Doombringer the 5th 95

Now you are reading Doombringer the 5th Chapter 95 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

Ch.95 – วันเปิดเทอมของผู้สร้างหายนะ (1)

Translator : YoyoTanya / Author

ชี้แจงก่อนเริ่มภาคใหม่

ภาคสองนี้จะอิงเนื้อหาจากฉบับรีไรท์ (ฉบับตีพิมพ์) เป็นหลัก และเนื่องจากในฉบับรีไรท์ได้มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดต่าง ๆ  ไปพอสมควร ทำให้ตัวละครบางตัวมีคาแรคเตอร์แตกต่างไปจากเดิมเล็กน้อย หรือบางตัวก็มีบทมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งโดยรวมไม่ได้มีผลกระทบต่อเนื้อเรื่องมากนัก แต่บางอันหากมีการกล่าวถึงในภายหลังก็อาจทำให้เกิดความสับสนได้ว่าทำไมถึงไม่เหมือนเดิม จึงจะขอชี้แจงบางส่วนที่มีการเปลี่ยนแปลงไปดังนี้

1. เซร่า (เอลฟ์สาวที่บีสเทีย) เนื่องจากเนื้อเรื่องที่บีสเทียถูกเปลี่ยนใหม่เกือบหมด ทำให้ตอนนี้เซร่าไม่ได้โดนสวมรอยแล้ว แต่อยู่กับทุกคนจนจบเหตุการณ์ จึงได้รู้จักกับซาลารัสเป็นการส่วนตัวด้วย

2. ‘พี่สาว’ (ผู้ปกครองลิลลี่โฮไรซอน) ในหนังสือจะมีหลายชื่อที่ถูกเรียก เช่น เอลเดอร์ซิสเตอร์ หรือ บิ๊กซิสเตอร์ โดยคนทั่วไปจะเรียกเธอว่า ‘บิ๊กซิสฯ’ ดังนั้นจากนี้ไปก็จะใช้ชื่อ บิ๊กซิสฯ เป็นชื่อเรียกแทน ‘พี่สาว’ ไปตลอด

3. ชื่อตัวละครหรือสถานที่หลาย ๆ แห่งมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม (เช่นชื่อของสิบนักปราชญ์) แต่ที่สำคัญจริง ๆ คือการใช้ชื่อแทนตัวในบทบรรยายซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงไปดังนี้

ซาลารัส                                         – จะใช้ชื่อในบทบรรยายว่า ซาล เฉย ๆ

เซอร์เจรัส, ดิลิก้า (พี่ชายของซาล)       – จะใช้ชื่อในบทบรรยายว่า เซอร์เก้

เซการัส, เซลิน่า (พี่สาวของซาล)         – จะใช้ชื่อในบทบรรยายว่า เซย์

เป็นการเปลี่ยนเพื่อไม่ให้เกิดความสับสนในบทบรรยายที่เหล่าพี่น้องต้องมาอยู่พร้อมหน้ากันนั่นเอง

เสริมอีกนิดคือ ‘แปดขุนพล’ ก็คือร่างอัญเชิญทั้งแปดที่ซาลสร้างขึ้นมาเพื่อใช้เป็นขุนพลในตอนพิเศษตอนที่ 2 นั่นเอง ความจริงเวอร์ชั่นรีไรท์มีรายละเอียดที่ถูกเปลี่ยนแปลงและเพิ่มเติมลงไปมากกว่านี้อีกเยอะ แต่ที่มีผลต่อการอ่านภาคต่อก็น่าจะมีประมาณนี้ ถ้ามีส่วนไหนที่เกิดความขัดแย้งกับเนื้อหาฉบับเว็บไซท์อีกจะมาแจ้งให้ทราบเพิ่มเติมเน้อ

 

——————————————————————————–

 

Ch. 91

วันเปิดเทอมของผู้สร้างหายนะ (1)

 

Part 1

ทางทิศตะวันตก ห่างจากจูริสไพร์ม เมืองหลวงของอาณาจักรจูริสไปเป็นระยะทาง 30 กิโลเมตร

ที่นั่นเป็นที่ตั้งของชุมชนขนาดใหญ่อีกแห่งหนึ่ง ซึ่งมีความหนาแน่นของสิ่งก่อสร้างไม่ด้อยไปกว่าเมืองขนาดกลาง แต่มันก็ไม่เคยถูกเรียกขานว่าเป็นเมือง

เพราะแท้จริงแล้ว ที่นี่คือ ‘อีจิสไพร์ม’ (Aegis Prime) โรงเรียนนักผจญภัยที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งเป็นศูนย์รวมของสมาคมนักผจญภัยทั้งสามทวีป

อีจิสไพร์ม ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อศักราชที่ 263 เดิมทีเป็นโรงเรียนสำหรับฝึกสอนนักผจญภัยรุ่นสามัญของอาณาจักรจูริส ซึ่งเป็นหลักสูตรหกปี (อายุ 12-18 ปี) โดยไม่ได้มุ่งเน้นการสอนเฉพาะทางนัก และทางผู้สนับสนุนหลักคือพีชคีปเปอร์ก็ต้องการให้ทำการเรียนการสอนแบบเน้นคุณภาพมากกว่าเน้นปริมาณ เพื่อชุบเลี้ยงนักผจญภัยที่มีฝีมือขึ้นมาเป็นกำลังให้กับโลกในภายภาคหน้า ทำให้แม้จะมีพื้นที่กว่า 90 ตารางกิโลเมตร แต่อีจิสไพร์มก็จะเปิดรับนักเรียนใหม่เพียงปีละ 100 คน เท่านั้น

เนื่องจากการเก็บหน่วยกิตในแต่ละภาคเรียนจะประเมินจากการทำภารกิจตามเป้าหมายที่ทางโรงเรียนได้ตั้งเอาไว้ ซึ่งนักเรียนไม่จำเป็นต้องรอภารกิจตามหลักสูตรที่ทางโรงเรียนมอบหมายให้ แต่สามารถไปทำภารกิจกับสมาคมนักผจญภัยต่าง ๆ เพื่อเก็บหน่วยกิตได้ทันที ทำให้มีนักเรียนเป็นจำนวนมากสามารถเก็บหน่วยกิตได้ครบภายในเดือนแรกของภาคเรียน ทั้ง ๆ ที่หนึ่งภาคเรียนจะมีเวลาร่วมสามเดือน ผู้ที่ขยันและมีฝีมือจึงมีเวลาว่างค่อนข้างมากในระหว่างรอขึ้นภาคเรียนใหม่ และพวกเขาจะใช้เวลาช่วงนี้ในการศึกษาหาความรู้หรือเรียนเฉพาะทางเพิ่มเติมกับสมาคมประจำคลาส หรือไปทำภารกิจกับสมาคมนักผจญภัย

กระบวนการนี้มีเรื่องที่ไม่สะดวกหลายอย่าง เพราะการจะไปยังสมาคมประจำคลาส หรือสมาคมนักผจญภัยนั้นต้องเดินทางไปยังเมืองจูริสไพร์มซึ่งอยู่ห่างไปเกือบ 30 กิโลเมตร โดยใช้เวลาในการนั่งรถม้าร่วมหนึ่งชั่วโมง ที่สำคัญคือนักผจญภัยรุ่นสามัญขั้นต้น (ปี 1-3) จะต้องพักอยู่ในหอของทางโรงเรียนเท่านั้น จึงต้องกลับมายังโรงเรียนก่อนตะวันตกดิน และไม่สามารถออกไปไหนหลังพระอาทิตย์ตกได้ ทำให้มีข้อจำกัดในการใช้เวลาส่วนนี้ค่อนข้างมาก

เมื่อเล็งเห็นปัญหานี้ พีชคีปเปอร์จึงทำการปรับปรุงโครงสร้างโรงเรียนขนานใหญ่ โดยระดมบรรดาศิษย์เก่าและสมาชิกขององค์กรจำนวนมากมาตั้งสมาคมประจำคลาส (Class Guild) ขึ้นภายในบริเวณโรงเรียน เพื่อให้เป็นแหล่งข้อมูลความรู้สำหรับนักเรียน รวมทั้งมีการตั้งสมาคมนักผจญภัยแห่งอีจิสไพร์มขึ้นด้วย โดยสมาคมนี้จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการรับและแจกจ่ายภารกิจที่มีฐานข้อมูลเชื่อมกับสมาคมนักผจญภัยของจูริสไพร์ม นักเรียนจะได้ทำภารกิจกับสมาคมแห่งนี้โดยไม่ต้องเดินทางเข้าไปในเมืองอีก

ทว่าการปรับปรุงครั้งใหญ่นี้ทำให้เกิดผลที่ไม่คาดคิดตามมา นั่นก็คือ เพราะเป็นสถานที่ซึ่งมีสมาคมประจำคลาสจำนวนมากรวมอยู่ในที่แห่งเดียว ทั้งยังมีสมาคมนักผจญภัยของตัวเองอีก ทำให้อีจิสไพร์มกลายเป็นศูนย์กลางทางการแลกเปลี่ยนข่าวสารและวิชาความรู้ของเหล่านักผจญภัยที่ใหญ่และครบครันที่สุดในทวีป นักผจญภัยจากทั่วทุกสารทิศจึงนิยมกันเดินทางมาเพื่อหาความรู้เพิ่มเติมที่นี่ด้วย

เมื่อกลายเป็นแหล่งดึงดูดของเหล่านักผจญภัยจนมีผู้คนพลุกพล่าน ก็ทำให้เกิดความต้องการในด้านต่าง ๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็นที่พัก, ร้านอาหาร, หรือร้านขายอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับนักผจญภัย จนในที่สุดทางโรงเรียนก็อนุญาตให้ผู้ประกอบการต่าง ๆ สามารถเข้ามาประกอบกิจการในพื้นที่รอบนอกของโรงเรียนได้ ทำให้เขตชุมชนมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว เพราะสารพัดสิ่งก่อสร้างซึ่งผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด จนทำให้บริเวณโดยรอบโรงเรียนมีสภาพเหมือนกับเป็นเมืองขนาดย่อมซึ่งมีทุกอย่างครบครัน ทำให้อีจิสไพร์มกลายเป็นศูนย์กลางของนักผจญภัยที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็ว่าได้

ในสมัยนั้น ทวีปอื่น ๆ อย่างเทอร่าหรือโดมินาเรียไม่ได้ให้ความสำคัญกับระบบนักผจญภัยนัก สมาคมนักผจญภัยของแต่ละทวีปจึงมีความพร้อมในการฝึกสอนและพัฒนาความรู้ด้อยกว่าสมาคมในจูริสที่มีอีจิสไพร์มเป็นศูนย์กลางมาก จึงได้มีการทำข้อตกลงกับทางพีชคีปเปอร์ เพื่อขอเพิ่มโควต้าสำหรับนักเรียนจากทวีปอื่น ๆ เข้าไปในอีจิสไพร์มด้วย

ทางพีชคีปเปอร์เล็งเห็นว่า จากการปรับปรุงโครงสร้างขนานใหญ่ทำให้ทางโรงเรียนมีขีดความสามารถในการรับนักเรียนนักศึกษามากขึ้นแล้ว อีกทั้งการเปิดโอกาสให้เด็กจากทวีปอื่น ๆ มาเข้าเรียนจะยิ่งเพิ่มโอกาสในการค้นพบผู้มีมีความสามารถหรือมีพรสวรรค์มาเป็นกำลังให้กับองค์กรในอนาคตได้ จึงอนุญาตให้ทางโรงเรียนเพิ่มอัตราการรับนักเรียนใหม่ในแต่ละปีจาก 100 อัตราเป็น 200 อัตรา โดยให้โควต้านักเรียนกับทางเทอร่าและโดมินาเรียทวีปละ 40 อัตรา ซึ่งนักเรียนที่จะเข้าเรียนได้ต้องทำการสอบแข่งขันและทำคะแนนทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติให้ผ่านเกณฑ์ที่โรงเรียนตั้งเอาไว้ด้วย

ข้อสอบของโรงเรียนอีจิสไพร์มนั้นมีการปรับระดับความยากเพิ่มขึ้นทุกปีอยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่เคยมีปีไหนเลยที่มีนักเรียนไม่ครบโควต้า 200 คน ซึ่งเมื่อมีผู้สอบผ่านมากกว่าจำนวนโควต้า ก็จะมีการคัดเฉพาะผู้ที่มีคะแนนสูงสุด 200 คน ในปีนั้นเพื่อเข้ามาเป็นนักเรียนของโรงเรียน ทำให้การแข่งขันเพื่อเข้าเรียนเป็นไปอย่างดุเดือด เพราะที่นี่เป็นสนามทดสอบสำหรับนักผจญภัยรุ่นเยาว์ทั้งโลก และผู้ที่จบออกจากที่นี่ไปก็มักจะกลายเป็นผู้สร้างสันติภาพที่มีชื่อเสียงด้วย ไม่ว่าจะเป็น ‘เทพสายฟ้า’ ออแลนด์ หรือ ‘เทพสงคราม’ ซารามอธ ก็ล้วนแล้วแต่จบจากโรงเรียนอีจิสไพร์มไปทั้งสิ้น ทำให้นี่เป็นสถานศึกษาที่นักผจญภัยรุ่นเยาว์ทุกคนต่างก็ใฝ่ฝันถึงและพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อที่จะเข้ามาเรียนให้ได้

 

——————————————————————————–

 

Part 2

วันที่ 1 เมษายน ศักราชที่ 313

วันนี้เป็นวันปฐมนิเทศและเปิดภาคเรียนใหม่ของโรงเรียนอีจิสไพร์ม

แม้บริเวณชุมชนด้านนอกจะคราคร่ำไปด้วยผู้คนมากมายที่มาชุมนุมกันเพื่อส่งบุตรหลานหรือญาติพี่น้องเข้าเรียน แต่ทางโรงเรียนมีกฎห้ามมิให้บุคคลภายนอกเข้ามาในบริเวณโรงเรียนได้เว้นแต่จะเป็นวันเทศกาล บวกกับวันปฐมนิเทศของนักผจญภัยรุ่นสามัญขั้นต้น (ปี 1-3) กับนักผจญภัยรุ่นสามัญขั้นปลาย (ปี 4-6) จะจัดคนละวันกัน ภายในโรงเรียนจึงค่อนข้างเงียบสงบ เพราะมีเพียงเหล่านักเรียนใหม่และนักเรียนปี 2 และปี 3 เดินเข้ามาภายในโรงเรียนเท่านั้น

อีจิสไพร์มเป็นโรงเรียนที่มีเนื้อที่กว้างขวาง อาคารต่าง ๆ จึงถูกสร้างกันอยู่อย่างกระจัดกระจาย โดยมีสนามหญ้าและสวนหย่อมแทรกอยู่ทุกพื้นที่ ถนนและทางเดินภายในโรงเรียนต่างก็ปูด้วยก้อนอิฐสีขาวสด เช่นเดียวกับตัวอาคารทุกหลังที่ใช้สีขาวเป็นโทนหลักราวกับเป็นวิหารหรือสิ่งก่อสร้างทางศาสนา

สีขาวของสิ่งก่อสร้างที่ตัดกับความเขียวขจีของภูมิทัศน์ที่แวดล้อมอยู่โดยรอบนั้นให้ความรู้สึกปลอดโปร่ง ร่มรื่น และผ่อนคลาย จนมีคนกล่าวกันว่านี่เป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีทิวทัศน์งดงามที่สุดในอาณาจักรจูริส

ในวันปฐมนิเทศ นักเรียนใหม่ของโรงเรียน หรือนักเรียนปีหนึ่ง จะเดินเข้าโรงเรียนมาทางประตูหน้าซึ่งอยู่ทางทิศใต้ และเดินผ่านถนนสีขาวซึ่งทอดยาวตรงไปยังหอประชุมซึ่งอยู่ใจกลางโรงเรียน ส่วนนักเรียนชั้นปีอื่น ๆ หรือนักเรียนเก่าจะต้องเข้ามาทางประตูด้านข้าง คือประตูทิศตะวันออกและตะวันตก

นี่เป็นธรรมเนียมของโรงเรียนที่ต้องการให้นักเรียนใหม่ได้สัมผัสกับความรู้สึกของการได้เป็นสมาชิกใหม่ของสถาบันได้อย่างเต็มที่ รวมทั้งเปิดโอกาสให้นักเรียนใหม่ซึ่งมาจากบ้านเกิดอันหลากหลายได้มีโอกาสพบปะพูดคุยทำความรู้จักกันก่อนด้วย

ด้วยความกว้างของโรงเรียน ทำให้ระยะทางจากหน้าโรงเรียนไปจนถึงบริเวณอาคารสถานที่นั้นกินระยะทางเกือบหนึ่งกิโลเมตร นักเรียนใหม่ที่ทยอยกันเข้ามาในโรงเรียนตั้งแต่ประตูโรงเรียนเปิดจึงมีเวลาในการพบปะพูดคุยและทำความรู้จักกันอย่างเต็มที่

แน่นอนว่านั่นเป็นแค่เรื่องในอุดมคติ เพราะในความเป็นจริงนักเรียนส่วนใหญ่ย่อมจับกลุ่มหรือจับคู่กับคนรู้จักในการเดินทางมาโรงเรียน และไม่ใส่ใจจะทำความรู้จักกับนักเรียนคนอื่น ๆ นัก เพราะยังไม่รู้ว่าจะได้อยู่ห้องเดียวกันรึเปล่า การแนะนำตัวและทำความรู้จักกันจริง ๆ จึงจะเริ่มหลังจากได้ไปที่ห้องเรียนแล้วซะมากกว่า บนถนนสายนี้จึงมีนักเรียนมากมายที่เดินอยู่เพียงลำพัง ส่วนคนที่เดินทางมาพร้อมกับคนรู้จักก็จับกลุ่มคุยกันโดยไม่ได้สนใจนักเรียนแปลกหน้าคนอื่น ๆ เช่นกัน

“นี่ ๆ เขาลือกันว่าปีนี้จะมีทายาทของผู้สร้างหายนะคนที่สี่มาเข้าเรียนด้วยล่ะ”

นักเรียนหญิงผมสีน้ำตาลคนหนึ่งเอ่ยพูดกับเพื่อนของเธอด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะพยายามกระซิบ แต่ระดับเสียงที่ใช้ก็ยังดังจนคนรอบข้างได้ยินอย่างชัดเจนอยู่ดี

“เอ๋? จริงเหรอ? ทางพีชคีปเปอร์คิดอะไรอยู่นะถึงปล่อยให้คนที่มีประวัติทางบ้านแบบนั้นเข้ามาเรียนได้น่ะ”

“เพราะเป็นพีชคีปเปอร์ต่างหากล่ะถึงเลือกปฏิบัติไม่ได้น่ะ เฮ้อ… ขออย่าให้เราต้องอยู่ห้องเดียวกับเจ้านั่นเล้ย… อ๊ะ”

เพราะมัวหันไปพูดคุยกับเพื่อน ทำให้นักเรียนหญิงคนนั้นเดินไปชนไหล่ของนักเรียนอีกคนหนึ่งเข้า จนหนังสือเล่มเล็ก ๆ ที่เขากำลังถืออ่านอยู่หล่นลงไปบนพื้น เธอจึงรีบก้มลงไปเก็บหนังสือขึ้นมาคืนให้กับเขาและกล่าวขอโทษ

“ขอโทษทีนะ เธอไม่เป็นอะไรใช่รึเปล่า?”

“ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องห่วง”

“เอ๋? เอ่อ… งั้นก็ ขอตัวก่อนนะ”

เธอแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำตอบรับของอีกฝ่าย จากนั้นก็รีบกล่าวลาและหันหลังเดินต่อไปทันทีด้วยความเร่งรีบ อาจเพราะต้องการจะทิ้งระยะห่างจากคู่กรณีสักเล็กน้อยเพื่อไม่ให้เกิดบรรยากาศที่อึดอัดตามมา แต่ระหว่างที่เดินออกไป เธอก็ยังหันไปพูดกับเพื่อนของเธอด้วยเสียงกระซิบกระซาบที่ดังพอจะให้คนด้านหลังได้ยินอยู่ดี

“คนตะกี้เป็นผู้ชายเหรอเนี่ย? ดูแทบไม่ออกเลย… หรือว่า…”

“เบา ๆ สิ ไว้คุยกันทีหลังดีกว่า…”

ทั้งสองคนเร่งฝีเท้าเดินห่างออกไป โดยทิ้งเด็กหนุ่มที่ถูกชนเอาไว้เบื้องหลัง

ที่นักเรียนหญิงคนนั้นจะเกิดอาการสับสนหรือเข้าใจผิดก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเด็กหนุ่มที่เธอเดินชนเป็นเด็กหนุ่มรูปร่างเล็ก เขาไว้ผมยาวกว่าเด็กผู้ชายทั่วไปจนทำให้ดูรุงรังนิดหน่อย แม้จะสวมแว่นตาอันใหญ่ที่มีกรอบหนาบดบังใบหน้าบางส่วนเอาไว้ แต่เค้าหน้าที่ดูสำอางและผิวพรรณอันนวลเนียนนั้นก็ดูคล้ายกับเป็นผู้หญิงมากกว่าที่จะเป็นผู้ชาย เมื่อทุกอย่างนี้รวมกันแล้วหากจะมีคนเข้าใจผิดว่าเขาเป็นผู้หญิงก็คงเป็นเรื่องปกติ

โชคดีนักเรียนหญิงคนนั้นไม่รู้รายละเอียดรูปพรรณทายาทของผู้สร้างหายนะคนที่สี่มากนัก ไม่เช่นนั้นบรรยากาศคงจะยิ่งกระอักกระอ่วนกว่านี้อีกหลายเท่าตัว

เพราะเด็กหนุ่มรูปร่างเล็กผู้มีเค้าหน้าคล้ายกับผู้หญิงและมีเส้นผมสีแดงเพลิงกับดวงตาสีส้มอำพันซึ่งเธอเพิ่งจะเดินชนไปเมื่อสักครู่นี้ก็คือ ซาลารัส แฮลเซียน ทายาทของผู้สร้างหายนะคนที่สี่ ที่เธอเพิ่งจะพูดถึงไปเมื่อสักครู่นี้เอง

 

——————————————————————————–

 

Part 3

ซาลปัดฝุ่นออกจากปกหนังสือของเขาเบา ๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองตามนักเรียนหญิงทั้งสองคนนั้น พลางยิ้มออกมา

มันเป็นรอยยิ้มของความรู้สึกขบขันที่อีกฝ่ายไม่รู้จักคนที่ตัวเองกำลังนินทาอยู่ทั้ง ๆ ที่ได้เจอกันซึ่ง ๆ หน้า เป็นรอยยิ้มอันบริสุทธิ์ใจที่ไม่ได้แอบแฝงความขุ่นเคืองหรือไม่พอใจที่ถูกว่าร้ายเอาไว้

เพราะเขารู้อยู่แล้วว่านี่เป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นหากเขามาเรียนที่นี่ ต่อให้ไม่มีคนพูดเรื่องนี้ต่อหน้า แต่ลับหลังก็ต้องมีคนพูดอยู่ดี นั่นเป็นเรื่องปกติของเหล่าผู้คนที่ถูกเพาะบ่มความรู้สึกเป็นปรปักษ์กับความชั่วร้ายมาตั้งแต่เด็ก ทำให้มีอคติกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับความชั่วร้ายหรือเรื่องไม่ดีในทุก ๆ รูปแบบไปด้วย

การมาเข้าเรียนในโรงเรียนที่เป็นศูนย์รวมของเหล่านักผจญภัยรุ่นเยาว์ระดับท็อปของโลก ซึ่งเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่เกลียดชังผู้เกี่ยวข้องกับความมืดเป็นพิเศษ ย่อมต้องถูกมองว่าเป็นแกะดำ และไม่ได้รับการต้อนรับจากทุกคนอยู่แล้ว

แต่ถึงกระนั้น ซาลก็ยังเลือกที่จะมาเข้าเรียนที่นี่ เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งในแผนการของเขา

ในช่วงเวลาหลายปีมานี้ เขาได้ทบทวนและร่างแผนการสำหรับการเป็นผู้สร้างหายนะคนที่ห้าเอาไว้แล้ว

การจะนำทุกคนในครอบครัวกลับมาอยู่ด้วยกันอย่างพร้อมหน้าและใช้ชีวิตอย่างสงบสุขต่อไปได้นั้น ไม่เพียงแต่เขาต้องทำตามแผนการที่วางเอาไว้ทั้งหมดจนสำเร็จ แต่ต้องไม่มีใครรู้ด้วยว่าเขาคือผู้สร้างหายนะคนที่ห้า แม้แต่คนใกล้ชิด โดยเฉพาะคนในครอบครัว ก็ต้องไม่ถูกสงสัยว่าพัวพันกับเรื่องนี้ด้วย

เพราะเขาเป็นคนที่ถูกขึ้นบัญชีเอาไว้อยู่แล้ว แถมยังมีประวัติว่าเคยถูกผู้ใช้ศาสตร์มืดตัวเบ้งอย่างนักเวทหัวกะโหลกลักพาตัวไประยะหนึ่ง ทางพีชคีปเปอร์จึงมีความพยายามในการจับตาดูเป็นพิเศษ เขาเคยได้ยินจาก ‘บิ๊กซิสฯ’ ว่าทางองค์กรเคยส่งสายลับแทรกซึมเข้ามาในลิลลี่โฮไรซอนเพื่อสอดแนมเขาด้วย ยังดีที่ตอนนั้นเขาได้สร้าง ‘แปดขุนพล’ ขึ้นมาแล้ว จึงพอจะใช้พวกนั้นในการสลับตัวออกไปตบตาคนของพีชคีปเปอร์ได้

แม้จะมีวิธีหลากหลายในการหลบเร้นสายตาของอีกฝ่าย แต่ซาลมองว่าการทำแบบนั้นจะยิ่งเพิ่มความสงสัยและทำให้อีกฝ่ายเพิ่มการเข้มงวดในการจับตาดูมากยิ่งขึ้น เพราะถึงจะจับไม่ได้คาหนังคาเขา แต่ก็ยังเป็นผู้ต้องสงสัยอยู่ดี

ดังนั้นทางเลือกที่ดีที่สุดที่เขาคิดได้ก็คือการนำเสนอตัวเองไปอยู่ในจุดที่อีกฝ่ายสามารถจับตาดูได้โดยง่าย ให้ฝ่ายตรงข้ามรับรู้ทุกการเคลื่อนไหวและตรวจสอบได้อย่างเต็มที่ แบบนี้เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นจริง จากคนที่ถูกเพ่งเล็งมากที่สุด ก็จะกลายเป็นผู้ที่มีความเป็นไปได้น้อยที่สุดแทน เพราะอยู่ในการเฝ้าจับตาอันเข้มงวด หรือก็คืออาศัยการจับตาของอีกฝ่ายนั่นแหละเป็นพยานให้กับตนเอง

ที่สำคัญคือเขาคิดจะใช้โอกาสนี้สร้าง ‘ความเข้าใจ’ เกี่ยวกับตัวเขา ให้คนอื่น ๆ รับรู้ไปในอีกทางหนึ่งด้วย เพราะหากเป็นคนที่อีกฝ่ายไม่รู้จักหรือไม่มีข้อมูลเชิงลึก ก็อาจถูกตีความว่าเป็นบุคคลที่สามารถทำอะไรก็ได้ เนื่องจากไม่มีใครรู้จักตัวตนหรือเจตนาที่แท้จริง แต่ถ้าหากเขานำเสนอตัวเองให้ทุกคนเห็นว่าไม่ใช่คนที่ ‘มีคุณสมบัติ’ ที่จะทำอะไรแบบนั้นได้ ก็จะเป็นการง่ายที่จะทำให้ถูกมองข้ามหรือถูกตัดออกจากการเป็นผู้ต้องสงสัย

ดังนั้นตัวตนที่เขาต้องการจะนำเสนอให้ทุกคนได้เห็นคือเป็น ‘คนธรรมดาที่ค่อนไปทางไม่เอาไหน’ คือพยายามทำตัวเรียบ ๆ ไม่โดดเด่นไปในทางใดทางหนึ่ง ไม่ใช่ทั้งคนดีหรือคนเลว ไม่ฉลาดแต่ก็ไม่ถึงกับโง่ เพื่อให้ดูกลมกลืนและไม่เป็นการจงใจนำเสนอตัวเองมากเกินไป ที่สำคัญคือต้องแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ใช่คนที่มีความสามารถขนาดจะทำอะไรใหญ่โตอย่างการเป็นผู้สร้างหายนะคนที่ห้าได้ เพื่อการนี้จึงต้องแสร้งทำตัวเป็นคนที่ไม่เอาไหนอย่างแนบเนียน เพื่อตัดคุณสมบัติของการเป็นผู้ต้องสงสัยออกไปอีก

อีกสาเหตุที่ทำให้เขาตัดสินใจเข้ามาเรียนที่นี่คือ เขาได้เห็นความสำคัญของการมีเส้นสายภายในพีชคีปเปอร์หรือสมาคมนักผจญภัยจากการเดินทางครั้งก่อน ซึ่งหลาย ๆ ครั้ง พวกเขาสามารถรอดพ้นหรือหลีกเลี่ยงสถานการณ์อันตรายไปได้เพราะเส้นสายในสมาคมนักผจญภัยของแซนโดร ทำให้สามารถรู้ข่าวสารล่วงหน้าและหาวิธีรับมือตามสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสม

การเข้าเรียนที่โรงเรียนอีจิสไพร์มเพื่อขึ้นเป็นนักผจญภัยระดับสูงรวมไปถึงได้รู้จักกับเหล่านักผจญภัยรุ่นเยาว์ที่มีโอกาสกลายเป็นกำลังสำคัญขององค์กรต่าง ๆ ในอนาคตจึงเป็นการเพาะสร้างเส้นสายของตัวเขาเองขึ้นมา เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ในภายภาคหน้าได้

อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นเพียงความตั้งใจคร่าว ๆ ที่เขาคิดเอาไว้ เพราะในความเป็นจริงอาจมีปัจจัยมากมายที่ส่งผลกระทบต่อแผนการนี้ได้ เช่นการถูกตั้งแง่รังเกียจจากทุกคนรอบข้างเพราะการเป็นทายาทของผู้สร้างหายนะคนที่ห้าคงทำให้การสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่น ๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ไหนจะมี ‘ตัวตน’ ที่เขาจงใจจะนำเสนอต่อหน้าคนอื่นก็เป็นบุคลิกที่ไม่ค่อยน่าคบหาเป็นเพื่อนสักเท่าไหร่ อีกประเด็นคือเขาเองก็ยังไม่แน่ใจว่าจะทนรับความกดดันของการถูกรังเกียจได้ดีแค่ไหน

แต่แม้จะได้ยินคำนินทาซึ่ง ๆ หน้าของนักเรียนหญิงคนเมื่อสักครู่นี้ ซาลก็ไม่ได้รู้สึกขุ่นเคืองใจกับคำพูดนั้นเลยแม้แต่น้อย แถมยังรู้สึกขบขันซะมากกว่า เพราะผลจากการเรียนรู้และฝึกฝนตัวเองในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้ตอนนี้เขาสามารถมองตัวเองเหมือนเป็นบุคคลที่สามได้เป็นผลสำเร็จ

นี่เป็นอีกวิธีการที่เขาคิดค้นขึ้นมาเพื่อการพัฒนาตัวเองเช่นกัน เพราะคนเรามักจะขาดสติหรือทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังเมื่อมีความรู้สึกส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้องมากจนเกินไป การเอาตัวเองไปอยู่ในปัญหาจะทำให้เกิดความกดดัน มองรอบข้างได้ไม่ชัดเจน และหาทางออกได้ยาก

กลับกัน หากถอยออกมาได้สักก้าวหนึ่งก็จะมีมุมมองที่กว้างขึ้น ค้นพบทางออกได้ง่ายขึ้น และไม่ถูกครอบงำด้วยอคติหรือความโกรธความขุ่นเคืองที่เกิดจากประเด็นปัญหา ทำให้สามารถพิจารณาไตร่ตรองเรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างรอบคอบ นี่เป็นสาเหตุที่คนรอบข้างมักจะมองเห็นปัญหาและทางออกได้ดีกว่าเจ้าตัว เพราะเห็นทุกอย่างในภาพกว้าง และไม่เอาอารมณ์ส่วนตัวเข้าไปพัวพันมากจนเกินไปนั่นเอง

ด้วยการฝึกจิตและพัฒนาความคิดอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดซาลก็สามารถเข้าสู่ภาวะที่ทำให้มองเรื่องทุกอย่างรอบตัวในมุมมองของคนอื่นได้ คล้ายกับการเฝ้าดูตัวเองในช่วงเวลาหนึ่งจากอีกช่วงเวลาหนึ่ง นั่นเป็นเหตุผลที่เขาไม่รู้สึกอะไรกับคำว่าร้ายที่ได้ยินจากนักเรียนหญิงคนนั้นเลย

แม้นี่จะไม่ใช่ภาวะที่คงอยู่ได้ตลอดเวลา หรืออาจมีสถานการณ์ที่ทำให้หลุดออกจากภาวะนี้ได้บ้าง แต่ซาลเชื่อว่าแค่นี้ก็ทำให้เขาสามารถใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนตลอดช่วงหกปีหลังจากนี้ไปได้อย่างไม่มีปัญหาแล้ว

 

การเข้าเรียนที่นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น

ตามแผนที่ซาลได้วางเอาไว้สำหรับการเป็นผู้สร้างหายนะคนที่ห้า มีองค์ประกอบหลัก ๆ อยู่ทั้งสิ้น 4 ข้อด้วยกันที่เขาต้องการจะทำให้ลุล่วง

ข้อแรกคือการเข้าเรียนที่โรงเรียนอีจิสไพร์มเพื่อสร้างพยานหลักฐานให้กับตัวเองว่าไม่ใช่ผู้สร้างหายนะคนที่ห้า และในเวลาเดียวกันก็ต้องพยายามสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์กับผู้คนเพื่อแผนการในอนาคตด้วย

ข้อสองคือการสร้างกองทัพของตนเองขึ้นมา ซึ่งเรื่องนี้ดำเนินไปได้อย่างราบรื่นเพราะการแบ่งหน้าที่ให้ ‘แปดขุนพล’ รับหน้าที่ดูแลดันเจียนและสมุนกลุ่มต่าง ๆ ทำให้ช่วยทุ่นแรงไปได้เยอะ แต่ซาลก็ยังอยากจะเร่งอัตราการเติบโตของกองทัพให้มากขึ้นกว่านี้อยู่ดี เพื่อให้มีสมุนระดับสูงจำนวนมากไว้ใช้งานในอนาคต

ข้อสามคือการสร้าง ‘ฐานบัญชาการ’ ของตนเองขึ้นมา นี่เป็นความปรารถนาของเขาตั้งแต่ตอนที่ได้เห็นมาลาไคท์คีปของแซนโดรเป็นครั้งแรกแล้ว เขาต้องการจะมีเรล์มและป้อมปราการของตัวเองเพื่อใช้เป็นฐานบัญชาการและที่ซ่องสุมกำลังพลของกองทัพซาลารัส แต่การสร้างเรล์มก็ไม่ใช่เรื่องง่าย และเป็นอะไรที่มีค่าใช้จ่ายสูงมาก ๆ แต่เขาก็พอจะมีแนวคิดในการดำเนินการแล้ว

ข้อที่สี่คือการ ‘เพิ่มระดับ’ ของขุนพลทั้งแปด รวมถึงตัวเขาเอง ให้มีความสามารถเทียบเท่ากับนักผจญภัยระดับ S หรือ SS ซึ่งเรื่องนี้เขามีแผนการอยู่ในใจอยู่แล้ว เพียงแค่รอการดำเนินการเท่านั้น

ทั้งหมดนี้คือการเตรียมการเพื่อเป็นผู้สร้างหายนะของเขา เป็นสิ่งที่เขาตั้งใจจะทำให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยในระหว่างที่เรียนอยู่ที่นี่ ถึงแม้ว่าบางข้ออาจไม่สามารถทำได้ในช่วงเวลานี้ แต่ขอเพียงบรรลุเป้าหมายไปได้สักสองสามข้อ เขาก็พอใจแล้ว

 

——————————————————————————–

 

Part 4

หลังจากผ่านทางเดินสีขาวที่ทอดยาวเป็นระยะทางเกือบหนึ่งกิโลเมตรมาได้ ในที่สุดซาลก็มาถึงเขตอาคารสถานที่ของอีจิสไพร์ม

เส้นทางที่ทอดจากทางเข้าโรงเรียนทั้งสามทิศจะมาบรรจบกันที่จุดกึ่งกลางโรงเรียนซึ่งเป็นสวนหย่อมอันกว้างขวางที่มีน้ำพุขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงจุดประสานเส้นทางทั้งสามพอดี ถัดออกไปก็จะเป็นอาคารเรียนสามชั้นซึ่งตั้งอยู่ห่าง ๆ ทำให้สวนหย่อมกลางบริเวณลานน้ำพุนี้มีลักษณะปลอดโปร่งเพราะไม่มีตัวอาคารมารายล้อมให้เกิดความรู้สึกอึดอัด

ที่นั่นเต็มไปด้วยบรรดานักเรียนใหม่ที่มารวมตัวกันเพื่อรอการปฐมนิเทศ เพราะตอนนี้หอประชุมสำหรับทำการปฐมนิเทศยังไม่เปิด ทำให้เหล่านักเรียนต้องมารออยู่ในบริเวณนี้ก่อน ทุกคนต่างก็อยู่ในอิริยาบถตามสบาย บ้างก็นั่งอยู่ตามม้านั่งของสวนหย่อม บ้างก็นั่งอยู่ตามม้านั่งของลานน้ำพุ หลายคนจับกลุ่มถ่ายรูปกันเพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึก ในขณะที่อีกหลายคนก็ทยอยกันเดินทางเข้ามาสมทบ

แต่ซาลเพิ่งจะรู้ตัวว่ารูปลักษณ์ของเขาดูเตะตาไปหน่อย

เพราะเขาอยากให้ตัวเองมีภาพลักษณ์ที่ไม่โดดเด่น ไม่เป็นจุดสนใจ หรือเป็นประเภท ‘มนุษย์ล่องหน’ ประจำห้อง ที่ไม่มีใครรับรู้ถึงการมีอยู่ จึงจงใจไว้ผมยาวกว่าปกติเล็กน้อยเพื่อให้มันลงมาบดบังใบหน้าบางส่วนเอาไว้ แถมยังใส่แว่นตาหนาเตอะเพื่อช่วยปกปิดใบหน้าอีกแรง นี่เป็นรูปลักษณ์ที่เขาคิดว่าจะทำให้ดู ‘จืดจาง’ ได้

แต่ปรากฏว่าผู้คนโดยรอบที่ได้พบเห็นเขากลับเอาแต่จ้องมองด้วยแววตาเคลือบแคลงสงสัย นั่นเพราะเส้นผมที่ยาวรุงรังจนปกปิดใบหน้านั้นทำให้ดูเป็นคนที่ไม่น่าไว้ใจ จึงไม่มีใครกล้าเข้ามาใกล้ด้วย ทำให้เขารู้สึกตัวว่าทำพลาดไปซะแล้ว แม้เขาจะรีบเอามือแหวกผมออกข้างเพื่อให้ดูน่าสงสัยน้อยลง แต่นั่นก็ไม่ช่วยอะไรสักเท่าไหร่ เพราะว่ายังดูเหมือนพวกเด็กอีโมที่ไม่น่าเข้าใกล้อยู่ดี

สายตาของคนอื่น ๆ ที่จ้องมองมาพลางซุบซิบกันไปด้วยนั้นเป็นสิ่งที่น่าอึดอัด แต่ซาลในตอนนี้อยู่ในภาวะบุคคลที่สามทำให้ไม่ค่อยรู้สึกอะไรนัก เขาหยิบกระจกขึ้นมาส่องหน้าตัวเองดูอีกครั้งแล้วก็รู้สึกขบขันกับสารรูปที่ดูตลกนี้จนเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา ซึ่งนั่นทำให้คนรอบข้างยิ่งรู้สึกขยาดเข้าไปอีก

แม้จะไม่ได้ใส่ใจกับสายตาของคนรอบข้างสักเท่าไหร่ แต่เขาก็คิดว่าควรจะพยายามเก็บอาการสักหน่อยเพื่อไม่ให้ดูน่าสงสัยจนเกินไป จึงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ อีกครั้ง และมองดูรอบ ๆ อย่างใจเย็น ด้วยจิตใจอันสงบนิ่งเหมือนกับกำลังมองดูเรื่องราวของคนอื่นอยู่

แต่ความสงบในใจนั้นก็พังทลายลง เมื่อเขาหันไปเห็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังเดินเข้ามาในลานน้ำพุนี้

คนแรกเป็นเด็กผู้ชายผมสีน้ำตาลผู้มีแววตามุ่งมั่นและสีหน้าจริงจัง เขาสวมแว่นอันเล็ก ๆ ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ทำให้ใบหน้าอันหล่อเหลานั้นยิ่งดูหนุ่มเกินวัย

คนที่เดินอยู่ข้าง ๆ เขาเป็นเด็กผู้ชายผมสีเทาผู้มีใบหน้าเรียวแหลมและดวงตาอันเรียวเล็ก ทั้งยังยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา ทำให้มีลักษณะที่ดูเจ้าเล่ห์คล้ายกับสุนัขจิ้งจอก แต่ก็จัดว่าเป็นเด็กหนุ่มที่หน้าตาดีอีกคนหนึ่ง

ถัดจากเด็กผู้ชายทั้งสอง ก็ยังมีเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักผู้ถักผมสีแดงอ่อน ๆ ของเธอเป็นเปียคู่ห้อยมาทางด้านหน้าทำให้ดูสุภาพเรียบร้อย เพียงเธอยิ้มออกมาก็ดูจะทำให้ทุกสิ่งโดยรอบเปล่งประกายและมีชีวิตชีวาขึ้นมาได้ราวกับถูกร่ายมนต์

เพียงได้เห็นสามคนนี้ หัวใจของซาลก็เต้นผิดจังหวะขึ้นมาจนเกิดอาการหายใจติดขัด

อารมณ์สงบนิ่งที่เคยมีอยู่ก่อนหน้านี้ได้มลายหายไปสิ้น แถมยิ่งได้มองคนทั้งสามนั้น ใจของเขาก็ยิ่งเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ

เพราะทั้งสามคนมีรูปลักษณ์คล้ายคลึงกับ อลัน, โลเฟ่น, และทาลิส เพื่อนที่เขาเคยใช้เวลาร่วมกันเกือบสามปี ในโรงเรียนอีจิส ก่อนที่จะถูกแซนโดรเปิดโปงความจริงว่าทุกอย่างเป็นเพียงภาพลวง

ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาตกใจมากที่สุดก็ยังไม่ใช่การได้เห็นสามคนนั้น แต่เป็นบุคคลคนที่สี่ซึ่งเดินร่วมกลุ่มมาพร้อมกันกับทั้งสามคนนั้นต่างหาก

เธอเป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักผู้มีผมสีแดงดุจดั่งเปลวเพลิง และมีดวงตาสีส้มอำพันซึ่งทอประกายเป็นสีทองเมื่อต้องแสงตะวัน

แม้จะไว้ผมสั้นแค่ท้ายทอยจนดูเหมือนกับเด็กผู้ชาย แต่ด้วยเค้าหน้าได้สัดส่วนกับดวงตากลมโตนั้นก็ทำให้ดูเป็นเด็กหญิงที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจและพร้อมจะเผชิญหน้ากับทุก ๆ อย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต

ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าทำให้มีแวบหนึ่งที่ซาลเผลอคิดไปว่าตัวเองกำลังเห็นภาพหลอนของสมัยที่เขายังอยู่กับเพื่อน ๆ ทุกคนในโรงเรียนอีจิสอยู่ แต่ความคิดนั้นก็ถูกกลบทับไปอย่างรวดเร็วเพราะเขารู้ว่าทุกอย่างที่เห็นอยู่นี้เป็นเรื่องจริง

บุคคลที่สี่ที่เขาเห็นอยู่ท่ามกลางกลุ่มเพื่อนเก่าของเขานี้จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก ลาซารัส แฮลเซียน หรือ ลาซ น้องสาวฝาแฝดของเขานั่นเอง

ด้วยการปรากฏตัวของทั้งสี่คนนี้ ทำให้ภาวะบุคคลที่สามที่เขาภาคภูมิใจได้พังทลายลงไปโดยสมบูรณ์

เหลือเพียงความรู้สึกซับซ้อนอันเอ่อล้นที่ไหลวนอยู่ในอกเท่านั้น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด