

 

ทาลันทูล่าคือมอนสเตอร์ที่มีรูปร่างเป็นแมงมุมขนาดยักษ์ มีขนาดตั้งแต่ 1.5 – 2 เมตร

 

“เอ๋? หินเวทมนตร์เกี่ยวอะไรกับกลุ่มของมอนสเตอร์เหรอ?”

 

“…ยิ่งใกล้แกนกลางของดันเจียน ความเข้มข้นของละอองเวทมนตร์ก็จะยิ่งสูง …พวกมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งจึงมักจะยึดพื้นที่ส่วนลึกของดันเจียนเอาไว้ดูดซับพลังเวท …ส่วนมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งรองลงมาก็จะถูกผลักดันให้อยู่ในจุดที่ห่างจากแกนกลางออกไป …เวลาเคลียร์ดันเจียนเลยมักจะเจอมอนสเตอร์ที่อ่อนแอก่อน จากนั้นถึงค่อยๆเจอพวกที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆไงล่ะ…”

 

“อ๋อ แบบนี้นี่เอง”

 

“…ไม่สิ …ทำไมตรงนี้ถึงมี ‘ทรีมังกี้’ สามตัวอยู่ในส่วนที่ลึกกว่าได้ล่ะ?…

 

…เข้าใจล่ะ …เพราะเมื่อคืนดันมีคนไล่ต้อนมอนสเตอร์เล่น ตำแหน่งของพวกมันก็เลยคลาดเคลื่อนกันไปหมดแบบนี้สินะ…”

 

แซนโดรจ้องไปทางซาลารัสด้วยสายตาจิกกัด ส่วนซาลารัสก็ได้แต่หลบสายตาไปทางอื่น

 

“…เอาเถอะ แบบนี้ก็ไม่แย่อะไร …จะได้ประเมินฝีมือของพวกนั้นเร็วขึ้นด้วย …มาดูฝีมือของพวกนั้นกันดีกว่า…”

 

เมื่อแซนโดรพูดจบ ซาลารัสก็ใช้มิเนี่ยนวิชั่นอีกครั้งเพื่อมองความเคลื่อนไหวฝั่งนักผจญภัย

 

“ข้างหน้ามีทาลันทูล่าอยู่ห้าตัว”

 

นักธนูหนุ่มพูดขึ้นหลังจากใช้สกิล ‘มอนสเตอร์ดีเท็ค’ สำรวจห้องด้านหน้า

 

“ห้าตัวเลยงั้นเหรอ? ไหนทางกิลด์บอกว่าเป็นแค่ดันเจียนระดับสามไงล่ะ ถ้าแค่รอบนอกยังขนาดนี้คงไม่ใช่แล้วมั้ง?”

 

นักเวทสาวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงข้องใจ แต่ก็ไม่ได้สื่อถึงความเป็นกังวลแต่อย่างใด

 

“แบบนี้ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ อาจโชคดีเจอดันเจียนระดับสูงกว่าที่คิดก็ได้ ไหนๆดันเจียนระดับสี่ขึ้นไปก็โดนปาร์ตี้อื่นตัดหน้าแย่งไปหมดแล้ว ถ้าที่นี่เป็นดันเจียนระดับสี่จริงๆก็ถือว่าลาภลอยเลยล่ะ เอ้าไปกันได้แล้ว”

 

นักรบหนุ่มสั่งลุยต่อแบบไม่มีการลังเล เพื่อนร่วมทีมทั้งสองคนเองก็ไม่มีท่าทีขัดข้องเช่นกัน

 

ทั้งสามคนมาหยุดซุ่มที่ปากทางเข้าห้อง ด้วยระยะห่างพอสมควร เหล่าแมงมุมจึงยังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร

 

นักธนูหนุ่มย่องเข้าไปวางวงเวทหลายอันไว้บนพื้นตรงหน้าห้อง จากนั้นจึงชักลูกธนูออกมาขึ้นสาย

 

“ไบน์ดิ้งช็อต!”

 

ลูกธนูที่เขายิงออกไปนั้นถูกห่อหุ้มด้วยพลังเวทสีม่วงจนดูเหมือนกับเป็นลูกไฟ

 

ทันทีที่มันปะทะเข้ากับแมงมุมตัวหนึ่งก็เกิดตาข่ายเวทสีม่วงกางออกตรึงแมงมุมตัวนั้นติดกับผนังของดันเจียนจนขยับไม่ได้

 

แมงมุมอีกสี่ตัวที่เหลือตอบสนองด้วยการพุ่งตรงมาหาเขาทันที ซึ่งชายหนุ่มก็ดีดตัวออกจากจุดนั้นอย่างรวดเร็วเพื่อถอยมาตั้งหลัก

 

ทันทีที่แมงมุมตัวหนึ่งวิ่งผ่านวงเวทที่เขาวางไว้บนพื้น ก็เกิดการระเบิดขึ้น

 

พอระเบิดที่มีเปลวไฟสีฟ้านั้นจางลง พื้นที่โดยรอบจุดนั้น ทั้งพื้น, ผนัง, และเพดาน รวมไปถึงแมงมุมทั้งสี่ตัวก็ถูกย้อมไปด้วยสีขาวของเกล็ดน้ำแข็ง

 

วงเวทนั้นคือ ‘ฟรอสแทรป’ เวทประเภทกับดักของผู้มีอาชีพฮันเตอร์ ซึ่งเป็นคลาสระดับสองของนักธนูนั่นเอง

 

พวกแมงมุมนั้นโดนฟรอสแทรปทำให้หยุดชะงักไปพักนึงก่อนจะเริ่มเคลื่อนไหวต่อ แต่เพราะผลของฟรอสแทรปทำให้พวกมันติดสถานะ ‘ชิลลิ่ง’ (Chilling) ซึ่งจะลดความเร็วในการเคลื่อนไหวลง 65% ในระยะหนึ่ง ทำให้การเดินของพวกมันแทบจะเป็นภาพสโลว์โมชั่นเลยทีเดียว

 

จังหวะนั้นเองนักเวทสาวที่รวบรวมพลังเวทมาตั้งแต่เมื่อสักครู่นี้ก็พร้อมที่จะปลดปล่อยพลังเวทออกมา

 

“เชนไลท์นิ่ง!”

 

สิ้นคำประกาศ เส้นสายฟ้าที่ส่องแสงเจิดจ้าก็พุ่งเข้าฟาดกลุ่มแมงมุมที่กำลังเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าอยู่ สายฟ้านั้นโดดจากแมงมุมตัวหนึ่งไปยังอีกตัวหนึ่งจนครบทุกตัว และยังลามไปยังพื้นด้านหลังจนเกิดรอยไหม้เป็นทางยาว

 

“ชิลด์แสลม!”

 

นักรบหนุ่มอาศัยจังหวะที่เหล่าแมงมุมยังชะงักจากการโจมตี กระโดดเข้าไปกลางวงและฟาดโล่ของเขาลงกับพื้นจนเกิดคลื่นกระแทกให้เหล่าแมงมุมต้องล้มระเนระนาด ก่อนจะใช้ท่า ‘อินทิมิเดท’ ดึงความสนใจของพวกมันทั้งกลุ่มมาที่ตัวเขา

 

พวกแมงมุมนั้นค่อนข้างสะบักสะบอมแต่ก็ยังพยายามโจมตีนักรบหนุ่ม กระนั้นการโจมตีส่วนใหญ่ก็ยังถูกปัดป้องหรือกันเอาไว้ได้ ระหว่างนั้นนักธนูและนักเวทที่อยู่แนวหลังก็ช่วยกันเล็งโจมตีแมงมุมเพื่อปลิดชีวิตมันไปทีละตัว

 

แม้แมงมุมที่ติดอยู่บนผนังจะหลุดจากพันธนาการและลงมาร่วมการต่อสู้ แต่ตอนนั้นก็เหลือแมงมุมเพียงแค่สองตัวแล้ว นักรบหนุ่มจึงสกัดมันเอาไว้จากความพยายามที่จะเข้าไปโจมตีนักธนูด้านหลังได้อย่างง่ายดาย เพียงไม่นานการต่อสู้ก็จบลง

 

“ฟู่ว… ก็เรียกเหงื่อได้เหมือนกันนะเนี่ย”

 

“พูดอะไรอย่างงั้น! ทางนี้น่ะสบายมากเลย คราวหน้าไม่ต้องสกัดไว้หนึ่งตัวก็ได้นะ จับมารวมๆกันเลยจะได้ฆ่าได้เร็วๆไงล่ะ”

 

“อย่าซ่าไปหน่อยเลยน่า เราไม่ได้มีฮีลเลอร์หลักมาด้วยนะ ทำอะไรก็ให้ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า”

 

นักรบหนุ่มแสดงท่าทีว่ายังสบายบรื๋อแม้จะได้รับบาดเจ็บมานิดหน่อย ส่วนนักเวทสาวก็พูดปรามในขณะที่ร่ายเวทรักษาไปด้วย ดูเหมือนเธอจะเป็นนักเวทสายโจมตีที่พ่วงตำแหน่งฮีลเลอร์สำรองอีกต่ำแหน่งหนึ่ง

 

ทางฝั่งนักธนูหนุ่มนั้นค่อยๆเดินสำรวจศพของแมงมุมไปทีละศพและร่ายเวทแยกส่วน

 

“ดิสแมนเทิล”

 

ทันทีที่ร่ายเวท ร่างของแมงมุมก็ค่อยๆสลายไปจนเหลือเพียงชิ้นส่วนเพียงไม่กี่ส่วนวางอยู่บนพื้น เช่นเขี้ยว, ปลายขา, และก้อนกลมๆคล้ายลูกแก้วสีเขียวใสซึ่งเป็นพิษแมงมุมที่ถูกสกัดออกมาจนเป็นเม็ด

 

‘ดิสแมนเทิล’ คือเวทสำหรับแยกส่วนประกอบของมอนสเตอร์ให้เหลือแต่เพียงชิ้นที่ใช้เป็นวัตถุดิบเท่านั้น แม้จำนวนวัตถุดิบที่ได้จากวิธีนี้จะน้อยกว่าการแยกวัตถุดิบด้วยทักษะการชำแหละด้วยตัวเอง และโอกาสได้วัตถุดิบหายากจะต่ำ แต่เพราะความรวดเร็วและสะดวกสบายจึงทำให้นักผจญภัยส่วนใหญ่เลือกใช้วิธีนี้มากกว่า

 

“…รู้สึกจะเป็นนักผจญภัยระดับสี่ได้ล่ะมั้ง …แถมยังเป็นพวกมีประสบการณ์สูงซะด้วย …ถ้าแบบนี้ถึงเป็นสมุนระดับสามสักห้า-หกตัวก็คงสู้ได้สบาย  …แต่จุดอ่อนก็คือไม่มีฮีลเลอร์มาด้วยนี่แหละ…”

 

แซนโดรที่ดูการต่อสู้จากภาพสามมิติของดันเจียนอยู่ตลอดก็เริ่มวิเคราะห์สถานการณ์

 

“…ห้องต่อไปที่น่าจะเกิดการปะทะคือห้องนี้ …ในห้องมี ‘เอลค์’ (มอนสเตอร์รูปร่างคล้ายกวางมูส) อยู่แค่สี่ตัว …สมุนของเธอส่วนใหญ่เป็นสมุนระดับหนึ่งกับสองสินะ?…”

 

“ช่วงว่างๆผมเอาไปสู้กับสเกลตันของแซนโดรจนเป็นระดับสามทุกตัวแล้วล่ะ”

 

“…ออ …ถ้างั้นละก็ส่งสักสามตัวไปที่ห้องนี้ละกัน…”

 

“ดูจากฝีมือพวกนั้นแล้วน่าจะสู้ได้เป็นสิบเลยนา ส่งไปเยอะๆไม่ดีกว่าเหรอ?”

 

“…ถ้าเจอมอนสเตอร์ที่เป็นร่างอัญเชิญทีละเยอะๆมันจะเป็นที่ผิดสังเกตได้ …อีกอย่างเจ้าพวกนั้นคิดว่าจะมาเคลียร์ดันเจียนระดับสามเลยไม่ได้พาฮีลเลอร์มา …มีแค่นักเวทที่ใช้เวทรักษาได้นิดหน่อยเท่านั้น …ถ้าเจอมอนสเตอร์กลุ่มใหญ่มากๆอาจถอยกลับ หรือฝืนสู้จนบาดเจ็บได้ ซึ่งก็ต้องถอยกลับเหมือนกัน …แบบนั้นจะยิ่งยุ่งยาก…”

 

“พวกเขาอาจกลับไปพาคนมาเพิ่มสินะ”

 

“…ใช่ …และถ้ามองว่ามันเป็นดันเจียนที่เกินระดับตัวเองหรือใช้ฟาร์มลำบาก พวกนั้นก็จะเคลียร์ดันเจียนทิ้งเพื่อเอารางวัลภารกิจแทน …เราต้องพยายามจัดการต่อสู้ให้อยู่ในระดับที่เจ้าพวกนั้นพอใจ…”

 

“ต้องเอาใจขนาดนั้นเลยเหรอ? ฟังดูเหมือนงานบริการเลยนะ”

 

ซาลารัสทำหน้ามุ่ยเพราะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องยุ่งยากขนาดนั้นด้วย แซนโดรจึงต้องอธิบายเพิ่มเติม

 

“…เธอยังไม่เข้าในธรรมชาติของนักผจญภัยสินะ …พวกนั้นน่ะชอบความท้าทาย แต่ก็ไม่ชอบความลำบาก …ต้องการสิ่งตอบแทน แต่ก็ไม่อยากลงแรงเยอะ …ถ้าดันเจียนง่ายไปก็จะน่าเบื่อจนขี้เกียจมาอีก …ยากไปก็จะลำบากจนไม่อยากทำซ้ำ …เราถึงต้องจัดการต่อสู้ในระดับที่เหมาะสมเพื่อสร้างความพอใจให้พวกนั้นอยากจะเก็บดันเจียนเอาไว้ใช้ฟาร์มเรื่อยๆไงล่ะ…”

 

“เรื่องมากชะมัดยาดเลยนะ… แล้วนี่มันยังกับเรากำลังเปิดสวนสนุกกันเลยนะเนี่ย?”

 

“…จะคิดแบบนั้นก็ได้ …แต่คนที่ได้ค่าตอบแทนเป็นคนสุดท้ายก็คือเรา …ทั้งโซลสโตนที่จะได้จากการดักวิญญาณมอนสเตอร์ …และได้ฝึกฝนสมุนอัญเชิญของเธอด้วย…”

 

แม้จะรู้สึกว่าควรจะมีวิธีที่ดีกว่านี้ในการใช้ประโยชน์จากดันเจียนและนักผจญภัย แต่เพราะยังนึกวิธีไม่ออก ซาลารัสจึงต้องทำตามแผนเดิมไปก่อน เขาเคลื่อนย้ายสมุนตามที่แซนโดรสั่ง ในขณะที่แซนโดรก็สำรวจพื้นที่จุดอื่นๆต่อไป

 

ซาลารัสมีสมุนอยู่ทั้งหมดสิบสองตัวด้วยกัน แซนโดรจึงให้แบ่งกลุ่มละสาม-สี่ตัวไปเสริมตามจุดต่างๆที่มีมอนสเตอร์น้อย ระหว่างนั้นกลุ่มนักผจญภัยก็มาถึงห้องที่สองซึ่งมีสมุนอยู่เจ็ดตัวพอดี

 

พวกเขาดูจะใช้เวลาวางแผนกันมากกว่าเดิมก่อนจะลงมือ แต่ด้วยการประสานงานอันยอดเยี่ยมก็ทำให้สามารถจัดการกับกลุ่มมอนสเตอร์ได้ไม่ยากนัก

 

“มีมอนสเตอร์อัญเชิญอยู่ถึงสามตัวเลยเหรอเนี่ย? แปลกนะ”

 

นักธนูหนุ่มพูดขึ้น ทำให้ซาลารัสที่แอบฟังอยู่ต้องสะดุ้งโหยง

 

“แปลว่าในนี้มีความเข้มข้นของละอองเวทมนตร์สูงไงล่ะ ถึงเกิดมอนสเตอร์ประเภทร่างอัญเชิญออกมาเยอะขนาดนี้ แบบนี้แกนของดันเจียนอาจเป็นหินเวทมนตร์เม็ดใหญ่เลยก็ได้ นับเป็นข่าวดีแล้วล่ะ”

 

“แต่พวกร่างอัญเชิญมันไม่ดรอปวัตถุดิบให้น่ะซี้ ชั้นกะว่าจะมารวบรวมวัตถุดิบไปใช้คราฟท์ (ประดิษฐ์) ของซะหน่อย”

 

“ไม่เห็นเป็นไรเลยน่า เดี๋ยวเอามานาสโตนไปขายซื้อวัตถุดิบเอาก็ได้ เฮ้ ฟีน่า เอามานาไซฟอนออกมาซิ”

 

นักรบหนุ่มสั่งการอะไรบางอย่างกับนักเวทสาว ดูเหมือนว่า ฟีน่า จะเป็นชื่อของเธอ

 

ทางด้านฟีน่าเมื่อได้ยินคำสั่งแล้วก็นำอุปกรณ์รูปร่างคล้ายๆกระบอกทรงกลมออกมา เมื่อเธอเริ่มร่ายเวทก็มีละอองแสงลอยจากพื้นที่รอบๆแล้ววิ่งมารวมกันในกระบอกนั้น

 

“แซนโดร มานาไซฟอนนี่มันคืออะไรเหรอ?”

 

“…มันเป็นอุปกรณ์สำหรับเก็บรวบรวมพลังเวทจากร่างอัญเชิญที่ถูกกำจัดน่ะ …คล้ายๆกับการใช้เวทโซลแทรปในการดักวิญญาณสิ่งมีชีวิตนั่นแหละ …แต่อันนี้จะรวบรวมเฉพาะพลังงานบริสุทธิ์จากการแตกสลายของร่างอัญเชิญ …เมื่อนำมาควบแน่นแล้วก็จะกลายเป็นมานาสโตนซึ่งใช้เป็นแหล่งพลังงานเวทมนตร์อีกชนิดหนึ่ง…”

 

“อ๋อ หินเวทมนตร์แบบที่ใช้ใส่ในพวกเครื่องใช้เล็กๆอย่างหลอดไฟหรือโทรทัศน์ใช่ม้า เพิ่งรู้นะเนี่ยว่ามีวิธีการทำแบบนี้”

 

“…วิธีการทำมานาสโตนก็มีหลายวิธี นี่เป็นแค่หนึ่งในนั้น …เพราะว่าพวกร่างอัญเชิญเมื่อตายแล้วจะไม่ดรอปไอเท็มอะไร …สมัยก่อนดันเจียนที่มีมอนสเตอร์เป็นร่างอัญเชิญเยอะๆคนเลยไม่ค่อยอยากไปเคลียร์เพราะได้สิ่งตอบแทนต่ำ…

 

…เพื่อแก้ปัญหานี้นักวิจัยของสมาคมจึงหาวิธีเพิ่มความคุ้มค่าให้กับการกำจัดร่างอัญเชิญ …โดยการเอาเวทโซลแทรปมาดัดแปลงเป็นอุปกรณ์เก็บเกี่ยวพลังงานที่หลงเหลืออยู่ของร่างอัญเชิญมาสร้างเป็นมานาสโตน …พวกนักผจญภัยจะได้มีแรงจูงใจมากขึ้น …ซึ่งก็ได้ผลดีทีเดียว…”

 

“เรื่องของผลประโยชน์อีกแล้ว… นักผจญภัยจริงๆนี่ต่างจากที่ผมเคยคิดไว้ลิบลับเลยนะ”

 

“…ก็ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นแบบนั้นหรอกนะ …คนที่รักการผจญภัยจากใจจริงไม่เกี่ยวกับผลประโยชน์ก็ยังพอมีอยู่ …แต่สำหรับยุคสมัยที่สงบสุขแบบนี้ …พวกที่มองการเป็นนักผจญภัยว่าเป็นเหมือนงาน หรืออาชีพ ก็มีค่อนข้างเยอะแหละ…”

 

กลุ่มนักผจญภัยยังคงเคลียร์พื้นที่ตามห้องต่างๆในดันเจียนไปเรื่อยๆ ในขณะที่ซาลารัสส่งสมุนที่มีอยู่ไปเสริมตามจุดต่างๆและอัญเชิญสมุนเข้าไปเติมในดันเจียน

 

เวลาล่วงเลยมาถึงช่วงบ่าย เหล่านักผจญภัยก็เคลียร์พื้นที่มาจนใกล้จะถึงห้องที่เป็นแกนกลางของดันเจียนแล้ว

 

“ห้องด้านหน้านี้น่าจะเป็นแกนของดันเจียนแล้วนะ”

 

ฟีน่าพูดขึ้นหลังจากตรวจสอบความเข้มข้นของละอองเวทมนตร์และดูโครงสร้างของดันเจียน

 

“อืม กลุ่มที่อยู่หน้าห้องนี้น่าจะเป็นกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดแล้วล่ะ เรย์กาด ตรวจสอบมอนสเตอร์ดูซิ”

 

นักธนูหนุ่ม เรย์กาด ใช้ทักษะ ‘มอนสเตอร์ดีเท็ค’ เพื่อตรวจสอบมอนสเตอร์ในนั้นทันที แต่ก็ได้พบกับสิ่งที่ไม่คาดคิด

 

“ข้างในนั้นมีบาซิลิสค์สองตัว กรีนลิซาร์ดอีกสี่ตัว แล้วนี่มัน… มังกรงั้นเหรอ!?”

 

———————————————————————————————————-

 

Part 3

 

อีกด้านหนึ่ง ซาลารัสกำลังคู้ตัวอยู่กับพื้นโดยเอามือกุมหัวด้วยความเจ็บปวด มีแซนโดรซึ่งกำหมัดอันสั่นเทายืนอยู่ข้างๆ

 

“…เจ้า …เบื๊อกเอ๊ย …ก็บอกว่าอย่าทำอะไรให้มันผิดสังเกตแท้ๆ …ดันใส่มังกรลงไปในดันเจียนซะได้…”

 

“กะ.. ก็สมุนตัวอื่นมันกำลังอยู่ระหว่างคูลดาวน์นี่นา! แล้วผมก็อยากเก็บเลเวลให้มังกรตัวนี้ด้วยอะ!”

 

“…การมีมังกรอยู่ในที่แบบนี้มันสะดุดตาเกินไป …ถ้าเจ้าพวกนั้นไม่เอะใจอะไรขึ้นมาก็คงจะดีหรอก…”

 

ในเมื่อแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วแซนโดรจึงได้แต่เฝ้าดูผลของมันเท่านั้น ซาลารัสเองก็ลุกขึ้นมาจับตาดูความเคลื่อนไหวของพวกนักผจญภัยด้วยสีหน้าที่ไม่สำนึกผิดเท่าไหร่

 

“ทำไมถึงมีมังกรอยู่ในที่แบบนี้ได้ล่ะ? ถึงจะเป็นมังกรขนาดเล็กก็เถอะ”

 

“อืม… ดูจากสีของมันแล้ว อาจเป็นแค่ร่างอัญเชิญนะ ไม่เคยเห็นมังกรที่มีเกล็ดสีนี้มาก่อนเลย”

 

“ถึงงั้นก็ยังแปลกอยู่ดี  ร่างอัญเชิญน่าจะมีรูปลักษณ์ใกล้เคียงกับสภาพแวดล้อมของดันเจียนนี่นา มันควรจะเป็นมังกรดินเกล็ดสีน้ำตาลหรือเขียวมากกว่า”

 

“มังกรหินก็มีเกล็ดสีเทานะ แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ จะทำไงดีล่ะ มีมังกรหนึ่งตัวกับบาซิลิสค์อีกสองตัวแบบนี้ เล่นไม่ง่ายเลยนะ”

 

เรย์กาดกับฟีน่าปรึกษากันด้วยทีท่าที่ทั้งข้องใจและเป็นกังวล ลำพังบาซิลิสค์ก็จัดเป็นมอนสเตอร์ที่อันตรายอยู่แล้ว นี่ยังมีมังกรพ่วงเข้าไปอีก ทำให้ต้องวางแผนกันอย่างรัดกุมยิ่งขึ้น

 

“ต้องรีบเคลียร์พวกตัวเล็กๆให้เร็วที่สุด  จากนั้นชั้นจะพยายามลากพวกตัวใหญ่ๆไปรอบๆห้องเพื่อลดความเสียหาย เรย์กาด  เตรียมกับดักเอาไว้ให้ด้วยนะ ส่วนฟีน่า ถ้ามีจังหวะสอยตัวที่แตกกลุ่มออกมาก็รีบลงมือเลย”

 

เมื่อตกลงแผนกันเรียบร้อยแล้วทุกคนก็เข้าประจำที่

 

คนที่เปิดการโจมตีก่อนในรอบนี้คือฟีน่า เธอร่ายเวท ‘เซอร์เคิลออฟฟรอส’ ขึ้นตรงกลางกลุ่มมอนสเตอร์

 

แม้พวกมันจะสังเกตเห็นวงเวทแต่ไม่ทันจะขยับออกจากตรงนั้นผลของเวทก็ทำงาน พื้นตรงนั้นทั้งหมดกลายเป็นน้ำแข็งไปในทันทีและตรึงขาของพวกมันเอาไว้จนขยับไม่ได้

 

เรย์กาดซึ่งง้างธนูรออยู่แล้วก็โจมตีด้วย ‘ชาร์จช็อต’ (Charged Shot) ท่ายิงซึ่งทวีความแรงตามระยะเวลาที่สะสมพลัง ลูกธนูพุ่งเข้าที่หัวของกรีนลิซาร์ดตัวหนึ่งอย่างแม่นยำ เมื่อบวกกับความแรงของท่าแล้วทำให้หัวมันโดนเจาะทะลุจนกระจุยเลยทีเดียว

 

บาซิลิสค์ทั้งสองตัวเริ่มจะหลุดออกจากการตรึงด้วยน้ำแข็งทีละน้อย แต่มังกรของซาลารัสนั้นยังไม่มีทีท่าว่าจะขยับได้

 

“ถ้ายิงท่านี้มันก็จะหลุดแล้วนะ! เตรียมตัวให้ดีล่ะ!”

 

“โอเค!”

 

ฟีน่ากล่าวเตือนนักรบหนุ่มก่อนที่จะยิงเวท  ‘เชนไลท์นิ่ง’ ไปยังกลุ่มมอนสเตอร์ สายฟ้าฟาดใส่มอนสเตอร์ทั้งกลุ่มสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงแต่ก็ทำให้น้ำแข็งที่เกาะเท้าของพวกมันอยู่เริ่มแตกจนหลุดออก

 

จังหวะนั้นนักรบหนุ่มก็กระโจนเข้าไปใช้ ‘ชิลด์แสลม’ ลงกลางวงมอนสเตอร์ทันที ตามด้วยท่า ‘อินทิมิเดท’ เพื่อตรึงความสนใจของพวกมันไว้ที่เขา พวกมอนสเตอร์หยุดชะงักไปชั่วครู่หนึ่งแต่ตอนนี้ทุกตัวหลุดจากพันธนาการแล้ว

 

เรย์กาดยิง ‘ชาร์จช็อต’ นัดที่สองใส่กรีนลิซาร์ดอีกตัวหนึ่ง แม้จะไม่ได้รวบรวมพลังนานเท่านัดแรก แต่เพราะมันบาดเจ็บอยู่พอสมควรแล้ว รวมกับตำแหน่งที่ลูกธนูพุ่งเข้าหัวอย่างแม่นยำจึงทำให้มันแน่นิ่งไป

 

กรีนลิซาร์ดอีกสองตัวพุ่งไปทางเรย์กาดและฟีน่า เป็นเรื่องปกติที่บางครั้งมอนสเตอร์จะไม่ได้รับผลจากการดึงความสนใจของ ‘อินทิมิเดท’ โดยเฉพาะในเวลาที่พวกมันบาดเจ็บหนักๆจนคลุ้มคลั่ง

 

แม้จะวิ่งไปด้วยความเร็วสูง แต่ยังไม่ทันจะเข้าถึงทั้งสองคน พวกมันก็เหยียบกับดักที่เรย์กาดวางไว้กลางทางซะก่อน

 

‘เอ็กโพลซีฟแทรป’ (Explosive Trap) ถึงสามวงที่เรย์กาดวางเอาไว้ทำงานพร้อมกัน ส่งพวกกรีนลิซาร์ดลอยกระเด็นกันไปคนละทิศคนละทาง และพอตกลงมาพวกมันก็ไม่ขยับเขยื้อนอีกเลย

 

“เจ้ามังกรนั่นแปลกๆนะ”

 

เรย์กาดพูดขึ้นหลังจากสังเกตเห็นความผิดปกติ

 

“ฮื่อ หลุดจากน้ำแข็งช้ากว่าบาซิลิสซะอีก เป็นร่างอัญเชิญแน่ๆ แต่คุณสมบัติก็ต่ำไปหน่อยนะ”

 

ฟีน่าที่กำลังรวบรวมพลังเวทพลางดูการต่อสู้ไปด้วยก็สังเกตุเห็นถึงสิ่งนี้เช่นกัน

 

“ยังไงก็นับเป็นเรื่องดีสำหรับเราแล้วล่ะ… เฮ้! วอลค์เกอร์! จัดการมังกรนั่นก่อนเลย!”

 

“หึหึ ชั้นเองก็สังเกตเห็นตั้งแต่เมื่อกี้แล้วล่ะ เจ้ามังกรนี่น่ะ ห่วยสุดๆเลยนี่นา”

 

คำพูดนั้นของนักรบหนุ่ม วอลค์เกอร์ ทำให้ซาลารัสรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา

 

ทันใดนั้นมังกรที่ไล่ตามวอลค์เกอร์อย่างไร้สมองจนถึงเมื่อสักครู่นี้ก็หยุดนิ่งและเริ่มรวบรวมพลังเวท

 

“อะไรกัน!?”

 

ทั้งสามคนตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพียงครู่เดียวมังกรตัวนั้นก็พ่นลูกไฟที่มีลักษณะคล้ายไฟร์บอลขนาดเล็กจำนวนมากออกมาพร้อมกันราวกับห่าฝน

 

วอลค์เกอร์นั้นมีบาซิลิสค์สองตัวบังอยู่จึงโดนลูกไฟไปเพียงเล็กน้อย แต่บาซิลิสค์ทั้งสองตัวกลับโดนการโจมตีเข้าเต็มๆหลัง

 

บาซิลิสค์เป็นมอนสเตอร์ธาตุดินซึ่งเกลียดไฟมากๆ ด้วยเหตุนี้ พวกมันทั้งสองจึงหันความสนใจไปทางมังกรของซาลารัสแทน

 

วอลค์เกอร์อาศัยจังหวะนั้นหลบฉากกลับมายังกลุ่มของเพื่อนๆที่หน้าห้องขณะที่มังกรและบาซิลิสค์กำลังสู้กัน

 

“ตกใจเลยนะเนี่ย ไม่นึกว่าจู่ๆจะใช้การโจมตีพิเศษขึ้นมา”

 

“นายไม่เป็นไรนะ เห็นโดนไปนิดหน่อยนี่นา”

 

“ไม่เป็นไร แค่นี้สบายมาก เอาล่ะเราจะเปลี่ยนแผนกันนิดหน่อย จัดการเก็บบาซิลิสค์พวกนั้นก่อนทีละตัว แล้วค่อยจัดการกับมังกร ถ้ามันยังอยู่ถึงน่ะนะ”

 

เมื่อสั่งการเสร็จ วอลค์เกอร์ก็วิ่งอ้อมไปด้านข้างของกลุ่มมอนสเตอร์เพื่อรอจังหวะ

 

เรย์กาดยิง ‘ชาร์จช็อต’ ที่สะสมพลังเต็มพิกัดเข้าที่หัวของบาซิลิสค์ตัวหนึ่ง แม้กระโหลกของมันจะแข็งจนธนูเจาะไม่เข้า แต่แรงปะทะก็ทำให้หัวของมันสะบัดไปอีกทางเลยทีเดียว

 

ฟีน่ายิงเวท ‘ธันเดอร์โบลท์’ ใส่บาซิลิสค์ตัวเดียวกัน แม้เวทนี้จะโจมตีเป้าหมายได้แค่ตัวเดียว แต่ความรุนแรงของมันก็สูงมาก ทำให้บาซิลิสค์ที่โดนการโจมตีอย่างต่อเนื่องเริ่มทรุดลง

 

“เอ็กซีคิวท์!”

 

วอลค์เกอร์อาศัยจังหวะนั้นกระโดดเข้าไปฟันบาซิลิสค์ที่กำลังเพลี่ยงพล้ำด้วยดาบที่อาบแสงสีส้ม ‘เอ็กซีคิวท์’ (Execute) คือท่าโจมตีของนักดาบที่ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นตามพลังชีวิตของเป้าหมายที่เสียไป สำหรับบาซิลิสค์ที่พลังชีวิตลดต่ำกว่า 20% แล้วทำให้วอลค์เกอร์สามารถตัดหัวของบาซิลิสค์ขาดกระเด็นไปอย่างง่ายดาย

 

ใกล้ๆกันนั้นมังกรของซาลารัสโดนการโจมตีจากเล็บและเขี้ยวพิษของบาซิลิสค์เข้าไปจนอ่อนแรงเต็มทีแล้ว ในที่สุดก็ล้มพับและสลายร่างไป

 

วอลค์เกอร์ใช้ ‘ชิลด์ชาร์จ’ (Shield Charge)  พุ่งกระแทกบาซิลิสค์อีกตัวด้วยโล่จนกระเด็นไปติดกับผนัง จังหวะนั้นเรย์กาดก็ใช้ ‘ไบน์ดิ้งช็อต’ ตรึงบาซิลิสค์ให้ติดกับผนังเอาไว้ แม้ด้วยความต้านทานเวทของบาซิลิสค์จะทำให้ท่านี้มีผลไม่นาน แต่ก็สามารถซื้อเวลาได้มากพอที่จะให้ฟีน่าร่ายเวทครั้งต่อไปได้

 

ก่อนที่บาซิลิสค์จะหลุดออกมา ฟีน่าก็ยิง ‘ธันเดอร์โบลท์’ ใส่จนมันทรุดลง เรย์กาดก็ยิง ‘ชาร์จช็อต’ ซ้ำเข้าไปอีก คราวนี้ลูกธนูปักคาเข้าที่ตาของมันจนกระทั่งเจ้าสัตว์ร้ายล้มตึงไป

 

ฟีน่าร่ายเวทรักษาให้กับวอลค์เกอร์เสร็จก็ใช้มานาไซฟอนรวบรวมพลังงานโดยรอบ ส่วนเรย์กาดก็เดินไปแยกส่วนมอนสเตอร์ทีละตัวตามปกติ

 

“ฮ่ะๆๆ วันนี้สนุกดีเหมือนกันนะเนี่ย”

 

“ทำเป็นพูดดีไปเถอะ ท่าของมังกรนั่นน่ะ ถ้าโดนเข้าเต็มๆละก็มีหวังเจ็บหนักแน่ ดีไม่ดีถ้าโดนบาซิลิสค์ซ้ำเข้าอีกอาจถึงตายก็ได้”

 

วอลค์เกอร์ที่ดูสะบักสะบอมนิดหน่อยยังคงพูดด้วยท่าทางร่าเริง ส่วนฟีน่านั้นกลับตรงกันข้าม

 

เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จแล้วทั้งสามคนก็เดินทางต่อไปยังห้องที่เป็นแกนกลางของดันเจียน

 

“เม็ดแค่นี้เองเหรอเนี่ย? เล็กกว่าที่คิดแฮะ ปกติหินเวทมนตร์ที่ดึงดูดมอนสเตอร์มาขนาดนี้ได้น่าจะเม็ดใหญ่กว่านี้นี่นา”

 

“เอาไงดีล่ะ จะเคลียร์ดันเจียนเลยดีมั้ย? มอนสเตอร์ในนี้ก็ไม่ได้หายากอะไรด้วย แถมยังมีพวกมอนสเตอร์อัญเชิญเยอะแบบแปลกๆอีก”

 

“ถึงไงนี่ก็เป็นดันเจียนที่มีความหนาแน่นพอๆกับดันเจียนระดับสี่เลยนะ ช่วงนี้ยิ่งไม่ค่อยมีดันเจียนระดับนี้โผล่มาให้ฟาร์มด้วย ถึงมอนสเตอร์อัญเชิญจะเยอะหน่อยแต่มันก็เป็นเงินเหมือนกันแหละน่า ถ้าไงเราลองเก็บดันเจียนนี้ไว้สักวันสองวันละกัน ถ้าเจอภารกิจดันเจียนที่ดีกว่านี้ค่อยกลับมาเคลียร์ แต่ถ้าหาภารกิจดีๆไม่ได้ก็ยังเก็บที่นี่ไว้ใช้ฟาร์มได้”

 

“อืม… จะเอางั้นก็ได้ แต่คราวหน้าหาคนมาเพิ่มจะดีกว่านะ ชั้นว่าสามคนมันเสี่ยงเกินไป”

 

“โอเค ตามนั้นก็แล้วกัน”

 

หลังจากตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วกลุ่มนักผจญภัยก็สัมผัสแกนของดันเจียนเพื่อเทเลพอร์ทออกจากดันเจียนไป

 

อีกฟากหนึ่ง ในห้องสมุดของมาลาไคท์คีป

 

ซาลารัสผู้ถูกมัดตัวอย่างแน่นหนาและทิ้งให้ห้อยหัวลงมาจากเพดานก็เฝ้ามองเหล่านักผจญภัยจนพวกเขาออกไป

 

“ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเก็บดันเจียนไว้ล่ะ”

 

“…อืม …ก็ดีแล้วล่ะ …ดีสำหรับเธอด้วย…”

 

“งั้นปล่อยผมลงได้รึยังอะ?”

 

“…เรื่องนั้นเอาไว้คุยกันทีหลัง …ลองตรวจสอบสถานะของสมุนที่ใช้งานไปซิ ว่าเป็นไงบ้างแล้ว…”

 

“ถูกมัดอยู่อย่างงี้จะเรียกดูได้ไงล่ะ!”

 

“…ถ้าเพ่งสมาธิดีๆก็ทำได้น่า …คิดซะว่าเป็นการฝึกละกัน …ทำเสร็จเร็วก็ได้ลงมาเร็วนะ…”

 

ซาลารัสถูกจับแขวนเพื่อเป็นการลงโทษที่ทำผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งใส่มังกรลงไปในดันเจียนที่มันไม่ควรจะอยู่ แถมยังสั่งใช้ท่าโจมตีพิเศษจนทำให้นักผจญภัยตกอยู่ในอันตรายอีก

 

“อืม… โอ้ ค่าสถานะเพิ่มขึ้นพอสมควรเลยนะเนี่ย สองตัวนี้กลายเป็นสมุนระดับสี่แล้วด้วย! ยอดเลย!”

 

“…อย่างที่คิดไว้เลย …ให้สู้กับคนจริงๆจะได้ค่าประสบการณ์มากกว่าให้สู้กับมอนสเตอร์หลายเท่า …คงเพราะอีกฝ่ายเป็นนักผจญภัยระดับสูงด้วยล่ะมั้ง …แค่สู้กันครั้งเดียวก็พัฒนาได้มากขนาดนี้…”

 

“นี่ แซนโดร ทำไมพวกนั้นถึงดูออกว่ามังกรของผมเป็นร่างอัญเชิญแต่แรกล่ะ?”

 

“…เพราะว่ามันห่วยไงล่ะ…”

 

“วะ.. ว่าไงนะ! หนอย.. แต่มันก็เป็นสมุนระดับสี่ เทียบเท่ากับบาซิลิสค์แล้วนา”

 

“…ถึงจะถูกจัดเกรดเอาไว้ระดับเดียวกันก็ใช่ว่าจะมีความเก่งกาจเท่ากัน โดยเฉพาะพวกสมุนอัญเชิญน่ะมักจะมีคุณสมบัติเฉพาะ (Unique Trait) ด้อยกว่ามอนสเตอร์จริงๆตามธรรมชาติอยู่ 1-2 ขั้นทีเดียว…”

 

“คุณสมบัติเฉพาะงั้นเหรอ?”

 

“…มอนสเตอร์แต่ละสายพันธุ์ก็จะมีคุณสมบัติเฉพาะของตัวมันเอง …และยิ่งระดับสูงขึ้นก็จะมีคุณสมบัติเฉพาะที่ดีขึ้นและหลากหลายขึ้น…

 

…อย่างมอนสเตอร์เผ่ามังกรเนี่ย คุณสมบัติเฉพาะโดยพื้นฐานที่ควรมีตั้งแต่ระดับสองเลยก็คือ ‘ดราก้อนสกิน’ (Dragon Skin) เป็นคุณสมบัติที่ช่วยเพิ่มความต้านทานทั้งทางกายภาพและทางเวทมนตร์…

 

…มังกรระดับสี่น่ะควรจะมี ‘ดราก้อนสกิน’ ระดับสองซึ่งทำให้เวทพันธนาการมีผลกับมันน้อยมาก แต่มังกรของเธอกลับหลุดจากพันธนาการช้ากว่าบาซิลิสค์ พวกนั้นเลยรู้ว่าไม่ใช่มังกรจริงๆไงล่ะ…”

 

“แบบนี้นี่เอง… แต่ ‘ดราก้อนสกิน’ เป็นทักษะที่จะสวมใส่ได้ตอนระดับห้านี่นา แถมยังมีให้ใช้แค่ระดับหนึ่งด้วย”

 

“…ข้อจำกัดของเวทอัญเชิญก็แบบนี้แหละ …เพราะขาดการพัฒนาวิทยาการทำให้สร้างได้แต่ของที่มีคุณภาพต่ำกว่าความเป็นจริง …แต่สมุนของเธอสามารถพัฒนาตัวเองได้อยู่แล้วเพราะงั้นก็น่าจะพอชดเชยเรื่องนั้นไปได้นะ…”

 

แซนโดรร่ายเวทให้เชือกคลายตัวลง ซาลารัสตกใจเล็กน้อยเพราะคิดว่ากำลังจะหล่นลงมา แต่ตัวเขากลับค่อยๆลอยกลับลงมายืนบนพื้นอย่างนิ่มนวลแทน

 

“…เพ่งสมาธิไปที่แกนของดันเจียนแล้วร่ายเวทดึงดูดมอนสเตอร์ซะ จะได้มีมอนสเตอร์ชุดใหม่เข้ามา …ระหว่างนี้ก็ทบทวนวิชาที่เรียนไปก่อน ส่วนชั้นจะไปเตรียมอาหารเย็น…”

 

เมื่อพูดจบแซนโดรก็เทเลพอร์ทออกจากห้องไป

 

ซาลารัสยังคงข้องใจในวิธีการที่ทำอยู่ เขาคิดว่ายังไงก็ควรจะมีวิธีที่ดีกว่านี้ในการใช้ประโยชน์จากดันเจียนและนักผจญภัย  วิธีที่ไม่ต้องยุ่งยากและมีช่องโหว่ให้กังวลโน่นนี่น้อยกว่านี้

 

อีกเรื่องคือการที่สมุนของเขาขาดคุณสมบัติเฉพาะและมีคุณภาพต่ำกว่ามอนสเตอร์จริงๆนั้นเป็นเรื่องที่เขายอมรับไม่ได้ ซาลารัสอยากให้สมุนที่เขาสร้างเริ่มต้นด้วยคุณสมบัติที่เทียบเท่าหรือเหนือกว่ามอนสเตอร์จริงๆด้วยซ้ำไป

 

“มันน่าจะมีวิธีอะไรสักอย่างสิน่า…”

 

ซาลารัสพึมพำกับตัวเองและเริ่มคุ้ยดูงานวิจัยที่ถูกทิ้งไว้ของเหล่าผู้ศึกษาศาสตร์มืดดูอีกครั้ง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด