Doombringer the 5th 91

Now you are reading Doombringer the 5th Chapter 91 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Ch.91 – ตอนพิเศษ 1 – การประชุมนักปราชญ์

Translator : YoyoTanya / Author

Extra Ch. 1

การประชุมนักปราชญ์

 

Part 1

 

ณ ‘เสาค้ำสวรรค์’ หอคอยลอยฟ้าซึ่งเป็นสถานที่ประชุมของสิบนักปราชญ์

ภายในห้องโถงขนาดใหญ่ที่ชั้นบนสุดของหอคอย แม้จะไม่มีทั้งหน้าต่างและอุปกรณ์ให้แสงสว่างใด ๆ แต่ภายในห้องกลับดูสว่างไสวราวกับเป็นห้องเปิดโล่งที่ตั้งอยู่กลางแจ้ง

หญิงสาวผมดำผู้มีผ้าพันคอสีแดงผืนใหญ่ปกปิดใบหน้าครึ่งล่างกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้พนักสูงตัวหนึ่ง เบื้องหน้าของเธอคือโต๊ะกลมขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมพื้นที่เกือบทั้งหมดของห้องเอาไว้

มันเป็นโต๊ะกลมซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลางนับสิบเมตร พื้นผิวของโต๊ะเป็นหินอ่อนสีขาวสะอาดตามีลวดลายสีทองประดับตามขอบมุมเช่นเดียวกับผนังและโถงเพดานของทุกๆห้องในหอคอยแห่งนี้ และนอกจากเก้าอี้พนักสูงที่หญิงสาวนั่งอยู่ก็ยังมีเก้าอี้ตัวอื่น ๆ อีกร่วมสิบตัวถูกจัดวางเอาไว้โดยรอบด้วย

หญิงสาวคนนั้นนั่งอ่านหนังสือเล่มเล็กขนาดเท่าฝ่ามืออยู่เพียงลำพัง แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่นานนักก็มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นภายในห้อง

มีแสงสว่างเจิดจ้าเปล่งออกมาจากเก้าอี้หลายตัวที่วางเรียงรายอยู่ และเมื่อแสงนั้นจางหายไปก็ปรากฏร่างของคนสามคนนั่งอยู่บนเก้าอี้เหล่านั้นแทน

คนเหล่านั้นสวมผ้าคลุมสีขาวซึ่งประดับชายขอบด้วยลวดลายสีทอง แม้ผ้าคลุมจะคลุมถึงศีรษะจนมองเห็นใบหน้าไม่ชัด แต่จากรูปร่างภายนอกก็พอจะมองออกว่าเป็นผู้หญิง

เมื่อเห็นว่ามีคนมา หญิงสาวในผ้าพันคอสีแดงก็ปิดหนังสือเล่มเล็กบนฝ่ามือลงและเก็บมันเข้าช่องมิติไป ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาพูดกับผู้มาเยือนเหล่านั้น

“พวกเธอน่ะ… จะมาให้ตรงเวลาสักครั้งไม่ได้รึไง?”

เมื่อได้ยินคำพูดของหญิงสาวในผ้าพันคอสีแดง เหล่าหญิงสาวในผ้าคลุมสีขาวก็แอบอมยิ้มและหันไปมองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับคำถามนั้นด้วยน้ำเสียงยียวน

“เจ๊น่ะมาตรงเวลาเกินไปต่างหาก พวกเราก็มาช้ากว่าเวลาแค่ไม่กี่นาทีเอง อย่าบ่นไปหน่อยเลยน่า”

เมื่อได้ยินคำพูดนั้น หญิงสาวในผ้าพันคอสีแดง หรือ ‘ซิสเตอร์’ ก็แสดงสายตาเบื่อหน่ายออกมา และตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงอันเย็นเยียบ

“ฉันรู้นะว่ามีพวกที่กำลังรอให้คนอื่น ๆ มากันจนครบแล้วค่อยโผล่หน้าออกมาน่ะ… ถ้าไม่รีบไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้ละก็ ฉันจะไปลากคอมาที่นี่ด้วยตัวเองเลย”

ทันทีที่เธอพูดจบ ก็มีแสงสว่างเจิดจ้าสาดส่องออกมาจากเก้าอี้อีกเจ็ดตัวที่เหลือ จากนั้นก็มีชายหญิงในผ้าคลุมสีขาวขลิบทองอีกหกคนปรากฏกายออกมาบนเก้าอี้แต่ละตัว ยกเว้นเก้าอี้อีกหนึ่งตัวที่ถูกสับเปลี่ยนเป็นแผ่นศิลาขนาดใหญ่แทน

ชายหญิงในผ้าคลุมเหล่านั้นแสดงรอยยิ้มแหย ๆ ออกมาโดยมีเหงื่อผุดตามใบหน้าให้เห็นอยู่เล็กน้อย ดูเหมือนพวกเขาจะกลัวคำขู่ของอีกฝ่ายจนต้องรีบเดินทางมายังห้องประชุมในทันที ทำให้หญิงสาวสามคนที่มาถึงก่อนหน้าพากันหัวเราะคิกคักให้กับท่าทางลุกลี้ลุกลนของคนอื่น ๆ

นักปราชญ์ทั้งสิบนั่งเรียงรายกันรอบโต๊ะเป็นรูปครึ่งวงกลมอยู่ฝั่งตรงข้ามของซิสเตอร์ โดยแบ่งเป็นฝ่ายชายกับฝ่ายหญิง นักปราชญ์ฝ่ายชายห้าคนนั่งอยู่ฝั่งซ้ายมือ ส่วนนักปราชญ์ฝ่ายหญิงอีกห้าคนก็นั่งอยู่ฝั่งขวามือ

บนยอดพนักเก้าอี้ของพวกเขามีอักขระที่เหมือนกับตัวเลขหนึ่งคู่เรืองแสงอยู่ด้วย โดยมีตั้งแต่เลข 01 ไปจนถึงเลข 10 มันคือลำดับของนักปราชญ์แต่ละคนนั่นเอง แต่ลำดับนี้เป็นลำดับตามการคัดเลือก ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสิทธิ์พิเศษ, เพศ, หรือความสามารถของเจ้าตัวแต่อย่างใด ตัวเลขจึงคละกันไปแต่ละฝั่ง เพราะทุกคนนั่งแยกฝั่งชาย-หญิง โดยไม่ได้เรียงลำดับเลขกัน

ซิสเตอร์ กวาดสายตามองดูเหล่านักปราชญ์ไปทีละคนด้วยแววตาเบื่อหน่าย ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่แผ่นศิลาซึ่งถูกนำมาตั้งแทนที่เก้าอี้ซึ่งควรจะเป็นที่นั่งของนักปราชญ์คนหนึ่ง

มันเป็นแผ่นศิลาสีขาวขนาดใหญ่เท่าตัวคน บนศิลาแผ่นนั้นมีตัวเลขพร้อมกับข้อความอีกเล็กน้อยปรากฏเป็นอักขระเรืองแสงอยู่ด้านบน

ตัวเลขขนาดใหญ่ที่แสดงอยู่บนแผ่นศิลาอย่างโดดเด่นคือเลข 09 เหนือตัวเลขนั้นมีอักษรชุดหนึ่งเขียนว่า PHLSF และด้านใต้ของเลขคู่นั้นก็มีข้อความเล็กๆอีกชุดหนึ่งเขียนว่า SOUND ONLY

เมื่อเห็นแผ่นศิลาที่มาตั้งอยู่แทนที่ ๆ ควรจะเป็นที่นั่งของหนึ่งในนักปราชญ์ ซิสเตอร์ ก็เอ่ยถามกับแผ่นศิลานั้นด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ

“ทำอะไรอยู่เหรอเอปิก? (Epic) ทำไมถึงไม่มาด้วยตัวเองล่ะ?”

พอได้ยินคำถามของอีกฝ่าย แผ่นศิลาก็ออกอาการสั่นเหมือนกำลังหวาดกลัว (มีหยดน้ำคล้าย ๆ เหงื่อผุดออกมาด้วย) และมีเสียงคนตอบกลับออกมาแบบตะกุกตะกัก

“ขะ.. ขอโทษด้วยครับ! คือผมกำลังเข้าห้องน้ำอยู่! ความจริงก็เตรียมตัวพร้อมหมดทุกอย่างแล้ว แต่พอใกล้ถึงเวลาจริง ๆ ดันเกิดปวดท้องขึ้นมาพอดี! ยะ.. อย่าเพิ่งลากผมออกไปตอนนี้นะครับ!”

เมื่อได้ยินเหตุผลของเอปิก ซิสเตอร์ ก็หลับตาลงพร้อมกับถอนหายใจออกมาเบา ๆ ด้วยความรู้สึกเหนื่อยหน่าย ส่วนนักปราชญ์ฝ่ายหญิงก็พากันหัวเราะคิกคัก ผิดกับฝ่ายชายที่แสดงสีหน้าไม่พอใจนิดหน่อยเพราะรู้สึกเหมือนกับเสียหน้าไปด้วย

“ในเมื่อมากันครบแล้ว ถ้างั้นก็… เริ่มการประชุมนักปราชญ์ครั้งที่… อืม… นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วหว่า… มีใครนับเอาไว้บ้างรึเปล่า?”

นักปราชญ์ฝ่ายชายบนเก้าอี้หมายเลข 03 ที่นั่งอยู่ริมด้านซ้ายมือสุดของซิสเตอร์ อ่ยคำพูดเพื่อเปิดการประชุมขึ้นมา แต่ก็ต้องหยุดชะงักไปกลางคันเพราะจำลำดับของการประชุมไม่ได้ ทำให้เธอแสดงอาการหงุดหงิดออกมาอีกครั้ง ก่อนจะบอกลำดับที่ถูกต้องให้

“ครั้งที่ 235 ไงเล่า…”

“อ้อ ใช่ๆ ครั้งที่ 235 เอาล่ะ มาเริ่มประชุมกันได้เลย”

ด้วยเหตุนี้ การประชุมนักปราชญ์ครั้งที่ 235 จึงได้เริ่มต้นขึ้น โดยมีเสียงถอนหายใจของซิสเตอร์ แว่วตามมา

 

——————————————————————————————————–

 

Part 2

 

การประชุมนักปราชญ์คืองานประชุมที่จัดขึ้นทุก ๆ หนึ่งปี เพื่อให้นักปราชญ์ทั้งสิบได้มาระดมความคิดในการปรับปรุงหรือสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ให้กับโลก

เดิมทีในช่วงแรก ๆ ของการสร้างโลก สิบนักปราชญ์ต่างก็เฝ้าดูและปรับปรุงโลกจากในห้องนี้อย่างไม่มีการหยุดพัก จวบจนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปกว่า 70 ปี องค์ประกอบต่าง ๆ ของโลกก็เริ่มอยู่ตัวจนไม่ต้องทำการปรับแต่งจัดสมดุลกันแบบรายวันอีก

นั่นเป็นช่วงเวลาที่เหล่านักปราชญ์ลงความเห็นกันว่าการสร้างโลกของพวกเขาได้เสร็จสิ้นลงแล้ว แต่เพราะโลกใหม่มีองค์ประกอบพิเศษถูกเพิ่มเติมเข้าไปนับไม่ถ้วนจนไม่อาจคาดคะเนความเป็นไปในอนาคตได้ หนึ่งในนักปราชญ์เห็นว่าจะเป็นการดีกว่าถ้ามีการติดตามความเปลี่ยนแปลงและปรับแต่งโลกให้เป็นไปในแนวทางที่เหมาะสมเป็นระยะ ๆ จึงกำหนดให้มีการประชุมเพื่อการนี้ขึ้นปีละครั้ง ในห้องประชุมของ ‘เสาค้ำสวรรค์’ ซึ่งก็เป็นที่ที่พวกเขาใช้ในการสร้างโลกขึ้นมานั่นเอง

ในช่วงแรก ๆ หัวข้อของการประชุมและข้อเสนอของเหล่านักปราชญ์ก็ยังเป็นการเป็นงานอยู่บ้าง แต่เมื่อเวลาผ่านไปกว่าสองร้อยปี โลกใหม่มีความเถียรมากขึ้นจนแทบไม่มีอะไรให้ต้องปรับแต่งอีก แถมการตั้งกฎเพื่อแทรกแซงการกระทำบางอย่างของมนุษย์ก็เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและอาจทำให้เกิดความผิดเพี้ยนของพฤติกรรมจนนำไปสู่การล่มสลายของโลกได้ สิ่งที่เหล่านักปราชญ์ทำได้จึงมีน้อยลงไปอีก

ด้วยเหตุนี้ พักหลัง ๆ จึงเริ่มมีข้อเสนอเพี้ยน ๆ ที่พูดได้ยากว่าทำให้โลกดีขึ้นหรือเลวลงออกมาจากเหล่านักปราชญ์ ทำให้ผู้ชี้ขาดอย่างซิสเตอร์ เริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายกับการประชุมนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ

และในปีนี้ก็เช่นกัน

“เอาล่ะ… ถ้างั้น พวกเรานักปราชญ์ฝ่ายชายจะขอเสนอญัตติของเราในปีนี้ก่อนก็แล้วกัน”

พอล (Paul) นักปราชญ์ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หมายเลข 03 ซึ่งเป็นผู้นำของนักปราชญ์ฝ่ายชาย และมีศักดิ์เป็นผู้นำสูงสุดของสิบนักปราชญ์เป็นผู้เริ่มเสนอญัตติของฝ่ายชายก่อน

เพราะฝ่ายชายและฝ่ายหญิงมักจะมีข้อเสนอไม่ตรงกัน และพักหลัง ๆ เริ่มจะมีข้อเสนออันไร้สาระถูกเสนอขึ้นมามากมาย ซิสเตอร์ จึงจำกัดให้แต่ละฝ่ายสามารถเสนอญัตติได้เพียงหนึ่งญัตติต่อปีเท่านั้น เว้นแต่จะมีเหตุการณ์ไม่ปกติหรือเป็นเรื่องสำคัญจริง ๆ เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายกลั่นกรองญัตติของตนเองให้เหลือเพียงสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น แต่ก็ดูเหมือนข้อบังคับนี้จะไม่ช่วยอะไรเท่าไหร่

เธอหลับตาลงและสูดลมหายใจเข้าไปจนเต็มปอดเพื่อทำใจเตรียมรับฟังญัตติที่เหล่านักปราชญ์ฝ่ายชายจะนำเสนอ และสิ่งที่พอลนำเสนอขึ้นมาก็คือ

“สิ่งที่เราคิดว่าสมควรจะเพิ่มเติมเข้าไปให้กับโลกใหม่ก็คือ… ‘โลลิฯ นมโต’ ยังไงล่ะ!”

เมื่อได้ยินคำประกาศของพอล ซิสเตอร์ ก็เหลือบตากลับขึ้นมามองกลุ่มนักปราชญ์หนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งซ้ายมือของตนเองด้วยสายตาเหมือนกับกำลังมองสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ แต่เหล่านักปราชญ์ฝ่ายชายก็ไม่ได้สะทกสะท้านอะไรแถมยังยิ้มกริ่มกันอย่างภูมิใจกับสิ่งที่พวกตนนำเสนอ

ทางด้านนักปราชญ์ฝ่ายหญิงเมื่อได้ยินข้อเสนอนี้แล้วต่างก็มีปฏิกิริยาแตกต่างกันออกไป บ้างก็แสดงสีหน้าข้องใจ บ้างก็สงสัย ส่วนบางคนก็ยิ้มออกมาด้วยท่าทีสนอกสนใจ ซึ่งคนที่เอ่ยปากพูดขึ้นมาก่อนก็คืออริส (Aris) นักปราชญ์ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หมายเลข 01 ผู้นำของกลุ่มนักปราชญ์ฝ่ายหญิงซึ่งนั่งอยู่ฝั่งขวามือของซิสเตอร์

“นี่พวกนาย… โรคจิตรึไง? คิดจะให้เด็กมีหน้าอกเนี่ยนะ?”

อริสพูดออกมาด้วยสีหน้าที่แสดงความรังเกียจพร้อมกับน้ำเสียงที่ปนความรู้สึกเหยียดหยามอยู่ในที แต่เหล่านักปราชญ์ฝ่ายชายก็ไม่แสดงท่าทียี่หระอะไร ก่อนที่พอลจะอธิบายให้ฝ่ายหญิงฟังอีกครั้ง

“ที่บอกว่า ‘โลลิฯนมโต’ น่ะมันเป็นแค่คำเปรียบเปรย ไม่ได้หมายความว่าจะให้เด็กผู้หญิงมีหน้าอกหรอกนะ แต่หมายความว่าจะให้ผู้หญิงที่ร่างเล็กหรือมีทรวดทรงผอมเพรียวก็สามารถมีหน้าอกสะบึมเหมือนกับสาวทรงโตได้ต่างหากล่ะ!”

พอลประกาศออกมาอีกครั้งด้วยสีหน้าและรอยยิ้มที่มีความมั่นใจอันเต็มเปี่ยม เช่นเดียวกับเหล่านักปราชญ์ฝ่ายชายคนอื่น ๆ ที่แสดงสีหน้าไม่ต่างกัน คำพูดนี้ทำให้ซิสเตอร์ หรี่ตาลงมองพวกนักปราชญ์ชายด้วยสายตารังเกียจมากขึ้นไปอีก แต่เหล่านักปราชญ์ฝ่ายหญิงกลับเริ่มมีการกระซิบกระซาบปรึกษากันขึ้นมา

โดยไม่รอให้จังหวะนี้ผ่านไปเฉย ๆ พอลก็เริ่มอธิบายขยายความเป้าหมายของญัตตินี้อีกครั้ง

“เป็นที่รู้กันดีว่า โดยปกติแล้วทรวดทรงของหญิงสาวตามธรรมชาตินั้นน่ะยากจะมีคนที่ทั้งผอมเพรียวและทรงโตในเวลาเดียวกันได้… เพราะหน้าอกก็คือไขมัน! และไขมันก็ยากจะสะสมในร่างกายของหญิงสาวที่รักษาทรวดทรงของตนเองเป็นอย่างดี! ยิ่งเป็นหญิงสาวร่างเล็กด้วยแล้วหากมีรูปร่างผอมเพรียวหน้าอกก็จะยิ่งแบนราวกับไม้กระดาน…

นั่นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วงั้นเหรอ!? พวกเธอไม่คิดว่ามันเป็นข้อจำกัดอันน่าเศร้าบ้างรึไง!? กับการที่ไม่สามารถให้หญิงสาวมีรูปร่างอันได้สัดส่วนและทรวดทรงอันเย้ายวนในเวลาเดียวกันได้น่ะ!? ฉันคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องปลดปล่อยสรีระของผู้หญิงให้เป็นอิสระ! มาร่วมมือกับเราสิ! โหวตให้กับญัตตินี้! แล้วทรวดทรงในฝันก็จะเป็นของพวกเธอทุกคน!”

พอลประกาศก้องด้วยน้ำเสียงอันเร่าร้อนราวกับจะปลุกระดมให้ทุกคนที่อยู่ที่นั่นคล้อยตาม ซึ่งนักปราชญ์ฝ่ายหญิงบางคนก็แสดงอาการลังเลออกมาให้เห็น แต่ส่วนใหญ่ก็ยังนิ่งเงียบอยู่เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

ซิสเตอร์ ยกมือขึ้นมาแตะสัมผัสเหนือคิ้วของตนเองเหมือนกำลังแสดงท่าทีกลัดกลุ้ม แต่ความจริงคือเธอยกมือขึ้นมาเพื่อบังอาการกระตุกที่หางคิ้วซึ่งกำลังเต้นตุบ ๆ เพราะสุนทรพจน์ของเอปิกอยู่

หลังจากอาการกระตุกที่หางคิ้วสงบลงแล้ว เธอก็เอ่ยถามพอลด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบจนผิดธรรมชาติ เหมือนกำลังสะกดกลั้นความรู้สึกภายในใจเอาไว้อย่างเต็มความสามารถ

“ที่ว่ารูปร่างได้สัดส่วนและทรงโตไปด้วยน่ะมันขัดกันไม่ใช่เหรอ?”

“ไม่ขัดหรอกครับ นี่จะเป็นมาตรฐานใหม่ของคำว่าได้สัดส่วน อีกอย่างคือการที่จะทรงโตรึไม่ก็เป็นสิ่งที่เจ้าตัวสามารถควบคุมได้ด้วย”

“ควบคุมได้งั้นเหรอ?”

“เราจะเปลี่ยนกฎของธรรมชาติ ให้ไขมันของผู้หญิงไปสะสมที่หน้าอกก่อนเป็นอันดับแรกแล้วค่อยไปสะสมที่อื่น แบบนี้ผู้หญิงที่รักษาหุ่นแบบปกติก็จะมีทรวดทรงธรรมดาต่อไปได้ แต่สำหรับผู้หญิงที่อยากมีทรวดทรงเย้ายวนก็แค่กินเพิ่มเยอะหน่อย หน้าอกจะเป็นส่วนที่ขยายขนาดขึ้นเป็นอันดับแรก  เมื่อถึงขนาดที่พอใจแล้วก็รักษาระดับเอาไว้ เท่านี้ก็ไม่มีปัญหา”

“……………”

เมื่อได้ยินคำอธิบายนั้น ซิสเตอร์ ก็นิ่งเงียบไปเพราะคิดว่านี่เป็นแผนการชั่วร้ายชัด ๆ

ทุกคนก็รู้ดีอยู่แล้วว่าผู้หญิงน่ะอ้วนง่ายแค่ไหน หากเปลี่ยนกฎของธรรมชาติให้ไขมันไปสะสมที่หน้าอกเป็นอันดับแรกละก็ ตั้งแต่เด็กผู้หญิงไปจนถึงยายแก่ของโลกนี้คงได้มีแต่ผู้หญิงทรงโตเป็นแน่

ซิสเตอร์ มองเจตนาที่แท้จริงของญัตตินี้ออกในทันที แต่ความจริงมันก็ไม่ใช่เจตนาแอบแฝงสักเท่าไหร่ เพราะเหล่านักปราชญ์ชายเองก็ถึงขนาดนำคำว่า ‘โลลิฯ นมโต’ มาใช้เป็นชื่อญัตติอย่างโจ่งแจ้ง ราวกับไม่สนใจจะปกปิดเจตนานี้เลยแม้แต่น้อย

 

——————————————————————————————————–

 

Part 3

 

แม้จะรู้สึกไม่พอใจกับญัตตินี้แค่ไหน แต่ซิสเตอร์ ก็ทำได้แค่รอการลงมติอย่างเป็นทางการเท่านั้น เพราะหน้าที่ของเธอในที่ประชุมแห่งนี้คือการเป็น ‘ผู้ชี้ขาด’ ในกรณีที่ผลโหวตของสองฝั่งเกิดเสมอกันขึ้นมา

จริงอยู่ว่าเธอมีอำนาจที่จะล้มญัตติด้วยตนเองได้แม้ผลการโหวตจะออกมาเป็นเอกฉันท์ แต่การจะทำเช่นนั้นก็ต้องใช้กำลังสู้ตัดสินกับผู้ผลักดันญัตติทั้งหมด ซึ่งแม้เธอจะเคยสู้ชนะสภานักปราชญ์แบบหนึ่งต่อสิบมาแล้ว แต่มันก็เป็นเรื่องที่จะกระทบกับความสัมพันธ์ของทุกคน หากไม่จำเป็นจริง ๆ เธอก็ไม่อยากทำมันนัก และหากทำแบบนั้นบ่อย ๆ สิบนักปราชญ์ก็อาจรวมหัวกันสร้างความลำบากให้กับเธออย่างจงใจเพื่อเป็นการตอบโต้ ซึ่งแบบนั้นจะยิ่งกลายเป็นเรื่องที่น่ารำคาญเข้าไปอีก

ในสมัยก่อนตอนที่ยังไม่ได้สร้างลิลลี่โฮไรซอนขึ้นมา เธอก็ไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนี้สักเท่าไหร่นัก แต่ในตอนนี้เพราะมีลิลลี่โฮไรซอนอยู่ทำให้เธอเป็นห่วงว่าการผิดใจกับนักปราชญ์เพียงคนใดคนหนึ่งก็อาจส่งผลกระทบกับความปลอดภัยของผู้คนในลิลลี่โฮไรซอนได้

แน่นอนว่านั่นเป็นความคิดที่เธอไม่เคยแสดงออกและไม่เคยบอกใคร (นอกจากซาล) เพราะไม่อยากให้ใครรู้ว่านั่นเป็นจุดอ่อนของเธอ ความจริงคือไม่น่าจะมีใครกล้าแตะต้องดินแดนและเด็ก ๆ ของเธออยู่แล้วเพราะหากถูกจับได้คงต้องโดนเอาคืนเป็นร้อยเท่า แต่เธอก็ยังต้องการจะตัดไฟแต่ต้นลมมากกว่า

ด้วยเหตุนี้ซิสเตอร์ จึงได้แต่ภาวนาขอให้เหล่านักปราชญ์ฝ่ายหญิงลงคะแนนคัดค้านให้ญัตตินี้ตกไป แต่ทั้งพอลและเหล่านักปราชญ์ฝ่ายชายต่างก็แสดงรอยยิ้มอันมั่นใจออกมาอย่างเปิดเผย เพราะพวกเขาคิดว่าญัตตินี้จะต้องผ่านได้แน่ ๆ

นั่นก็เพราะมันเป็นญัตติที่มีคนของฝ่ายหญิงได้ประโยชน์อยู่ด้วยนั่นเอง

 

อีกด้านหนึ่ง กลุ่มนักปราชญ์ฝ่ายหญิงที่ขยับวงกันเข้ามาเพื่อปรึกษากันในญัตตินี้ก็กำลังโต้เถียงกันอย่างหนักหน่วง

“เธอจะบ้ารึไง? นี่มันเป็นการดูถูกกันชัดๆ! ญัตตินี้น่ะมันไม่ต่างจากการทำให้ผู้หญิงกลายเป็นแค่วัตถุทางเพศเลยนะ!”

ผู้ที่ใส่อารมณ์ลงในเสียงที่พยายามพูดอย่างแผ่วเบาที่สุดจนเหมือนกับเสียงกระซิบนั้นก็คือนักปราชญ์ผู้นั่งอยู่บนเก้าอี้หมายเลข 08 ซีโน่ (Zeno) ซึ่งกำลังเค่นเสียงใส่ เอไวซ์ (Avice) นักปราชญ์หญิงร่างเล็กที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หมายเลข 07

“คะ.. คัพ D อย่างคุณซีโน่ก็พูดได้สิคะ… แต่ฉันน่ะ จะทำยังไงก็ไม่เคยเกินคัพ A ไปได้เลย…”

“ใช่ที่ไหนเล่า!? แค่ C เท่านั้นแหละ! อีกอย่างคือมันไม่ใช่ของที่วิเศษขนาดนั้นหรอกนะ ทั้งทำให้เมื่อยหลัง จะขยับตัวก็ลำบาก แถมแก่ตัวลงก็อาจหย่อนยานเป็นถุงกาแฟด้วย”

“คนที่มีอยู่แล้วน่ะไม่เห็นค่าของสิ่งที่ตัวเองมีหรอกค่ะ”

“หนอย! ยัยเปี๊ยกนี่!”

“พอเถอะซีโน่”

“แต่ว่า!?”

“ถ้านั่นเป็นการตัดสินใจของเจ้าตัวก็ช่วยไม่ได้ เราต้องเคารพการตัดสินใจของแต่ละคนนะ”

คำพูดของอริสที่เข้ามาห้ามทัพทำให้ซีโน่ยอมถอยกลับไปแม้จะไม่ค่อยพอใจนัก ทุกคนจึงกลับไปนั่งประจำตำแหน่งของตนเองเพื่อเตรียมโหวตให้กับญัตตินี้

ฝ่ายชายนำโดยพอลยังคงยิ้มกริ่มและเหลือบมองมายังซิสเตอร์ อย่างมีนัยยะ ราวกับต้องการดูท่าทีว่าเธอจะกล้าล้มญัตตินี้รึเปล่าหากผลโหวตออกมาไม่ถูกใจ แต่เธอก็ยังคงเฝ้าดูการลงคะแนนอยู่เงียบ ๆ โดยไม่แสดงปฏิกิริยาอะไรออกมา

เมื่อนักปราชญ์ทุกคนกดลงคะแนนให้กับญัตติเรียบร้อยแล้ว ตรงจุดศูนย์กลางของโต๊ะประชุมก็ค่อย ๆ เปิดออกเป็นช่องวงกลมขยายตัวออกไปเรื่อย ๆ จนเมื่อถึงระดับหนึ่งส่วนขอบด้านในของวงกลมก็ปรากฏอักขระเวทขึ้นมาและฉายภาพบางอย่างขึ้นบนอากาศ

มันเป็นภาพสามมิติของคะแนนโหวตซึ่งผู้ที่โหวตให้กับญัตติจะถูกแทนด้วยอักขระแสงสีฟ้า ส่วนผู้ไม่เห็นด้วยจะแทนด้วยอักขระแสงสีแดง ซึ่งหลังจากอักขระแสงของทุกคนวิ่งขึ้นมาเรียงตัวกันบนอากาศจนครบแล้ว ปรากฏว่าฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับญัตติเป็นฝ่ายชนะไปด้วยคะแนน 6 ต่อ 4 ทำให้พอลและนักปราชญ์ชายอีกหลายคนถึงกับหน้าถอดสี

“อะไรกัน!? ทำไมถึงได้!?”

พอลรีบหันไปมองยังเอไวซ์ นักปราชญ์ฝ่ายหญิงที่น่าจะโหวตให้กับญัตตินี้แน่ ๆ ซึ่งเจ้าตัวก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาเช่นกัน เพราะเธอก็กดโหวตเห็นด้วยกับญัตตินี้ ทำให้พอลยิ่งรู้สึกข้องใจมากขึ้นอีกว่าทำไมคะแนนโหวตถึงพลิกได้

“ต่อให้เอไวซ์ไม่ยอมโหวตให้กับเรา คะแนนก็น่าจะยังเป็น 5 ต่อ 5 นี่นา… แต่นี่เรากลับแพ้ไปถึง 6 ต่อ 4 หมายความว่า…”

เมื่อพิจารณาผลลัพธ์จนนึกสาเหตุของความพ่ายแพ้ออกแล้ว พอลก็หันขวับไปยังริมอีกฟากหนึ่งของแถวนักปราชญ์ฝ่ายชาย ที่ซึ่งแผ่นศิลาตัวแทนของเอปิก กับนักปราชญ์ชายบนเก้าอี้หมายเลข 10 นั่งอยู่ ด้วยสายตาตกตะลึง

“นี่พวกนาย… ทรยศเรางั้นเรอะ?”

คำพูดของพอลทำให้นักปราชญ์อีกสองคนที่นั่งถัดจากเขาหันไปมองเช่นเดียวกัน แผ่นศิลาตัวแทนของเอปิกเอียงตัวไปทางอื่นเหมือนพยายามจะหลบสายตาเสียดแทงของเหล่าพวกพ้องที่พุ่งตรงมา (มีหยดน้ำคล้ายกับเหงื่อผุดออกมาจากแผ่นศิลาด้วย) ผิดกับนักปราชญ์ชายผู้นั่งอยู่บนเก้าอี้หมายเลข 10 ที่ยังคงนั่งประสานมือทั้งสองข้างโดยเอาศอกเท้ากับขอบโต๊ะและเอ่ยคำพูดกลับไปยังพอลอย่างไม่สะทกสะท้าน

“ฉันก็แค่… ไม่ได้ทรยศต่อตัวเองเท่านั้นแหละ”

“จอห์น… รึว่านาย!?”

“ใช่แล้วล่ะ… ฉันน่ะ… ชอบแต่สาวจอแบนเท่านั้น…”

คำตอบของจอห์นทำให้พอลรู้สึกเหมือนกับถูกสายฟ้าฟาดเข้ากลางกระหม่อม จนได้แต่ยืนอึ้งไป

“ทะ… ทำไมกัน!? ตอนที่ฉันเห็นนายเล่นอีโรเกะ นายก็เลือกจบกับสาวทรงโตนี่นา!?”

“นั่นเพราะจะเก็บฉาก CG ให้ครบทุกคนต่างหาก แต่ถ้าให้เลือกได้แค่คนเดียวละก็ ยังไงฉันก็ขอเลือกสาวจอแบนเท่านั้นแหละ”

คำตอกย้ำของจอห์นยิ่งทำให้พอลและผู้สนับสนุนอีกสองคนรู้สึกช็อคไปตาม ๆ กัน พวกเขาคิดมาตลอดว่าพรรคพวกทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นพี่น้องที่ร่วมอุดมการณ์และมีจิตใจเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมองข้ามอะไรไปบางอย่างและเข้าใจรสนิยมของพวกพ้องผิดไปแบบนี้

แต่แม้จะรู้เหตุผลของจอห์นแล้ว พวกเขาก็ยังไม่เข้าใจเหตุผลของเอปิก ผู้ที่ส่งแผ่นศิลามาเป็นตัวแทนในการประชุมอยู่ดี

“แล้วนายล่ะเอปิก? ชั้นรู้ว่านายน่ะเป็นผู้ร่วมอุดมการณ์เดียวกับเราแน่ ๆ ทำไมถึงไม่ยอมโหวตให้กับญัตตินี้ล่ะ?”

เมื่อได้ยินคำถามของพอล แผ่นศิลาซึ่งเป็นตัวแทนของเอปิกก็ค่อย ๆ หันกลับไปทางอีกฝ่ายแบบกล้า ๆ กลัว ๆ ก่อนจะเอ่ยคำตอบออกมา

“จริง ๆ แล้วสำหรับฉันจะยังไงก็ได้อะนะ… ใช่ว่าชอบหรืออยากได้อะไรเป็นพิเศษหรอก… ที่สำคัญคือรสนิยมของฉันน่ะจำกัดอยู่แค่ในโลก 2D เท่านั้น ถึงจะชอบสาวทรงโต หรือโลลิฯ นมโตในโลก  2D แต่สำหรับโลก 3D มันคนละเรื่องกันอะนา… ฉันไม่ค่อยนิยมสาวทรงโตในโลก 3D เท่าไหร่น่ะ… คิดว่านะ…”

คำตอบของเอปิกทำให้พอลยิ่งรู้สึกเจ็บปวดขึ้นไปอีก แต่เขาก็ยังรู้สึกว่ามีอะไรแปลก ๆ เพราะเอปิกเป็นพวกที่น่าจะคล้อยตามเสียงข้างมากมากกว่า และรสนิยมของเขาก็ไม่ได้ขัดกับญัตตินี้ซะทีเดียว เหตุผลที่ว่ามาจึงไม่น่าเป็นสาเหตุให้เขาโหวตสวนทางกับพรรคพวกได้เลย เว้นแต่ว่ามีใครไปล็อบบี้การโหวตของเขาเอาไว้เท่านั้น

เมื่อพิจารณาถึงตรงนี้ พอลก็แสดงสีหน้าเหมือนกับนึกอะไรขึ้นมาได้ ก่อนจะหันขวับไปมองยังซิสเตอร์ ซึ่งสิ่งที่เขาได้เห็นก็คือสีหน้าที่เหมือนกับกำลังแสยะยิ้มอยู่ภายใต้ผ้าพันคอสีแดงของเธอ

‘นี่มัน… เป็นแผนการของเจ๊งั้นเหรอ? เจ๊จัดเตรียมเรื่องนี้เอาไว้ตั้งแต่แรกเพื่อที่จะล็อคผลโหวตเอาไว้!?’

พอลส่งคำถามผ่านสายตาไปยังซิสเตอร์ ที่กำลังจ้องมองมายังเขาด้วยแววตาพึงพอใจอย่างที่สุด ซึ่งซิสเตอร์ ที่อ่านออกว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ก็ตอบคำถามนั้นกลับไปทางสายตาเช่นกัน

‘ถูกแล้วล่ะ ฉันไปติดสินบนเอปิกให้ช่วยโหวตสวนทางกับญัตติที่ฉันไม่พอใจเอาไว้เองแหละ แบบนี้มันง่ายกว่าล้มญัตติด้วยตัวเองตั้งเยอะ ความจริงเรื่องที่จอห์นเป็นพวกนิยมจอแบนฉันก็รู้อยู่แล้วด้วย แต่เพื่อความไม่ประมาทเพราะฝ่ายหญิงอาจมีคนยอมโหวตให้กับญัตติแบบนี้เกินหนึ่งคนก็ได้ ฉันเลยต้องล็อบบี้เอปิกเผื่อเอาไว้ด้วยไงล่ะ’

แม้จะไม่ถึงกับเข้าใจในสิ่งที่ซิสเตอร์ สื่อออกมาทางสายตาทั้งหมด แต่พอลก็พอจะจับใจความได้ว่าทุกอย่างเป็นไปตามแผนของเธอ ทำให้เขาได้แต่ก้มหน้ายอมรับความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ไป

 

——————————————————————————————————–

 

Part 4

 

เมื่อการโหวตสำหรับญัตติแรกจบลงแล้ว ก็มาถึงคราวของนักปราชญ์ฝ่ายหญิงที่จะเสนอญัตติกันบ้าง

สำหรับฝ่ายหญิงนั้นมีข้อตกลงกันว่าแต่ละคนจะผลัดกันเป็นผู้ยื่นญัตติที่ตนเองอยากจะเสนอในแต่ละปีเพื่อความเท่าเทียม ซึ่งในปีนี้ก็เป็นคิวของเรเน่ (Rene) นักปราชญ์หญิงผู้นั่งอยู่บนเก้าอี้หมายเลข 04 นั่นเอง

ทันทีที่ได้รับอนุญาตให้ยื่นญัตติ เรเน่ก็ลุกขึ้นและประกาศเสนอญัตติของตนเองในทันที

“สำหรับสิ่งที่ฉันอยากจะเสนอให้เพิ่มลงไปในโลกใหม่ก็คือ… ‘สวนสวรรค์แห่งราชันย์’ (Elysium of the Kings) ค่า~~ มันคือดินแดนคู่ขนานของลิลลี่โฮไรซอน! เป็นที่ซึ่งอนุญาตให้เฉพาะชายหนุ่มเข้าไปได้เท่านั้น ส่วนหญิงสาวหากย่างกรายเข้าไปในดินแดนแห่งนี้ก็จะตกอยู่ในสภาพไร้ตัวตน ไม่ได้รับความสนใจจากเหล่าหนุ่ม ๆ ที่อยู่ในดินแดนนั้น จะได้สามารถติดตามดูและจิ้นความสัมพันธ์ของพวกเค้าได้อย่างใกล้ชิด

หรือบางทีอาจใช้กฎเดียวกับลิลลี่โฮไรซอน ให้ผู้หญิงที่ย่างกรายเข้าไปเปลี่ยนเพศเป็นผู้ชายด้วยก็ได้นะคะ แต่ก็ต้องกำหนดด้วยว่าจะเป็น ‘ฝ่ายรุก’ หรือ ‘ฝ่ายรับ’ อันที่จริงถ้าร่ายเวทมนตร์ให้ทุกคนในดินแดนนั้นสามารถผลัดกันรุกผลัดกันรับได้ก็ยิ่งวิเศษไปเลยค่ะ! แต่ก็ควรจะมีการกำหนดเวลาให้แต่ละคนอยู่ในตำแหน่งของตัวเองอย่างน้อยสักสามหรือห้าวันแล้วค่อย… อ้าว! จะรีบโหวตกันไปไหนเนี่ย!? ฉันยังพูดไม่จบเลยนะคะ!”

ยังไม่ทันที่การบรรยายจะจบลง อักขระแสดงการโหวตก็ถูกแสดงขึ้นไปบนอากาศ โดยมีคนกดโหวตไม่เห็นด้วยถึงเจ็ดเสียงแล้วในตอนนี้ ทำให้เรเน่แสดงอาการไม่พอใจออกมาเพราะยังอธิบายไม่ทันจะจบเลย

สาเหตุที่ผลโหวตเป็นแบบนี้เพราะฝ่ายชายทั้งห้าคนไม่มีทางเห็นด้วยกับญัตตินี้อยู่แล้ว ส่วนฝ่ายหญิงอีกหลายคนก็ไม่ใช่สาย BL (Boy Love) ทำให้ญัตตินี้ถูกปัดตกไปอย่างรวดเร็ว

ทางด้านซิสเตอร์ นั้นต้องยกมือขึ้นมาแตะสัมผัสเหนือหางคิ้วทั้งสองฝั่งของตนเองพร้อมกัน เพราะคิ้วทั้งสองข้างเกิดกระตุกอย่างหนักตลอดการบรรยายของเรเน่ โชคดีที่ผลการลงคะแนนออกมาเร็วทำให้การนำเสนอยุติไปกลางคัน เลยทำให้เธอสงบสติได้เร็วขึ้นด้วย

 

เมื่อนักปราชญ์ทั้งสองฝ่ายเสนอญัตติของตนเองครบหมดแล้ว พอลจึงดำเนินการประชุมต่อ โดยให้แต่ละคนรายงานความเคลื่อนไหวสำคัญ ๆ จากแต่ละมุมโลกมา และอภิปรายประเด็นต่าง ๆ เพื่อใช้ในการพิจารณาและประเมินผลความเป็นไปของโลก

“แม้จะมีเหตุการณ์ใหญ่ๆเกิดขึ้นหลายเหตุการณ์ในปีนี้ แต่โดยรวมแล้วก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง พีชคีปเปอร์ยังคงเป็นผู้กุมอำนาจในพื้นที่ส่วนใหญ่ของทวีป พวกซินเทซิสก็ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร ความเสี่ยงของจูริสดูแล้วน่าจะอยู่ในระดับต่ำนะ”

“ทางฝั่งโดมินาเรียก็ค่อนข้างเรียบร้อยดี คงเพราะมีลิลลี่โฮไรซอนของซิสเตอร์ เป็นเหมือนผู้รักษาความสงบในภูมิภาค แถมคามิเท็นก็เน้นการเผยแพร่วัฒนธรรมตะวันออกซึ่งนับวันจะยิ่งแพร่หลายมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ความเสี่ยงของโดมินาเรียอยู่ในระดับต่ำเช่นกัน”

“อืม… ฝั่งเทอร่านี่ดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ อาณาจักรต่าง ๆ ยังคงระหองระแหงกันอยู่พอสมควร คงเพราะสภาพภูมิประเทศที่ขวางกั้นแต่ละดินแดนทำให้เกิดความกลมกลืนทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมได้ยาก อาจพูดได้ว่าที่นี่มีความเสี่ยงที่จะเกิดสงครามสูงที่สุดเลย”

“แต่ถึงยังไงมันก็คงเป็นแค่สงครามระหว่างอาณาจักรเหมือนกับที่ผ่านมาล่ะมั้ง? ไม่น่าจะลุกลามถึงขนาดทำให้โลกตกอยู่ในภาวะเสื่อมถอยได้หรอกนะ”

“เรื่องนั้นมันก็ยังไม่แน่หรอก ‘หน่วยราชองครักษ์’ แห่งอาณาจักรไททาเนียน่ะเป็นกองกำลังที่มีเทคโนโลยีในระดับที่ใกล้เคียงกับพวกซินเทซิสเลยนะ พวกนั้นมีแม้กระทั่งยานรบขนาดยักษ์หลายสิบลำอยู่บนชั้นบรรยากาศด้วย ถ้าเป็นสงครามที่จำกัดวงอยู่แค่ในเทอร่าก็คงไม่เป็นปัญหาเท่าไหร่ แต่ถ้าพวกนี้เกิดมีความคิดที่จะคุกคามทวีปอื่น ๆ ขึ้นมาละก็ เรื่องคงจบไม่สวยแน่”

“เท่าที่ฉันศึกษาข้อมูลมา เรื่องนั้นคงจะเกิดขึ้นได้ยากนะ เว้นแต่ว่าไปใครไปลอบปลงพระชนม์ราชาของพวกเขาเท่านั้นแหละ อีกอย่างคือพีชคีปเปอร์ก็ทำหน้าที่ได้สมชื่อของตัวเองดี ตราบที่มีพวกนี้อยู่ สงครามขนาดใหญ่คงไม่ปะทุขึ้นมาง่าย ๆ หรอก”

“อืม… ต้องบอกว่าทำหน้าที่ได้ดีเกินไปด้วย เพราะฝ่ายมนุษย์แข็งแกร่งเกินไป แถมพวกปิศาจก็อ่อนแอจนแทบไม่เป็นภัยคุกคาม มนุษย์ที่กำลังอยู่ในช่วงรุ่งเรืองจึงเริ่มหันคมดาบเข้าหามนุษย์ด้วยกันเอง นี่น่ะเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการล่มสลายของโลกหลาย ๆ ใบที่เราเคยสร้างมาเลย”

“วิทยาการทั้งทางเวทมนตร์และวิทยาศาสตร์ของโลกนี้ก็ก้าวหน้าจนเกินไปด้วย แบบนี้ก็ยิ่งอันตราย หากเป็นโลกที่วิทยาการยังไม่สูงนัก ถึงจะเกิดความผิดพลาดขึ้นสักครั้ง ความเสียหายก็ยังไม่หนักมาก เหมือนกับรถที่วิ่งด้วยความเร็วต่ำแล้วชนหรือพลิกคว่ำนั่นแหละ แต่สำหรับโลกที่วิทยาการสูงอย่างโลกนี้ก็เหมือนกับรถที่วิ่งด้วยความเร็วเต็มที่ ถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาละก็ โอกาสตายสูงมากทีเดียว”

“การเพิ่ม ‘ภัยคุกคาม’ ลงไปในโลกถือเป็นสิ่งจำเป็นจริง ๆ สินะ… การสร้าง ‘ทวีปที่สี่’ ไปถึงไหนแล้ว?”

“ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงพัฒนาเท่านั้น คงอีกนานกว่าจะมีพลังอยู่ในระดับที่เป็นภัยคุกคามให้กับโลกได้ แถมโลกก็มีการพัฒนาไปเรื่อย ๆ อย่างรวดเร็วด้วยแบบนี้ คงพูดได้ยากว่าจะใช้งานได้เมื่อไหร่น่ะนะ”

“อืม… งั้นเราลองใช้วิธีง่าย ๆ กันดูบ้างมั้ย? แบบว่า… ทำให้เกิดหายนะซอมบี้ระบาดขึ้นบนโลกอะไรแบบนี้น่ะ”

“เรื่องนั้นเราเคยคุยกันแล้วไม่ใช่เหรอ? ถ้านึกชื่อเฉพาะเท่ ๆ มาแทนคำว่าซอมบี้ไม่ได้ละก็ เราก็จะไม่ใช้วิธีนั้น”

“ถ้าไม่ให้เรียกว่าซอมบี้แล้วจะให้เรียกว่าอะไรล่ะ… ก็มันเป็นซอมบี้นี่นา”

“ไม่ได้ เราต้องใช้ชื่ออื่นที่ไม่ใช่คำว่าซอมบี้ เหมือนกับที่ในบางโลกมีการเรียกพวกมันว่าวอลค์เกอร์ หรือไวท์วอลค์เกอร์ เราเองก็ต้องคิดชื่อที่จะใช้แทนซอมบี้ของเราเช่นกัน”

“เฮ้อ… วนกลับมาเรื่องนี้อีกแล้ว ถ้างั้นใช้แผนนั้นที่คอนฟุ (Confu) เคยนำเสนอดูดีมั้ย? แผนที่ให้พวกเราแต่ละคนไปสร้างโลกในมิติอื่นขึ้นมาคนละหนึ่งโลก แล้วค่อยทำการเชื่อมเส้นทางเพื่อส่งกองกำลังจากต่างโลกมาบุกน่ะ”

“นั่นก็เป็นวิธีที่ออกจะแรงไปหน่อยนะ แถมยังควบคุมยากด้วย เพราะแบบนั้นเราถึงเลือกที่จะสร้างทวีปที่สี่ขึ้นมาแทนไงล่ะ แต่ถ้ามันไม่ทันการณ์จริง ๆ ก็อาจจำเป็นต้องใช้วิธีนี้แหละนะ…”

“อืม… นี่ แล้วเจ๊ล่ะ? ไม่มีวิธีอะไรดี ๆ บ้างเลยเหรอ?”

หนึ่งในนักปราชญ์ฝ่ายชายเอ่ยขึ้น ทำให้ทุกคนหยุดการอภิปรายและหันไปมองซิสเตอร์ โดยพร้อมเพรียงกัน ซึ่งเธอก็เหลือบตาขึ้นมามองทุกคนและนิ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยคำตอบออกมา

“ผู้สร้างหายนะไงล่ะ”

คำตอบของซิสเตอร์ ทำให้เหล่านักปราชญ์ตกอยู่ในความเงียบงันไปครู่หนึ่ง ก่อนที่หลายคนจะแอบส่งเสียงหัวเราะคิกคักออกมาในเชิงขบขัน

“ล้อเล่นรึเปล่าเนี่ย? ผู้สร้างหายนะของนรกเนี่ยนะ? ทำการมาตั้งกี่ครั้งแล้วยังไม่เคยใกล้เคียงกับความสำเร็จเลย ยิ่งเป็นยุคสมัยที่ฝ่ายมนุษย์เข้มแข็งขนาดนี้ละก็ คงเป็นไปไม่ได้หรอก”

พอลกล่าวย้อนกลับไปโดยไม่ได้แสดงท่าทีเยาะเย้ยหรือดูถูกคำพูดของซิสเตอร์ แม้แต่น้อย แต่เธอก็ยังคงยืนกรานคำเดิม ทำให้ทุกคนต้องรู้สึกแปลกใจ

“ไม่ใช่ผู้สร้างหายนะที่เกิดจากการชักนำของนรก แต่เป็นผู้สร้างหายนะที่เกิดจากการชักนำของโลก… ว่าไปแล้วมันก็ตลกดีนะ เอาเป็นว่าพวกเธอคิดหาวิธีของตัวเองไปเถอะ ส่วนฉันจะขอเดิมพันกับผู้สร้างหายนะคนนี้แหละ”

แม้จะไม่ค่อยเข้าใจคำพูดของเธอเท่าไหร่ แต่เหล่านักปราชญ์ก็หันไปอภิปรายกันต่อโดยไม่ได้สอบถามอะไรจากซิสเตอร์ เพิ่มเติมอีก ส่วนเจ้าตัวก็หลับตาลงอีกครั้งพลางคิดถึงเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

‘ถ้าเจ้าเด็กนั่นโตเร็ว ๆ ก็ดีสินะ…’

นั่นคือคำพูดที่แวบเข้ามาในห้วงความคิดของซิสเตอร์ ขณะที่เธอกำลังนั่งฟังการอภิปรายของเหล่านักปราชญ์ซึ่งยิ่งพูดคุยกันก็ยิ่งออกทะเลไปเรื่อยๆ จนฟังดูเหมือนการประชุมเพื่อทำลายโลกมากกว่าจะเป็นการประชุมเพื่อการดำรงอยู่ของโลก

และแล้วเวลาในห้องประชุมแห่ง ‘เสาค้ำสวรรค์’ ก็ล่วงเลยไป

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด